กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 891.4 สำนักเบื้องล่าง
นอกจากนี้พูดถึงแค่การซื้อเครื่องกระเบื้องที่เผาจากเตาชาวบ้านของเมืองเล็กบ้านเกิด และแก้วชนไก่ พรมปูพื้นที่ยังจำเป็นต้องไปเจรจากับทางแคว้นไฉ่อี อัตราส่วนของจำนวนที่เป็นรูปธรรมก็จำเป็นต้องทำการปรับเปลี่ยนแก้ไขในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ตามสถานการณ์การขายแต่ละครั้ง ยกตัวอย่างเช่นข้าวของบางอย่างได้กำไรสูง แต่กินพื้นที่มาก หรือไม่ก็ง่ายที่จะเกิดการกักตุนสินค้า สำหรับรายละเอียดปลีกย่อยพวกนี้ เฉินผิงอันล้วนเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
เพราะถึงอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางฝั่งห้องบัญชีของเรือนชุนฟานภูเขาห้อยหัว แต่ละคนก็ล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญ แม้แต่เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ที่โต๊ะติดประตู ลูกพี่ใหญ่แห่งสายคฤหาสน์หลบร้อน ก็ยังไม่ถือว่าเป็นคนนอกสาขาอาชีพ
ทำการค้า อันที่จริงก็คือการขึ้นเขาและลงห้วย คำว่าขึ้นเขาปีนเขาก็หนีไม่พ้นการทำลายปราการทางการค้าของท้องถิ่นลง จากนั้นลองหยั่งเชิงถึงระดับลึกตื้นของเส้นทางทรัพย์สินที่เป็นดั่งน้ำไหลสายแล้วสายเล่า
และยังมีตำราฉบับหายาก ตำราฉบับสมบูรณ์แบบทั้งหลายที่พลัดกระจายไปอยู่ตามที่ต่างๆ ของใบถงทวีป เฉินผิงอันเคยได้เปิดโลกกว้างที่ท่าเรือชวีซานมาก่อนแล้ว และยังมีผลผลิตจากเตาเผาทางการมีชื่อเสียงจำนวนไม่น้อยที่ในอดีตถูกขนานนามว่าหนึ่งแห่งมีค่าเท่าทองพันชั่งที่ก็มีจุดจบไม่ต่างจากตำราทั้งหลายสักเท่าไร ล้วนถูกจับรวมไว้ในถุงกระสอบแล้วนำมาขาย กองกันเป็นพะเนินอยู่บนท่าเรือใหญ่แห่งต่างๆ ทางร้านคร้านจะต่อรองราคาด้วยซ้ำ แต่ว่าโอกาสที่จะได้เก็บตกเช่นนี้ อย่างมากสุดผ่านไปอีกสิบยี่สิบปีก็จะค่อยๆ หายไปแล้ว กลายมาเป็นดั่งคำกล่าวที่ว่ากลียุคทองล้ำค่า ยุคแห่งความสงบของโบราณราคาสูง
ยามเช้าตรู่ของวันนี้ ดวงอาทิตย์แดงจ้ากระโดดโผล่พ้นผิวมหาสมุทรออกมา
ลมพัดโชยมาบนผิวน้ำ นั่งมองก้อนเมฆลอยขึ้นสูง
คำว่าเกียจคร้านก็คือรากฐานแห่งโจร
จ้าวซู่เซี่ยเดินนิ่งหกก้าวอยู่ในห้องพลันได้ยินเสียงเคาะประตู เปิดประตูออกดูก็เห็นว่าเป็นอาจารย์
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไป ไปเดินนิ่งเป็นเพื่อนข้า”
อาจารย์และศิษย์พากันไปที่หัวเรือ เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หลายปีที่ผ่านมานี้นอกจากหมัดเขย่าขุนเขาก็ไม่ได้สอนกระบวนท่าหมัดที่มากกว่านั้นให้เจ้า วันนี้ข้าจะชดเชยให้”
