กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 892.1 สำนักกระบี่ชิงผิง
เฉินผิงอันจงใจเลือกวันแรกของฤดูหนาวจอดเรือเทียบท่าที่สำนักเบื้องล่าง ชุยตงซานสร้างกระท่อมหลายหลังขึ้นมาที่หน้าประตูภูเขาชั่วคราว จัดวางโต๊ะไว้สองสามตัว สำนักเบื้องบนและสำนักเบื้องล่างมีจำนวนคนไม่น้อย เกือบสามสิบคน ชุยตงซานจึงเหมือนเถ้าแก่ควบตำแหน่งเสี่ยวเอ้อ พาสือชิวไปช่วยงานที่ห้องครัว วันแรกของฤดูหนาว เกี๊ยวหนึ่งถ้วย น้ำแกงแก้หนาวหนึ่งถ้วย ซึ่งมีอีกชื่อว่าน้ำแกงตี้เกิน คือการนำรากของสมุนไพรประเภทต่างๆ มาต้มเพื่อความเป็นสิริมงคล สมุนไพรก็เก็บเอาจากบริเวณใกล้เคียง ไม่ใช่วัตถุตระกูลเซียนอะไร บนโต๊ะทุกตัวยังวางเครื่องปรุงอย่างพวกเต้าเจี้ยว น้ำส้มสายชูกับผักดองตามฤดูกาลในช่วงน้ำค้างแข็งอีกถาดใหญ่
ส่วนสุรา ขอโทษด้วย หากจะดื่มก็ต้องเอาออกมาเอง ตอนนี้สำนักเบื้องล่างยากจนนัก
ตรงโต๊ะประธานมีคนนั่งกันอยู่ห้าคน
เฉินผิงอันเจ้าขุนเขาของภูเขาลั่วพั่วอันเป็นสำนักเบื้องบน
ฉางมิ่งผู้คุมกฎแห่งภูเขาลั่วพั่วที่มีฉายาว่าหลิงชุน
และยังมีคนอีกสามคนที่ตำแหน่งขุนนางใหญ่ที่สุดในสำนักเบื้องล่างทุกวันนี้ ชุยตงซานเจ้าสำนักคนแรก จ้งชิวผู้ดูแลเงินทอง ชุยเหวยผู้คุมกฎแห่งสำนักเบื้องล่าง
เดิมทีชุยเหวยไม่อยากนั่งโต๊ะประธาน อยากจะยกตำแหน่งนี้ให้กับหมี่อวี้ที่กำลังจะมารับตำแหน่งผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสำนักเบื้องล่าง แต่ใต้เท้าเจ้าสำนักดึงแขนของเขาไว้ไม่ยอมปล่อยมือ ชุยเหวยจึงได้แต่ยอมรับชะตากรรม
อวี๋เสียหุยที่นั่งอยู่โต๊ะอื่นเหลือบตามองชุยเหวย เด็กชายเบ้ปาก โอ้โห ได้ดื่มสุราร่วมโต๊ะกับใต้เท้าอิ่นกวานเลยหรือนี่
อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ใช่เรื่องหายากอะไร แต่มาถึงใต้หล้าไพศาล คนที่มีโอกาสเช่นนี้กลับมีไม่มากแล้ว
แต่ดูเหมือนว่าอวี๋เสียหุยจะอารมณ์ดีขึ้นหลายส่วน คีบเกี๊ยวขึ้นมาหนึ่งชิ้น จากนั้นยกถ้วยน้ำแกงแก้หนาวซดหนึ่งอึก
ชุยเหวยสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยทางสภาพจิตใจของลูกศิษย์ผู้สืบทอดได้อย่างเฉียบไว มองไปทางอิ่นกวานหนุ่มแล้วคลี่ยิ้มอย่างหาได้ยาก เฉินผิงอันผงกศีรษะตอบรับ เรื่องเล็กน้อย
ใต้หล้านี้มีลูกศิษย์คนใดบ้างที่ไม่หวังให้คนรุ่นบิดาหรืออาจารย์ของตัวเองเป็นลูกผู้ชายที่ค้ำฟ้ายันดิน ออกจากบ้านแล้วมีหน้ามีตาบ้าง?
