กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 890.8 อะไรคือห่มดาวสวมจันทร์
แม้จะบอกว่าทุกวันนี้เฉินผิงอันต้องมีชีวิตที่ไม่เลวแน่นอน สามารถร่วมมือทำการค้ากับซานจวินขุนเขาเหนือได้แล้ว ท่าเรือหนิวเจี่ยวที่เงินทองไหลมาเทมาแห่งนั้น ได้ยินว่าเฉินผิงอันก็ได้รับส่วนแบ่งด้วย
แต่ในวงการขุนเขาสายน้ำมีข้อห้ามมากมาย ข้อพิถีพิถันเยอะ แล้วนับประสาอะไรกับที่เหนียงเนียงเทพวารีท่านนั้น หากอิงตามทำเนียบหยกทองที่ราชสำนักต้าหลีในอดีตป่าวประกาศแก่ทั้งทวีปก็เป็นถึงขั้นสี่ชั้นโท ถือว่าสูงมากแล้ว
แล้วก็เพราะว่าอยู่ในอาณาเขตของหลงโจวถึงไม่สะดุดตามากนัก ไม่อย่างนั้นหากเอาไปวางไว้ในวงการขุนเขาสายน้ำของแคว้นเล็กใต้อาณัติ นั่นก็เท่ากับเป็นขุนนางใหญ่ในพื้นที่ศักดินาคนหนึ่งได้เลย
บุรุษยังคงยืนกรานในความคิดของตัวเอง “แค่ส่งข่าวไปแจ้งจวนวารีก็พอ ข้าจะรอเหนียงเนียงเทพวารีอยู่ที่นี่”
สตรีออกเรือนแล้วรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าเมื่อก่อนเด็กหนุ่มแห่งตรอกหนีผิงจะไม่ได้เป็นเช่นนี้
เฉินผิงอันไม่สะดวกจะอธิบายอะไรมาก หากตนตรงไปที่จวนวารี นางที่เป็นคนเฝ้าศาลก็เท่ากับเสียเปล่าแล้ว
แต่หากให้นางส่งกระบี่บินไปแจ้งข่าว เย่ชิงจู๋ก็ต้องเห็นแก่หน้านาง เหนียงเนียงเทพวารีผู้นี้จึงจะรู้สึกว่าการที่ให้เจ้ามาเป็นคนเฝ้าศาลไม่ได้เสียเปล่า
เฉินผิงอันนั่งลงบนขั้นบันไดนอกประตูของศาลเทพวารี
หมี่ลี่น้อยเกาแก้ม ไหล่ลู่คอตก ซึมกะทือไร้ชีวิตชีวา
รู้สึกว่าตัวเองสร้างปัญหาให้เจ้าขุนเขาคนดีอีกแล้ว
อันที่จริงแรกเริ่มนางก็แค่อยากไปเที่ยวเล่นที่เมืองหงจู๋เท่านั้น จากนั้นก็กลับบ้านกันได้แล้ว
แต่เจ้าขุนเขาคนดีกลับเอาแต่ส่ายหน้าไม่ยอมตอบตกลง จะให้นางกอดขาไม่ยอมให้เขาเดินเหมือนอย่างปีนั้นก็คงไม่ได้กระมัง อาจารย์เสี่ยวโม่ก็อยู่ข้างๆ ด้วยนะ
เสี่ยวโม่ไม่ได้นั่งลงข้างกายเฉินผิงอัน แต่นั่งอยู่ด้านขวาสุด
เมื่อเป็นเช่นนี้หมี่ลี่น้อยจึงนั่งอยู่ตรงกลาง
บนผิวน้ำมีไอน้ำลอยกรุ่นขึ้นมา เหนียงเนียงเทพวารีเย่ชิงจู๋มาที่ศาลบ้านตัวเองเพียงลำพัง นางหน้าซีดขาวเล็กน้อย มิอาจปกปิดสีหน้าตื่นตระหนกได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางเห็นว่าที่หน้าประตูศาลบ้านตัวเองมีบุรุษชุดเขียวนั่งอยู่บนขั้นบันได ก็ยิ่งเสียวสันหลังวาบ
เย่ชิงจู๋ยิ้มอย่างฝืดฝืน เอ่ยกับสตรีคนเฝ้าศาลว่า “เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ข้าจะคุยธุระกับอาจารย์เฉิน”
สตรีคนเฝ้าศาลมึนงง จะพูดคุยกัน ทำไมถึงเข้าไปคุยกันในศาลไม่ได้? ไม่ต้องพิถีพิถันเรื่องวิถีของการรับรองแขกบ้างเลยหรือ? ตนจะได้เตรียมผลไม้และสุรามาให้
เพียงแต่นางหรือจะกล้าทักท้วงเหนียงเนียงเทพวารี จึงเดินกลับเข้าไปในศาล หลังจากเดินข้ามธรณีประตูไปแล้วนางก็แอบหันไปมองแผ่นหลังของคนชุดเขียวผู้นั้น
สตรีพลันรู้สึกผิดหวังอีกเล็กน้อย
หลายปีที่ผ่านมานี้ บางครั้งนางก็คิดว่าหากวันใดได้กลับมาพบเจอกับเด็กหนุ่มตรอกหนีผิงในอดีตอีกครั้ง อีกฝ่ายจะรู้สึก…เสียดายบ้างหรือไม่นะ?