วันนี้เฉินผิงอันสอนวิชาหมัดชุดที่จางซานเฟิงเป็นคนคิดค้น
จ้าวซูเซี่ยยังคงทำตามอย่างเข้าท่าเข้าที แต่น่าเสียดายที่เหมือนเพียงรูปลักษณ์ ไม่เหมือนทางจิตวิญญาณ
เฉินผิงอันช่วยตรวจสอบหาช่องโหว่ให้ จ้าวซู่เซี่ยมีสีหน้าละอายใจ เอ่ยเสียงเบา “อาจารย์ คุณสมบัติของข้าย่ำแย่ ทำให้ท่านต้องขายหน้าแล้ว”
แล้วก็เพราะว่าอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ไม่อย่างนั้นหากไปอยู่กับจวนเซียนบนภูเขาหรือไม่ก็พรรคในยุทธภพแห่งใด ต้องถูกคนนินทาหรือไม่ก็มองด้วยสายตามีเลศนัยอย่างมิอาจหลบเลี่ยงแน่นอน
บนภูเขาลั่วพั่วแห่งนี้ไม่มีใครพูดนินทาลับหลัง เพราะว่าทุกคน...ต่างก็พูดกันต่อหน้า ยกตัวอย่างเช่นเฉินหลิงจวินและป๋ายเสวียน ทุกครั้งที่เจอหน้ากัน เด็กชายชุดเขียวที่ชอบสะบัดชายแขนเสื้อดังพึ่บพั่บจะต้องเอ่ยสั่งสอนเหมือนคนแก่สองสามประโยค บอกว่าซู่เซี่ยอ่า เรื่องของการฝึกหมัดจะเกียจคร้านไม่ได้นะ เจ้าลองดูเผยเฉียนของพวกเราสิ ขอบเขตนั่นต้องเรียกว่าพุ่งสวบๆๆ แต่ก็ไม่เป็นไร วันนี้ข้าจะสอนวิชาหมัดล้ำโลกให้เจ้าสักสองสามกระบวนท่า วิชาตะขาบกระโดด เจ้ารู้จักไหม ดูให้ดีล่ะ…ส่วนป๋ายเสวียน ทุกครั้งที่จ้าวซู่เซี่ยเดินผ่านโต๊ะในศาลาแห่งนั้น ป๋ายเสวียนจะต้องเรียกให้เขาเข้าไปนั่งดื่มชา แล้วก็ชวนคุยสัพเพเหระสองสามประโยค ซู่เซี่ยอ่า เจ้ากับใครบางคนเป็นคนร่วมสำนักกัน แต่เจ้าถึงกับสู้สตรีคนหนึ่งไม่ได้ ทำให้ข้าผิดหวังยิ่งนัก อย่ามัวอึ้งอยู่สิ ดื่มชาๆ น้ำชานี้ของข้ามีความมหัศจรรย์ที่คล้ายคลึงกับสุราในร้านใต้เท้าอิ่นกวานที่บ้านเกิดเชียวนะ ดื่มแล้วสามารถเพิ่มขอบเขตได้…
อันที่จริงถูกสองนายท่านใหญ่อย่างเฉินหลิงจวินและป๋ายเสวียนก่อกวนเช่นนี้ กลับทำให้จ้าวซู่เซี่ยรู้สึกสบายใจขึ้นเยอะมาก เวลาปกติที่ฝึกหมัดก็ไม่ได้รีบร้อนเหมือนเดิมแล้ว
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างขันๆ ปนฉุน “พูดจาเหลวไหลอะไรกัน”
ตบไหล่ของจ้าวซู่เซี่ยหนักๆ “เจ้าไม่เชื่อในพรสวรรค์การฝึกวรยุทธของตัวเองได้ แต่ต้องเชื่อในสายตาการรับลูกศิษย์ของอาจารย์”
ท่าเรือเฉาฮวาภูเขาไฉ่จือ
เรือเฟิงยวนมาจอดเทียบท่าอยู่ที่นี่
ไร้ความบังเอิญก็ไม่เกิดตำรา สถานที่รับรองแขกของซานจวินฟ่านจวิ้นเม่าและเทพภูเขาหวังเจวี้ยนก็คือศาลาแห่งนั้น
เฉินผิงอันพาเสี่ยวโม่และเฉินหลิงจวินกับเทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยมาที่นี่ด้วยกัน
มหาบรรพตทักษิณเก่าของต้าหลีเคยเป็นดินที่สะสมก่อตัวจนกลายเป็นภูเขาตามคำกล่าวอย่างแท้จริง ขุนเขาใต้ในทุกวันนี้ก็เป็นเช่นเดียวกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