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเฉินผิงอันนั่งอยู่บนโต๊ะตัวเดียวกัน อันที่จริงเมื่อเทียบกับบนเรือข้ามฟากก่อนหน้านี้แล้วก็มีเฉาฉิงหล่างมาเพิ่มอีกคน
ชุยตงซานนั่งลงเป็นคนสุดท้าย กุมหมัดคารวะเอ่ย “สืบทอดระบบดั้งเดิม ภารกิจต่างๆ ล้วนอยู่ในช่วงเริ่มต้น ทั้งคนและทรัพยากรยังขาดแคลน ก่อสร้างตั้งแต่เช้าจรดค่ำ…”
เฉินหลิงจวินถามเสียงเบา “หมี่อันดับรอง หมายความว่าอย่างไร?”
หมี่อวี้ย้อนถาม “ถามข้า? เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
สมบัติมีชีวิตทั้งสองเบิกตากว้างจ้องมองกันไปมา
เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยที่อยู่ด้านข้างลูบหนวดยิ้มกล่าว “ความหมายคร่าวๆ ของเจ้าสำนักชุยก็คือบอกว่าสำนักเบื้องล่างแห่งนี้สืบทอดมาจากสำนักเบื้องบน หรือก็คือมีการสืบทอดที่ถูกต้องจากควันธูปของภูเขาลั่วพั่ว ทุกวันนี้กำลังอยู่ในช่วงต้นของการก่อร่างสร้างตัว จำนวนคนมีไม่มาก ทรัพยากรก็ยังขาดแคลน เป็นเหตุให้เรื่องของการรับรองแขกได้แต่มีใจแต่ไร้กำลัง อาจมีจุดใดที่ละเลยไปบ้าง หวังว่าทุกท่านจะให้อภัย แน่นอนว่านี่เป็นคำกล่าวที่เจ้าสำนักชุยของเราถ่อมตัวเกินไป พูดถึงแค่ผักดองบนโต๊ะถาดนี้ ฝีมือของพ่อครัวในวังหลวงก็ยังเทียบไม่ได้”
หมี่อวี้ถามอย่างใคร่รู้ “พี่ใหญ่เจี่ยเคยเข้าวังมาก่อนด้วยหรือ?”
เฉินหลิงจวินยิ้มกว้าง คำถามนี้ของเซียนกระบี่ใหญ่หมี่ถามได้ดีนัก
เจี่ยเฉิงยิ้มตอบ “ลูกผู้ชายไม่พูดถึงความกล้าหาญในวันวาน อย่าให้เล่าเลยดีกว่า แล้วนับประสาอะไรกับที่อดีตน้อยนิดแค่นั้นของผินเต้า พูดออกมาแล้วก็มีแต่จะเป็นที่ขบขันของทุกคน”
เฉินหลิงจวินหัวเราะหึหึ “ตอนที่พี่ใหญ่เจี่ยยังหนุ่มน่ะ เขาเป็นถึงปัญญาชนที่มียศจากการสอบเคอจวี่ติดตัวเชียวนะ คือนายท่านจิ้นซื่อที่เคยร่วมงานเลี้ยงฉลองฉงหลินอะไรนั่นมาก่อน แล้วยังเคยแต่งบทรวมกวีด้วยนะ ภายหลังทิ้งพู่กันหันมาเข้าร่วมกองทัพ อยู่บนสนามรบนานหลายปี แล้วยังสร้างคุณความชอบทางการสู้รบที่ไม่เล็กอีกด้วย ตามคำกล่าวของโจวอันดับหนึ่งก็คือสามารถได้รับการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ที่ไพเราะได้เลย เพียงแต่ว่าพี่ใหญ่เจี่ยรอให้วิถีทางโลกของล่างภูเขาสงบสุขแล้วจึงขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ เขาไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น ปกปิดชื่อเสียงและคุณความชอบ ออกเดินทางไปทั่วทิศ ภายหลังก็รับลูกศิษย์สองคนอย่างเติงเกากับจิ่วเอ๋อร์ แล้วต่อมาก็ได้พบเจอกับนายท่านของพวกเรา แค่เจอหน้าก็เหมือนรู้จักกันมานาน จึงกลายมาเป็นเซียนซือผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่ว”
เจี่ยเฉิงหัวเราะร่า “ถูกเปิดโปงเสียแล้ว ขายหน้าหมี่อันดับรองแล้ว”
เฉินผิงอันหันหน้ามายิ้มถาม “ผู้ถวายงานเจี่ยมีอดีตที่ไม่ธรรมดาเช่นนี้ด้วยหรือ? ทำไมเมื่อก่อนถึงไม่เคยได้ยินเจ้าเล่าให้ฟังเลย?”
เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยรีบเอาสองมือถือประคองถ้วย ใช้น้ำแกงแทนสุรา “ผินเต้าหรือจะมีหน้าคุยโวเรื่องคุณความชอบอะไรต่อหน้าเจ้าขุนเขา เรื่องน่าอายในบ้านไม่ควรเอาไปแพร่งพรายภายนอก”
นี่ยิ่งแสดงให้เห็นว่าเจ้าขุนเขาบ้านตนไม่ใช้งานคนที่ตัวเองคลางแคลงใจ คนที่ใช้งานก็ยิ่งไม่มีใจกังขา
คำว่า ‘ไม่ธรรมดา’ ช่างกล่าวได้ดีนัก! คำวิจารณ์นี้ของเจ้าขุนเขาสมกับฝีมือชั้นครู คำง่ายๆ แค่สามคำก็เหนือกว่าถ้อยคำนับพันนับหมื่นที่ไพเราะสละสลวยมากนัก
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองเส้นทางภูเขา พอจะมองเห็นเส้นทางวิถีเทพที่ผู้คนใช้เดินขึ้นมาเพื่อจุดธูปคารวะได้อย่างเลือนราง จึงถามว่า “ก่อนหน้านี้ภูเขาลูกนี้คือที่ตั้งของห้าขุนเขาในแคว้นหนึ่งหรือ?”
ชุยตงซานพยักหน้ายิ้มรับ “อาจารย์สายตาเฉียบแหลม เป็นศิษย์ที่ก่อนหน้านี้ต้องใช้ทุกวิถีทางทุ่มกำลังมหาศาลถึงจะย้ายภูเขาลูกนี้มาที่นี่ได้ หนักมากเลยล่ะ ตัวภูเขาแห่งนี้คือขุนเขาใต้เก่าของอดีตแคว้นเป่ยจิ้น ศาลซานจวินและร่างทองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างก็ไม่อยู่แล้ว ถูกเผ่าปีศาจโจมตีจนย่อยยับไปตั้งแต่สงครามครั้งนั้นแล้ว แล้วยังถูกใต้หล้าเปลี่ยวร้างกวาดค้นตักตวงไปอีกรอบ ในภูเขาจึงไม่เหลือสมบัติวิเศษที่มีค่าใดๆ อยู่เลย ดังนั้นทุกวันนี้จึงมีแต่โครงที่ว่างเปล่า หากคิดจะฟื้นฟูมาดของมหาบรรพตในอดีตกลับมา นอกจากทุ่มเงินแล้วทุ่มเงินอีก ข้าก็ไม่มีวิธีอื่นอีกแล้ว”
“และนี่ก็คือสาเหตุที่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของเป่ยจิ้นลงมืออย่างรวดเร็วฉับไว ตอนนั้นข้าบังเอิญเดินทางผ่านภูเขาลูกนี้พอดี รู้สึกว่าถูกชะตาอย่างมาก ภายหลังก็ได้เชิญให้สกุลเหยาของต้าเฉวียนช่วยสานสะพานความสัมพันธ์ ใต้เท้าหลี่ หลี่ซีหลิงเจ้ากรมพิธีการ หรือก็คือพ่อตาของโอรสสวรรค์องค์ปัจจุบันไม่สนความเหนื่อยยาก เดินทางมาเยือนเมืองหลวงเป่ยจิ้นเป็นเพื่อนข้าด้วยตัวเอง จ่ายเงินข้าไปห้าสิบเหรียญฝนธัญพืช ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ใจกว้าง ถามข้าเป็นนัยๆ ว่ายินดีจะเหมาอดีตห้ามหาบรรพตไปพร้อมกันด้วยเลยไหม สองร้อยเหรียญเงินฝนธัญพืชก็สามารถซื้อทั้งหมดไปได้แล้ว ข้าเกือบจะหวั่นไหวอยู่แล้วเชียว”
