กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 893.3 ยอดฝีมือนอกโลก
เฉินผิงอันในเวลานี้กลัวก็แต่ว่านักพรตชุดม่วงที่สถานะไม่ชัดเจนผู้นั้นจะเป็นเฒ่าสุราที่เป้าหมายไม่ได้อยู่ที่สุรา เหมือนกับอู๋ซวงเจี้ยงตอนที่อยู่บนเรือราตรี คนผู้หนึ่งที่ดูดวงทำนายชะตาได้ อาศัยผลทำนายอนุมานและจำแลงออกมาเป็นการแสดงออกบนมหามรรคา จึงมาเฝ้าตอรอกระต่ายอยู่นานแล้ว จากนั้นก็รอให้ตนผ่านทางมายังที่แห่งนี้ แล้วไป ‘ยุ่งเรื่องของคนอื่น’ ในภูเขาอีกที
เพียงแต่เฉินผิงอันก็ยังหาจุดเชื่อมโยงหนึ่งไม่พบ หากเขาวางแผนเล่นงานตนจริงๆ ไยต้องใช้สายตาเตือนเสี่ยวโม่ก่อนด้วย? ต่อให้อีกฝ่ายมองออกว่าเสี่ยวโม่ไม่ใช่คนที่ควรมีเรื่องด้วย จึงเปลี่ยนความคิด คิดจะให้สองฝ่ายกลายเป็นน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลองก็สามารถลงจากเขาถอยออกไปโดยตรงได้เลย ไม่อย่างนั้นก็แค่หาวิธีสักอย่างหนึ่งทำให้ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจขอบเขตหยกดิบที่รอจังหวะฉวยโอกาสโจมตีตกใจถอยหนีไป ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะมั่นคงปลอดภัยกว่าการ ‘แกล้งตาย’ ในยามนี้มากนัก
ริ้วลมปราณที่แผ่กระเพื่อมตรงหน้าประตูภูเขาเกิดขึ้นวูบเดียวก็หายวับไป ถึงขั้นที่ว่าฝู่จวินเหนียงเนียงสัมผัสไม่ถึงแม้สักเสี้ยวด้วยซ้ำ
เสี่ยวโม่รู้สึกละอายใจเล็กน้อย
เป็นความผิดพลาดของตน ถึงกับมองขอบเขตสูงต่ำของนักพรตสวมชุดม่วงไม่ออก
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยปลอบใจ “ไม่ต้องโทษตัวเอง เรื่องประหลาดคนประหลาดมีเยอะจะตายไป พวกเราพลาดแค่เรื่องนี้จะเป็นไรไป เรื่องไม่คาดฝันบางอย่าง สมมติว่าหลบไม่พ้น ถ้าอย่างนั้นเจอกองทัพก็เอาขุนพลต้าน น้ำมาก็เอาดินกลบ”
เสี่ยวโม่พยักหน้า
อันที่จริงสิ่งที่สามารถปลอบใจคนได้ดีกว่าคำพูดก็คือสายตาที่มาจากสัญชาตญาณของคุณชายก่อนหน้านี้
เรื่องเกิดขึ้นกะทันหัน ไม่ใช่ความตกตะลึง ไม่พอใจ ตำหนิ แต่เป็นความอยากรู้ เชื่อใจ วางใจ
เฉินผิงอันขมวดคิ้วน้อยๆ ลังเลไปครู่หนึ่ง แต่ไม่นานก็คลี่ยิ้มเอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้าบ้านของแคว้นต้าเหลียงท่านนี้เปิดประตูรับแขกแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเราก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่เดินเข้าประตูไป ไป ไปดูกัน”
