กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 893.4 ยอดฝีมือนอกโลก
นั่งกลับลงไปบนขั้นบันได นักพรตชุดม่วงหยิบน้ำเต้าบรรจุเหล้าขนาดจิ๋วออกมาอีกครั้ง จิบเหล้าหนึ่งคำ เอ่ยว่า “เฉินผิงอัน เจ้าเองก็ไม่ต้องคิดมาก คนที่ข้ารออยู่ที่นี่ ไม่ใช่เจ้า แต่เป็นสหายของเจ้าคนหนึ่ง เพียงแต่ว่าการคบหาสหายของเจ้าช่างมีโชค แต่ฝั่งตรงข้าม สายตาในการคบหาสหายของเขาถือว่าธรรมดาเท่านั้น”
เฉินผิงอันหันหน้ามาถาม “กำลังรอจางซานเฟิงอยู่หรือ?”
นักพรตชุดม่วงหัวเราะหึหึ “ถึงอย่างไรก็เป็นคนฉลาดนี่นะ”
จากนั้น? ทางฝั่งของตนไม่มีจากนั้นอะไรอีกแล้ว
เฉินผิงอันหมุนตัวกลับมา เก็บไม้เท้าเดินป่าใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่อ ประสานมือคารวะ “ผู้เยาว์คารวะเหลียงเทียนซือ”
จวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ ผู้สูงศักดิ์หวงจื่อล้วนแซ่จ้าว
นับแต่โบราณมาก็มีแค่คนเดียวที่เป็นข้อยกเว้น นั่นก็คือเทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ ยกตัวอย่างเช่นฮว่อหลงเจินเหรินแห่งยอดเขาพาตี้ที่เป็นเทียนซือใหญ่ต่างแซ่คนก่อน
สีหน้าของนักพรตชุดม่วงไร้อารมณ์ แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
เจินเหรินผู้เฒ่าที่หวนคืนสู่ความจริง มีศาสตร์คงความอ่อนเยาว์ได้แต่ถอนหายใจ ออกจากภูเขามาครั้งนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบมีแต่เรื่องน่าเบื่อหน่าย วันนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
เจินเหรินผู้เฒ่าส่ายหน้า น่าสงสารซิ่วหู่ น่าเวทนาฉีจิ้งชุน น่าเสียดายสายเหวินเซิ่งแล้ว
นักพรตชุดม่วงมองพื้นดิน กระทืบเท้าเบาๆ หายใจเสียงแผ่วหนึ่งที จำต้องฝืนนิสัยเปิดปากเอ่ยกับคนหนุ่มเพิ่มอีกหนึ่งประโยค “จัดการดูแลสำนักเบื้องล่างให้ดี ไม่พูดถึงว่าทำเพื่อสายเหวินเซิ่งของพวกเจ้า ยิ่งไม่ถือว่าทำเพื่อใต้หล้าไพศาลอะไร ถือเสียว่าทำเพื่อตัวเจ้าเองก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันที่หันหลังให้กับเทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ที่ตัวเองรู้แค่ว่าแซ่เหลียงพยักหน้า แล้วเดินลงจากภูเขาไปต่อ
เสี่ยวโม่หน้าเขียวคล้ำ
เฉาฉิงหล่างส่ายหน้าให้ผู้อาวุโสสี่จู๋ท่านนี้เบาๆ บอกเป็นนัยให้รู้ว่าไม่เป็นไร
อันที่จริงเดิมทีเจินเหรินผู้เฒ่าที่นั่งอยู่บนขั้นบันไดอยากจะถามอีกหนึ่งประโยค ถามว่าเฉินผิงอัน เจ้ามองใบถงทวีปแห่งนี้อย่างไร?