พอๆ กับเรือมังกรฟ่านโม่ของภูเขาลั่วพั่วในอดีต แทนที่จะทุ่มเรี่ยวแรงมหาศาล ทุ่มเงินเทพเซียนซ่อมแซม อันที่จริงก็ไม่สู้ซื้อเรือข้ามฟากลำใหม่ยังจะดีเสียกว่า สำหรับราชวงศ์ใหม่ของเป่ยจิ้นที่รอการฟื้นฟูแล้ว คิดอยากจะกอบกู้รากภูเขาที่ปริแตก โชคชะตาน้ำที่ถูกเผาผลาญไปสิ้นกลับคืนมาดังเดิม ก็ยิ่งเป็นหลุมไร้ก้นที่กินเงินไปนับไม่ถ้วน ไม่ใช่แค่ซี่โครงไก่ธรรมดาเท่านั้น เรื่องที่ว่าเปลี่ยนเมืองหลวงไม่เปลี่ยนขุนเขา ถึงอย่างไรก็เป็นกฎตายตัว ไม่สู้แต่งตั้งขุนเขาแห่งใหม่ยังดีกว่า ยังถือว่าสร้างภาพบรรยากาศใหม่ๆ ให้กับราชวงศ์ใหม่ได้ด้วย เกี่ยวกับเรื่องการเลือกที่ตั้งขุนเขาใหม่ของแคว้นเป่ยจิ้น ไม่เพียงแต่รายงานให้ทางสำนักศึกษาต้าฝูทราบตั้งแต่แรกแล้ว ยังได้รับการอนุญาตจากศาลบุ๋นแผ่นดินกลางแล้วด้วย
นี่หมายความว่าในเรื่องนี้ เท่ากับว่าศาลบุ๋นช่วยเปิดปากให้กับแคว้นทั้งหลายในใบถงทวีปก่อน ในเมื่อมีตัวอย่างแล้ว แคว้นอื่นๆ ที่เหลือก็สามารถทำตามขั้นตอนได้เลย
“เพียงแต่ว่าอาณาเขตของสำนักเบื้องล่างใหญ่เพียงเท่านี้ ไหนเลยจะรองรับห้าขุนเขาของแคว้นหนึ่งไว้ได้ จะดูบวมฉุ เบียดเสียดกันเกินไป เพื่อเป็นเงื่อนไขเพิ่มเติมในการซื้อขุนเขาเก่า เนื่องจากราคาค่อนข้างต่ำอยู่มากจริงๆ ข้าจึงตอบตกลงฮ่องเต้พระองค์ใหม่ไปด้วยว่า ในอนาคตภายในร้อยปี สำนักเบื้องล่างของพวกเรายินดีจะรับตัวอ่อนด้านการฝึกตนของแคว้นเป่ยจิ้นเอาไว้ก่อน อายุของฮ่องเต้พระองค์นั้นยังไม่มาก แต่กลับใจกว้างไม่น้อย ยามพูดถึงเรื่องการค้าก็มีคุณธรรมอย่างมาก หากไม่เหมาะกับการเป็นคนค้าขายตั้งแต่เกิดก็คงเพราะมียอดฝีมือถ่ายทอดแผนการอันแยบยลให้ สรุปก็คือในเมื่อตั้งราคาสูงเทียมฟ้าก็ต้องนั่งลงต่อรองราคากัน ไปๆ มาๆ ข้าจึงตอบตกลงแค่เรื่องเงื่อนไขเพิ่มเติมที่บอกว่า ‘ภายในห้าร้อยปี อย่างน้อยที่สุดจะมอบจำนวนรายชื่อให้กับลูกศิษย์ผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์แคว้นเป่ยจิ้นสามถึงห้าคน’ เพื่อเป็นข้อแลกเปลี่ยน นอกจากการซ่อมแซมเก่าและการสร้างสร้างนครใหม่ของแคว้นเป่ยจิ้นในอนาคตที่ต้องมอบให้สำนักเบื้องล่างของพวกเราจัดการด้วยราคาเป็นธรรม ต่างฝ่ายต่างได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ทุกคนเบิกบานใจแล้ว ก็ต้องให้สิทธิ์ในการขุดหาแร่เงินทั้งหมดในอาณาเขตเป่ยจิ้นเป็นเวลาร้อยปี พวกเราออกแรง ราชสำนักเป่ยจิ้นแค่นั่งรอรับเงินเท่านั้น เก้าต่อหนึ่ง…”
ฟังมาถึงตรงนี้ ในที่สุดเฉินผิงอันก็สอดปากเอ่ยว่า “แบ่งสัดส่วนกันเช่นนี้ออกจะเกินไปหน่อยกระมัง?”
หากสำนักเบื้องล่างแบ่งส่วนแบ่งมาเก้าส่วน แน่นอนว่าบ้านตนย่อมทำเกินกว่าเหตุ แต่หากสำนักเบื้องล่างได้ส่วนแบ่งแค่ส่วนเดียว ก็คือเป่ยจิ้นที่ทำเกินกว่าเหตุ
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ศิษย์เองก็อยากจะให้แบ่งสองต่อแปด แต่จักรพรรดิองค์ใหม่เฉลียวฉลาดยิ่งนัก มีการเตรียมการไว้ก่อนแล้ว รากภูเขาเหมืองแร่เงินทั้งลับและแจ้งหกเส้น ปริมาณสำรองคร่าวๆ กรมคลังของเป่ยจิ้นล้วนคิดคำนวณมาอย่างละเอียด ต่อให้พวกเราแค่รับส่วนแบ่งเพียงหนึ่งส่วน ก็ยังเป็นรายรับจำนวนมหาศาลที่ไหลเข้าสมุดบัญชี อาจารย์ ข้าสามารถรับประกันให้ได้ตั้งแต่ตอนนี้เลยว่า สำนักเบื้องล่างใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบปีก็จะสามารถเปิดโรงฝากเงินที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ในใบถงทวีปได้แล้ว”
อย่าดูแคลนกิจการอย่างโรงฝากเงินบนภูเขานี้ นับแต่โบราณมาเผ่ามนุษย์ก็อยู่อาศัยติดริมน้ำ ถ้าอย่างนั้นใต้หล้านี้ยังจะมีอะไรที่ดึงดูดคนได้ดียิ่งกว่าเงินทองที่ไหลมาเทมาคล้ายเส้นทางการหาเงินน้ำไหลอีกเล่า?
แน่นอนว่าชุยตงซานต้องรู้ถึงแผนการและวัตถุประสงค์ของอาจารย์ตัวเอง
พอน่าหลันอวี้เตี๋ยได้ยินคำศัพท์คำว่า ‘เงิน’ ‘ส่วนแบ่ง’ ก็ดึงความสนใจของนางไปได้ง่ายที่สุด นางรีบกลืนเกี๊ยวที่อยู่ในปาก ร้องไชโยเสียงดัง แม่นางน้อยสีหน้าสดใสมีชีวิตชีวา สองตาฉายประกายเจิดจ้า
ชุยตงซานหมุนตัวกลับมายิ้มพลางกุมมือคารวะคนโลภมากตัวน้อย
อาจารย์ของแม่นางน้อยในทุกวันนี้เป็นถึงสหายหลิงชุน ผู้คุมกฎแห่งภูเขาลั่วพั่วเชียวนะ!