มีราชวงศ์ต้าหลีเป็นผู้นำพา แคว้นน้อยใหญ่สิบกว่าแคว้นโดยรอบที่ตั้งเก่าของขุนเขาใต้จึงร่วมแรงกันทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ เพราะถึงอย่างไรก็ต้องการมหาบรรพตลูกหนึ่งมาช่วยสร้างความมั่นคงให้กับโชคชะตาขุนเขาสายน้ำทางทิศใต้ของหนึ่งทวีป
นับแต่โบราณมาใต้หล้าไพศาลก็มีข้อพิถีพิถันที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรบอกว่า ‘เปลี่ยนเมืองหลวงไม่เปลี่ยนห้ามหาบรรพต’
ราชวงศ์ต้าหลีที่หนึ่งแคว้นก็คือหนึ่งทวีป หลังจากสูญเสียแผ่นดินครึ่งหนึ่งไปก็ใช้วิธีพบกันครึ่งทาง ห้าขุนเขาของหนึ่งทวีปยังคงเดิม อยู่ในอาณาเขตของใคร คนนั้นก็เป็นผู้ไปเซ่นบวงสรวงเอาเอง
ดังนั้นฟ่านจวินเม่าแหงขุนเขาใต้ในทุกวันนี้จึงกลายเป็นซานจวินมหาบรรพตคนแรกและเพียงหนึ่งเดียวที่หลุดพ้นจากการปกครองของสกุลซ่งต้าหลี
หากใช้คำกล่าวของฟ่านจวิ้นเม่าก็คือคำเดียว สะใจ!
หลังจากสงครามใหญ่ครั้งหนึ่งผ่านไป อันที่จริงตลอดทั้งขุนเขาใต้ถูกทำลายจนหายไปครึ่งหนึ่ง จากนั้นก็ถูกย้ายออกไปครึ่งหนึ่ง ส่วนในบรรดาภูเขาทายาททั้งหลายของขุนเขาใต้ก็มีเพียงภูเขาไฉ่จือเท่านั้นที่โชคดีรักษาไว้ได้เกินครึ่ง ในฐานะหนึ่งในท่าเรือตระกูลเซียนที่กองทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจสร้างขึ้นชั่วคราว เมื่อเป็นเช่นนี้จึงยิ่งแสดงให้เห็นว่าภูเขาไฉ่จือที่เป็นภูเขาใหญ่จำนวนไม่มากทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีปเป็นภูเขาที่อยู่ใต้ภูเขาลูกเดียว แต่อยู่เหนือภูเขานับหมื่นแล้ว
ทางฝั่งของศาลา ฟ่านจวิ้นเม่าที่สวมชุดคลุมยาวสีเขียวเข้มนั่งขัดสมาธิ เห็นกลุ่มของเฉินผิงอันก็เพียงแค่ยกมือกุมหมัดคารวะพอเป็นพิธีเท่านั้น
เทพภูเขาหวังเจวี้ยนแห่งภูเขาไฉ่จือกลับแต่งกายหรูหราสวมมงกุฎ สวมชุดสีม่วง บนมงกุฎประดับประดาด้วยไข่มุกขนาดใหญ่เท่าลูกบ๊วยเขียว แค่มองก็รู้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่าบนภูเขา
คนทั่วไปหากไม่รู้ความจริง มองเห็นสองคนนี้ในปราดแรกต้องเข้าใจผิดคิดว่าหวังเจวี้ยนต่างหากจึงจะเป็นซานจวินขุนเขาใหญ่ ส่วนฟ่านจวิ้นเม่าก็เป็นแค่สาวใช้ในศาลเท่านั้น
หวังเจวี้ยนเองก็ได้เข้าร่วมงานพิธีที่ภูเขาตะวันเที่ยงเช่นกัน เข้าพักที่ยอดเขาโปอวิ๋น ตอนนั้นเทพภูเขาของหนึ่งทวีปมารวมตัวกันครบถ้วน กำลังคุมเชิงอยู่ไกลๆ กับงานเลี้ยงสุราของเพทวารีที่อยู่บนยอดเขาใกล้เคียงลูกหนึ่ง
