กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 891.2 สำนักเบื้องล่าง
เฉินผิงอันยืนกุมมืออยู่ในชายแขนเสื้อ ราวกับว่ายืนทอดสายตามองไปไกลอยู่ในศาลาของภูเขาไฉ่จือจริงๆ ทั่วร่างคนชุดเขียวอาบไล้ไว้ด้วยแสงสีทอง
เก็บภาพปรากฎการณ์ประหลาดนี้มา เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยกับจ้งชิวว่า “วันหน้าพวกเราสามารถใช้ที่นี่รับรองแขก เชิญให้คนดื่มชาดื่มเหล้าได้ ทัศนียภาพงดงามอย่างถึงที่สุด ถึงอย่างไรก็สามารถหดย่อพื้นที่ได้ตามใจ เลือกสถานที่บนภาพแผนที่ได้ตามใจชอบ นี่ก็ไม่ต่างจากการที่ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่สองท่านจับมือกันเดินทางไกลแล้ว”
จ้งชิวพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
ชุยเหวยมองจนปากอ้าตาค้าง
ภาพแผนที่แห่งขุนเขาสายน้ำภาพนี้ยังมีลูกเล่นแบบนี้ได้ด้วยหรือ?
ถึงอย่างไรผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดผู้นี้ก็เป็นคนซื่อคนหนึ่ง
จ้งชิวพลันยิ้มแล้วยื่นมือไปทางชุยเหวย ผู้ฝึกกระบี่ส่งเงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่งให้เงียบๆ
จ้งชิวเก็บเงินร้อนน้อยเหรียญนั้นมา ยิ้มกล่าว “คราวหน้าจะเลี้ยงเหล้าพี่ชุยเอง”
เฉินผิงอันรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง
จ้งชิวจึงอธิบายว่า “ก่อนจะมาได้เดิมพันเรื่องหนึ่งกับชุยเหวย ข้าเดิมพันว่าพอเจ้าขุนเขาขึ้นมาบนเรือข้ามฟากเฟิงยวน เรื่องแรกที่ทำก็คือตรวจสอบห้องต่างๆ บนเรืออย่างละเอียด แต่ชุยเหวยกลับรู้สึกว่าเรื่องแรกที่เจ้าขุนเขาจะทำหลังจากขึ้นเรือ ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะเลือกที่พักก่อน จากนั้นค่อยเดินดูรอบๆ อย่างง่ายๆ”
ปากเฉินผิงอันพูดว่าเดิมพันกันเล็กๆ น้อยๆ เพื่อความสนุก ดีมาก แต่ด้านหนึ่งก็ใช้เสียงในใจเอ่ยกับชุยเหวยว่า “เจ้าไม่บอกแต่แรก เมื่อครู่ตอนที่ขึ้นเรือมาก็ควรจะบอกข้าสักคำ ข้าจะต้องช่วยเจ้าหาเงินร้อนน้อยเหรียญนี้มาแน่นอน หลังจบเรื่องมาแบ่งเงินกัน ไม่ต้องสนว่าตอนนั้นพวกเราสองคนจะได้กำไรก้อนใหญ่ ถึงอย่างไรก็ดีกว่าเจ้าขาดทุนกระมัง”
ชุยเหวยจนคำพูด
นิสัยการเดิมพันที่ไม่ซื่อสัตย์เช่นนี้ เขาทำไม่ลงจริงๆ
เมื่อก่อนชุยเหวยยังไม่ค่อยเชื่อข่าวลือหนึ่ง แต่ตอนนี้กลับไม่สงสัยแม้แต่น้อยแล้ว ที่บ้านเกิดเคยมีร้านร้านหนึ่งที่ผีขี้เหล้าสิบคน เก้าคนในนั้นคือหน้าม้า
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดสี่คนของเฉินผิงอัน เวลานี้อยู่รวมกันในห้องแห่งหนึ่ง นั่งล้อมวงกันที่โต๊ะ
กวอจู๋จิ่วยังคงมีรูปโฉมเป็นเด็กสาว ตรงเอวห้อยแท่นฝนหมึกแบบพกพา นางนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเผยเฉียน
ได้กลับมาพบกันอีกครั้งหลังต้องจากลากันเนิ่นนาน เห็นใบหน้าผอมตอบแล้วชวนให้คนเวทนานัก
พอกวอจู๋จิ่วไปถึงภูเขาลั่วพั่วก็ไม่เพียงแต่รับเผยเฉียนเป็นศิษย์พี่หญิงใหญ่อย่างไม่ลังเล ยังเรียกจ้าวซู่เซี่ยเป็นศิษย์พี่ชาย จ้าวหลวนเป็นศิษย์พี่หญิงพร้อมกันรวดเดียวด้วย
จ้าวหลวนรู้สึกกระวนกระวาย กวอจู๋จิ่วก็ให้เหตุผลที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน จ้าวหลวนเจ้าหน้าตางดงามนี่นา หากไม่เป็นศิษย์พี่หญิงก็น่าเสียดายแล้ว
ขอแค่วันหนึ่งที่อาจารย์พ่ออิ่นกวานไม่ได้รับใครเป็นลูกศิษย์ปิดสำนักอย่างเป็นทางการ ถ้าอย่างนั้นตนก็ถือเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายครึ่งตัวของอาจารย์พ่อ ยิ่งนานก็จะยิ่งมีศิษย์พี่ชายหญิงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ!