เฉินผิงอันจิบน้ำแกงแก้หนาวหนึ่งคำ ชุยตงซานนั่งลงแล้วก็เอ่ยต่อว่า “ข้าถูกใจภูเขาสองลูกที่อยู่ในอาณาเขตหนันฉีเก่า หนึ่งคืออดีตขุนเขากลาง อีกหนึ่งคือภูเขาทายาทของอดีตขุนเขาตะวันตก นับว่าพอใช้ได้ เพียงแต่ว่าทุกวันนี้ที่นั่นวุ่นวาย ชะตาแคว้นขาดสะบั้นไปแล้ว ไม่อาจเทียบกับเป่ยจิ้นที่เป็นสายบัวขาดแต่ยังเหลือใย ฮ่องเต้พระองค์ใหม่คือญาติจากฝั่งมารดา ดำรงตำแหน่งอย่างไม่ถูกต้องชอบธรรม ถูกขุนนางเก่าของราชวงศ์ก่อนพากันรังเกียจ ในราชสำนักเกิดเป็นคลื่นใต้น้ำ หากไม่มีเวลาสามปีห้าปีก็อย่าหวังว่าจะอยู่อย่างสงบได้ ต่อให้ข้าคิดอยากจะฉวยโอกาสปล้นตอนไฟไหม้ ก็ยังกังวลว่ากางเกงจะเปรอะดินเหลืองหรือไม่ กลายเป็นว่าทำให้ทุกฝ่ายไม่พอใจ ดังนั้นพอคิดไปคิดมาก็คิดว่ายังไม่มีความจำเป็น รอให้สถานการณ์ทางฝั่งนั้นมั่นคงก่อนค่อยว่ากันก็แล้วกัน ทุกวันนี้ไม่ว่าจะลงนามในสัญญากับใคร วันต่อมาก็อาจกลายเป็นกระดาษไร้ค่าแผ่นหนึ่งได้เสมอ”
สองแคว้นที่เชื่อมติดกันของราชวงศ์ต้าเฉวียน เป่ยจิ้นและหนันฉี ฝ่ายแรกจะดีจะชั่วก็ยังได้สืบทอดชะตาแคว้น ทว่าเมืองหลวงแคว้นหนันฉีเก่า เนื่องจากในอดีตตกเป็นที่ตั้งฐานทัพของกองทัพกองหนึ่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ในอาณาเขตของแคว้น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำ เทพอภิบาลเมืองเทพแห่งผืนดิน ล้วนถูกเผ่าปีศาจยึดครอง ทุบทำลายร่างทองขององค์เทพไปนับไม่ถ้วน เป็นเหตุให้จักรพรรดิพระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ก่อตั้งรัชศกเป็นของตัวเอง ก็ยอมที่จะสร้างแคว้นในนครแห่งหนึ่งตั้งตนเป็นกษัตริย์ จัดงานพิธี แต่ไม่ยินดีจะไปตั้งรกรากอยู่ในเมืองหลวงเก่าเด็ดขาด รังเกียจว่ามีแต่กลิ่นอายอัปมงคล จึงทิ้งไปไม่สนใจอีก สองปีมานี้จับเอาตรงโน้นมาผสมกับตรงนี้ จากนั้นก็ยืมเงินกู้ภายนอกก้อนใหญ่มาจากสกุลเหยาต้าเฉวียน ยังมอบผลประโยชน์อีกไม่น้อยออกไปอย่างลับๆ เมื่อปลายปีก่อนถึงได้ลงมือสร้างเมืองหลวงแห่งใหม่ขึ้นมา หากไม่ทันระวังก็อาจกลายไปเป็นแคว้นใต้อาณัติของสกุลเหยาต้าเฉวียนได้