หน้าประตูศาล ผู้เฒ่าเรือนกายงองุ้มคนหนึ่งหรี่ตาลง มองประเมินศพที่อยู่บนพื้น หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีความผิดปกติใดก็ยิ้มเอ่ยด้วยภาษากลางของใบถงทวีปที่ไม่ชัดเจนนัก “เจ้าตัวดี เมื่อครู่นี้คำพูดคำจาใหญ่ยิ่งกว่าแผ่นฟ้า เกือบทำให้ข้าตกใจตายอยู่แล้ว โชคดีที่ข้าพอจะเป็นศาสตร์การคำนวณอยู่บ้าง จึงพยากรณ์ได้ล่วงหน้า”
เดินวนอ้อมศพไปรอบหนึ่ง ผู้เฒ่าพยักหน้าถี่ๆ พลางเอ่ย “นับว่าเป็นเนื้อหนังมังสาที่ดี ไม่เสียแรงที่ข้าเสี่ยงอันตรายทำเรื่องนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ในที่สุดข้าผู้อาวุโสก็ไม่ต้องอุดอู้อยู่ในนี้อีกแล้ว สามารถออกไปนอกภูเขาได้อย่างอิสระเสรีแล้ว”
ในที่สุดผู้เฒ่าก็ตัดสินใจทำมุทรา กลายร่างเป็นควันเขียวล่องลอยกลุ่มหนึ่ง แทรกซึมเข้าไปตามทวารทั้งเจ็ดของนักพรตชุดม่วง ทันใดนั้นก็ไม่เห็นร่างของผู้เฒ่าอีก ส่วนร่างของนักพรตชุดม่วงก็เหยียดตรง ลุกขึ้นยืนในทันใด ค่อยๆ บิดคอด้วยท่าทางแข็งทื่อ จากนั้นจึงยกมือทั้งสองขึ้นสะบัดชายชุดคลุมเต๋าสองข้าง ดวงตาทั้งคู่กะพริบเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท แต่เพียงไม่นานก็กลับคืนมาเป็นปกติ กลืนน้ำลายให้ลำคอชุ่มชื้น คารวะตามขนบลัทธิเต๋าเลียนแบบนักพรตคนนั้น หัวเราะร่าเอ่ยว่า “ผินเต้าขอคารวะ ขอให้อู๋เลี่ยงเทียนจุนอำนวยพร”
จากนั้นใบหน้าของ ‘นักพรตชุดม่วง’ ก็บิดเบี้ยวราวกับเจ็บปวดอย่างมาก พึมพำกับตัวเองว่า “ผินเต้าทั้งไม่ใช่นักพรตของป๋ายอวี้จิง แล้วก็ไม่ถือเป็นลูกศิษย์ซานต้ง หากอิงตามระบบสืบทอดของสำนักและกฎเกณฑ์บนภูเขา ก็ไม่เหมาะที่จะพูดประโยคว่า ‘ขอให้อู๋เลี่ยงเทียนจุนอำนวยพร’ นี้สักเท่าไร แน่นอนว่าผินเต้าเป็นเจ้าบ้าน เจ้าเป็นแขก เจ้าบ้านตามใจแขก ขอแค่เจ้ามีความสุขก็พอ”
เรือนกายที่เป็นเนื้อหนังมังสาคล้ายกับกรงขังสวรรค์แห่งหนึ่ง
ทวารทั้งเจ็ดบนใบหน้า ควันเขียวเป็นกลุ่มๆ ที่จำแลงมาจากจิตวิญญาณของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจตนนั้นล้วนมิอาจ ‘ออกจากถ้ำ’ ได้แม้แต่เศษเสี้ยว