ขนาดฮ่องเต้ก็ยังรักลูกคนเล็กนี่นะ
เผยเฉียนถามเรื่องราวของใต้หล้าห้าสี ทว่าพอนางถามคำถามออกไปแล้วเห็นท่าทางเช่นนั้นของกวอจู๋จิ่ว เผยเฉียนก็เสียใจจนไส้เขียวแล้ว
เพราะกวอจู๋จิ่วมีการเตรียมการมาก่อนหน้าแล้ว นางรินน้ำชาให้ทุกคนคนละหนึ่งถ้วยก่อน จากนั้นก็หยิบกระดาษสิบกว่าแผ่นออกมา กระแอมสองสามทีแล้วเริ่มอ่านตามกระดาษ
จ้าวซู่เซี่ยกับจ้าวหลวนฟังด้วยความเพลิดเพลิน เพราะถึงอย่างไรก็เป็นขนบธรรมเนียมและเรื่องราวน่าสนใจของใต้หล้าใหม่เอี่ยม
เพียงแต่รอกระทั่งกวอจู๋จิ่วหยิบกระดาษอีกปึกหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ มือหนึ่งถือถ้วยน้ำชาดื่มให้ลำคอชุ่มชื้น มือหนึ่งสะบัดแรงๆ ปึกกระดาษในมือส่งเสียงพั่บๆ
พี่ชายน้องสาวสองคนก็พลันเข้าใจความรู้สึกของศิษย์พี่หญิงใหญ่แล้ว
รอกระทั่งพวกเขาสองพี่น้องฟัง ‘นิทาน’ ที่คนเล่าใส่ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าอย่างเต็มที่จบไปรอบหนึ่งอย่างไม่ง่าย คนหนึ่งก็พูดขึ้นว่าจะไปฝึกหมัด คนหนึ่งบอกว่าจะไปนั่งเข้าฌานทำสมาธิ พากันเผ่นหนีเพื่อความปลอดภัย
ห้องนี้เป็นห้องพักของเผยเฉียน นางอยากจะหลบก็ไม่มีที่ให้หลบเลี่ยง
กวอจู๋จิ่วฟุบตัวนอนคว่ำอยู่บนโต๊ะ บอกว่านางเอาหีบไม้ไผ่ใบเล็กใบนั้นไว้ที่คฤหาสน์หลบร้อน ให้เป็นสมบัติพิทักษ์เรือน วันหน้าเมื่อนางไปท่องเที่ยวใต้หล้าห้าสีพร้อมกับเผยเฉียนค่อยคืนให้ศิษย์พี่หญิงใหญ่
เผยเฉียนเท้าคางด้วยมือข้างเดียว มองไปนอกหน้าต่าง บอกว่าไม่มีปัญหา
กวอจู๋จิ่วเอาใบหน้าแนบโต๊ะ มองเผยเฉียน ถามอย่างประหลาดใจ “เผยเฉียน มวยผมทรงกลมนี้ของเจ้า เวลาปกติจัดการได้ยากหรือไม่ หากไม่ยุ่งยาก พรุ่งนี้ก็ทำให้ข้าหน่อยเถอะ”
เผยเฉียนยิ้มบางๆ “ง่ายมากเลยล่ะ ข้าสามารถสอนเจ้าทำไปทีละขั้นตอนได้”
กวอจู๋จิ่วเงยหน้าขึ้น เปลี่ยนฝั่งใบหน้าที่ใช้แนบโต๊ะ “เผยเฉียน ได้ยินว่าที่นี่มีธรรมเนียมก่อกวนห้องหอ ถึงเวลานั้นข้าสามารถไปหลบอยู่ใต้เตียงของพวกเจ้าได้หรือไม่?”