เพียงแต่ความคิดเล็กๆ น้อยๆ นี้ของนางแค่บังเกิดขึ้นในทะเลสาบหัวใจก็หล่นร่วงกลับลงไปดังเดิม ถึงท้ายที่สุดก็ยังมีความกังวลอยู่เล็กน้อย แต่ขณะเดียวกันก็วางใจได้ด้วย
คนวัยเดียวกันของตรอกหนีผิงในปีนั้น คงจะเป็นดั่งคำว่าคนดีต้องได้ดีตอบแทนจริงๆ ในที่สุดก็ไม่ต้องมีชีวิตที่ยากลำบากเช่นนั้นอีกแล้ว
เพราะตอนที่สตรีออกเรือนแล้วยังเป็นเด็กสาวที่ยังไม่แต่งงาน ในขณะที่มารดาและบุตรสาวสองคนปะชุนเสื้อผ้าภายใต้แสงตะเกียงก็เคยพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกันไปด้วย
ล้วนเป็นเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง พูดไปพูดมา ไม่รู้ว่าทำไมถึงพูดไปถึงเด็กหนุ่มที่ไปเป็นลูกศิษย์ของเตาเผาเสียได้ เขามักจะมาช่วยบ้านพวกนางทำงานในนาบ่อยๆ ทุกครั้งจะต้องเป็นฝ่ายเปิดปากพูดเองเสมอ หรือไม่ช่วงที่ยุ่งอยู่กับการทำนา เขาก็จะมัก ‘บังเอิญ’ เดินผ่านที่นาของพวกนางพอดี อีกทั้งพอถึงช่วงที่ต้องแย่งน้ำเข้านา ไร่นาของครอบครัวนางกลับไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องน้ำ ครอบครัวทั่วไป ตอนกลางคืนไปที่ข้างคันนารอบสองรอบก็ดีว่าดีมากแล้ว แต่กลับมีคนอยู่คนหนึ่งที่ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เขามักจะเฝ้าอยู่ข้างคันนาตลอดทั้งคืน
การที่เป็นเช่นนี้ ดูเหมือนว่าก็เพียงแค่เพราะมารดาของเด็กสาวเคยไปช่วยงานขาวดำที่ตรอกหนีผิงมาสองครั้งเท่านั้น อันที่จริงในเมืองเล็ก เพื่อนบ้านใกล้เคียงที่ขอแค่ไม่ได้เป็นศัตรูกัน ส่วนใหญ่อะไรที่ช่วยได้ก็มักจะช่วยเหลือกันเสมอ
มารดาของนางบอกว่าคนตระกูลเฉินที่ตรอกหนีผิงล้วนเป็นคนดี แล้วยังบอกอีกว่าเด็กที่ดีขนาดนั้นไม่ควรมีชีวิตที่ยากลำบากปานนั้น
การคุยเล่นในคืนนั้น ประโยคสุดท้ายที่ท่านแม่เอ่ยทำให้สตรีออกเรือนแล้วจดจำได้ขึ้นใจ เด็กคนนั้นยากลำบากเสียจนไม่เหลือความทุกข์ใดให้กล้ำกลืนได้อีกแล้ว ดังนั้นเวลาอยู่กับคนนอกอย่างพวกเราถึงได้มีรอยยิ้มตลอดเวลา
เมืองเล็กบ้านเกิดมีสุภาษิตประโยคหนึ่งบอกว่า ‘ไม่ฆ่าคนมีคุณธรรม’ เป็นการเอ่ยถึงคนคนหนึ่งที่มีมารยาทอย่างยิ่ง ไม่เคยพูดเรื่องผิดถูกของใคร
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนขั้นบันได มองเย่ชิงจู๋
เย่ชิงจู๋นึกอยากจะขุดดินแล้วมุดหนีลงไปยิ่งนัก ใต้เท้าอิ่นกวานแห่งภูเขาลั่วพั่วนั่งอยู่ แต่ตนกลับยืน แบบนี้จะไม่ดูเหมือนนางเหยียดตาลงต่ำมองเขาหรอกหรือ? แต่จะให้ตนนั่งลงบนพื้นเลยก็คงไม่เข้าท่ากระมัง