ชุยตงซานไม่ใช่ซานจวินใหญ่แห่งห้าขุนเขาอย่างเว่ยป้อ ไม่เคยต้องจัดการกับภูเขาใต้การปกครองของตน แล้วก็ไม่มีวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตเหมือนอย่างบรรพบุรุษย้ายขุนเขา ดังนั้นเรื่องการย้ายขุนเขาเก่าแห่งนี้จึงสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงและเงินทองของชุยตงซานไปไม่น้อย ต้องจัดวางค่ายกลใหญ่ก่อน รวบรวมรากภูเขาทั้งหมดมาไว้ด้วยกัน จากนั้นค่อยร่ายเวทเขาพระสุเมรุเมล็ดงาของลัทธิพุทธ สุดท้ายเท่ากับว่าแบกมหาบรรพตลูกหนึ่งเดินทางกลับเหนือ ดังนั้นอย่างน้อยที่สุดระยะทางขุนเขาสายน้ำครึ่งหนึ่ง ชุยตงซานจะไม่สามารถทะยานลมได้ ได้แต่เดินเท้าอย่างเดียวเท่านั้น
เอาอย่างเซียนดินของยุคบรรพกาล ย้ายแม่น้ำลำคลอง แบกขุนเขามหาบรรพต
หลังจากปล่อยให้ภูเขาหยั่งรากลงสู่พื้นดินก็ให้พวกยันต์หุ่นเชิดอย่างเทียวซานกงหรือโมอวี๋เอ๋อร์ บ้างก็รับผิดชอบซ่อมแซมผสานรากภูเขา บ้างก็คอยโปรยฝนหรือไม่ก็รวบรวมชะตาน้ำให้กับอาณาเขตของสำนักเบื้องล่าง
ในอนาคตย้ายภูเขาสามลูกมาไว้ที่นี่ สำนักเบื้องล่างก็จะมีสถานการณ์หนึ่งหลักสองรองเกิดขึ้น
กินอาหารอิ่มหนำกันไปหนึ่งมื้อ ชุยตงซานก็นำทางพาทุกคนเดินขึ้นเขาไปเที่ยวเล่น ชุยตงซานคอยช่วยแนะนำทัศนียภาพรายทางให้ทุกคนฟัง
ในอดีตภูเขาลูกนี้คือหนึ่งในห้ามหาบรรพต ไม่มีทางที่จะมีมันเป็นภูเขาเพียงลูกเดียวอย่างแน่นอน แต่รากภูเขาทั้งสายต้องมียอดเขามากมาย ล้วนถูกชุยตงซานเปลี่ยนชื่อให้ใหม่หมดแล้ว นอกจากจะเปลี่ยนชื่อขุนเขาเก่าเป็นภูเขาเซียนตู (แดนเซียน) ภูเขาบรรพบุรุษของสำนักเบื้องล่างในอนาคตก็จะตั้งชื่อให้ยอดเขาหลักเป็นยอดเขาชิงฝู (จอกแหน) และบนยอดเขายังมีที่ราบฝูเหยา (พุ่งทะยานขึ้นสูง) อยู่ด้วย
ตรงตีนเขาของยอดเขารองยังมีลำคลองอีกสายหนึ่ง บริเวณใกล้เคียงถูกชุยตงซานตั้งชื่อให้ว่าหาดลั่วเป่า (สมบัติร่วงลงมา)
พอเสี่ยวโม่ได้ยินชื่อว่า ‘หาดลั่วเป่า’ ก็อึ้งตะลึงไปทันที คล้ายจะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของเสี่ยวโม่ที่อยู่ด้านหลัง ห่านขาวใหญ่ที่เดินสะบัดชายแขนเสื้ออยู่ด้านหน้าสุดก็ใช้เสียงในใจพูดกลั้วหัวเราะว่า “อาจารย์เสี่ยวโม่อย่าได้คิดมาก ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับสายมรรคกถาของหาดลั่วเป่าถ้ำปี้เซียวของนักพรตจมูกโคหน้าเหม็นผู้นั้นหรอก ข้าก็แค่ตั้งชื่อหวังให้เป็นนิมิตหมายที่ดีเท่านั้น”
