กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 892.2 สำนักกระบี่ชิงผิง
ชุยตงซานไม่ได้ใช้เสียงในใจมาตั้งแต่แรก ยิ้มพูดหน้าทะเล้นว่า “การแต่งกายมอซอ สามารถเปลี่ยนชุดคลุมอาคมใหม่ได้ แต่กลิ่นอายความยากจนนั้นยากจะลดทอนลงได้ แบบนั้นก็ไม่ดีแล้ว”
ผลคือชุยตงซานถูกอาจารย์ตบป้าบเข้าที่ท้ายทอย
เฉินผิงอันเอ่ยสั่งสอน “เป็นถึงเจ้าสำนักแล้ว ใครสั่งใครสอนให้เจ้าหัดพูดจาเหน็บแนมคนอื่นกันห๊ะ”
เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยแอบกลืนน้ำลายให้ลำคอชุ่มชื้น ก่อนจะพูดเสียงดังกังวานว่า “เจ้าขุนเขา เจ้าสำนักชุยพูดได้ถูกต้องแล้ว หากไม่เห็นผินเต้าเป็นคนกันเอง ไหนเลยจะยอมเอ่ยถ้อยคำล้ำค่าที่หากฟังปราดๆ แล้วระคายหูพวกนี้ออกมา”
เฉินผิงอันเงียบงัน
ผู้คุมกฎฉางมิ่งคลี่ยิ้มหวาน
น่าหลันอวี้เตี๋ยหยิบพู่กันและแผ่นไม้ไผ่ชิ้นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ เริ่มจดบันทึกตัวอักษรลงไป
ก่อนหน้านี้เจ้าขุนเขาหนุ่มไปที่ตรอกฉีหลงเพื่อเชื้อเชิญเทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยให้ออกจากเขาด้วยตัวเอง หลังจากรับปากว่าจะรับหน้าที่เป็นผู้ดูแลระดับรองของเรือข้ามฟากแล้ว เจี่ยเฉิงก็เข้าครัวด้วยตัวเอง ทำกับแกล้มเต็มโต๊ะ เรียกลูกศิษย์สองคนอย่างจ้าวเติงเกาและเถียนจิ่วเอ๋อร์มาด้วย เทพเซียนผู้เฒ่าไม่ได้พูดมากอย่างที่หาได้ยาก เพียงแค่ดื่มสุราคารวะอยู่หลายครั้ง ถ้อยคำที่ใช้ยามดื่มสุราคารวะ เมื่อเทียบกับเปิดปากเหมือนดอกบัวผลิบานอย่างก่อนหน้านี้แล้วก็เห็นได้ชัดว่าเป็นถ้อยคำที่ธรรมดาอย่างมาก แค่ขอบคุณที่ปีนั้นเจ้าขุนเขายินดีรับตัวพวกเขาอาจารย์และศิษย์สามคนเอาไว้ ให้พวกเขาได้มีที่พักพิง ไม่ต้องพเนจรร่อนเร่กันอีกต่อไป อีกทั้งยังขอบคุณที่ตลอดหลายปีมานี้ภูเขาลั่วพั่วปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างดี ให้พวกเขาได้มีชีวิตที่สงบสุข ไม่มีความรู้สึกว่าต้องมาพึ่งพาอยู่ใต้ชายคาของคนอื่นแม้แต่น้อย ไม่ใช่แค่เหมือนบ้าน แต่คือบ้านจริงๆ แล้ว
สุดท้ายนักพรตเฒ่าลุกขึ้นยืน ถือจอกสุราคารวะฟ้าดินสี่ทิศ บอกว่าต้องขอบคุณที่สวรรค์ลืมตา ให้ตนโชคดีได้มาที่นี่ โชคดีได้พบเจ้าขุนเขาเฉิน โชคดีได้เจอกับทุกคนของภูเขาลั่วพั่ว
