กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 893.2 ยอดฝีมือนอกโลก
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มกล่าว “ไม่รีบร้อน พวกเราไปดูกันก่อนว่าเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้นท่านนี้คบค้ากับฝู่จวินเหนียงเนียงผู้นั้นอย่างไร วางใจเถอะ อาจารย์พ่อต้องปกป้องสถานที่ฝึกตนที่ฉิวน้อยและเห็ดหลิงจือมีชีวิตพึ่งพากันและกันให้ได้แน่นอน จะพยายามไม่ให้คนนอกรบกวนการเปิดสติปัญญาและการหลอมเรือนกายของทั้งสองฝ่ายหลังจากนี้”
เรื่องราวบนโลกก็ประหลาดนัก มนุษย์ฝึกตน คนไม่ใช่คน เผ่าพันธุ์ภูตกลับกลายเป็นว่ามีความใกล้เคียงมนุษย์มากยิ่งกว่า
เผยเฉียนพยักหน้ารับ
ออกท่องยุทธภพกับอาจารย์พ่อนั้นสบายใจที่สุดแล้ว
ขุนเขาสายน้ำ มองดูแล้วน่ารักน่าใกล้ชิดกว่ามากนัก
ช่วงเวลาที่อาจารย์พ่อไม่ได้อยู่ในใต้หล้าบ้านเกิด
เผยเฉียนไปเที่ยวเยือนแจกันสมบัติทวีป อุตรกุรุทวีป ธวัลทวีป ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เกราะทองทวีป ทักษินาตยทวีปและใบถงทวีปมาแล้ว
เก้าทวีปของไพศาลมีเพียงฝูเหยาทวีปและหลิวเสียทวีปเท่านั้นที่ไม่เคยเหยียบย่างไปเยือน
ตามคำกล่าวของพ่อครัวเฒ่า ในภูเขาลั่วพั่วบ้านตน แม้แต่ศิษย์พี่เล็กที่เคยไปเยือนขุนเขาสายน้ำของห้าทวีปก็ยังไม่เคยไปเที่ยวได้หลายสถานที่เท่านาง
ส่วนใหญ่ล้วนเป็นนางที่ไปเพียงลำพัง
โดยไม่ทันรู้ตัว นางก็เปลี่ยนจากถ่านดำน้อยในปีนั้นมาเป็นเด็กสาวสูงโปร่งสะโอดสะอง แล้วจึงกลายมาเป็นหญิงสาวอย่างในทุกวันนี้แล้ว
ขุนเขาเก่าสายน้ำซ้ำและคนคนเดิม
ขึ้นเขาลงห้วย นอกจากตลาดล่างภูเขาแล้วก็ยังได้เจอกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผีวิญญาณและภูตประหลาดจากที่ต่างๆ มาไม่น้อย
ผีสาวในน้ำ นอนอยู่บนน้ำครึ่งตัว คล้ายกับใช้ผิวน้ำต่างกระจก ส่องกระจกหวีผมประทินโฉม เส้นผมสีนิลประดุจพืชน้ำที่ส่ายไหว
ในป่าเก่าแก่โบราณที่ตัดขาดจากโลกภายนอกมีภูตภูเขาที่เชี่ยวชาญด้านยันต์อักขระโบราณ หล่อหลอมเรือนกายมาได้นานเป็นพันปี เชี่ยวชาญเวทกระบี่ มันพุ่งทะยานจากยอดเขามาที่จวนกึ่งกลางภูเขา เรือนกายกับแสงกระบี่เหมือนผ้าแพรสีขาวเส้นหนึ่งที่แขวนห้อยอยู่ระหว่างหน้าผาสีดำ
