กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 894.3 เล่นหมากล้อม
พูดถึงแค่เสี่ยวหลงชิวที่เป็นตัวสำรองสำนัก ในเรื่องการค้นภูเขาก็ตั้งใจอย่างมาก ถึงขั้นสร้าง ‘สวนป่า’ แห่งหนึ่งขึ้นมาเพื่อให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวโดยเฉพาะ ในนั้นยังล้อมขังเผ่าปีศาจแห่งเปลี่ยวร้างที่ยังหล่อหลอมเรือนกายมนุษย์ไม่สำเร็จเอาไว้กลุ่มใหญ่และผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจห้าขอบเขตล่างอีกบางส่วน
บรรพจารย์ผู้เฒ่าเจ้าขุนเขาของเสี่ยวหลงชิวปิดด่านพักรักษาตัวมานานหลายปีแล้ว เป็นเหตุให้ขอบเขตก่อกำเนิดที่ดูแลเรื่องเงินทอง ไม่ว่าจะเป็นตบะหรือฐานะในสำนักก็ล้วนเป็นคนมาทีหลังที่ตามมาทัน เวลาเพียงแค่ไม่กี่ปี อำนาจของสายเจ้าขุนเขาเสี่ยวหลงชิวก็ลดระดับลงไปมาก นี่คงเป็นดั่งคำกล่าวที่ว่าทุกบ้านล้วนมีคัมภีร์ที่อ่านยากกระมัง
รอกระทั่งคนทั้งกลุ่มกลับมาที่ภูเขาอีกครั้ง ฝู่จวินเหนียงเนียงเทพภูเขาก็เอาตำราตราประทับเล่มนั้นใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มเอ่ย “เซียนซือสามารถเรียกชื่อข้าโดยตรง ข้าแซ่เจียงนามอิ๋ง มาจากภูเขาจี้ซาน”
คนชุดเขียวคลี่ยิ้มอบอุ่น เอ่ยว่า “คารวะเจียงฝู่จวิน ข้าชื่อเฉาโม่ เป็นคนของแจกันสมบัติทวีป”
เจียงอิ๋งถอนหายใจโล่งอก คิดเสียว่ามาปรากฏตัวให้อีกฝ่ายได้คุ้นหน้าคุ้นตา ส่วนวาสนาตระกูลเซียนทางฝั่งนั้น ภูเขาจี้ซานไม่คาดหวังแล้ว นางกำลังจะบอกลาจากไป กลับได้ยินคนผู้นั้นเอ่ยต่ออีกว่า “เจินเหรินผู้เฒ่าของแคว้นเหลียงให้ข้าช่วยถามแทนเรื่องหนึ่ง หากวันนี้เป็นเจียงฝู่จวินที่ชิงโอกาสคว้าโชควาสนาส่วนนี้ไปครองได้ก่อน ภูเขาจี้ซานจะจัดการกับหลิงจือและฉิวน้อยอย่างไร”
เจียงอิ๋งยิ้มตอบ “หากข้าโชคดีได้มาครองก็จะทะนุถนอมเห็นค่าวาสนาครั้งนี้เป็นอย่างดี ภูเขาจี้ซานย่อมปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างมีมารยาท”
เฉินผิงอันกล่าว “ไม้ที่ถูกฟ้าผ่าต้นนั้นแม้จะแห้งเหี่ยวตายไปแล้ว แต่กลับมีความเชื่อมโยงกับรากภูเขาอย่างลึกล้ำ เรื่องของการย้ายไม้ฟ้าผ่าและหลิงจือ ไม่แน่ว่าข้าอาจจะพอช่วยได้”
เจียงอิ๋งเอ่ย “ทางที่ดีที่สุดคือรอให้หลิงจือเปิดสติปัญญาอย่างแท้จริง สามารถออกจากสถานที่ฝึกตนได้ชั่วคราวเสียก่อน คนนอกค่อยมาทำเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นอาจเป็นการทำลายรากฐานพลังต้นกำเนิดของหลิงจือต้นนั้นไม่มากก็น้อย”
เผยเฉียนได้ยินประโยคนี้ก็แอบพยักหน้าอยู่กับตัวเอง
แค่อาศัยประโยคนี้ ฝู่จวินเหนียงเนียงท่านนี้ก็ถือว่าผ่านด่านได้แล้ว
วาสนานี้จะกลายเป็นบุญสัมพันธ์
อาจารย์พ่อถึงจะวางใจได้อย่างแท้จริง
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เป็นข้าที่มองข้ามไป ยังคงเป็นเจียงฝู่จวินที่ทำอะไรได้มั่นคงยิ่งกว่า”
เจียงอิ๋งกล่าวอย่างสงสัย “ความหมายของเหลียงเจินเหรินคือ? หรือว่ายินดีจะให้จวนจี้ซานของพวกเราออกหน้าซื้อไว้จริงๆ?”