แต่เงื่อนไขก็คืออีกฝ่ายต้องตอบคำถามข้อแรกให้ได้เสียก่อน
สงครามที่เกิดขึ้น แม้ว่าจะเอาชนะได้แล้ว แต่ราคาที่ใต้หล้าไพศาลต้องจ่าย ไม่เรียกว่าหนักหนาสาหัสสากรรจ์ไม่ได้ เท่ากับว่าแผ่นดินครึ่งหนึ่งของสี่ทวีปครึ่งพังภินท์ไม่เหลือดี สภาพอเนจอนาถจนแทบทนมองไม่ได้
ทว่าฝูเหยาทวีปพ่ายแพ้อย่างมีศักดิ์ศรี ต่อให้เป็นเกราะทองทวีปที่มีคนทรยศอย่างผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานหวานเหยียนเหล่าจิ่ง ชื่อเสียงของพวกเขาบนภูเขาก็ยังไม่เลว
ทักษินาตยทวีปยังมีเฉินฉุนอัน นอกจากนี้ขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีป โดยเฉพาะเส้นแนวรบเลียบมหาสมุทร อันที่จริงก็ต่อสู้กันได้ไม่เลว
มีเพียงใบถงทวีปแห่งนี้ที่ทั้งบนและล่างภูเขา ใจคนความเป็นคน ดูเหมือนว่าจะเลวร้ายอย่างถึงที่สุด
ดินแดนของหนึ่งทวีปโชคดีไม่ถึงกับแผ่นดินภูเขาจมดิ่ง แต่กลับเกลื่อนไปด้วยซากศพไร้ซึ่งผู้รอดชีวิต ภูเขาสายน้ำแผ่นดินกว้างใหญ่ ราวกับว่ามีเพียงผีเร่ร่อนตนเดียวที่นั่งอยู่ในสวนของอดีต จึงดูโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาอย่างเห็นได้ชัด
เจินเหรินผู้เฒ่าลูบคลึงปลายคาง มองแผ่นหลังของคนชุดเขียวที่เดินลงจากภูเขาไปช้าๆ มองม่านฟ้าแวบหนึ่ง นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงถามว่า “ทำไมไม่เอาศีรษะของลูกศิษย์คนแรกของบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่กลับมา?”
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจตอบ “เขาเป็นผู้ฝึกกระบี่”
เจินเหรินผู้เฒ่าร้องเอ๊ะหนึ่งที ยิ้มถาม “ปูพื้นได้ดี ยอดเยี่ยม หรือว่าก็เพื่อใช้รับมือกับคำถามทำนองนี้? วิธีการที่ใช้ช่วงชิงชื่อเสียงจอมปลอมระดับนี้ช่างยอดเยี่ยมเสียจริง คนหนุ่มในทุกวันนี้ร้ายกาจยิ่งนัก หรือจะบอกว่าซิ่วไฉเฒ่าสอนมาดี?”
เฉินผิงอันหันหน้ามาเอ่ย “ข้าขอใช้สถานะผู้เยาว์เตือนผู้อาวุโสเป็นครั้งสุดท้าย แค่พอสมควรก็พอแล้ว”
เจินเหรินผู้เฒ่าจุ๊ปาก “โอ้โห ที่แท้ก็เป็นคนหนุ่มที่นิสัยฉุนเฉียวอยู่บ้างเหมือนกันนี่นา ทำไม ในที่สุดก็ไม่ทำตัวแสร้งเป็นวิญญูชนจอมปลอมแล้ว นี่ถือว่าเผยธาตุแท้แล้วหรือไม่? หรือว่ายังมีแผนการที่ลึกล้ำยาวไกล เริ่มกังวลว่าข้าจะเอาไปป่าวประกาศ บอกว่าบัณฑิตอย่างเจ้ามีกลอุบายลึกล้ำ เจอกับเทียนซือใหญ่ต่างแซ่คนหนึ่งของภูเขามังกรพยัคฆ์ ให้ตายอย่างไรก็ไม่กล้าเถียงแม้แต่ครึ่งคำ? ก็เลยจำเป็นต้องชดเชยแก้ไขในทันที ฉวยโอกาสนี้แสร้งแสดงให้ข้าดู?”
ค่อยๆ หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ทุกประโยคล้วนแทงใจ
เฉินผิงอันหมุนตัวกลับมา มองเจินเหรินผู้เฒ่าคนนั้น เอ่ยกับเฉาฉิงหล่างและเผยเฉียนว่า “พวกเจ้าจงทะยานลมจากไปทันที ยิ่งไกลยิ่งดี”
เผยเฉียนลังเลเล็กน้อย
เฉาฉิงหล่างเอ่ย “เผยเฉียน ไปได้แล้ว”
เผยเฉียนนึกถึงการ ‘ถามหมัด’ ของอาจารย์พ่อตอนที่อยู่ชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ก่อนหน้านี้แล้วนางก็ไม่ลังเลอีก
เจินเหรินผู้เฒ่ายิ้มพลางลุกขึ้นยืน ยืดแขนบิดขี้เกียจ ยืดเส้นยืดสาย ถ้าอย่างนั้นก็จงสัมผัสกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสามเล่มของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดคนหนึ่ง กับเวทกระบี่สูงต่ำและหมัดของผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางจากอิ่นกวานคนสุดท้ายให้ดีๆ ก็แล้วกัน?
หากสู้ไม่ได้อย่างมากก็แค่เผ่นหนี ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกอยู่แล้ว
เสี่ยวโม่ใช้เสียงในใจเอ่ยกับเจินเหรินผู้เฒ่าคนนั้นอย่างลับๆ “ตกลงกันไว้ก่อน จะแบ่งแพ้ชนะหรือแบ่งเป็นตายกับข้า?”