ทุกคนเดินทางขึ้นสู่ที่สูงกันอีกครั้ น่าเสียดายที่วัตถุดิบเซียนต้นไม้ใหญ่ในภูเขาถูกตัดไปจนหมดสิ้นแล้ว หอเรือนศาลาหรูหราโอ่อ่าจำนวนนับไม่ถ้วนถูกทำลายจนไม่หลงเหลืออยู่เลย เหลือเพียงร่องรอยฐานที่ตั้งของพวกมันเท่านั้น แม้แต่ตัวอักษรที่แกะสลักลงบนหน้าผาก็ยังหนีไม่พ้นหายนะครั้งนั้น บ้างก็ถูกเวทคาถาของเผ่าปีศาจปาดทิ้งจนราบเรียบ ไปถึงทางเล็กริมลำธารที่สูงกว่าตำแหน่งกึ่งกลางภูเขาไปเล็กน้อยซึ่งสูงกว่าเส้นทางนกบินแล้ว ศาลาชมทัศนียภาพริมหน้าผาและหอหลังเล็กริมน้ำต่างก็หายสาบสูญไปสิ้น มีเพียงเมฆาขาวนอกภูเขาที่บินผ่านไปช้าๆ เท่านั้น
เด็กหนุ่มชุดขาววักน้ำขึ้นมาหนึ่งกอบกำมือ ยิ้มเอ่ย “อาจารย์ น้ำนี้เอามาหมักเหล้าต้มชา ล้วนไม่เลว ลำธารสายนี้ถึงฤดูน้ำหลากน้ำไม่ท่วม ถึงช่วงหน้าแล้งก็ไม่แห้งขอด เป็นสถานที่ที่ยังพอใช้ได้ซึ่งเหลืออยู่ไม่มากในภูเขา อีกทั้งยิ่งเป็นช่วงท้าย ระดับน้ำไหลของลำธารสายนี้ก็จะยิ่งสูงมากขึ้นเรื่อยๆ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “เรื่องของการหมักเหล้าชงชา ข้าพอจะถือว่ามีฝีมือชำนาญได้อยู่บ้าง”
ชุยตงซานเอียงฝ่ามือ ลุกขึ้นยืน “วันหน้าข้าจะมาตั้งป้ายศิลาในบริเวณใกล้เคียงนี้ รวบรวมตัวอักษรกับคนบางคน จะแกะสลักกวีท่องแดนเซียน (หรืออีกชื่อคือกวีโหยวเซียน) หนึ่งบท เขียนว่า…อาจารย์ ไม่สู้ท่านลองแต่งสักบทหนึ่ง?”
คนบางคนที่ชุยตงซานพูดถึงก็น่าจะเป็นชุยฉานแล้ว
เวลานี้มีคนอยู่เยอะ เขาจึงไม่สะดวกจะเรียกอีกฝ่ายตรงๆ ว่าตะพาบเฒ่า
พอได้ยินว่าเจ้าขุนเขาหนุ่มจะร่ายบทกวี
เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยก็ร้องเสียงดังว่าดี เฉินหลิงจวินรีบผสมโรงทันที
น่าหลันอวี้เตี๋ยกับเจ้าอ้วนน้อยเฉิงเฉาลู่ตบมือรัวๆ
เฉินผิงอันหน้าดำทะมึน
โชคดีที่หมี่ลี่น้อยไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองเสี่ยวโม่
เป็นการบอกเสี่ยวโม่อย่างเป็นนัยๆ ว่า หนังสือที่เจ้าเก็บไว้ในทะเลสาบมีมากมาย รีบเปิดหาเร็วๆ เข้า ช่วยทำเรื่องนี้แทนหน่อย ช่วยกู้หน้าให้ข้าที เอากลอนท่องแดนเซียนตรงโน้นมาประกอบกับตรงนี้ แค่ให้ผ่านเหตุการณ์เฉพาะหน้านี้ไปได้ก็พอ
เสี่ยวโม่ที่เดิมทีบนใบหน้ายังมีรอยยิ้มคลุมเครืออยู่บ้างเข้าใจผิดคิดว่าคุณชายรังเกียจที่ตนไม่ให้การสนับสนุนมากพอจึงรีบกอดไม้เท้าเดินป่าไว้ในอ้อมอก ยกมือสองข้างขึ้นปรบกันเบาๆ แสดงให้รู้ว่ากำลังรอคอยอยู่
เฉินผิงอันขยับเดินนำไปก่อน ทิ้งไว้เพียงประโยคเดียวว่า “เหลือค้างไว้ก่อน”
เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยลูบหนวดยิ้ม เอ่ยกับเสี่ยวโม่ที่อยู่ด้านข้างเสียงเบาว่า “เจ้าขุนเขาต้องมั่นใจอย่างมากแล้วแน่นอน”