ในยุคบรรพกาลอันห่างไกลที่เผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจอยู่ปะปนกันในโลกมนุษย์ ส่วนบนฟ้าก็มีทวยเทพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถ้ำปี้เซียวข้างหาดลั่วเป่า นับแต่ออกจากถ้ำมาก็ไร้ศัตรูทัดทาน จุดใดที่ละเว้นได้กลับไม่ละเว้น ยามที่หลีกทางให้ได้กลับไม่หลีกทางให้
เวลานั้นนักพรตในใต้หล้า พวกเซียนดิน ขอแค่ได้เจอกับท่านผู้นั้นก็จะต้องหวาดเกรงขวัญผวา
แน่นอนว่าเสี่ยวโม่คือข้อยกเว้น เพียงแต่ว่าทั้งสองฝ่ายทั้งไม่เคยประลองมรรคกถากัน แล้วก็ไม่ได้ถามกระบี่กัน เอาเป็นว่าพูดคุยกันถูกคอไม่เลว นับว่าค่อนข้างจะถูกชะตากันมาก เสี่ยวโม่ยังเคยหมักเหล้ากับนักพรตชุดเขียวคนนั้นที่หาดลั่วเป่านอกถ้ำปี้เซียวด้วย
เฉินหลิงจวินเดินอยู่ข้างกายห่านขาวใหญ่ ชายแขนเสื้อกว้างสองข้างสะบัดดั่งพึ่บพั่บ
อาจารย์เจิ้งที่มีลำดับศักดิ์เป็นศิษย์หลานก็บอกแล้วไม่ใช่หรือว่า นี่เรียกว่ามังกรโบยบินบนฟ้าเมฆฝนก่อตัวหนาแน่น ยามฟ้าแลบปลาบกลางสายฝนยินยลเสียงคำรามแว่ว
ชุยตงซานหันหน้ามามองเทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ย ยิ้มตาหยีถามว่า “ผู้ดูแลรอง ชุดคลุมที่มองดูแล้วมีค่ามากตัวนั้นล่ะ ไม่เอาออกมาสวมบนร่าง ตากแดดตากแสงจันทร์บ้างหรือ?”
เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยใช้เสียงในใจตอบคำถามอย่างขลาดๆ “คำสั่งสอนของชุยเซียนซือ ผินเต้าจดจำไว้ขึ้นใจมาโดยตลอด คอยเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าเปลี่ยนจากประหยัดมาเป็นฟุ่มเฟือยนั้นง่าย แต่เปลี่ยนจากฟุ่มเฟือยไปเป็นประหยัดนั้นยาก”
ที่แท้ก่อนจะลงจากเรือข้ามฟาก นักพรตตาบอดก็ได้ถอดชุดเต๋าหรูหราตัวนั้น เปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าเรียบง่ายของตัวแทนเถ้าแก่แห่งตรอกฉีหลงแทนแล้ว
“ตรงตีนเขามีเส้นทางของตีนเขา ตรงกลางภูเขาก็มีหลักการของกลางภูเขา อย่าได้คร่ำครึเกินไป ในเมื่อได้เป็นผู้ดูแลอันดับสองของเรือข้ามฟากเฟิงยวนแล้ว คนอาศัยการแต่งกาย พระพุทธรูปอาศัยการประดับทอง อย่าให้ดูแร้นแค้นเกินไปนัก วันหน้าหากเทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยต้องคอยคบค้ากับผู้คนจากทั่วสารทิศ คิดดูแล้วย่อมต้องเจอกับพวกที่ชอบประจบสอพลอคนมีอำนาจอย่างเลี่ยงไม่ได้ อย่าทำให้การค้าเกิดข้อผิดพลาดเพียงแค่เพราะการแต่งกายเด็ดขาดเชียว”