ครู่หนึ่งต่อมาก็ไม่เห็นควันเขียวอีก นักพรตชุดม่วงจุ๊ปากเอ่ยอย่างประหลาดใจ “มีเรื่องไม่คาดฝันเล็กน้อย อาศัยวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่ลี้ลับชิ้นหนึ่ง ขอบเขตหยกดิบถึงกับมีพลังพิฆาตเท่าเซียนเหริน ผินเต้าช่าง…มรรคกถาไม่ต่ำ ไม่ต่ำเลยจริงๆ”
เห็นว่าคนทั้งสี่เผยกายตรงหน้า นักพรตชุดม่วงก็มองเผยเฉียน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “วิชาเพื่อความสะดวกสบายที่เล่นเล่ห์พวกนั้นของผินเต้า แม้ว่าจะไม่สนใจวิธีการ แต่หากว่าใช้ได้ดี แผนการชั่วคราวเช่นนี้ก็สร้างประโยชน์แก่ปวงชนเช่นกัน”
นักพรตคนหนึ่งที่เป็นเจินเหรินพิทักษ์แคว้นกลับพูดจาภาษาพุทธ
นักพรตประหลาดที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำผู้นี้หรี่ตาเอ่ย “ไม่ได้คุยโวหรอกนะ ลูกศิษย์คนใหม่ที่ผินเต้ารับมามีบุพเพในชาติปางก่อนกับฮ่องเต้แคว้นเหลียงจริงๆ แน่นอนว่าแม่นางเจิ้งก็เคยได้พบหน้านางมาแล้ว”
“แม่นางเจิ้ง อายุน้อยๆ ก็ออกหมัดอยู่บนสนามรบของเกราะทองทวีปอย่างเฉียบคม ผินเต้าได้ข่าวมานานแล้ว เลื่อมใสอย่างมาก ส่วนเรื่องที่เจ้าถามหมัดกับเฉาสือสามครั้งติดก็ยิ่งเลื่องลือไปทั่วทั้งใต้หล้า ต่อให้ไม่อยากรู้ ผินเต้าใช้สองมือปิดหูก็ยังได้ยิน”
เผยเฉียนไม่เอ่ยอะไรสักคำ
ดูเหมือนว่าในที่สุดก็สังเกตเห็นบุรุษชุดเขียว นักพรตชุดม่วงจึงหันมามองแล้วเอ่ยอย่างกระจ่างแจ้งว่า “เซียนกระบี่เซียนดินที่…ขอบเขตขึ้นๆ ลงๆ ท่านนี้ คงจะเป็นเจ้าขุนเขาเฉินแห่งภูเขาลั่วพั่วที่ชื่อเสียงปานฟ้าผ่าดังข้างหู อาจารย์ของแม่นางเจิ้งสินะ?”
เฉินผิงอันทั้งไม่กุมหมัด ไม่ประสานมือคารวะ และยิ่งไม่คารวะตามแบบลัทธิเต๋า เพียงแค่ยิ้มเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นปกติว่า “ผู้อาวุโสเรียกพบ มิกล้าไม่มา”
ต้องเป็นยอดฝีมือนอกโลกคนหนึ่งแน่นอน
เพียงแต่ไม่ว่าเฉินผิงอันจะคาดเดาอย่างไร ต่อให้มีจินตนาการบรรเจิดแค่ไหนก็ยังเดาสถานะของคนผู้นี้ไม่ออก
ดูเหมือนนักพรตชุดม่วงจะเดาความคิดของเฉินผิงอันออกจึงโบกมือ “เจินเหรินไม่เผยตัวตน เผยตัวตนไม่ใช่เจินเหริน (เจินเหรินเป็นคำเรียกขานของตำแหน่งทางลัทธิเต๋า และยังแปลว่าคนจริงได้ด้วย) ยอดฝีมือนอกโลกที่แท้จริงต้องเป็นคนที่ต่อให้เจ้าจะพบหน้าก็ยังไม่รู้จัก บางทีอาจเป็นสาวใช้ม้วนผ้าม่านข้างกายฝู่จวินเหนียงเนียง บางทีอาจเป็นทหารบู๊สวมเสื้อเกราะบางคนที่อยู่ไกลตรงตีนเขา เอาเป็นว่ามีเพียงผินเต้านี่แหละที่ไม่ถือว่าเป็นเจินเหริน เป็นยอดฝีมืออะไร เจ้าขุนเขาเฉินประเมินข้าไว้สูงมากเกินไปแล้ว ผินเต้ารับไม่ไหว”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้มไม่เอ่ยอะไร เหมือนกับผู้เยาว์คนหนึ่งที่ตั้งใจรับฟังคำสั่งสอนจากผู้อาวุโสที่อยู่บนยอดเขา