ตอนนั้นทางฝั่งภูเขาบรรพบุรุษของภูเขาตะวันเที่ยงได้ส่งกระบี่บินแจ้งข่าวออกไปเหมือนดอกไม้ผลิบาน หวังเจวี้ยนก็ได้รับจดหมายลับฉบับหนึ่งจากเฉินผิงอัน และยังได้รับป้ายหยกแผ่นหนึ่งที่สลักเป็นคำว่า ‘จวิ้นชิงอวี่เซียง’ ซึ่งให้เขานำไปมอบต่อให้กับฟ่านจวิ้นเม่า
ได้รับ ‘คำเตือน’ ในช่วงท้ายของจดหมายลับ หวังเจวี้ยนก็รีบเผ่นออกจากภูเขาตะวันเที่ยงทันที
ฟ่านจวิ้นเม่าเอนหลังพิงราวรั้ว พูดเข้าประเด็นทันทีที่พบหน้า “ว่ามาเถอะ จะให้ชดใช้บุญคุณครั้งนี้อย่างไร”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่ได้มาเพื่อทวงหนี้จริงๆ ก็แค่มารำลึกความหลังเท่านั้น อย่างมากสุดวันหน้าเมื่อเรือข้ามฟากผ่านมาที่ท่าเรือแห่งนี้ ซานจวินอย่างเจ้าและเทพภูเขาหวังก็ช่วยดูแลให้มากหน่อยเท่านั้น”
ฟ่านจวิ้นเม่าเอ่ย “เลิกมาไม้นี้เถอะ เจ้าไม่มาหาข้า ข้าก็ต้องไปหาเจ้าอยู่ดี ถึงอย่างไรก็ต้องทำให้เป็นขั้นเป็นตอน ไม่อย่างนั้นวันหน้าพวกเราสองคนก็อย่าได้รำลึกความหลังกันอีกเลย หรือว่าพอพบเจ้าจะต้องให้ข้าโขกหัวขอบคุณก่อน? อีกอย่างข้าก็ไม่อยากแบ่งสมาธิไปคอย ‘ดูแล’ เรือข้ามฟากลำหนึ่งนานร้อยปีพันปี เป็นเรื่องระยำที่ไม่มีวันสิ้นสุด”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะพูดอย่างตรงไปตรงมาเลยแล้วกัน สมบัติวิเศษแห่งฟ้าดินทั้งหมดที่อยู่ในอาณาเขตการปกครองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายของขุนเขาใต้ ขอแค่สามารถขาย อีกทั้งยังยินดีจะขาย ภูเขาลั่วพั่วของข้าต้องได้ส่วนแบ่งด้วย อย่างน้อยที่สุดคือสามส่วน อีกทั้งราคายังต้องเป็นธรรม จะซื้อมาด้วยราคาตลาดที่ต่ำที่สุด”
ฟ่านจวิ้นเม่าโบกมือเป็นวงกว้าง “ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้ เรื่องดื่มเหล้าก็ช่างเถอะ เอาเก็บไว้ตอนงานเลี้ยงท่องราตรีบนภูเขาของข้าคราวหน้า รับรองว่ามีให้ดื่มจนพอ”
หากฟ่านจวิ้นเม่าเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบ
ก็จะต้องจัดงานเลี้ยงท่องราตรีตามกฎ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ยังมีอีกเรื่องที่อยากขอให้ช่วย ข้าอยากจะขอซื้อดินโยวหร่างของภูเขาไฉ่จือจากเทพภูเขาหวังสักหน่อย ประมาณสามพันจิน หากได้มากกว่านี้ก็ยิ่งดี ราคาสามารถปรึกษากันได้”
ดินโยวหร่างของภูเขาไฉ่จือก็คือดินหมื่นปีชนิดหนึ่ง มีชื่อเสียงอย่างมากในแจกันสมบัติทวีป คือวัตถุอันเป็นรากฐานสำหรับการบุกเบิกฟ้าดินเล็กสถานประกอบพิธีกรรมของพวกวิญญาณวีรบุรุษวัตถุหยิน
เป็นเหตุให้ตอนที่ร่างทองของหวังเจวี้ยนถูกย้ายออกไปจากภูเขาไฉ่จือ ราชสำนักต้าหลีจึงช่วยย้ายดินโยวหร่างทั้งหมดไปด้วย จะไม่ยอมเหลือทิ้งไว้ให้กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจเด็ดขาด