ครั้งนี้เสี่ยวโม่ไม่ได้บอกกล่าวกับคุณชายบ้านตนด้วยซ้ำ ไม่คิดจะปรึกษาในเรื่องนี้
เพียงแต่ว่าดูเหมือนเจินเหรินผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้าจะได้รับบาดเจ็บไม่เบา จิตแห่งมรรคาจึงไม่มั่นคง
ขอแค่ตีกันขึ้นมาจริงๆ เสี่ยวโม่จะไม่ยอมให้คุณชายเข้ามาร่วมด้วยเด็ดขาด
เรื่องที่ตัวเองรับปากกับผู้ถ่ายทอดมรรคาเวทกระบี่และอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง จะต้องทำให้ได้
และเวลานี้เอง เด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งที่ท่าทางเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางก้มตัวหอบหายใจฮักๆ หนักหน่วง เขาที่ยืนอยู่บนหลังคาศาลเทพภูเขาเอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “เจ้าคนแซ่เหลียง เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือไร?! เจ้าเดินทางมาเยือนใบถงทวีปคราวนี้ ตัวเองสู้ใครคนอื่นไม่ได้ก็เลยเอาความโกรธมาระบายบนหัวอาจารย์ข้าอย่างนั้นหรือ?”
เจินเหรินผู้เฒ่าหันหน้าไปมองชุยตงซานที่เดินทางมาถึงอย่างรีบร้อน ไม่มีเหตุผลเลยนะ ก่อนหน้านี้ตนปิดบังลมปราณไว้แล้วนี่นา ไม่น่าจะถูกเจ้าตะพาบน้อยผู้นี้มาขวางทางได้
เฉินผิงอันได้ยินก็อึ้งตะลึงไปพักหนึ่ง
ชุยตงซานถูกทำให้โมโหไม่น้อย “คำตอบผายลมสุนัขนั่น ยังจะถามอีกไหม? หากตาแก่อย่างเจ้าพูดจาดีๆ อาจารย์ข้าจะต้องถึงขั้นเงียบไม่ยอมตอบด้วยหรือ?!”
ที่แท้เมื่อหลายปีก่อน เจินเหรินผู้เฒ่าที่ลำดับอาวุโสสูงมาก อีกทั้งอายุขัยในการฝึกตนก็ยาวนานยิ่งผู้นี้ ทั้งไม่ได้ก่อตั้งสำนัก แล้วก็ไม่เคยรับลูกศิษย์แตกกิ่งก้านสาขา เพียงแค่อยู่ลำพังในป่าเขานานเป็นพันๆ ปี จนกระทั่งเกิดจิตสัมผัส เมื่ออยู่นิ่งเงียบมานานจึงอยากจะขยับเคลื่อนไหว เริ่มลงจากภูเขา บวกกับความสัมพันธ์ควันธูปส่วนหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน ถึงได้ตอบรับคำเชิญยอมเป็นเทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ ส่วนเจ้าเด็กจ้าวเทียนไล่ผู้นั้น เวลานี้เนื่องจากกังวลว่าคนหนุ่มที่มีชื่อว่าจางซานเฟิงจะเป็นดั่งต้นหญ้าที่ถูกดึงช่วยให้เติบโตก่อนเวลาด้วยเรื่องยศของเทียนซือต่างแซ่ที่ ‘สืบทอดกันรุ่นต่อรุ่น’ กลับกลายเป็นว่าจะไม่เป็นผลดีต่อการฝึกตนบนมหามรรคาของคนหนุ่ม จึงปฏิเสธข้อเสนอของฮว่อหลงเจินเหรินไปอย่างละมุนละม่อม อีกทั้งท่ามกลางกลียุคครานั้น ภูเขามังกรพยัคฆ์ก็ต้องการคนต่างแซ่ที่ค่อนข้างต่อสู้ได้เก่งแล้วสามารถ ‘นำมาใช้งาน’ ได้จริงๆ
ไม่ว่าจะอย่างไร กินของของคนอื่นต้องปากอ่อน รับของของคนอื่นต้องมือสั้น จึงได้แต่บากหน้าเดินทางไกลมายังที่แห่งนี้เพื่อวางแผนไว้แต่เนิ่นๆ ผลลัพธ์น่ะหรือ ก็ไม่อย่างไรหรอก เรียกได้ว่าไม่มีผลงานเลยแม้แต่น้อย น่าอับอายยิ่งนัก ก็เลยต้องมาซ่อนตัวอยู่ที่นี่ไม่กล้ากลับไปยังทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งภูเขามังกรพยัคฆ์ แน่นอนว่าเขาเองก็จำเป็นต้องพักรักษาอาการบาดเจ็บจริงๆ เป็นเหตุให้ช่วงร้อยปีล่าสุดนี้จำต้องยอมรับชะตากรรม ได้แต่อยู่เฉยๆ ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน
เขาเคยเป็นสหายรักกับเทียนซือผู้เฒ่าคนหนึ่งของภูเขามังกรพยัคฆ์ ทั้งสองฝ่ายเคยเดินทางไกลไปยังฟ้านอกฟ้าร่วมกับหลี่เซิ่ง
เพียงแต่ว่าตอนที่จากไปคนทั้งสองจับคู่สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กัน คิดไม่ถึงว่าตอนกลับจะเหลือแค่คนเดียว
เรื่องที่ทำให้จิตวิญญาณของข้าหม่นหมองก็มีเพียงการจากลาเท่านั้น
พูดไปแล้วก็น่าขัน ครั้งนี้ออกจากภูเขาแล้วมาแฝงตัวอยู่ในใบถงทวีป ลอบฆ่าคนบางคนไม่สำเร็จ ไม่อาจทำให้อีกฝ่ายขอบเขตถดถอยได้สักครึ่งขั้นหนึ่งขั้นด้วยซ้ำ ตัวเองยังบาดเจ็บสาหัส ไม่มีความคิดที่จะเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่แล้ว จึงได้แต่พักรักษาตัวอยู่ที่ใบถงทวีปแห่งนี้นานหลายปีแล้วค่อยกลับไปยังบ้านเกิด
คนที่เทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ท่านนี้ลอบฆ่าก็คือมหาสมุทรความรู้โจวมี่แห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างผู้นั้น!
เจินเหรินผู้เฒ่าหันหน้ามาถาม “คำตอบคือ?”
เฉินผิงอันกล่าว “คือความเป็นคน”
“ใช่แล้ว”
เจินเหรินผู้เฒ่าทอดถอนใจ จากนั้นก็เอ่ยสองคำซ้ำอีกครั้งด้วยเสียงหนักๆ “ใช่แล้ว!”
บรรพจารย์หญิงของอวี้จือก่างที่ก่อความผิดมหันต์ผู้นั้น ความเห็นอกเห็นใจในบางชั่วขณะของนางไม่สามารถมองข้ามได้อย่างสิ้นเชิง ไม่ได้พูดว่าความเป็นคนในส่วนนี้สามารถชดเชยความผิดได้ แน่นอนว่าอยู่ไกลเกินกว่าจะชดเชยได้ ถึงขั้นที่ว่าจำต้องให้คนในยุคหลังนำมาใช้ย้ำเตือนตัวเองอย่างต่อเนื่องว่าหากเจอสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันนี้ห้ามเดินซ้ำรอยนางเด็ดขาด แต่ปัญหาเพียงหนึ่งเดียวนั้นอยู่ที่ว่า คนนอกสถานการณ์ คนที่ไม่เกี่ยวข้อง หากมองข้ามแสงสว่างของใจคนที่เกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีนั้น ไม่ว่าจะกับผู้ฝึกตนบนยอดเขาที่มีหวังจะเดินขึ้นสู่ยอดสูง หรือถึงขั้นเดินขึ้นสู่สวรรค์คนใดก็ตาม ก็อาจกลายเป็นภหันตภัยใหญ่หลวงสำหรับโลกมนุษย์ในอนาคตได้
มิเช่นนั้นเจินเหรินผู้เฒ่าก็คงไม่ถึงขั้น ‘หาเรื่องสร้างความลำบากใจ’ ให้กับลูกศิษย์คนสุดท้ายของซิ่วไฉเฒ่าเช่นนี้
หากเพียงแค่ไม่ชอบขี้หน้าธรรมดาๆ อย่างมากก็แค่ไม่มองเขาเท่านั้น
สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็เพราะกลัวหนึ่งในหมื่นนั้น
ยกตัวอย่างเช่นสิ่งที่โจวจื่อกังวลก็คือ กังวลว่าโลกมนุษย์จะมีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบห้าคนหนึ่งเผยกาย?!
แล้วหากว่าคนผู้นี้ แท้จริงแล้วไม่ได้เป็นมนุษย์มานานแล้วเล่า?
หากเป็นหนึ่งในหมื่นของหนึ่งในหมื่น ถึงขั้นที่คนผู้นี้ไม่เคยรู้ตัวเลยมาตั้งแต่ต้น?!