เงยหน้าขึ้นแทบจะเวลาเดียวกับเสี่ยวโม่ มองไปยังม่านฟ้าเหนือภูเขาลั่วพั่ว มีแสงกระบี่เล็กบางเส้นหนึ่งร่วงลงมา
เฉินผิงอันลุกขึ้น ไม่รอให้เขาพูดอะไร เย่ชิงจู๋ก็ก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่งตามจิตใต้สำนึก เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ไม่มีอะไร คืนนี้แค่มาพบเหนียงเนียงเทพวารีเท่านั้น เป็นเพื่อนบ้านกันมานานหลายปีก็ยังไม่เคยมาเยี่ยมหา นับว่าไม่ถูกหลักมารยาท วันหน้าไปเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่วของพวกเรา ข้าก็จะพยายามแสดงน้ำใจของเจ้าบ้านอย่างเต็มที่ เลี้ยงเหล้าเหนียงเนียงเทพวารี”
เย่ชิงจู๋อยากพูดมากๆ ว่าข้าไม่ไป
แต่นางก็ยังพยักหน้ารับเงียบๆ
อันที่จริงเฉินผิงอันก็ไม่ได้คิดจะทำอะไรกับนางและจวนเทพวารีจริงๆ
สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็ยังต้องดูที่ความต้องการของหมี่ลี่น้อย และระหว่างที่เดินมายังศาลเทพวารีแห่งนี้ หมี่ลี่น้อยก็ขมวดคิ้วอยู่ตลอด อยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไร นี่ก็คือคำตอบแล้ว
เฉินผิงอันกุมหมัดบอกลา
เย่ชิงจู๋รีบยอบกายคารวะ ไม่เพียงแต่ไม่ตาย ยังไม่ถูกซ้อมด้วย
ดูท่าการที่ตนแอบไปจุดธูปขอพรที่ศาลแห่งอื่นยังพอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง
ส่วนเรื่องไปเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่ว ก็ง่ายยิ่งนัก ใช้คาถาถ่วงเวลา!
เสี่ยวโม่กลั้นขำ เหนียงเนียงเทพวารีคนหนึ่งกลายมามีสภาพเช่นนี้ได้ คงจะรู้แล้วจริงๆ ว่ารสชาติของความยากลำบากนั้นเป็นเช่นไร
ย้อนกลับไปทางเดิม ไปยังเมืองหงจู๋ เฉินผิงอันก็พลันหัวเราะ
เป็นหนิงเหยาที่พอกลับไปนครบินทะยานแล้วก็ถึงกับให้กวอจู๋จิ่วมาที่ใต้หล้าไพศาล
เฉินผิงอันลูบศีรษะของหมี่ลี่น้อย ถามว่า “คราวหน้าที่เจ้าเฝ้าประตูแล้วเหนียงเนียงเทพวารีมาเป็นแขก จะทำอย่างไร?”
หมี่ลี่น้อยสะบัดแขนเล็กๆ สองข้าง หัวเราะฮ่าๆ เอ่ยว่า “ข้าใจกล้านักล่ะ ต่อให้ยืนอยู่หน้าประตูคนเดียวก็ไม่เป็นไร แล้วยังจะเชิญให้เหนียงเนียงเทพวารีดื่มชาด้วยนะ”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “มีเมล็ดแตงรับรองแขกหรือไม่?”
หมี่ลี่น้อยขมวดคิ้วมุ่น แต่ก็หัวเราะร่าอย่างว่องไว “คิดอะไรน่ะ ข้าโกรธนานนะ เมล็ดแตงสักเมล็ดก็ไม่มีให้”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “จดจำความแค้นขนาดนี้เลยหรือ?”