อันที่จริงเฉินผิงอันร่างบทกวีไว้ในใจแล้ว ก็แค่แต่งกลอนขำๆ ใครบ้างทำไม่ได้? เพียงแต่ว่ามีอาจารย์จ้งและลูกศิษย์อย่างเฉาฉิงหล่างอยู่ด้วย ถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็ไม่กล้าทำตัวขายหน้า
เสี่ยวโม่เริ่มพลิกเปิดตำราที่เก็บไว้ในใจ บทคำเขียวกลอนท่องแดนเซียนมีมากมายเลยล่ะ เขาจึงพยักหน้าเอ่ยว่า “ไม้โบราณเสียดฟ้าพาดสะพานสู่ห้องเมฆา ดุจดินแดนแห่งเซียนของเจินหลิง”
เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยทำท่าครุ่นคิดก่อนพยักหน้า “น้องเสี่ยวโม่ บังเอิญเอาบทกวีของติงเหยียนหลิงมาเป็นบทเปิดฉากก็เข้ากับบรรยากาศมากจริงๆ”
ชุยตงซานสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อาจารย์ การจัดตำแหน่งที่นั่งหน้าประตูภูเขาเมื่อครู่นี้ไม่ค่อยเหมือนภูเขาลั่วพั่วเท่าไร”
การจัดการของชุยตงซานสอดคล้องกับกฎเกณฑ์ของใต้หล้าไพศาลอย่างมาก ดังนั้นจึงดูแตกต่างจากของภูเขาลั่วพั่ว
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “รับปากเจ้าไว้นานแล้วว่า กิจธุระของสำนักเบื้องล่าง เจ้าสามารถตัดสินใจได้เองเลย ข้าไม่บังคับกะเกณฑ์เจ้าหรอก”
ในภูเขาลั่วพั่ว ผู้คนสามัคคีปรองดอง บรรยากาศกลมเกลียว ขอบเขตของผู้ฝึกตนและผู้ฝึกยุทธล้วนไม่นับเป็นอะไรได้ แน่นอนว่าจึงไม่ค่อยพิถีพิถันในการแบ่งตำแหน่งหลักรอง ลำดับอาวุโสสูงต่ำ หรือแบ่งแยกความใกล้ชิดความห่างเหินสักเท่าไร
แต่เฉินผิงอันไม่คิดว่าสำนักเบื้องล่างจะต้องเอาอย่าง ทุกเรื่องล้วนทำตามสำนักเบื้องบนอย่างเดียวเท่านั้น
เว้นเสียแต่ว่าวันไหนเฉินผิงอันรู้สึกว่าสำนักเบื้องล่างเกิดปัญหาบางอย่างถึงจะแหกกฎตัดสินใจเผด็จการ
ไปถึงที่ราบฝูเหยาบนเนินเขา เฉินผิงอันหยิบของสองสิ่งออกมามอบให้กับชุยตงซาน
“ถือเสียว่าเป็นของขวัญอวยพรที่ข้ามอบให้ล่วงหน้าก็แล้วกัน ถึงเวลานั้นเมื่อจัดงานเฉลิมฉลองยังจะมีอีกชิ้นหนึ่ง ไม่นับรวมกัน”
กลอนคู่บทหนึ่งที่อู๋ซวงเจี้ยงมอบให้
กระบี่บินสิบสองเล่มของนครอวี้ป่านราชวงศ์อวิ๋นเหวิน
เด็กหนุ่มชุดขาวเก็บมาใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ประสานมือคารวะอาจารย์
ถ้ำสวรรค์ที่ได้มาจากมือของเถียนหว่าน ยังไม่ ‘สัมผัสกับพื้นดิน’ ชุยตงซานยังต้องจัดวางภูเขาสายน้ำให้ร้อยเรียงต่อเนื่องกัน
เฉินผิงอันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ก็ยิ้มถามชุยตงซานว่า “เวทกระบี่ของจูเหลี่ยน อันที่จริงร้ายกาจมากหรือ?”