พลังอำนาจบนร่างของเจินเหรินผู้เฒ่าพลันแปรเปลี่ยน จากนั้นก็ถามเฉินผิงอันด้วยสีหน้าจริงจังอีกครั้ง “เฉินผิงอัน ถ้าอย่างนั้นผินเต้าก็คงต้องอาศัยความอาวุโสที่มากกว่า ถามทั้งๆ ที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว เจ้ามองใบถงทวีปที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเจ้าและข้าอย่างไร?”
เฉินผิงอันตอบอย่างไม่มีความลังเลใดๆ “ต้นอู๋ถงไม่ยอมให้กิ่งใบร่วงโรย ใบไม้ทั้งหลายจึงส่งเสียงรับลม”
เจินเหรินผู้เฒ่าอึ้งไปพักใหญ่ กว่าจะโพล่งประโยคหนึ่งออกมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย “คิดเหมือนกับผินเต้าเลย เนื้อหาเหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ไม่ต่างกันสักตัวอักษรเดียว”
ชุยตงซานนั่งแปะลงไปบนหลังคา ตบซีกหน้าตัวเอง เอ่ยอย่างขันๆ ปนฉุนว่า “เจ้าคนแซ่เหลียง ข้าจะถามเจ้าด้วยคำถามที่ง่ายกว่า เจ้าของสิ่งนี้มีชื่อว่าอะไร?”
เฉินผิงอันถลึงตาใส่ “พูดกับผู้อาวุโสอย่างไรกัน”
ชุยตงซานกระโดดลงมาจากหลังคา เขย่งเท้านวดไหล่ให้กับเจินเหรินผู้เฒ่าทันใด “เทียนซือผู้เฒ่าเหลียง พวกเราสองพี่น้องไม่สู้ฉวยโอกาสตอนที่จ้าวเทียนไล่ไม่อยู่ภูเขามังกรพยัคฆ์มาทำงานใหญ่ร่วมกันสักหน่อย ยกตัวอย่างเช่นช่วยเจ้าตัดคำว่า ‘ต่างแซ่’ ออกไป?”
เจินเหรินผู้เฒ่าตกใจสะดุ้งโหยง “เจ้าตะพาบน้อย อย่าพูดจาเหลวไหลสิ”
เจินเหรินผู้เฒ่ากวักมือ “เจ้าขุนเขาเฉิน มาๆๆ น้องชุยด้วยอีกคน พวกเราไปดื่มเหล้ากัน ผินเต้าจะขออภัยเจ้า ระงับความตกใจที่เกิดขึ้น”
เฉินผิงอันบอกให้เสี่ยวโม่เรียกเผยเฉียนและเฉาฉิงหล่างกลับมา จากนั้นเดินไปที่หน้าประตู นั่งลงบนขั้นบันไดกับเจินเหรินผู้เฒ่า
เสี่ยวโม่นั่งอยู่ข้างกายชุยตงซาน
เจินเหรินผู้เฒ่าแกว่งน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อย่างแรง เก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ไม่บังเอิญเลย ถึงกับไม่มีเหล้าดื่มเสียแล้ว
เฉินผิงอันจึงได้แต่ส่งเหล้ากาหนึ่งไปให้
เจินเหรินผู้เฒ่าหุบยิ้ม ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้ถอนหายใจ รู้สึกเสียใจเล็กน้อย คงเป็นเพราะคิดถึงสหายเก่าที่กลายเป็นคนในอดีตไปแล้วเหล่านั้น ดื่มเหล้าแล้วก็เช็ดปาก มองไปยังทิศไกล เอ่ยเสียงเบาว่า “บนเส้นทางของชีวิตคน ถูกคนฝากความหวังไว้มากเท่าไร ตัวเองก็ไม่ยินดีจะทำให้พวกเขาผิดหวังมากเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นคนคนนี้ก็จะค่อนข้างลำบากแล้ว”
เฉินผิงอันเบนกายมา ยกเหล้าในกาขึ้น เอ่ยประโยคหนึ่งที่ทำให้ผู้เฒ่ารู้สึกประหลาดใจเป็นทบทวีอีกครั้ง ถึงกับเอ่ยคำที่ผู้เฒ่าไร้คำพูดตอบโต้ ได้แต่ดื่มเหล้าไปอย่างว่าง่าย
เดิมทีผู้เฒ่าคิดว่าจะเป็นคำตอบทำนองว่า ‘สามารถหาความสุขจากความทุกข์ได้’ ทว่าคนหนุ่มข้างกายกลับเอ่ยว่า “คนจริง (เจินเหริน) ถ้อยคำจริง สามารถนำมาดื่มแกล้มเหล้าได้”