นักพรตชุดม่วงถอนหายใจ “ไม่เสียแรงที่เป็นเจ้าสำนักของสำนักหนึ่ง นิสัยดียิ่งนัก ไม่เสียแรงที่เคยประสบพบเจอเหตุการณ์ใหญ่ๆ ในต่างถิ่นมามากมาย ตบะหนักแน่น ผินเต้าเคยบอกไว้ตั้งนานแล้วว่าดวงดีไม่สู้ดวงแข็ง ต่อให้ชะตาชีวิตจะดีแค่ไหน ถึงอย่างไรก็ไม่อาจดีไปได้ตลอด แต่หากชะตาแข็งกลับสามารถเดินขึ้นสู่ที่สูงโดยไม่ต้องหยุดพักได้ตลอด บางครั้งแค่ต้องแบ่งเรี่ยวแรงเดินให้ช้าลงหน่อยเท่านั้น ต่างพูดกันว่าคนมีปณิธานพุ่งทะยานฟ้า คือพวกจิตใจหนักแน่นมั่นคง แต่หากไม่มีโชคเสียบ้าง ก็ยังมิอาจเข้าใจได้ด้วยตัวเอง ถ้าอย่างนั้นโชคน้อยนิดนี้ ไม่ทราบว่าเจ้าขุนเขาเฉินที่เป็นลูกศิษย์ปิดสำนักของสายเหวินเซิ่งมีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง?”
เฉินผิงอันตอบ “สวรรค์ประทานโชคดีให้คนผู้หนึ่ง ย่อมต้องเปิดสติปัญญาให้คนผู้นั้นก่อน ไม่สะดุดตาที่สุด แต่กลับสำคัญที่สุด”
ดวงตานักพรตชุดม่วงเป็นประกายวาบ ปรบมือยิ้ม “บทกวีที่แต่งขึ้นอย่างส่งเดช ก็เหมือนการจรดพู่กันเขียนลงไปโดยไม่ต้องสนใจเรื่องความหมาย หรือความสวยงามของตัวอักษร ความมหัศจรรย์ของมันก็คือความยอดเยี่ยมเช่นนี้เอง”
กระแอมอยู่สองสามที นักพรตชุดม่วงที่คิดหาถ้อยคำเหมาะๆ ได้แล้วก็เอ่ยว่า “ผินเต้าเป็นคนตรงไปตรงมา พูดจาไม่เคยวกวนอ้อมค้อม มีอยู่สองสามประโยคที่หวังว่าจะไม่กลายเป็นคำพยากรณ์ที่เหลวไหล ไม่ทราบว่าควรจะพูดดีหรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ควรพูดหรือไม่ควรพูด ผู้อาวุโสตัดสินเองได้เลย”
ระหว่างที่มา เฉินผิงอันได้หยิบไม้เท้าเดินป่าอันหนึ่งออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ
นักพรตชุดม่วงเหลือบมองไม้เท้าไผ่เขียวในมือเฉินผิงอัน “ควรสังหารไม่สังหาร ย่อมต้องเจอความวุ่นวาย ควรกำราบไม่กำราบ ย่อมต้องถูกทำร้าย ก่อภูเขาสูงขาดดินหนึ่งตะกร้า ทุกอย่างที่ทำมาย่อมต้องเสียเปล่า หากไม่ระวังจะต้องพ่ายแพ้ทั้งกระดาน”