หมี่ลี่น้อยกระโดดโลดเต้น โคลงศีรษะไปมา ร้องคำรามหนึ่งที ภูตน้ำใหญ่แห่งทะเลสาบคนใบ้ ข้าดุร้ายมากนัก
ทางฝั่งของเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว มีคนกลุ่มใหญ่มาร่วมชมความครึกครื้น มีเพียงเผยเฉียนที่อึ้งงันไร้คำพูดที่สุด
กวอจู๋จิ่วเองก็กะพริบตาปริบๆ แย่แล้ว ทุกวันนี้ศิษย์พี่หญิงใหญ่ตัวไม่เตี้ยแล้ว
ป๋ายเสวียนรีบใช้เสียงในใจคุยกับเจ้าคนที่บอกว่าตัวเองคือลูกศิษย์ของอิ่นกวานทันที บอกว่าขอให้เจ้ากวอจู๋จิ่วโปรดช่วยเหลือ ช่วยเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยระหว่างตนกับเผยเฉียนให้ที ขอแค่ทำสำเร็จจะต้องมีค่าตอบแทนให้อย่างงาม
กวอจู๋จิ่วพยักหน้าตอบตกลงทันใด เรื่องเล็กน้อย
นางเขย่งปลายเท้าทะยานร่างไปเบื้องหน้า ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกไปกลางอากาศ เผยเฉียนมีสีหน้ากระอักกระอ่วน ยกฝ่ามือขึ้นด้วยท่าทางแข็งทื่อ ดังนั้นตอนที่ทั้งสองฝ่ายสวนไหล่กันไปจึงตีฝ่ามือกันเบาๆ หนึ่งครั้ง
หลังจากเด็กสาวพลิ้วกายลงด้านหลังของเผยเฉียนก็หยุดยืนนิ่งอยู่กับที่ หันหลังให้เผยเฉียน เอ่ยเสียงหนักจริงจังว่า “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ เห็นแก่หน้าข้าสักครั้ง บุญคุณความแค้นระหว่างท่านกับป๋ายเสวียนถือว่าให้แล้วกันไป ได้หรือไม่?”
เผยเฉียนหุบฝ่ามือกลับมา นวดคลึงหว่างคิ้ว “ก็ได้ๆ”
กวอจู๋จิ่วเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเผยเฉียนแล้วเริ่มเดินวนรอบกายนาง สุดท้ายยกมือป้องปากกระซิบกระซาบอยู่ข้างหูเผยเฉียน “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ไม่เล็กเลยนะ”
เผยเฉียนกลอกตามองบน
ป๋ายเสวียนตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าวันหน้าตนจะติดตามกวอจู๋จิ่วแล้ว
เผยเฉียนอะไรกัน…
เห็นว่าเผยเฉียนเหล่ตามองตนซึ่งเป็นท่าประจำตัวของอีกฝ่าย ป๋ายเสวียนก็รีบทำคอย่น เงยหน้ามองพระจันทร์
แม้จะรู้ว่ากวอจู๋จิ่วมาถึงภูเขาลั่วพั่วแล้ว แต่เฉินผิงอันกลับไม่ได้กลับไปทันที แต่ให้เสี่ยวโม่พาหมี่ลี่น้อยกลับไปก่อน ส่วนตัวเองเดินไปที่เมืองเล็กเพียงลำพัง
เดินอยู่ในตรอกหนีผิง เฉินผิงอันไม่ได้ไปหยุดอยู่ที่บ้านบรรพบุรุษ แต่เดินตรงไปถึงบ้านบรรพบุรุษของกู้ช่าน
เคยมีหญิงสาวคนหนึ่งที่ยังไม่ใช่สตรีวัยกลางคน ครอบครัวสามคนพักอยู่ที่นี่ หลังจากบิดามารดาของนางจากไป นางก็แต่งงานกับคนต่างถิ่นแซ่กู้
ดังนั้นภายหลังบุรุษของนางตายไป ตัวนางกลายเป็นหญิงหม้าย คนหลายคนของเมืองเล็กจึงพากันพูดว่าต้องโทษที่ตัวนางเองนั่นแหละ เพราะถูกเด็กกำพร้าของบ้านสองหลังที่อยู่ห่างไปไม่ไกลทำให้เดือดร้อน
ในอดีตเด็กคนนั้นทำให้พ่อแม่ตายไปติดๆ กัน นางก็ควรจะรู้หนักเบาได้แล้ว แต่กลับยังกล้าช่วยอีกฝ่ายจัดงานศพ ถึงขั้นที่ยังอยู่เฝ้าวิญญาณ