พูดถึงแค่ฉิวน้อยตัวนั้น หากยินดีรับหน้าที่เป็นเค่อชิงหรือผู้ถวายงานของภูเขาจี้ซานจะต้องเป็นเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้าอย่างแน่นอน
หากอิงตามบทอธิบายปลาของเผ่าพันธุ์น้ำ เผ่าพันธุ์เจียวหลงบนโลกมนุษย์ที่สามารถเรียกว่าเป็นผู้สืบทอดที่แท้จริงได้ อันที่จริงมีอยู่ไม่มาก ยกตัวอย่างเช่นเผ่าพันธุ์น้ำที่มีเขาเรียกว่าฉิว ไม่มีเขาเรียกว่าชือ ฉิวน้อยที่ปกป้องเห็ดหลิงจืออยู่ในภูเขา ทุกวันนี้มีขอบเขตแค่ถ้ำสถิต เมื่อเทียบกับภูตภูเขาทั่วไปแล้วการหลอมเรือนกายกลับยากยิ่งกว่า แต่หากหลอมเรือนกายได้สำเร็จแล้วเดินลงน้ำเสร็จสิ้น โอกาสที่จะจำแลงร่างกลายเป็นเจียวก็จะมีสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นหลิงจือพันปีที่สามารถช่วยเพิ่มพูนกลิ่นอายพืชพรรณให้มากขึ้น หรือฉิวน้อยที่ชาติกำเนิดสูงส่ง คุณสมบัติในการฝึกตนล้วนไม่ธรรมดา จะด้วยเหตุผลส่วนรวมหรือส่วนตัว จวนจี้ซานบ้านตนย่อมต้องปลูกฝังประคับประคองอย่างเต็มความสามารถอย่างแน่นอน
หากฉิวน้อยไปอยู่ในอาณาเขตภูเขาจี้ซานบ้านตนจริงๆ รอกระทั่งได้เลื่อนเป็นหนึ่งในห้าบรรพตแล้ว อาณาเขตขุนเขาสายน้ำของภูเขาจี้ซานก็จะไม่ได้เพิ่มแค่หนึ่งเท่าตัวเท่านั้น นางจะต้องจัดการเรื่อง ‘เดินลงน้ำ’ ให้ดีอย่างแน่นอน ในวงการขุนนางของขุนเขาสายน้ำ การทำเช่นนี้ก็ไม่ถือว่าเอาผลประโยชน์ส่วนตัวมาเบียดบังผลประโยชน์ส่วนรวมอะไรด้วยซ้ำ
หากโชคดี ไม่ถึงสามร้อยปีภูเขาจี้ซานก็จะมีเจียวน้ำเซียนดินเพิ่มมาตนหนึ่ง สำหรับทั้งสองฝ่ายแล้วล้วนถือเป็นเรื่องดี
นอกจากนี้ท่ามกลางความมืดมิดที่มองไม่เห็น เมื่อแจกันสมบัติทวีปมีมังกรที่แท้จริงตัวแรกปรากฏขึ้นหลังศึกพิฆาตมังกร ก็ประหนึ่งสายลมฤดูใบไม้ผลิที่โชยมายามค่ำคืน ภูเขาที่ถูกผนึกคลายตัวออก เผ่าพันธุ์น้ำนับพันนับหมื่นจึงช่วงชิงกันข้ามฝั่ง
ได้ยินมาว่าทุกวันนี้บริเวณใกล้เคียงกับนครจักรพรรดิขาวของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ประตูมังกรที่ถ้ำสวรรค์เล็กหวงเหอ หลายปีมานี้ได้รวบรวมเผ่าน้ำที่บรรลุมรรคาไว้จำนวนมาก มากมายเหมือปลาตะเพียนข้ามแม่น้ำ ล้วนอยากจะเป็นปลาหลีที่กระโดดข้ามประตูมังกร
เฉินผิงอันส่ายหน้าเอ่ย “ไม่พูดถึงเรื่องเงิน สุดท้ายเหลียงเจินเหรินแค่ทิ้งประโยคหนึ่งไว้ว่าให้เจียงฝู่จวินไปเก็บโชควาสนานี้มาได้เลย”
เฉินผิงอันคร้านจะหาข้ออ้างอะไรอีก คาดว่าต่อให้ฝู่จวินแห่งภูเขาจี้ซานคนนี้จะคิดมากแค่ไหน แต่หากไม่ผิดไปจากที่คาด สุดท้ายแล้วก็จะยังรับโชควาสนาส่วนนี้เอาไว้
เจียงอิ๋งอึ้งตะลึงอยู่กับที่ เจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้นของแคว้นต้าเหลียงคนนั้นถึงกับสละโชควาสนาส่วนนี้ทิ้งไปเปล่าๆ? เป็นหลุมพราง? หรือว่าแค่อยากจะเป็นพันธมิตรกับจวนจี้ซานเท่านั้น จะได้ช่วยหาโอสถเซียนบางอย่างในภูเขามาให้พวกเขา?