เห็นว่าสีหน้าของอีกฝ่ายไม่สบอารมณ์ คงจะคิดว่ามีคนบุกเข้ามาในบ้านตัวเองโดยพลการจึงอารมณ์ไม่ดี เดิมทีเผยเฉียนก็แค่ผ่านทางมาเท่านั้น จึงเอ่ยขออภัยผู้เฒ่าชุดขาวที่จำแลงกายมาจากภูตภูเขาแล้วเตรียมจะจากไป เพียงแต่อีกฝ่ายไม่ยอมเลิกรา พกกระบี่มาขวางทางนางอยู่หลายครั้ง ถึงอย่างไรก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีคนรู้เรื่องการพบเจอกันบนทางแคบครั้งนี้ เผยเฉียนจึงคิดว่าจะประทานวิชากระบี่มารคลั่งให้อีกฝ่ายสักชุด คิดไม่ถึงว่าต่อให้นางจะกดขอบเขตไว้สองขั้นก็ยังเอาชนะอีกฝ่ายได้
ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันไม่รู้เรื่อง แต่พออีกฝ่ายพ่ายแพ้ดันไม่โกรธ กลับยังดีใจมาก อีกทั้งความตกตะลึงบนใบหน้ายังดูจริงใจอย่างมาก หนังหน้าหนาใช้ได้เลย
มันเกาหูเกาแก้ม ใช้มือเท้าทำท่าทางประกอบ แต่ก็ยังบอกกล่าวได้ไม่ชัดเจน สุดท้ายจึงใช้สองมือประคองกระบี่โบราณที่อยู่ในมือขึ้นมา คงอยากจะให้เซียนกระบี่หญิงท่านนั้นถ่ายทอดเวทกระบี่ชั้นสูงบทนี้ให้ เพื่อเป็นค่าตอบแทน มันสามารถมอบกระบี่เล่มนี้ให้ได้ แต่เผยเฉียนไม่ได้สนใจมัน ทะยานลมจากไปทันที
เวทกระบี่มารคลั่งชุดนั้นก็เป็นแค่วิชากระบี่ที่นางคิดค้นเล่นๆ ตอนเป็นเด็กเท่านั้น มันมีหน้าเรียน เผยเฉียนกลับไม่มีหน้าจะสอน
ในวัดแห่งหนึ่ง หลัวฮั่นห้าร้อยที่อยู่ในโถงหลัวฮั่นต่างก็ถูกทำลายหมดสิ้นท่ามกลางไฟสงคราม
ทางวัดจึงกำลังรวบรวมเงินหาตัวช่างฝีมือมาสร้างเทวรูปหลัวฮั่นขึ้นมาใหม่ คำว่าสร้างร่างทอง อันที่จริงก็คือการแปะทองคำเปลวนั่นเอง ผู้มีจิตศรัทธาที่มาร่วมบุญจะถูกบันทึกชื่อลงบนสมุดคุณความชอบ แล้วยังจะได้แกะสลักชื่อลงไปบนป้ายศิลาอีกด้วย เผยเฉียนจึงเอาเงินทองที่อยู่บนร่างทั้งหมดออกมา ทว่ากลับใช้ชื่อของอาจารย์พ่อ
นางยังบูชาตะเกียงดอกบัวดวงหนึ่ง แล้วเลือกกระดาษสีแดงหนึ่งแผ่นเอามาวางไว้ด้านใต้ตะเกียง บนกระดาษเขียนถ้อยคำมงคลที่เผยเฉียนเห็นแล้วชื่นชอบลงไปสองสามประโยค
วันนั้นบังเอิญเป็นวันที่ห้าเดือนห้าของปีพอดี
ภายหลังเผยเฉียนยังฝืนใจรับเหนียงเนียงเทพภูเขาท่านหนึ่งเป็นพี่น้อง ได้พบกับเทพอภิบาลเมืองท่านหนึ่งที่คอแข็งพอๆ กับเหล่าเว่ย บนกิ่งต้นหลิวใต้แสงจันทร์ เทพแห่งผืนดินท่านหนึ่งถึงกับคลอเคลียแนบชิดกับแม่ย่าลำคลองท่านหนึ่ง ผลคือพบว่าตรงริมน้ำมีคนนั่งตกปลาอยู่ จึงรังเกียจที่เผยเฉียนเกะกะสายตา มีซานจวินแคว้นเล็กที่สวมชุดสีม่วงรัดเข็มขัดหยกออกลาดตระเวนขุนเขาสายน้ำ ราชรถที่ใช้โอ่อ่ามากบารมี
พบเจอเรื่องราวพิสดารแปลกประหลาดมากมาย เผยเฉียนที่เดินทางท่องเที่ยวในใต้หล้าเพียงลำพังจึงไม่ถึงขั้นรู้สึกเบื่อหน่ายมากนัก แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าน่าสนใจสักเท่าไร