เฉินผิงอันกำไม้เท้าเดินป่าที่อยู่ในมือไว้แน่น พยักหน้าเอ่ย “ได้รับการสั่งสอนแล้ว”
หลังจากที่เสี่ยวโม่เผยกาย ใบหน้าก็ประดับรอยยิ้มตลอดเวลา
จนกระทั่งได้ยินประโยคที่เขาคิดว่าเป็นคำพูดไร้สาระอย่างจริงแท้แน่นอนพวกนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าของเสี่ยวโม่ถึงได้ค่อยๆ หายไป
กระบี่บิน ‘ซี่โครงไก่’ ที่ถูกตนดึงออกมาจากร่าง ก่อนหน้านี้ได้ถูกคุณชายบ้านตนตั้งชื่อให้ว่าซินฮว่อ
เสี่ยวโม่จึงขอร้องอีกสองครั้ง ขอให้เฉินผิงอันช่วยตั้งชื่อกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่เหลืออีกสามเล่มไปพร้อมกันด้วย
ดังนั้นกระบี่บินเล่มที่เสี่ยวโม่รักมากที่สุดซึ่งสามารถชักนำดวงดาวบรรพกาลดวงหนึ่งที่อยู่ห่างไกลให้หล่นลงมาบนพื้นดินได้จึงถูกคุณชายตั้งชื่อให้ว่า ‘โอ่วซือ’ (ใยของรากบัว) มีความหมายว่าตัดบัวยังเหลือใย
กระบี่บินเล่มที่เลียนแบบวิชาอภินิหารของคนอื่นตั้งชื่อว่า ‘เจินจี้’ (ลายมือแท้ ผลงานด้วยลายมือแท้ของนักเขียน)
สุดท้ายเล่มที่สามารถกักวิญญาณของผู้ฝึกตนมีชื่อว่า ‘จุ้ยเซียง’ (บ้านเกิดแห่งความเมามาย)
ดีมาก ไม่แน่ว่าวันนี้อาจจะได้เปิดฉากเข่นฆ่ากับผู้ฝึกตนใหญ่ยอดเขาสูงสุดของไพศาลอย่างสาแก่ใจสักครั้งแล้ว
ส่วนเรื่องที่ว่าอีกฝ่ายชื่อแซ่อะไร ใช่คนของลัทธิเต๋าหรือไม่ มาจากที่ใด แล้วเป็นบรรพจารย์ของสำนักแห่งใด หลังจากนี้ขอแค่ตนปลดปล่อยฝีมือถามกระบี่อย่างเต็มที่ก็พอ
แค่ถามก็รู้ได้เอง
“อย่านะ!”
นักพรตชุดม่วงรีบโบกมือ พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ผินเต้าเป็นคนเกียจคร้านที่ไม่แสวงหาความก้าวหน้า ไม่คู่ควรให้ผู้อาวุโสท่านนี้กับเจ้าขุนเขาเฉินร่วมมือกันถามกระบี่หรอก ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำลายพันภูเขาหมื่นสายน้ำหรอกนะ”
เขาไม่ได้แปลกใจที่เจ้าคนสวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียวมีขอบเขตสูง ปราณสังหารเข้มข้น
แต่กลับเป็นการ ‘ถือไม้เท้าเหมือนกุมกระบี่’ ของผู้ฝึกกระบี่หนุ่มต่างหากที่ทำให้เขาประหลาดใจอย่างมาก
เกือบจะเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองตาลาย อันที่จริงอิ่นกวานคนสุดท้ายแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ตรงหน้าผู้นี้ไม่ได้ขอบเขตถดถอย แต่กลายเป็นว่าฝ่าทะลุขอบเขตแล้ว?