ภายหลังนางกับบุตรชายใช้ชีวิตด้วยความยากลำบากก็มีคนเริ่มพูดจาประหลาดขึ้นมาอีก บอกว่าคอยดูเถอะ ไม่ช้าก็เร็วแม้แต่บุตรโทนตระกูลกู้ของพวกเจ้าก็จะต้องถูกเจ้าคนแซ่เฉินพิฆาตให้ตายไปด้วย วันหนึ่งต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแน่นอน
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าว เอนหลังพิงกำแพง มองไปยังบ้านเก่าที่ทุกวันนี้ไม่มีคนอยู่แล้ว
กลางดึกของคืนหนึ่ง ตอนนั้นยังไม่ได้ไปเป็นลูกศิษย์ที่เตาเผามังกร เด็กหนุ่มผอมแห้งที่นอนไม่หลับจึงได้ยินเสียงที่ดังมาจากในตรอกทันที
ภายนอกคล้ายจะมีคนเดินด้วยฝีเท้าเร่งร้อน ทั้งยังสะดุดล้ม ต่อมาก็เป็นเสียงร้องไห้ปานจะขาดใจ เด็กหนุ่มไม่ทันมีเวลาได้สวมรองเท้าแตะก็วิ่งเท้าเปล่าออกไปทันที
พอลูบไปโดนหน้าผากที่ร้อนลวกของเด็กชาย จากนั้นจับชีพจร ต่อให้เด็กหนุ่มจะรู้วิชาแพทย์อย่างตื้นเขิน แต่ก็ยังรู้ดีว่าท่าไม่ดีแล้ว
เขาหันไปบอกสตรีวัยกลางคนที่เอาแต่ร้องไห้ว่าไม่ต้องเป็นกังวลก่อน จากนั้นรับเด็กชายมาจากมือของสตรี อุ้มเด็กชายวิ่งตะบึงไปตลอดทางจนไปถึงร้านตระกูลหยาง
เด็กหนุ่มที่สองมือกอดเด็กชายใช้หน้าผากเคาะประตูของร้านตระกูลหยางเต็มแรง กลางดึกผู้คนย่อมหลับสนิท จึงไม่มีเสียงตอบรับ เด็กหนุ่มที่ศีรษะเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อจึงเริ่มใช้เท้าเตะ
ในที่สุดก็ทำให้ผู้เฒ่าที่พักอยู่ในเรือนหลังสวมเสื้อคลุมออกมาเปิดประตู ด่าแสกหน้าเด็กหนุ่มที่เตะประตูเสียงดังสนั่นฟ้าว่าเจ้าเด็กพ่อแม่ไม่สั่งสอน รีบไปเกิดใหม่หรือไร?
แต่สุดท้ายท่านปู่หยางก็ช่วยเจ้าขี้มูกยืดน้อยเอาไว้ได้
ภายหลังได้รู้จักกับหลิวเสี้ยนหยาง
กู้ช่านเป็นเด็กที่เลือดเย็นมาตั้งแต่เด็ก เจ้าขี้มูกยืดน้อยผู้นี้เลี้ยงไม่เชื่อง
ประโยคนี้ไม่ใช่คนนอกที่เป็นคนพูด แต่หลิวเสี้ยนหยางเป็นคนพูดเอง
ทว่าหลิวเสี้ยนหยางก็เอ่ยด้วยว่า ไม่ว่าจะอย่างไรก็มีเพียงเจ้าที่กู้ช่านผูกพันสำนึกในบุญคุณด้วยมากที่สุด
เฉินผิงอันหลับตาลง
ตอนเป็นเด็ก ตนต้องสวมชุดไว้ทุกข์สองครั้ง ส่งท่านพ่อท่านแม่ออกเดินทาง ในขบวนกลุ่มคนล้วนมีเงาร่างของหญิงสาวคนนั้นอยู่เสมอ
ภายหลังยังมีการเปิดประตูครั้งนั้นของนาง
ไม่ว่าภายหลังนางจะเปลี่ยนไปเป็นคนแบบใด
ดังนั้นต่อให้ฟ้าถล่มลงมา
อย่าคิดว่าจะให้กู้ช่านมาตายอยู่ตรงหน้าข้าเด็ดขาด
ข้าตายได้ แต่กู้ช่านมิอาจตายได้
ชายแขนเสื้อสองข้างของเฉินผิงอันสั่นสะเทือน กลายร่างเป็นรุ้งยาวตรงไปพลิ้วกายลงในเรือนหลังของร้านตระกูลหยาง
เข้าไปในห้องที่หลี่ไหวบอก บนโต๊ะมีจดหมายอยู่แค่ฉบับเดียว
เนื้อความในจดหมาย มีแค่ประโยคเดียว
ชาวบ้านยึดเรื่องกินสำคัญที่สุด เจ้ากินอิ่มแล้วหรือยัง?