เผยเฉียนกลอกตามองบน “ต่อให้เจ้าออกเรือนแล้ว ข้าก็ยังไม่ได้แต่งงานเลย”
กวอจู๋จิ่วร้องฮ่า กะพริบตาปริบๆ “ได้ยินหมี่ลี่น้อยบอกว่าเจ้าสร้างชื่อเสียงใหญ่โตไว้ในยุทธภพ เล่าให้ข้าฟังหน่อยได้ไหม?”
เผยเฉียนส่ายหน้า “หมี่ลี่น้อยพูดเหลวไหล ชอบใส่เสริมเติมแต่งให้เกินจริง”
เดิมทีนึกว่ากวอจู๋จิ่วจะทำให้ตนปวดหัวต่อไป คิดไม่ถึงว่าเผยเฉียนจะได้ยินเสียงกรนเบาๆ ดังมา ถึงกับหลับไปแล้ว
เรือข้ามฟากเดินทางลงใต้
แสงจันทร์กระเพื่อมไปตามกระแสน้ำ เรือนน้อยที่กระโดงตั้งสูงล่องลอยอย่างเดียวดายยามราตรี
เงยหน้าคือดวงจันทร์ ก้มหน้าลงคือโลกมนุษย์
แสงจันทร์ยามค่ำคืนของฤดูใบไม้ร่วง สาดแสงสว่างสุกสกาวไปทั่วบ้านเรือนนับหมื่นหลัง
เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยกับเฉินหลิงจวิน พี่น้องสองคนกำลังชมจันทร์จิบสุราพลางพูดคุยเรื่องในใจกันไปด้วย
นักพรตเฒ่าลูบหนวดพึมพำ “หากมีโอกาสจะต้องรีบส่งจดหมายไปให้โจวอันดับหนึ่งแล้ว”
เฉินหลิงจวินถามอย่างสงสัย “ทำไมล่ะ ขาดเงินใช้หรือ? เดี๋ยวถ้าเสี่ยวจางของห้องบัญชีจ่ายเงินเดือนเดือนใหม่ให้ ท่านก็รับส่วนของข้าไปพร้อมกันเลยเถอะ”
เงินของข้าก็คือเงินของพี่น้อง เงินของพี่น้องก็คือเงินค่าสุรา
นักพรตเฒ่าทอดถอนใจ “หากน้องโจวยังไม่กลับมาอีก เกรงว่าตำแหน่งอันดับหนึ่งคงรักษาไว้ไม่อยู่แล้ว”
เฉินหลิงจวินกระจ่างแจ้งทันใด “ใช่แล้วๆ พี่น้องเสี่ยวโม่ของเราคนนี้เป็นคนบนเส้นทางเดียวกันกับพี่โจวจริงๆ คือศัตรูที่แข็งแกร่ง!”