คิดไปคิดมา เผยเฉียนก็มีแค่ความคิดเรียบง่ายอย่างเดียว
ไม่เป็นอย่างไร ก็แค่นั้นเอง
ทะยานลมไปที่ภูเขาลูกนั้นด้วยกัน จากนั้นเฉินผิงอันก็เลือกตำแหน่งเงียบสงัดที่ไม่ไกลไม่ใกล้แห่งหนึ่ง แล้วให้เสี่ยวโม่ร่ายวิชาอภินิหารมองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามืออีกครั้ง ขณะเดียวกันก็คลี่กางภาพวาดขุนเขาสายน้ำนั้นให้เห็นด้วย
มีนักพรตชุดสีม่วงใบหน้างดงามดุจหยกคนหนึ่งกำลังเดินขึ้นมาบนทางภูเขาช้าๆ เดินมาถึงหน้าประตูศาลเทพภูเขา ในมือถือก้อนหินก้อนหนึ่งที่เก็บมาระหว่างทาง ขนาดเท่ากำปั้น เขาเดินมาถึงศาลที่ว่างเปล่าแล้วก็ทรุดตัวลงนั่งยองที่หน้าประตู วางหินก้อนนั้นลงบนธรณีประตูง่ายๆ
“วิชาในการสยบกำราบนี้ของผินเต้า ไม่พูดไม่ได้ว่า…”
นักพรตชุดม่วงมองหินธรรมดาที่ประหนึ่งยอดเขาตระหง่านอยู่บนสันเขาทอดยาวก็ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง คิดหาคำพูดเหมาะๆ ในที่สุดก็หาถ้อยคำที่ตัวเองค่อนข้างพอใจได้ “สุดยอดจริงๆ”
จากนั้นเจินเหรินพิทักษ์แคว้นที่สวมมงกุฎสีทองท่านนี้ก็นั่งอยู่บนบันไดนอกประตูด้วยความเบื่อหน่าย คล้ายกับรอเจ้าของศาลกลับมาไปพร้อมกับก้อนหินก้อนนั้น
แคว้นเพื่อนบ้านหลายแห่งที่อยู่รอบต้าเหลียงไม่มีภูเขาจวนเซียนอะไรให้พูดถึงแล้ว ส่วนฝู่จวินเหนียงเนียงเทพภูเขาที่โชคดีหลบพ้นหายนะในกลียุคมาได้คนนั้น หากไม่ผิดไปจากที่คาด อีกไม่นานนางก็จะได้เลื่อนขั้นเป็นซานจวินของหนึ่งแคว้นแล้ว ไม่มีใครมาแก่งแย่งด้วย ช่างทำให้คนอิจฉาจริงๆ
“โบราณกล่าวว่ายาอายุวัฒนะ เสื้อขนนกกลายร่างเป็นเซียนบนสวรรค์ คำกล่าวนี้ทำให้คนงมงายได้มากที่สุด ขุนเขาสูงตระหง่าน สายน้ำไหลเอื่อยเฉื่อย สายลมพัดก้อนเมฆคล้อย ต่อให้คนย่ำจนรองเท้าเหล็กสึก ท่ามกลางแสงเรืองรองและหมอกควันก็มิอาจหาพบ เสื้อกว้างเข็มขัดใหญ่ พันภูเขาหมื่นภูเขา หากนักพรตถือทิฐิไม่ตระหนักรู้ พันภูเขาหมื่นภูเขาก็จะยิ่งลึกกว่าเดิม ทุกหนทุกแห่งมีแต่มารคอยขัดขวาง หวังเพียงได้ยินเสียงไก่ขันแจ้งอรุณ ปลุกคนบนฟ้าให้ตื่นจากความฝัน…ยังขาดประโยคปิดท้ายอีกประโยคหนึ่ง ทำอย่างไรถึงจะสอดคล้องทั้งทำนองทั้งด้านจิตวิญญาณกันนะ?”
นักพรตชุดม่วงตบเข่า รู้แล้ว “ตะวันตกเมฆบังจันทร์ ดาราบางราตรีหนาหนัก โอสถทองคนรุ่นเดียวกับข้า โอสถทองหนึ่งเม็ดเจินเหรินนับหมื่นมาเข้าพบ แสงแห่งสติปัญญาส่องเปิดบุปผานับหมื่น ข้าไม่ใช่เซียนบนสวรรค์ แล้วใครจึงจะเป็นเซียนบนสวรรค์?!”