เพราะคราวก่อนที่เจ้าอารามผู้เฒ่าไปเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่วได้หยุดพักอยู่ที่หน้าประตูภูเขา เพียงแค่ดื่มชาเท่านั้น และได้คุยเล่นกับ ‘คนบ้านเดียวกัน’ ที่มีชาติกำเนิดมาจากพื้นที่มงคลอย่างจูเหลี่ยน เป็นฝ่ายเอ่ยถึงเวทกระบี่ของจูเหลี่ยน แล้วยังถามจูเหลี่ยนด้วยว่าจะเลือกตัวอ่อนเซียนกระบี่เก้าคนเป็นลูกศิษย์หรือไม่ ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่คนหนึ่งย่อมไม่มีทางพูดจาเหลวไหลอย่างส่งเดชแน่นอน
ปีนั้นเฉินผิงอันพลัดหลงเข้าไปในพื้นที่มงคลดอกบัว แค่เคยได้ยินฉายาคนคลั่งวรยุทธกับคุณชายผู้สูงศักดิ์ของจูเหลี่ยนเท่านั้น อย่างมากสุดก็เป็นเรื่องที่พ่อครัวเฒ่าออกท่องยุทธภพครั้งแรกแล้วพกกระบี่ออกเดินทางไกล เคยสร้างหนี้รักไว้กองใหญ่
ชุยตงซานกล่าว “เวทกระบี่ของจูเหลี่ยนคู่ควรกับคำว่า ‘เลิศล้ำ’ คือผู้ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ด้านเวทกระบี่ในประวัติศาสตร์ของใต้หล้าก่อนหน้าติงอิง ก็เหมือนบนกลุ่มยอดเขาที่จู่ๆ ก็มียอดเขาหนึ่งโผล่พรวดขึ้นมา”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างกังขา “ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงไม่เคยเห็นจูเหลี่ยนฝึกกระบี่เลยเล่า?”
กลับเป็นทุกครั้งที่เห็นถ่านดำน้อยร่ายวิชากระบี่มารคลั่ง ก็เป็นพ่อครัวเฒ่าที่ฮึกเหิมที่สุด ให้การสนับสนุนมากที่สุด ประจบสอพลอจนเกินกว่าเหตุมากที่สุด
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “คงเป็นเพราะพ่อครัวเฒ่ารู้สึกว่าเรื่องอย่างการฝึกกระบี่ไม่ได้มีความหมายอะไรแล้วกระมัง”
เฉินผิงอันทอดถอนใจ “คนเปรียบกับคนช่างชวนให้คนโมโหตายจริงๆ”
ไกลมีจูเหลี่ยน ใกล้มีลูกศิษย์อย่างเผยเฉียน ทุกวันนี้ข้างกายยังมีไฉอู๋เพิ่มมาอีกคนหนึ่ง
ชุยตงซานไม่ได้หยุดอยู่ที่ที่ราบฝูเหยานานนัก เพียงไม่นานก็เอ่ยขอตัวลากลับไป พาทุกคนลงจากภูเขาไปทำงานกันต่อ ทุกวันนี้แต่ละคนแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจนแล้ว มีงานมากมายล้นมือ
ชุยตงซานยังลากเอากลุ่มอาจารย์และศิษย์ของหลูป๋ายเซี่ยงสามคนไปด้วย
กิจธุระทุกอย่างของสำนักเบื้องล่างล้วนเป็นชุยตงซานที่ลงมือทำด้วยตัวเอง ทุ่มเทอย่างสุดความสามารถ ภูเขาลั่วพั่วที่เป็นสำนักเบื้องบน ดูเหมือนว่าจะได้แต่มอบคำว่าสำนักให้เท่านั้น
เฉินผิงอันมองแผ่นหลังของหลูป๋ายเซี่ยงอาจารย์และศิษย์สามคน ดูเหมือนว่าตั้งแต่ที่พบเจอกันที่ท่าเรือจนถึงตอนนี้ที่ติดตามหลูป๋ายเซี่ยงเดินออกไปจากยอดเขา หยวนเป่าจะไม่ได้มองเฉาฉิงหล่างสักเท่าไรเลย
ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องเดาแล้ว เทพรายงานข่าวอย่างหมี่ลี่น้อยต้องพูดถูกแล้วแน่นอน มีเรื่องนี้อยู่จริงๆ เสียด้วย