สองพี่น้องสบตากันแล้วหัวเราะดังลั่น
อย่าได้โทษที่พวกเราสองพี่น้องไม่มีน้ำใจในยุทธภพ เป็นเพราะเสี่ยวโม่มีคุณธรรมมากเกินไปต่างหาก
เฉินผิงอันค่อนข้างประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าตนจะได้เจอกับลูกศิษย์ของเว่ยเซี่ยนเร็วขนาดนี้ แม่นางน้อยคนหนึ่งอายุยังไม่ถึงสิบปี แซ่ไฉนามอู๋
เว่ยเซี่ยนจะต้องติดตามกองทัพชายแดนอันเกรียงไกรของต้าหลีมุ่งหน้าไปยังใต้หล้าเปลี่ยวร้าง จึงส่งแม่นางน้อยมาที่เรือข้ามฟากกลางทางระหว่างที่อยู่นครมังกรเฒ่าซึ่งถูกสร้างขึ้นใหม่ แล้วยังมอบจดหมายฉบับหนึ่งไว้ให้กับไฉอู๋ บอกให้นางมอบให้กับเฉินผิงอันผู้เป็นเจ้าขุนเขากับมือตัวเอง
แม่นางน้อยหน้าตางามหมดจด สุภาพเรียบร้อย ตัวไม่เตี้ย ก็แค่ผอมกว่าคนวัยเดียวกันเล็กน้อย
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เฉินผิงอันถึงได้มีความรู้สึกเหมือนภาพลวงตาว่าแม่นางน้อยตรงหน้า อายุน้อยๆ ก็คล้ายเขียนตัวอักษรสี่คำไว้บนใบหน้าว่า ข้าอยากดื่มเหล้า
เฉินผิงอันแกะจดหมายออก เปิดอ่านเนื้อหาด้านในเรียบร้อยก็รู้สึกว่าความรู้สึกลวงตานั้นของตนมีเหตุผล
เว่ยเซี่ยนบอกแค่ว่าให้เฉินผิงอันช่วยหายอดฝีมือสักสองสามคนมาช่วยถ่ายทอดคาถาเซียนบนภูเขาให้กับแม่นางน้อย หากเจ้าขุนเขายินดีถ่ายทอดวิชาให้ด้วยตัวเองก็ยิ่งดี
ไม่ต้องกังวลว่าโลภมากไปแล้วจะเคี้ยวไม่ละเอียด สอนอะไร นางก็เรียนอย่างนั้น จะเรียนสำเร็จหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับวาสนาของนางเอง
เว่ยเซี่ยนมีข้อเรียกร้องเพียงอย่างเดียว ความสามารถด้านหมัดเท้าของไฉอู๋ต้องให้เขาที่เป็นอาจารย์เป็นคนสอนด้วยตัวเอง
ช่วงท้ายของจดหมาย เว่ยเซี่ยนยังพูดถึงเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ ไฉอู๋จะต้องดื่มเหล้าทุกวัน ขอภูเขาลั่วพั่วอย่าได้เพิกเฉยต่อนางในเรื่องนี้ จะไม่ดื่มเปล่าๆ กลับมาแล้วเขาจะจ่ายเงินชดเชยให้
พูดคุยกับเฉินผิงอันที่เป็นเจ้าขุนเขา เด็กหญิงก็ไม่ได้มีท่าทางหวาดกลัวอะไร นางนั่งอยู่บนเก้าอี้ สองมือวางไว้บนหัวเข่า ทั้งไม่ระมัดระวังตัว แล้วก็ไม่ทำตัวตามสบาย
นางแทบไม่ต่างอะไรกับแม่นางน้อยในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดที่ไม่ประสาเรื่องทางโลก
เฉินผิงอันถามหนึ่งประโยค นางก็ตอบกลับหนึ่งประโยค
คงเป็นเพราะเรือนกายผ่ายผอมจึงทำให้ดวงตาทั้งคู่ของแม่นางน้อยดูกลมโตเป็นพิเศษ
เฉินผิงอันหยิบเหล้ากาหนึ่งยื่นส่งให้ไฉอู๋ ยิ้มเอ่ย “อาจารย์ของเจ้าบอกว่าเจ้าต้องดื่มเหล้าครึ่งจินทุกวัน จำไว้ว่าเจ้าต้องควบคุมปริมาณสุราที่ดื่มให้ดี”
ในที่สุดแม่นางน้อยก็เผยสีหน้าเขินอาย นางคลี่ยิ้ม ท่าทางลำบากใจ พอรับกาเหล้าไปแล้วก็เอ่ยรับรองว่า “ดื่มแค่สองถ้วยเท่านั้น เหล้าสองตำลึง ไม่ถึงครึ่งจิน”
ตามคำกล่าวที่เว่ยเซี่ยนบอกไว้ในจดหมาย ความสามารถในการดื่มของไฉอู๋เหมือนกับเขา ไม่เลวอย่างยิ่ง
โดยทั่วไปแล้วนางจะดื่มเหล้าต้มครึ่งจิน หากดื่มมากไปจะอาเจียนออกมา แต่พออาเจียนแล้วก็สามารถดื่มต่อได้อีก เหล้าต้มหนึ่งจินยังสามารถรับได้ไหว ไม่ถึงกับมึนหัว แต่หากดื่มน้อยไปก็ไม่สาแก่ใจ…