นักพรตชุดม่วงปิติยินดีอยู่กับตัวเอง พยักหน้าปรบมือยิ้มเอ่ย “ยอดเยี่ยมนัก!”
หยิบน้ำเต้าเล็กใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ น้ำเต้านี้เล็กมาก อย่างมากสุดก็น่าจะบรรจุเหล้าได้แค่สามสี่ตำลึงเท่านั้น เขาสูดดังซู้ด แล้วนักพรตชุดม่วงก็เงยหน้าพูดอย่างสะทกสะท้อนใจ “พูดถึงมรรคาไม่พูดถึงยา ฝึกบำเพ็ญภาวนาไม่ฝึกตนเป็นเซียน เหนือศีรษะสามฉื่อมีเทพมองอยู่ ผินเต้าไม่เชื่อว่าดวงตะวันทิวาจะลอยขึ้นฟ้าคราม”
สุดท้ายก็เงียบไปนาน ก่อนจะชูกาเหล้าเล็กในมือขึ้นสูง พึมพำว่า “ปีนั้นลงม้าขึ้นเขาร่ำสุรากับท่าน วันนี้เห็นเพียงฟ้าครามไม่เห็นท่านแล้ว”
เสียงเพี๊ยะดังหนึ่งที นักพรตชุดม่วงถูกตบเข้าที่ท้ายทอย ศีรษะเอียงกะเท่เร่ เลือดสดพลันไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด ล้มตุ้บนอนพังพาบอยู่กับพื้น
ตายไปทั้งอย่างนี้น่ะหรือ?
ทางฝั่งของเฉินผิงอัน เมื่อครู่มี ‘ราชรถ’ คันหนึ่งทะยานลมมาอย่างว่องไวราวสายฟ้าแลบ คล้ายกับได้รับคำสั่งจากฝู่จวินเหนียงเนียงจึงเปลี่ยนเส้นทางกลางคัน ตรงดิ่งมาหาพวกกลุ่มของเฉินผิงอันแทน
มีสาวใช้สองคนเลิกผ้าม่านให้ ก่อนที่สตรีเรือนกายสูงใหญ่ผิดปกติจะเดินช้าๆ ออกมาจากด้านในเตียงปาปู้ เรือนกายของนางสูงถึงหนึ่งจั้งสามฉื่อ แม้ว่าจะสูงผิดปกติ แต่ผิวพรรณกลับขาวนวลยิ่งกว่าหิมะ เรือนกายสมส่วน เป็นความงามแท้จริงที่ไม่แต่งเสริม
ฝู่จวินเหนียงเนียงท่านนี้มีคิ้วหลิวดวงตาผลซิ่ง สีหน้าเย็นชา ไม่ต้องแสดงความโกรธก็เปี่ยมไปด้วยบารมี
เสี่ยวโม่นึกถึงคำบรรยายถึงสาวงามในตำราขึ้นมา ประทินโฉมอ่อนจางภูษาบางเบา รูปโฉมดุจเซียนแห่งสวรรค์
เห็นเพียงว่าในมือนางถือตำราตราประทับที่ม้วนไว้เล่มนั้น เดินชดช้อยตรงมา ตรงเอวยังห้อยหยกใสแวววาวลักษณะโบราณเรียบง่าย เชือกถักเป็นสีแดง เอาของใหม่มาทำเลียนแบบของเก่า ของเก่าแต่กลับเหมือนใหม่
นางตั้งชื่อให้กับเตียงปาปู้ด้านหลังที่ใช้แทนเรือข้ามฟากเดินทางไกลหลังนี้ว่าสถานที่ปลูกบุปผาอ่านตำรา นอกจากจะมีตำรามากมายแล้ว บนผนังในห้องโดยสารยังแขวนขวดมากมายตกแต่งผนัง บนขวดเสียบดอกไม้ไว้หนึ่งกิ่งแตกต่างกันไป
นางอยู่ห่างจากกลุ่มของเฉินผิงอันอีกประมาณสิบกว่าจั้งก็หยุดเท้า ถามว่า “เหล่าเซียนซือตามร่องรอยมาหาสมบัติหรือ?”