เพียงแต่เรื่องแบบนี้ คนนอกนอกจากจะรู้แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้แล้ว ยังจะทำอะไรได้อีกเล่า
เฉินผิงอันมองไปยังภูเขาลูกหนึ่งที่อยู่ใกล้กับยอดเขาชิงผิง ดูเหมือนว่าที่นั่นจะถูกสุยโย่วเปียนเก็บเข้ากระเป๋าไปแล้ว บนยอดเขาที่คล้ายคลึงกับที่ราบฝูเหยาถูกนางตั้งชื่อให้ว่าหอซ่าวฮวา (กวาดดอกไม้)
ลมภูเขาพัดผ่านป่าที่มีแต่กิ่งไม้แห้งเหี่ยว ส่งเสียงแสกสากราวกับมีคนมาเยือน
เรือข้ามฟากเฟิงยวนเดินทางข้ามทวีปไปกลับครั้งหนึ่ง หากไม่พิจารณาถึงช่วงเวลาที่เรือจอดเทียบท่า ทุกครั้งจะใช้เวลาประมาณเดือนกว่า เพียงแต่ว่าระหว่างนี้ยังต้องเดินทางผ่านท่าเรือบนภูเขาอีกสิบเจ็ดแห่ง บรรจุสิ่งของลงบนเรือต้องสิ้นเปลืองเวลาอยู่บ้าง ดังนั้นเดินทางรอบหนึ่งจึงใช้เวลาประมาณสองเดือน ปีหนึ่งเดินทางสามครั้งก็ใช้เวลาไปถึงครึ่งปีเต็มแล้ว ปีนั้นเรือข้ามฟากข้ามทวีปที่ทำการค้ากับกำแพงเมืองปราณกระบี่ ส่วนใหญ่แล้วในปีหนึ่งจะไปกลับภูเขาห้อยหัวสองครั้งเท่านั้น
ก่อนที่เจ้าอารามผู้เฒ่าจะออกไปจากภูเขาลั่วพั่ว สุดท้ายได้มีข้อเรียกร้องอย่างหนึ่ง ให้ชุยตงซานและจูเหลี่ยนนำความมาบอกแก่เฉินผิงอันว่า อารามจินติ่งจะอยู่หรือไปในใบถงทวีป ไม่สำคัญ แต่จำเป็นต้องเก็บเส้ายวนหรานผู้นั้นเอาไว้
ความนัยในถ้อยคำนี้ก็คือไม่ว่าภูเขาลั่วพั่วจะประลองเวทคาถากับอารามจินติ่งอย่างไร ไม่ว่าฝ่ายหลังจะมีคนตายไปกี่มากน้อย จะรื้อถอนศาลบรรพจารย์ก็ได้ไม่มีปัญหา แต่ห้ามแตะต้องเส้ายวนหรานผู้นี้ การสืบทอดที่แท้จริงของอารามจินติ่ง มิอาจปล่อยให้ควันธูปขาดสะบั้นได้ และระบบลัทธิเต๋าของอารามจินติ่งก็มีความลึกลับอำพรางอย่างมาก สามารถย้อนสืบไปถึงพรรคโหลวกวนสายของการ ‘ผูกหญ้าเป็นหอเรือน มองดาวพิศลมปราณ’ ได้
แผนการที่เฉินผิงอันกำหนดไว้กับชุยตงซานก่อนหน้านี้ก็คือเลือกที่ตั้งของสำนักเบื้องล่าง ยึดครองตำแหน่ง ‘เทียนเฉวียน’ ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างตัวดาวเป่ยโต้วกับปลายด้ามของดาวเป่ยโต้ว (เพราะดาวเป่ยโต้วถูกเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าดาวกระบวยเหนือ หรืออีกชื่อคือดาวจระเข้ ดาวหมีใหญ่) ไม่เพียงแต่ปกป้องภูเขาไท่ผิงไว้ได้ ยังสามารถทำลายการจัดวางเจ็ดปรากฎสองอำพรางของอารามจินติ่งได้อย่างสิ้นเชิงด้วย
รอกระทั่งชุยตงซานเลือกสถานที่แห่งนี้เป็นที่ก่อตั้งสำนัก คิดดูแล้วตู้หันหลิงแห่งอารามจินติ่งก็น่าจะโล่งใจได้บ้างไม่มากก็น้อย