ฟ่านจวิ้นเม่าเตรียมจะโบกมืออีกครั้ง
หวังเจวี้ยนรีบใช้เสียงในใจเอ่ยเตือนว่า “ฟ่านซานจวิน ดินโยวหร่างของภูเขาไฉ่จือ เมื่อหลายปีก่อนสกุลซ่งต้าหลีทยอยเอาไปเกินครึ่งแล้ว ตอนนี้เหลืออยู่ไม่มากแล้ว ที่ข้าเหลืออยู่แค่สองหมื่นจิน ฟ่านซานจวินก็น่าจะรู้ดีว่าหากดินโยวหร่างนี้มีน้อยกว่าหมื่นจินก็ยากที่จะสร้างดินใหม่ขึ้นมาได้อีก กลับกลายเป็นว่าอาจจะลดน้อยลงไปทุกปี”
ฟ่านจวิ้นเม่าลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังโบกมือเป็นวงกว้าง พูดกับเฉินผิงอันว่า “ที่ข้ายังมีอีกหมื่นจิน เจ้าเอาไปให้หมด ไม่มีราคาไม่ราคาอะไรทั้งนั้น ต่อให้ดินโยวหร่างจะล้ำค่าแค่ไหนก็เทียบกับแผ่นหยกแผ่นนั้นไม่ได้”
ของสิ่งนี้ก็คือโอกาสบนมหามรรคาที่จะทำให้ฟ่านจวิ้นเม่าเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบได้อย่างว่องไวอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้หวังเจวี้ยนได้กลับมาที่ภูเขาไฉ่จือก็รีบนำดินโยวหร่างหมื่นจินมามอบให้แก่ขุนเขาใต้ทันที
อันที่จริงเมื่อหลายปีก่อน เทพภูเขาของภูเขาทายาทอย่างภูเขาไฉ่จือท่านนี้ก็ต้องอยู่ในสภาพการณ์ที่กระอักกระอ่วนมาก เพราะเมื่อสงครามใหญ่ผ่านไป ขุนเขาใต้ถูกทำลายจนไม่เหลือแล้ว จึงกลายเป็นสถานการณ์ที่ภูเขาทายาทใหญ่มหาบรรพตเล็ก นี่ทำให้หลังจากที่ระดับขั้นร่างทองของหวังเจวี้ยนกลับมาเป็นก่อกำเนิดอีกครั้ง เขาจึงไม่กล้าจัดงานเลี้ยงท่องราตรี ไม่อย่างนั้นเรื่องที่เลื่อนระดับขั้น สำหรับภูเขาทายาทของขุนเขาใหญ่แล้วจะถือว่าเป็นเรื่องเล็กได้หรือ?
ได้แต่รอให้ซานจวินฟ่านจวิ้นเม่ากลับคืนสู่ขอบเขตเดิมแล้วค่อยจัดงานเลี้ยงท่องราตรีใหม่เท่านั้น
โชคดีที่อีกเดี๋ยวฟ่านซานจวินก็จะได้กลับคืนสู่ขอบเขตหยกดิบอีกครั้งแล้ว
ต่อให้เฉินผิงอันจะไม่ใส่ใจเรื่องขอบเขตของผู้ฝึกตนมากแค่ไหนก็ยังอดอิจฉาไม่ได้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งสายน้ำขุนเขาที่สถานะโดดเด่นเหล่านี้ไม่ต้องฝึกตนกันสักเท่าไรเลยจริงๆ
ฟ่านจวิ้นเม่าไม่เปิดโอกาสให้เฉินผิงอันได้เอ่ยถ้อยคำเกรงใจอะไรด้วยซ้ำ ถามว่า “เจ้ากับเว่ยป้อสวมกางเกงตัวเดียวกัน ดังนั้นข้าเองก็มีเรื่องจะขอร้องเจ้าเหมือนกัน ขอให้ขุนเขาเหนือส่งสาวใช้และผู้ดูแลที่คล่องแคล่วเป็นงานมาให้ขุนเขาใต้สักหน่อย งานเลี้ยงท่องราตรีของข้าเพิ่งเคยจัดเป็นครั้งแรกเหมือนเจ้าสาวที่เพิ่งเคยขึ้นนั่งเกี้ยว จะจัดแย่เกินไปนักไม่ได้ เรื่องแบบนี้ก็เป็นขุนเขาเหนือนี่แหละที่มีประสบการณ์โชกโชนที่สุด เป็นที่ยอมรับของคนทั้งทวีป เฉินผิงอัน เรื่องแบบนี้เจ้าคงไม่รู้สึกลำบากใจหรอกกระมัง?”