ไม่ได้ใช้คำว่า ‘ชิงสมบัติ’
ผู้ฝึกตนบนภูเขามักจะให้ความเคารพกับผู้ที่มีขอบเขต ดูแคลนอ๋องและโหวล่างภูเขาเสมอ
และในฐานะที่นางเป็นเทพภูเขาตำแหน่งฝู่จวิน จึงถือว่าเป็นคนในวงการขุนนางครึ่งตัว แล้วนับประสาอะไรกับที่ขับรถม้าออกจากชายแดนแคว้นตัวเอง เข้ามาอยู่ในอาณาเขตของแคว้นต้าเหลียง เท่ากับว่านางออกจากอาณาเขตขุนเขาสายน้ำบ้านตน ตบะและขอบเขตย่อมต้องถูกลดทอนไประดับใหญ่
เฉินผิงอันกุมหมัดกล่าว “คารวะฝู่จวินเหนียงเนียง พวกเราแค่ผ่านทางมาเท่านั้น”
ไม่ใช่เทพภูเขาใหญ่ที่นอกจากจะได้สร้างศาลแล้วยังได้สร้างจวนเป็นของตัวเอง ยามออกนอกบ้านจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะจัดขบวนใหญ่โตอย่างเอิกเกริก
จวนเทพภูเขาจินหวงที่อยู่ในอาณาเขตของต้าเฉวียนทุกวันนี้ และยังมีจวนสุ่ยจวินของทะเลสาบซงเจิน ก็เป็นเช่นนี้ คล้ายคลึงกับการเปิดยอดเขาของเซียนดินโอสถทอง
ส่วนหลังจากที่จวนวารีลำคลองม่ายเหอได้เลื่อนขั้นเป็นตำหนักปี้โหยวแล้ว ทำเนียบหยกทองบนภูเขาก็ยิ่งสูงกว่าเดิมอีกหนึ่งระดับ ในฐานะเหนียงเนียงเทพวารีจึงไม่จำเป็นต้องพิถีพิถันในข้อต้องห้ามเรื่อง ‘เทพภูเขาไม่ลงน้ำ เทพวารีไม่ขึ้นเขา’ อีกต่อไป นางถึงขั้นสามารถเดินอาดๆ ไปเป็นแขกบนภูเขาของห้ามหาบรรพตในหนึ่งแคว้นได้ด้วยซ้ำ
ได้ยินอีกฝ่ายบอกว่าแค่ผ่านทางมา เหนียงเนียงเทพภูเขาท่านนี้ย่อมไม่เชื่อ วาสนาตระกูลเซียนที่ร้อยปีก็ยากจะพานพบเช่นนี้ ใครบ้างจะไม่หวั่นไหว?
อันที่จริงตอนนี้นางก็ไม่รู้ว่าควรจะจัดการกับเซียนซือต่างถิ่นแปลกหน้ากลุ่มนี้อย่างไร หากสามารถได้ ‘สมบัติดิน’ มาจากมือของเจินเหรินพิทักษ์แคว้นต้าเหลียงและจากผู้ฝึกตนกลุ่มตรงหน้า นำกลับไปที่จวนเทพภูเขาบ้านตน จากนั้นก็บ่มเพาะหลิงจือที่สติปัญญาถูกเปิดออกแล้วดอกนั้นให้ดีๆ เอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน ล้วนเป็นประโยชน์ใหญ่หลวงต่อมหามรรคาของทั้งสองฝ่าย จากนั้นค่อยเชื้อเชิญให้ฉิวน้อยที่กำลังจะหลอมเรือนกายสำเร็จไปเป็นเค่อชิง แน่นอนว่านั่นคือผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แต่ดูจากตอนนี้แล้ว ยาก
เฉินผิงอันพลันสัมผัสได้ถึงลมปราณประหลาดจากทางหน้าประตูศาลเทพภูเขา รู้สึกประหลาดใจและกังขาเล็กน้อย หันไปมองเสี่ยวโม่ที่อยู่ข้างกาย
เผยเฉียนเองก็เช่นกัน แต่นางกลับหันไปมองอาจารย์พ่อของตนเป็นคนแรก
จากนั้นนางค่อยใช้หางตาเหลือบมองเฉาฉิงหล่างที่อยู่ด้านข้าง เฉาตอไม้ผู้นี้ยังจะทำอย่างไรได้อีก เฮอะ ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตประตูมังกรที่กำลังจะสร้างโอสถก็ได้แต่ยืนทื่อเป็นตอไม้อยู่ที่เดิมน่ะสิ
“เมื่อครู่ข้าอยากจะออกกระบี่ช่วยคน เพียงแต่ว่าก่อนจะถูกลอบโจมตี นักพรตชุดม่วงกลับเหลือบมองข้าคล้ายจะไม่ได้ตั้งใจแต่ก็คล้ายจะเจตนาแวบหนึ่ง”