เฉินผิงอันขอตัวลา กำลังจะขยับเท้า เด็กสาวคนหนึ่งที่อยู่ด้านท้ายของขบวนรถหน้าแดงก่ำ ปลุกความกล้าตะโกนเรียกอย่างขลาดๆ ว่า “เจ้าขุนเขาเฉิน?”
เสียงแม่นางน้อยอ่อนเบาเหมือนเสียงยุง สตรีวัยกลางคนสวมชุดชาววังคนหนึ่งขมวดคิ้วน้อยๆ
ฝู่จวินเหนียงเนียงกำลังคุยธุระกับแขกผู้มีเกียรติ คนนอกกล้าก่อกวนเช่นนี้ นังเด็กโง่นี่ไม่ดูตาม้าตาเรือเสียบ้างเลย! วันๆ ดีแต่จะดูบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ รายงานขุนเขาสายน้ำที่เหลวไหลพวกนั้น ไม่รู้จักประหยัดเงินเลยแม้แต่น้อย วันหน้ายังอยากจะแต่งงานกับคนดีๆ อยู่หรือไม่ หรือคิดแค่อยากจะขอให้ฝู่จวินเหนียงเนียงประทานสินเดิมให้ตามประเพณี?
เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง ยิ้มถาม “เรียกข้ามีธุระอะไรหรือ?”
เด็กสาวพลันหน้าแดงไปถึงใบหู เอ่ยอย่างไม่แน่ใจว่า “คือเจ้าขุนเขาเฉินจริงๆ หรือ?”
เจียงอิ๋งใช้เสียงในใจถามอย่างสงสัย “หูโอ่ว มีเรื่องอะไร?”
เด็กสาวเอ่ยเสียงสั่น “ตอบฝู่จวินเหนียงเนียง เฉาเซียนซือท่านนี้ แท้จริงแล้วคือเซียนกระบี่เฉินแห่งภูเขาลั่วพั่วของแจกันสมบัติทวีปคนนั้น ทุกวันนี้ยังเป็นเจ้าสำนักของสำนักแห่งหนึ่งด้วย! เคยเปลี่ยนจากแขกมาเป็นเจ้าบ้าน รื้อถอนศาลบรรพจารย์ของภูเขาตะวันเที่ยง ตัดหัวของภูเขาถวายงานพิทักษ์ภูเขาภายใต้สายตาของคนจับจ้องมากมาย สวมชุดเขียวพกกระบี่ แสงกระบี่ดุจสายรุ้ง สรุปก็คือที่แจกันสมบัติทวีปแห่งนั้น ชื่อเสียงของเซียนกระบี่ท่านนี้ใหญ่ยิ่งกว่าแผ่นฟ้าแล้ว…”
เด็กสาวยิ่งพูดก็ยิ่งรัวเร็วเหมือนเทถั่วออกจากกระบอกไม้ไผ่ ไม่ต้องร่างคำพูดไว้ก่อนด้วยซ้ำ เรื่องราวบางอย่าง บวกกับข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ ภายนอก นางท่องจำขึ้นใจได้นานแล้ว ท่องย้อนกลับหลังก็ยังได้
เจียงอิ๋งที่ฟังแม่นางน้อยเล่าอึ้งตะลึงไปทันใด
เสี่ยวโม่ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “คุณชาย ข้าเพิ่งค้นพบว่าแม่นางน้อยคนนี้คล้ายกับจะเป็นทายาทของช่างสวรรค์กรมดวงจันทร์คนหนึ่ง”
เฉินผิงอันแค่เคยได้ยินเรื่องเผ่าพันธ์ดวงจันทร์ ช่างสวรรค์กรมดวงจันทร์อะไรนั่น ต่อให้เป็นเอกสารคดีของคฤหาสน์หลบร้อนก็ยังไม่เคยมีบันทึกไว้มาก่อน