กอดกาเหล้าไว้ในอ้อมอก เดินไปที่หน้าประตู แม่นางน้อยหันหน้ากลับมาถาม “เจ้าขุนเขา จะปิดประตูหรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ตามใจ”
แม่นางน้อยจึงช่วยปิดประตูห้องให้เขา
เสี่ยวโม่ที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะคอยลอบสำรวจไฉอู๋อยู่ตลอดเวลา หลังจากแม่นางน้อยปิดประตูจากไป เสี่ยวโม่ก็พูดเข้าประเด็นทันที “คุณชาย ข้าคิดว่าจะเอากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นมามอบให้ไฉอู๋”
เสี่ยวโม่เอ่ยเสริมมาอีกประโยค “จะทำเรื่องนี้ทันที”
เป็นเพราะแม่นางน้อยที่มีชื่อว่าไฉอู๋ผู้นี้ คุณสมบัติในการฝึกตนช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน
ต่อให้เป็นเสี่ยวโม่ที่เคยพบเห็นทัศนียภาพบนยอดเขามานับไม่ถ้วน ครั้งแรกที่ได้เห็นไฉอู๋ก็ยังรู้สึกตื่นตะลึงเป็นทบทวี นางคือวัตถุดิบแห่งเซียนที่ได้รับเงื่อนไขพิเศษจากฟ้าดินโดยแท้
ไม่เพียงแต่สวรรค์ประทานข้าวให้กิน ยังเหมือนจะกังวลว่าไฉอู๋จะกินไม่อิ่มอีกด้วย จึงมอบถ้วยข้าวใบใหญ่มาให้ไฉอู๋อีกชาม
คนทั่วไปที่ขึ้นเขาฝึกตน ผู้ฝึกลมปราณที่เป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่าง คิดอยากจะดึงเอาปราณวิญญาณฟ้าดินมาต้องอาศัยสะพานแห่งความเป็นอมตะที่เชื่อมโยงฟ้าดินสองแห่งไว้ด้วยกัน จากนั้นค่อยทำเหมือนสาวเส้นไหม แบ่งแยกขุ่นและใสออกจากกันเสียก่อน ซึ่งนี่ค่อนข้างจะยากลำบาก นอกจากนี้ยังต้องบุกเบิกช่องโพรงลมปราณแห่งชะตาชีวิตให้เป็นถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลในฟ้าดินเล็กเรือนกายมนุษย์ ก็เป็นเรื่องยากอีกเรื่องหนึ่ง
หาได้ยากนักที่เสี่ยวโม่จะตัดสินใจเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ เขาอธิบายว่า “คิดดูแล้วคุณชายน่าจะมองออกแล้ว ยามที่ไฉอู๋ดึงดูดปราณวิญญาณไม่เคยต้องพบเจอกับอุปสรรคใดๆ ต่อให้โยนเงินเทพเซียนกองหนึ่งให้นางโดยตรง นางก็สามารถกินได้หมดเกลี้ยง แทบไม่มีส่วนใดไหลหายไป ตัวอ่อนผู้ฝึกตนที่เป็นเช่นนี้ ยิ่งฝึกตนเร็วเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น ทุ่มเงินมากเท่าไรก็ยิ่งดีมากเช่นกัน หากไปตกอยู่ในมือของสกุลหลิวธวัลทวีป คาดว่าสถานที่ฝึกตนของไฉอู๋จะต้องเป็นในคลังสมบัติของท่านเทพเจ้าแห่งโชคลาภผู้นั้นแล้ว”
หากไฉอู๋ได้รับกระบี่บินเล่มนั้นของเสี่ยวโม่ไป จากนั้นถูกนางหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตได้สำเร็จ ความเร็วในการดึงดูดปราณวิญญาณจะยิ่งน่าตกตะลึง ประหนึ่งปลาวาฬสูบน้ำ
เฉินผิงอันรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย
เสี่ยวโม่ยิ้มกล่าว “คุณชายคิดมากเกินไปแล้ว ข้าก็แค่มอบกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งให้นางเปล่าๆ เท่านั้น ไม่ต้องการสิทธิ์การเป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาใดๆ จะไม่แย่งชิงลูกศิษย์กับแม่ทัพเว่ยเด็ดขาด หากเป็นไปได้ คุณชายไม่ต้องบอกก็ได้ว่าข้าเป็นคนมอบให้”
ยิ่งมอบกระบี่บินเล่มนั้นให้เร็ว ยิ่งหล่อหลอมได้เร็ว ก็จะยิ่งเป็นประโยชน์ต่อมหามรรคาของไฉอู๋มากเท่านั้น
เฉินผิงอันขมวดคิ้วกล่าว “นี่เป็นแค่ข้อหนึ่งเท่านั้น อีกเรื่องคือเรื่องตบะขอบเขตของเจ้า จะทำอย่างไร?”