แต่วันหน้าทั้งสองฝ่ายก็ถือว่าเป็นเพื่อนบ้านกันครึ่งตัวแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าตู้หันหลิงจะมาร่วมแสดงความยินดีด้วยตัวเอง หรือจะส่งผู้ถวายงานอย่างหลูอิงที่เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของอารามมาหยั่งเชิงแทน
หมี่อวี้มาหาเฉินผิงอัน เอ่ยเสียงเบาว่า “ใต้เท้าอิ่นกวาน ข้ามีข้อเสนอแนะที่ไม่ค่อยแน่ใจนักข้อหนึ่ง”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่ค่อยแน่ใจ? งั้นรอให้แน่ใจก่อนแล้วค่อยมาพูดกับข้าก็แล้วกัน”
หมี่อวี้สะอึกอึ้งไปทันใด
ก่อนหน้านี้ตอนไปอยู่จวนไฉ่เชวี่ย แล้วตอนหลังที่อยู่เกาะจูไช บัญชีสองก้อนนี้เฉินผิงอันยังไม่ได้คิดกับเซียนกระบี่ใหญ่หมี่เลย
ทำลายขนบธรรมเนียมของภูเขาลั่วพั่วข้าเสียได้
หมี่อวี้แข็งใจเอ่ยว่า “ข้าอยากให้เสี่ยวโม่มาเป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสำนักเบื้องล่าง ส่วนข้าก็คงสถานะผู้ถวายงานอันดับรองของภูเขาลั่วพั่วเอาไว้ ฝึกตนอยู่ที่นี่ ขอแค่มีจุดใดที่ข้าควรออกแรง ข้าจะไม่เกียจคร้านเด็ดขาด”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เรื่องนี้ตอนนี้ยังทำไม่ได้ ข้ามีข้อตกลงร่วมกับเสี่ยวโม่ เขาจะเป็นนักรบพลีชีพอยู่ข้างกายข้า เป็นเรื่องที่กำหนดเวลาไว้แน่ชัด สถานะของผู้ถวายงานในเวลานี้ของเขาก็เป็นแค่เวทอำพรางตาอย่างหนึ่งเท่านั้น รอให้กำหนดเวลานั้นมาถึง ถึงเวลานั้นเสี่ยวโม่จะอยู่หรือไปถึงจะตัดสินใจได้อย่างแท้จริง”
หมี่อวี้กล่าว “จากนิสัยของเสี่ยวโม่ บวกกับที่เขาเองก็ถูกชะตากับภูเขาลั่วพั่วของพวกเรามากถึงเพียงนี้”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “แม้ว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นนี้ แต่หลักการเหตุผลกลับไม่ได้เป็นหลักการเหตุผลนี้”
หมี่อวี้กล่าวอย่างนับถือทั้งกายและใจ “มิน่าเล่าข้าไปถึงเรือนชุนฟานถึงเป็นได้แค่เทพทวารบาลของห้องบัญชีแห่งนั้น”
“หมี่อวี้คือหมี่ผ่าเอวของกำแพงเมืองปราณกระบี่ตลอดไป”
เฉินผิงอันเอ่ยเสริมมาอีกประโยคว่า “แล้วยังเป็นลูกพี่ใหญ่ของคฤหาสน์หลบร้อนพวกเราด้วย”
หากบอกว่าเผยเฉียนเจอกวอจู๋จิ่วแล้วปวดหัวมาก ถ้าอย่างนั้นพอเซียนกระบี่ใหญ่หมี่คิดถึงพวกผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ที่ฉลาดเฉลียวอย่างถึงที่สุดของคฤหาสน์หลบร้อนกลุ่มนั้นก็ปวดหัวยิ่งกว่า พูดจาช่างระคายหูคนเหลือเกิน อะไรที่บอกว่าเซียนกระบี่หมี่ที่ทั้งเวทกระบี่และความรักล้วนเลิศล้ำ ทั้งยังสร้างคุณูปการยิ่งใหญ่ อะไรที่บอกว่าผู้นำแห่งหยกดิบและหมู่มวลบุปผา…
เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “โจวอันดับหนึ่งได้เชิญให้เจ้าไปยังภูเขาฮวาเสินของพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาหรือไม่ เคยได้ยินเรื่องภาพแยนจือไหม?”