ไม่ใช่ว่าฟ่านจวิ้นเม่าล้อเล่นจริงๆ งานเฉลิมฉลองของตระกูลเซียนเป็นเรื่องที่ยุ่งยากเป็นที่สุด เซียนซือทำเนียบและพวกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขุนเขาสายน้ำ แล้วยังมีการจัดที่นั่งให้กับพวกแม่ทัพขุนนาง ที่พัก สุรา ผลไม้ มีแต่เรื่องยิบย่อยวุ่นวายรออยู่
เฉินผิงอันยิ้มพลางพยักหน้าตอบตกลง “เรื่องแบบนี้ข้าไม่ลำบากใจเลยแม้แต่น้อย เว่ยซานจวินของพวกเราคือผู้เชี่ยวชาญอันดับหนึ่งอยู่แล้ว”
ฟ่านจวิ้นเม่ามองนักพรตเฒ่าตาบอดที่แต่งกายฉูดฉาดแล้วหันหน้ามาพูดกับเทพภูเขาไฉ่จือว่า “วันหน้าเจ้ากับผู้ดูแลรองของเรือเฟิงยวนผู้นี้ก็ไปมาหาสู่กันให้มาก”
หวังเจวี้ยนพยักหน้ายิ้มรับ
ส่วนเรื่องที่วันนี้ฟ่านซานจวินมอบดินโยวหร่างไปให้หนึ่งหมื่นจิน ไม่เป็นปัญหามากนัก รอให้ขุนเขาใต้จัดงานเลี้ยงท่องราตรีเมื่อไหร่ ภูเขาไฉ่จือค่อยมอบไปให้หนึ่งหมื่นจินก็แล้วกัน
จากนั้นฟ่านจวิ้นเม่าก็ฝืนนิสัยตัวเองขึ้นเขาไปเดินชมทัศนียภาพเป็นเพื่อนพวกเฉินผิงอัน
เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยพูดคุยกับซานจวินหวังเจวี้ยนอย่างถูกคอ
ซากปรักที่ตั้งของนครมังกรเฒ่ากำลังมีการก่อสร้างขึ้นมาใหม่ บรรยากาศคึกคัก สามารถมองเห็นฝุ่นคละคลุ้งจากการก่อสร้างได้ทุกที่
เฉินผิงอันนัดพบกับซุนเจียซู่และต่งสุ่ยจิ่งที่ริมชายหาดของมหาสมุทรใหญ่
นอกจากเสี่ยวโม่แล้วยังมีเซียนกระบี่ใหญ่หมี่ที่ปรากฏตัวนอกเรือข้ามฟากอย่างที่หาได้ยาก
พูดคุยธุระกันจบ แน่นอนว่าทำตามกฎเดิม ลากพวกเขามาเข้ากลุ่ม เดินทางข้ามทวีปไปหาเงินด้วยกัน
ที่นี่เคยมีสระดอกบัวอยู่แห่งหนึ่ง
นี่เป็นสถานที่ที่เท้าของหมี่อวี้สัมผัสกับพื้นดินของใต้หล้าไพศาลเป็นครั้งแรก คือทัศนียภาพที่ได้เห็นเป็นครั้งแรก ความทรงจำของเขาจึงลึกล้ำชัดเจนมากเป็นพิเศษ
หมี่อวี้ถามหยั่งเชิง “สามารถปลูกดอกบัวสิบลี้ขึ้นมาใหม่ได้หรือไม่?”