ต่อให้เสี่ยวโม่จะมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าตัวเองจะไม่ต้องขอบเขตถดถอย แต่ถึงอย่างไรก็เป็นการสร้างความเสียหายให้กับตบะของเขา ส่งผลกระทบต่อพลังพิฆาตยามที่เสี่ยวโม่ออกกระบี่
ก็เหมือนประโยคที่หมี่ลี่น้อยเอ่ยโดยไม่ได้ตั้งใจ ใต้หล้านี้ไม่ว่าใครก็หาเงินได้ไม่ง่าย
การฝึกตนก็ยิ่งเป็นเช่นนั้น
ทว่าเสี่ยวโม่กลับไม่ได้ใจกว้างธรรมดา เขายิ้มเอ่ย “ก็เหมือนคอขวดขอบเขตหยกดิบของหมี่อวี้ที่ไม่ใช่คอขวดขอบเขตทั่วไป ขอบเขตบินทะยานขั้นสมบูรณ์สูงสุดของเสี่ยวโม่ก็ไม่ใช่ขอบเขตสูงสุดทั่วไปเช่นกัน”
การอยู่ร่วมกับคนอื่น เสี่ยวโม่ได้เรียนรู้มาจากคุณชายของตนไม่น้อยแล้ว ยกตัวอย่างเช่นจะไม่มีทางยกตนข่มท่าน แล้วก็ไม่มีทางดูถูกตัวเองมากเกินไปเด็ดขาด
นอกจากนี้ก็อย่างเช่นเมื่อออกไปอยู่ข้างนอก ลดขอบเขตเป็นการให้ความเคารพ คือหลักการเหตุผลเดียวกันกับดื่มหมดก่อนเพื่อแสดงการคารวะ ส่วนเจ้าจะดื่มหรือไม่ก็ตามใจบนโต๊ะสุรา
อันที่จริงความเสียหายของตบะเล็กน้อย สำหรับเสี่ยวโม่แล้วไม่ได้มีผลกระทบใหญ่อะไรเลยจริงๆ
หากว่ามีโอกาสที่จะปล่อยกระบี่แบ่งเป็นตายจริงๆ ก็หนีไม่พ้นเป็นเรื่องของการเรียกกระบี่บินเล่มที่ตัดสินแพ้ชนะออกมาเท่านั้น
ดังนั้นการมอบกระบี่เล่มนี้ให้ก็ไม่ใช่เพราะเสี่ยวโม่ประมาท ดูแคลนพลังพิฆาตของผู้ฝึกตนซึ่งอยู่บนยอดเขาของไพศาลจริงๆ
ผู้ฝึกตนที่จำศีลยาวนานอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างซึ่งรวมถึงตัวเขาเอง ล้วนไม่ใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมัน
เสี่ยวโม่แน่ใจว่าตัวเองไม่ใช่คนที่พลังพิฆาตรุนแรงที่สุด แล้วก็ไม่ใช่คนที่ป้องกันได้ดีที่สุด
แต่เสี่ยวโม่กลับมั่นใจในเรื่องหนึ่งว่า ตัวเองต้องติดอันดับผู้ฝึกตนสามอันดับแรกที่ได้ทั้งโจมตีและป้องกันอย่างแน่นอน
ถึงอย่างไรก็ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว
และใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ ผู้ฝึกตนบนยอดเขาที่สามารถทำให้เสี่ยวโม่ตัดสินเป็นตายด้วยได้ เดิมทีก็มีไม่มาก ประมาณสองมือนับเท่านั้นเอง
แล้วนับประสาอะไรกับที่ส่วนหนึ่งก็มีความสัมพันธ์ไม่เลวกับคุณชายบ้านตน
ยกตัวอย่างเช่นเจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาว ฝูลู่อวี๋เสวียน เทียนซือใหญ่แห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ ฮว่อหลงเจินเหริน หลิวจวี้เป่า
เฉินผิงอันถามด้วยสีหน้าจริงจัง “เสี่ยวโม่ เจ้าคิดดีแล้วจริงๆ หรือ?”