เฉินผิงอันเงียบงัน เพียงแค่สอดจดหมายฉบับนี้ใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ
บนโต๊ะยังทิ้งกระบอกยาสูบใหม่เอี่ยมอันหนึ่งและถุงยาสูบไว้ใบหนึ่ง
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนจะอาศัยความทรงจำจุดยาสูบ ผลคือพูดสูบเข้าไปก็สำลักหน้าดำหน้าแดง ไอไม่หยุด
ในห้องมีควันลอยขโมง
แต่ไม่มีอะไรผิดปกติ เฉินผิงอันจึงแข็งใจสูบอีกครั้ง อารมณ์พลันขึ้นลงแปรปรวน ความทรงจำมากมายพุ่งผ่านไปราวกับขี่ม้าชมบุปผา
ไม่รู้ว่าเหตุใด พริบตานั้นเสียงของหยางเหล่าโถวถึงกับดังขึ้นมาในทะเลสาบหัวใจ
เฉินผิงอัน คนทุกคนของทะเลสาบซูเจี่ยนที่ตายไปอย่างอยุติธรรมในสายตาเจ้า อันที่จริงจุดจบล้วนดีกันทุกคน ไม่เพียงแต่มีชาตินี้หรือชาติหน้า ยังได้รับวาสนาและความโชคดีเพิ่มเติมมาด้วย
เรื่องนี้ชุยฉานจัดการไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว ทุกคนเป็นเหมือนกันหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น
คนเหล่านั้นก่อนตายและหลังตายไปต่างก็เคยพบเจอและเคยพูดคุยกับชุยฉานมาก่อน ต่างคนต่างมีสิ่งที่ต้องการ เป็นเหตุให้สภาพการตายอย่างอนาถของบางคนก็คือเวทอำพรางตา แท้จริงแล้วพวกเขาได้รับเงินทองหรือไม่ก็วาสนาด้านการฝึกตนไปล่วงหน้าก่อนแล้ว บางคนยินยอมพร้อมตาย คิดเพียงอยากหลุดพ้นไปจากมหาสมุทรแห่งความทุกข์ทรมานอย่างทะเลสาบซูเจี่ยนให้ได้ เพื่อจะได้มีชาติหน้าที่สงบสุข
ชุยฉานเคยมาที่นี่ มาอธิบายเรื่องนี้กับข้า บอกว่าเขาต้องการให้คนคนหนึ่งที่เดิมทีคิดว่าถามใจตัวเองแล้วไม่ละอาย รู้สึกผิดละอายใจอย่างใหญ่หลวงเพราะเรื่องนี้ ต้องการให้คนผู้นั้นมีห่วงผูกคอ เพื่อที่ว่าการฝึกตนเดินขึ้นสู่ที่สูงในอนาคตจะไม่ถึงขั้นยิ่งนานก็ยิ่งไม่เหมือนมนุษย์ เพียงแค่เพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่เคยทำผิดต่อฟ้าดิน ดังนั้นเขาจึงต้องการกระแทกให้ใจของเจ้าเกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่ ให้เจ้าใช้เวลาชั่วชีวิตเพื่อชดเชยแก้ไขอย่างยากลำบาก ให้คนฉลาดที่ฉลาดเฉลียวเกินวัยมาตั้งแต่เด็กอย่างเจ้าจำเป็นต้องวุ่นวายใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ต่อให้ตอนนี้เจ้าจะรู้ความจริงแล้ว แล้วอย่างไร? เจ้าก็ยังต้องพกพาความละอายใจที่ลบเลือนไปไม่ได้ส่วนนั้นเดินไปบนเส้นทางชีวิตอยู่ดี
สุดท้ายเฉินผิงอันเดินออกมาจากห้อง ในมือถือกระบอกยาสูบ นั่งลงบนม้านั่งยาวใต้ชายคา ยกขาไขว่ห้าง หรี่ตาสองข้างลง พ่นควันขโมง
ประโยคสุดท้ายของหยางเหล่าโถวคือ ความยิ่งใหญ่แห่งมรรคามาจากฟ้า ฟ้าไม่เปลี่ยน มรรคาก็ไม่เปลี่ยน ห่มดาวสวมจันทร์ โลกมนุษย์งดงาม เดินทางครั้งนี้ขอให้ไปดี สงบสุขปลอดภัย