ซุนเจียซู่พยักหน้าเอ่ยว่าได้ เพียงแต่ว่าพอได้ยินจำนวนเงินเทพเซียนที่ต้องใช้ หมี่อวี้ก็ตะลึงงันไปทันที มากกว่าที่ตนประมาณการณ์ไว้มากนัก จึงไม่เหลือความคิดที่จะยืมเงินจากใต้เท้าอิ่นกวานอีกแล้ว
ซุนเจียซู่ยิ้มอธิบายว่า “ปลูกดอกบัวบนมหาสมุทรไม่ใช่เรื่องปกติทั่วไป อีกทั้งดอกบัวยังเป็นพันธ์ของตระกูลเซียน ยามที่ดูแลรักษาจึงยิ่งต้องใช้เงิน”
เมื่อก่อนล้วนเป็นตระกูลฝูที่เป็นผู้นำ ตระกูลอื่นๆ ที่เหลือก็ร่วมกันออกเงิน ก็เป็นเรื่องของการจ่ายเงินเพื่อซื้อศักดิ์ศรีหน้าตาอย่างหนึ่ง
หมี่อวี้ถอนหายใจ เงินคือความใจกล้าของวีรบุรุษจริงๆ ในกระเป๋าของตนมีเงินเทพเซียนไม่กี่เหรียญ ก็อย่าได้ตบหน้าตัวเองสวมรอยเป็นคนอ้วนเลยดีกว่า
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เงินก้อนนี้ภูเขาลั่วพั่วของพวกเราออกให้ได้”
หมี่อวี้รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย รีบใช้เสียงในใจเอ่ยทันใด “ใต้เท้าอิ่นกวาน อย่าดีกว่า ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง อย่าต้องสิ้นเปลืองเงินโดยเปล่าประโยชน์เช่นนี้เลย”
ซุนเจียซู่พยักหน้ายิ้มเอ่ย “เรื่องของการซื้อดอกบัวและปลูกดอกบัวสามารถให้เซียนกระบี่หมี่เป็นคนออกเงินได้ แต่เรื่องของการดูแลรักษาหลังจากนั้นก็ให้แซ่ใหญ่ทั้งหลายของนครมังกรเฒ่าเป็นผู้รับผิดชอบ ข้าจะไปหาคนมาปรึกษาเรื่องนี้ เชื่อว่าไม่น่าจะมีใครมีความเห็นต่างอะไร”
หมี่ผ่าเอวแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่จะปลูกดอกบัวที่นี่ สร้างดินแดนแห่งเซียนขึ้นมาอีกครั้ง พวกหญ้ายอดกำแพงของนครมังกรเฒ่าซึ่งเว้นจากตระกูลฝูแล้ว ใครจะกล้าพูดคำว่าไม่
ถึงเวลานั้นคาดว่านครมังกรเฒ่ายังจะต้องตั้งป้ายศิลาจารึกเรื่องนี้เอาไว้ ผู้ปลูกดอกบัว หมี่อวี้
ซุนเจียซู่รู้ถึงความตั้งใจของเจ้าขุนเขาเฉิน
ยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว ทำให้หมี่อวี้ผู้ถวายงานอันดับรองบ้านตนสมหวัง ขณะเดียวกันก็ถือว่าช่วยเหลือตระกูลซุนเรื่องที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กเรื่องหนึ่ง
ไม่เหมือนในอดีตที่ตระกูลฝูครองความเป็นใหญ่เพียงหนึ่งเดียว ทุกวันนี้ระหว่างตระกูลใหญ่ทั้งหลายต่างก็มีที่พึ่งเป็นของตัวเอง ต่างก็มีความสัมพันธ์กับราชสำนักต้าหลีกันแล้ว จึงเป็นเหตุให้การปัดแข้งปัดขาระหว่างกันและกันยิ่งรุนแรงดุเดือดมากขึ้นเรื่อยๆ ซุนเจียซู่เป็นผู้เสนอเรื่องนี้ก็จะช่วยให้ตระกูลของตนลดเรื่องยุ่งยากไปได้มาก
เหตุผลเรียบง่ายอย่างยิ่ง พันธมิตรบนภูเขาของตระกูลซุนในทุกวันนี้คือภูเขาลั่วพั่ว พวกเจ้าก็ลองชั่งน้ำหนักกันเอาเองแล้วกัน
เมื่อหลายปีก่อนร่วมมือทำการค้ากับภูเขาลั่วพั่ว ตระกูลซุนต้องคอยปิดบังอยู่ตลอด แต่ทุกวันนี้กลับไม่ต้องทำเช่นนั้นแล้ว
เรือข้ามฟากลำหนึ่งข้ามทวีปล่องออกนอกมหาสมุทร
มหาสมุทรกว้างใหญ่ที่อยู่ระหว่างสองทวีปล้วนเป็นซากปรักสนามรบทั้งสิ้น
บนทะเลที่พ้นจากบกมาหลายพันลี้จะต้องมีผู้ฝึกตนร่ายเวทแหวกน้ำลงทะเลไปงมหาสมบัติให้เห็นอยู่เป็นระยะ
เรื่องนี้เมื่อก่อนถูกราชสำนักต้าหลีสั่งห้าม ราชสำนักยังส่งผู้ฝึกตนติดตามกองทัพกลุ่มหนึ่งและอาจารย์ชิงอูมาตามหาสมบัติที่พลัดหลงอยู่ในทะเลโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะได้ผลเก็บเกี่ยวอย่างไรก็ล้วนต้องเก็บเข้าท้องพระคลังสกุลซ่งทั้งสิ้น