เสี่ยวโม่จึงเริ่มเล่าถึงปฏิทินเหลืองเก่าแก่ที่ไม่สำคัญหน้านั้นให้คุณชายของตนฟัง ในยุคบรรพกาลห่างไกล ช่างประเภทนี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนในครอบครัวเซียนดิน คล้ายคลึงกับการได้รับแต่งตั้งจากคุณูปการของบรรพบุรุษ มีคุณสมบัติในการฝึกตน แต่ธรรมดาอย่างมาก จะต้องถูกแบ่งให้ไปอยู่ตามตำหนักหรือตำหนักพักร้อนต่างๆ นอกจากนี้ก็มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์บางส่วนที่จะไปเยือนแผ่นดินใหญ่เพื่อตามหาตัวเลือกที่เหมาะสมมาโดยเฉพาะ ส่วนจะคัดกรอง เสริมตำแหน่งที่ขาดอย่างไรก็จะเกี่ยวพันไปถึงวิชาลับวิถีเทพที่คล้ายคลึงกับ ‘สวรรค์คัดเลือก’ ประเภทหนึ่ง
นี่ยังเป็นเรื่องวงในที่ปีนั้นเสี่ยวโม่ได้ยินมาจากเจ้าของถ้ำปี้เซียวตอนที่หมักเหล้าด้วยกัน
โดยทั่วไปแล้ว ทายาทตำหนักดวงจันทร์ประเภทนี้ หลังจากกลับมาจุติยังโลกมนุษย์ หากเป็นเผ่าปีศาจแล้วกราบไหว้ดวงจันทร์หล่อหลอมเรือนกายก็จะได้รับเงื่อนไขที่พิเศษโดยเฉพาะ
ส่วนเรื่องที่เหลือ ตามความเห็นของเสี่ยวโม่แล้วก็ไม่มีลวดลายอะไรน่าสนใจอีกแล้ว
เพราะถึงอย่างไรปีนั้นจำนวนของ ‘ช่าง’ พวกนี้ก็มีไม่น้อย พูดถึงแค่ดวงจันทร์สามดวงซึ่งมีฮ่าวไฉ่เป็นหนึ่งในนั้นของใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็มีตำหนักพักร้อนอยู่ทุกหนทุกแห่ง พูดถึงแค่เทพวารีหนึ่งในห้าเทพสูงสุด คฤหาสน์หลบร้อนมีแค่สิบแห่งเสียที่ไหน? แต่หากเปลี่ยนเป็นดวงจันทร์ดวงใดก็ตาม เสี่ยวโม่ก็คงจำแม่นางน้อยไม่ได้แล้ว ทว่าแม่นางน้อยที่มีชื่อว่าหูโอ่วผู้นี้กลับบังเอิญเป็นทายาทกรมดวงจันทร์ของดวงจันทร์ฮ่าวไฉ่พอดี เพียงแต่ว่าหมื่นปีให้หลัง ระบบสายเลือดได้บางเบาอ่อนจางจากเดิมมากแล้ว
เจียงอิ๋งยอบกายคารวะ “คารวะเจ้าขุนเขาเฉิน ก่อนหน้านี้เป็นเจียงอิ๋งที่สายตาไม่ดี เสียมารยาทแล้ว”
เฉินผิงอันรีบกุมหมัดคารวะกลับคืน
สุดท้ายปฏิเสธการเชื้อเชิญของอีกฝ่ายอย่างละมุนละม่อม คนทั้งกลุ่มไม่ได้อ้อมเส้นทางไปเป็นแขกที่จวนจี้ซาน