หมี่อวี้เอ่ยอย่างหนักแน่น “ไม่เคยเชิญ ไม่เคยได้ยินมาก่อน!”
เฉินผิงอันหัวเราะหึหึ “หมี่ลี่น้อยไม่ได้พูดแบบนี้นะ นางไม่เพียงแต่บอกว่าเจ้าเชี่ยวชาญการประลองบทกวี ความสามารถด้านการประพันธ์ใหญ่เท่าถ้วย เจ้ายังพูดจาน่าเชื่อถือ เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ป่าวประกาศไว้แล้วว่าจะพยายามอย่างสุดกำลังความสามารถอันน้อยนิดที่มีเพื่อการประเมินแยนจือแห่งภูเขาฮวาเสินของโจวอันดับหนึ่ง”
หมี่อวี้ทำสีหน้าจนใจ แกล้งโง่ไม่รับรู้
เท้าหน้าของเซียนกระบี่ใหญ่หมี่เพิ่งจะจากไป เท้าหลังของเฉินหลิงจวินก็ตามมาติดๆ
เฉินหลิงจวินถามหยั่งเชิงว่า “นายท่าน มีเรื่องจะปรึกษาน่ะ”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “เพราะคุณสมบัติน่าตะลึง บวกกับฝึกตนอย่างยากลำบาก ก็เลยจะฝ่าทะลุขอบเขตอีกแล้วหรือ? คิดจะเดินลงน้ำอีกครั้ง?”
เฉินหลิงจวินสะอึกอึ้ง
ครั้งนี้ทำหน้าหนาขอติดตามเรือข้ามฟากเฟิงยวนเดินทางลงใต้มายังใบถงทวีป แน่นอนว่าเฉินหลิงจวินย่อมมีใจเห็นแก่ตัว เพียงแต่ว่าเรื่องนี้ค่อนข้างลำบากใจที่จะเอ่ยปาก
เฉินผิงอันจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาของสำนักเบื้องล่าง เจ้าอย่าได้คิดเลย ข้าปรึกษากับตงซานมาก่อนแล้ว คิดว่าจะให้หงเซี่ยรับหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาบรรพบุรุษสำนักเบื้องล่าง”
เฉินหลิงจวินเกาหัว เอ่ยว่าทราบแล้ว
รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ไม่เป็นไร ความกลัดกลุ้มน้อยนิดก็เป็นแค่เรื่องของเหล้ามื้อหนึ่งเท่านั้น
ตัวเลือกคนที่จะมาเป็นผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาของสำนักเบื้องล่าง นอกจากหงเซี่ยก่อกำเนิดที่เดินลงน้ำกลายร่างเป็นเจียวได้สำเร็จแล้วยังมีเพ่ยเซียงเจ้าแห่งแคว้นหู เพียงแต่ว่าฝ่ายหลังยังรอการตัดสินใจ
เฉินผิงอันยื่นมือไปกดศีรษะของเด็กชายชุดเขียวโยกเบาๆ ยิ้มเอ่ยว่า “รอวันใดเจ้าเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบแล้วจะให้เจ้าเป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายของภูเขาลั่วพั่ว ก็เป็นผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาเหมือนกันไม่ใช่หรือ? ตำแหน่งขุนนางยังใหญ่กว่าด้วย”
เฉินหลิงจวินที่หัวโยกไปมารู้สึกเวียนหัวอยู่บ้าง
เฉินผิงอันบอกตามตรงว่า “เรื่องนี้เป็นหมี่ลี่ที่ช่วยแนะนำให้อย่างเต็มที่ เผยเฉียนก็เห็นด้วย หน่วนซู่ไม่เห็นค้าน ในเมื่อเจ้าสยบใจผู้คนได้มากขนาดนี้ ข้าจึงตอบตกลงไปแล้ว”
ใครบ้างไม่รู้ว่าสายเรือนไม้ไผ่ของภูเขาลั่วพั่วเป็นสายที่ได้รับความรักความเอ็นดูที่สุดและพูดจาได้ผลที่สุดกับเจ้าขุนเขา?