เสี่ยวโม่พยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนให้คุณชายนำกระบี่บินเล่มนี้ไปมอบให้ด้วย”
สองนิ้วทำท่าคีบคล้ายคีบความว่างเปล่า จากนั้นก็มีสีแดงสดที่ปราณกระบี่ไหลรินแวววาวปรากฏขึ้นมา ประหนึ่งมังกรเพลิงตัวหนึ่ง
ถึงกับเป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ผ่านการหลอมใหญ่มาแล้วเล่มนั้น ถูกเสี่ยวโม่ชักดึงออกมาจากช่องโพรงลมปราณแห่งชะตาชีวิตเช่นนี้ สุดท้ายรวมตัวกันกลายเป็นเม็ดกระบี่สีแดงเพลิงยาวประมาณสามชุ่น...
เฉินผิงอันอดไม่ไหวด่าว่า “เสี่ยวโม่ท่านปู่เจ้าเถอะ”
เรื่องของการชักดึงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาของผู้ฝึกกระบี่ เป็นการทำลายรากฐานมหามรรคา ไหนเลยจะสบายๆ ไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญอย่างเสี่ยวโม่
เฉินผิงอันจำต้องเรียกนกในกรงออกมาทันที ช่วยอำพรางลมปราณฟ้าดิน ไม่อย่างนั้นคาดว่าเฟิงยวนทั้งลำคงเข้าใจผิดคิดว่าเจอกับการโจมตีด้วยเวทคาถาของผู้ฝึกตนใหญ่แล้ว
จากนั้นเฉินผิงอันก็หยิบกล่องกระบี่ไม้ไหวที่สร้างขึ้นกับมือตัวเองออกมา เก็บกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีชื่อเล่มนั้นกลับไปอย่างระมัดระวัง เอ่ยอย่างขันๆ ปนฉุนว่า “ของขวัญพบหน้าที่ใหญ่เทียมฟ้าเช่นนี้ ควรจะมอบไปให้อย่างไร ควรจะบอกเรื่องนี้กับแม่นางน้อยอย่างไร ขอให้ข้าได้คิดดูก่อน จะต้องพูดให้ชัดเจน ข้าไม่มีหน้ายึดเอาคุณความชอบมาเป็นของตัวเองหรอกนะ”
เสี่ยวโม่ยิ้มเอ่ยหยอกล้ออย่างที่หาได้ยาก “ขอแค่คุณชายไม่ฮุบไว้เป็นของตัวเองก็พอ”
เฉินผิงอันมองเสี่ยวโม่อย่างอึ้งตะลึง ไปเรียนรู้จากใครมา?
ก่อนหน้านี้จูเหลี่ยนเคยมาหาตนเป็นการส่วนตัว เอ่ยชมเสี่ยวโม่ไม่ขาดปาก
เพราะเสี่ยวโม่ได้เอ่ยกับเขาประโยคหนึ่งว่า ‘ในภูเขาลั่วพั่ว มีจิตใจที่ซื่อบริสุทธิ์มากมาย สาเหตุน่าจะเป็นเพราะใกล้ชาดเปื้อนแดงนั่นเอง’ (ใจบริสุทธ์ภาษาจีนออกเสียงชื่อชื่อซิน แปลตรงตัวคือหัวใจสีแดง)
เสี่ยวโม่ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน ตนไม่เหมาะจะพูดคุยหยอกล้อแบบนี้จริงๆ เสียด้วย ยังคงเป็นตัวของตัวเองดีกว่า
เรียนรู้จากใครก็ไม่เหมือนเรียนรู้เอาจากคุณชาย เหนื่อยเพียงครึ่งแต่ได้ผลลัพธ์เป็นเท่าตัว
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “กระบี่บินให้ชื่อว่า ‘ซินฮั่ว’ (คบเพลิง/คบไฟ) ก็แล้วกัน”
คบเพลิงสืบทอด (เปรียบเปรยถึงการสืบทอด)
หวังว่าไฉอู๋ได้รับโชควาสนานี้ไปแล้ว บนเส้นทางการฝึกตนในวันหน้า นางจะสามารถทะนุถนอมเห็นค่าให้มาก ในอนาคตหากเจอกับผู้ที่มีวาสนาคล้ายคลึงกันนี้ก็สามารถทำเหมือนเสี่ยวโม่ในวันนี้ มอบกระบี่บินเล่มนี้ให้สืบทอดต่อไป