เสี่ยวโม่รีบใช้เสียงในใจอธิบาย “คนที่ลงมือลอบโจมตีคนผู้นี้คือผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามาจากใต้หล้าเปลี่ยวร้าง”
เฉินผิงอันยิ้ม พยักหน้าเอ่ยว่า “ยืมเนื้อหนังมังสาจากผู้ฝึกตน ‘โอสถทอง’ คนหนึ่ง สามารถอำพรางสถานะได้ดียิ่งกว่า จากนั้นค่อยคว้าสถานะของเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้นมาครอง เปลี่ยนแปลงรูปโฉมเสียใหม่ ได้ปรากฏตัวอยู่ในวงสังคม ถือว่ายิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว”
เผยเฉียนรู้สึกมึนงงอยู่บ้าง รวมเสียงให้เป็นเส้นถามว่า “อาจารย์พ่อ ภาพบรรยากาศผิดปกตินี้? ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจคนนั้น ทำไมถึงไม่ลงมือให้เร็วกว่านี้? แล้วยังมีเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้นคนนั้นอีก ปล่อยให้เผ่าปีศาจเป็นนกพิราบมายึดรังนกกางเขน ต้องการอะไรกันแน่?”
เฉินผิงอันอธิบาย “ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจคนนั้นได้ร่ายเวทอำพรางตาอย่างตั้งใจไว้ก่อนแล้ว หากไม่เป็นเพราะเจอยอดฝีมือนอกโลกจากลัทธิเต๋าผู้นั้นก็ไม่ใช่การกระทำที่วาดงูเติมขาอะไรจริงๆ กองกำลังของแต่ละฝ่ายในใบถงทวีปทุกวันนี้ มีสำนักศึกษาสามแห่งเป็นผู้นำ ทั้งทางลับและทางแจ้งต่างก็กำลังทำการ ‘ค้นภูเขา’ อย่างละเอียด หลีกเลี่ยงไม่ให้มีปลาที่หลุดรอดหว่างแหไปได้ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องรับประกันว่าไม่มีเผ่าปีศาจห้าขอบเขตบนคนใดซ่อนตัวอยู่ในสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง ยกตัวอย่างก็แล้วกัน เรือกระบี่บนภูเขาลำหนึ่ง กระบี่บินเหมือนเม็ดฝนที่ตกลงมาบนพื้น คนบนพื้นดินหากมิอาจต้านทานกระบี่บินไว้ได้ ก็ได้แต่หลบหนีไปทั่ว แล้วยังเสี่ยงอันตรายอย่างมาก ถ้าอย่างนั้นวิธีรักษาตัวรอดที่ง่ายและได้ผลมากที่สุดก็คือหาหลุมแห่งหนึ่งเพื่อหลบกระบี่บินที่กระแทกลงมาแล้ว ไม่ว่าฉิวน้อยและหลิงจือของภูเขาลูกนั้นจะมีจุดจบเป็นอย่างไร สุดท้ายจะตกอยู่ในมือของใคร รอให้ภาพบรรยากาศแห่งความเป็นมงคลส่วนนั้นจางหายไป ปราณวิญญาณในภูเขาไม่มีเหลือ กลายเป็นสถานที่แร้นแค้นที่ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างก็ยังไม่เห็นอยู่ในสายตา วันหน้าก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีใครสนใจภูเขาลูกนี้อีก นี่แสดงให้เห็นว่าเผ่าปีศาจขอบเขตหยกดิบตนนี้ยังทุ่มเทความคิดไปไม่น้อย น่าเสียดายที่มาเจอกับนักพรตขอบเขต ‘โอสถทอง’ คนนั้น จึงกลายเป็นการอวดฉลาด หากไม่ผิดไปจากที่คาด เจินเหรินพิทักษ์แคว้นที่เชี่ยวชาญด้านการเก็บงำอำพรางผู้นั้นก็คงตั้งใจพุ่งเป้ามาหามันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”