ดูท่าแล้วไม่น่าใช่
โชคดีที่ไม่ใช่
ไม่อย่างนั้นใต้เท้าอิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ พรสวรรค์ด้านเวทกระบี่ก็ออกจะทำให้คนผิดหวังอยู่บ้างจริงๆ
นักพรตชุดม่วงเริ่มพูดจ้อไม่หยุด ดูเหมือนว่าพอเห็นท่าไม่ดีก็เลยเปลี่ยนมาชวนพูดคุยเรื่องสัพเพเหระแทน
“ผู้ฝึกตนอย่างเราๆ ออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก คิดอยากจะมีชีวิตอย่างยาวนานและมีความสุข การทำดีกับคนอื่นเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง เอาแต่ฆ่าแกงกัน ไม่เพียงแต่ทำลายความสามัคคีปรองดอง การที่ไม่ยอมละเว้นคนอื่นในทุกเรื่องราวก็ยิ่งเป็นการไม่ละเว้นตัวเองด้วย เท่ากับว่าเดินให้มหามรรคากว้างใหญ่กลายเป็นสะพานไม้แคบๆ แล้วจะต้องทำอย่างนั้นไปทำไม”
“ที่ตั้งสำนักเบื้องล่างของเจ้าขุนเขาเฉิน ทุกวันนี้ถือว่าเลือกได้เรียบร้อยแล้ว สำนักเบื้องล่างมีชื่อว่าอะไรล่ะ? หากว่าตอนนี้ยังไม่มีชื่อ ผินเต้าสามารถช่วยตั้งให้ได้นะ”
“บอกตามตรง เรื่องของการตั้งชื่อ ผินเต้าพอจะมีความรู้อยู่บ้าง สูงกว่ามรรคกถาบนร่างมากนัก”
เฉินผิงอันมีความอดทนดีเยี่ยม ฟังผู้อาวุโสบนยอดเขาท่านนี้ชวนคุยไปเรื่อยเปื่อยก็แค่เอาฝ่ามือดันไม้เท้าเดินป่า มือหนึ่งกำเป็นหมัดวางไว้ตรงหน้าท้องเท่านั้น
อยู่ดีๆ นักพรตชุดม่วงก็ถามคำถามที่อยู่ห่างไกลจากบทสนทนาไปหมื่นลี้ “ไม่ทราบว่าเจ้าขุนเขาเฉินมองการกระทำของผู้ฝึกตนหญิงแห่งอวี้จือก่างผู้นั้นอย่างไร?”
เฉินผิงอันกล่าว “คือตัวการร้ายที่ทำให้สำนักล่มจม สำหรับสำนักของตัวเอง สำหรับใบถงทวีปอันเป็นบ้านเกิด และสำหรับใต้หล้าไพศาล ล้วนถือเป็นความผิดมหันต์”
“แล้วจากนั้นล่ะ? คงไม่ใช่ว่าจะไม่มี ‘จากนั้น’ หรือว่า ‘แต่ว่า’ หรอกนะ?”
นักพรตชุดม่วงยิ้มถาม “ซิ่วไฉเฒ่าอุตส่าห์ถ่ายทอดความรู้ทั้งหมดที่มี ตั้งใจสั่งสอนลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจออกมา ไม่มีทางไม่มีประโยคต่อมาแล้วกระมัง?”
เดิมทีเฉินผิงอันคิดจะพูดบางอย่าง แต่สุดท้ายก็เงียบไป
นักพรตชุดม่วงส่ายหน้า โบกมือเอ่ย “ลงจากภูเขาไปเถอะ”
หนึ่งประโยคสองความหมาย
เสียดายคำว่า ‘โชคดี’ ก่อนหน้านี้
ซิ่วไฉเฒ่ารับคนแบบนี้มาเป็นลูกศิษย์ปิดสำนักหรือ?
เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ให้คนแบบนี้มาเป็นอิ่นกวาน? แต่กลับปล่อยโฉวเหมียวไว้ไม่ยอมใช้งาน?
ทำไม เป็นเจ้าเฉินชิงตูที่ถูกใจบุคคลที่อยู่เบื้องหลังคนหนุ่มผู้นี้อย่างนั้นหรือ? ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เฉินชิงตูและกำแพงเมืองปราณกระบี่ต้องทำตัวหน้าเลือดเช่นนี้?
นักพรตชุดม่วงเริ่มเป็นกังวลแล้วว่าหากตนยังมองคนหนุ่มนานกว่านี้อีกหน่อยจะอดไม่ไหวถามกระบี่กับเขาก่อนสักรอบ