หลังจากที่ร่างจริงและจิตหยินของชุยตงซานผสานรวมกันแล้วก็ไม่ได้ติดตามเฉินผิงอันเดินทางลงใต้ แต่กลับไปยังภูเขาเซียนตูเพื่อทำธุระต่อ เป็นทั้งช่างแล้วก็เป็นทั้งคนตรวจงาน
หากว่าไม่ได้เป็นเจ้าสำนัก ให้ตายอย่างไรเขาก็จะทำหน้าหนาไม่ยอมจากไป ไหนเลยจะเหมือนตอนนี้ที่เดินทางมาอย่างรีบร้อนแล้วจากไปอย่างรีบเร่ง ไม่อาจถ่วงเวลาได้แม้แต่ชั่วขณะเดียว
ก่อนจะจากไป เฉินผิงอันได้ถามเรื่องผลแพ้ชนะจากการประลองหมากล้อมในอาราม ชุยตงซานหัวเราะหึหึ “ต่อให้ยอมอ่อนข้อให้อย่างยากลำบากก็ยังยากที่จะแพ้ได้”
สีท้องฟ้าและสีน้ำกลายเป็นสีเดียวกัน แม่น้ำกว้างใหญ่ฝูงปลาแหวกว่าย
กลุ่มของเฉินผิงอันเดินอยู่ริมฝั่ง ท่าเรือตระกูลเซียนที่บุกเบิกขึ้นใหม่จากภูเขาที่พึ่งพิงถ้ำมังกรขาวแห่งนี้มีชื่อว่าท่าเรือเหย่อวิ๋น อยู่ในสังกัดของพรรคตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าภูเขาหลิงปี้ เพียงแค่เพราะเป็นศาลาใกล้น้ำจึงได้ยลแสงจันท์ก่อน ได้ครอบครองพื้นที่ฮวงจุ้ยมงคลซึ่งกลายเป็นสถานที่ไร้เจ้าของแห่งนี้ ทุ่มเงินเทพเซียนไปไม่น้อย ซ่อมแซมขยับขยายอย่างต่อเนื่องถึงได้มีขนาดเท่าท่าเรืออย่างในทุกวันนี้ ทว่าพูดให้ถูกต้องก็คือ สำนักเบื้องล่างของภูเขาลั่วพั่ว สำนักกระบี่ชิงผิงในทุกวันนี้ก็คือเจ้าของที่แท้จริงของท่าเรือเหย่อวิ๋นแล้ว
เพียงแต่ว่าชุยตงซานทำอะไรลึกลับ ไม่ได้แพร่งพรายข่าวออกไปแม้แต่น้อย แม้แต่ตัวถ้ำมังกรขาวที่เป็น ‘ภูเขาเบื้องบน’ เอง ทุกวันนี้ยังไม่รู้เลยว่าภูเขาหลิงปี้ได้ทำการค้านี้กับคนนอกสำเร็จแล้ว
และท่าเรือเหย่อวิ๋นที่ตอนนี้ขนาดยังไม่ใหญ่ รอกระทั่งชุยตงซานปลีกตัวมาได้ ในอนาคตก็จะต้องมีการสร้างให้ขยายใหญ่ขึ้น จะกลายเป็นหนึ่งในสิบเจ็ดท่าเรือที่เรือข้ามฟากเฟิงยวนเดินทางผ่าน
นอกจากชุยตงซานจะมอบเงินฝนธัญพืชหนึ่งร้อยเหรียญให้กับภูเขาหลิงปี้ ครึ่งหนึ่งเป็นเงินค่าโฉนดที่ดินของท่าเรือ อีกครึ่งหนึ่งคือเงินมัดจำล่วงหน้า เพราะในอนาคตสามร้อยปี ภูเขาหลิงปี้ก็สามารถนั่งรับส่วนแบ่งสามส่วนเป็นเงินฝนธัญพืชห้าสิบเหรียญได้เลย ซึ่งจะถูกหักจากบัญชีสามส่วนนั้น แต่ไม่ใช่การหักเงินแล้วค่อยแบ่งส่วนแบ่ง ทุกปีภูเขาหลิงปี้ยังคงได้รับส่วนแบ่งหนึ่งส่วนครึ่งได้ดังเดิม
ดังนั้นนอกจากเงินฝนธัญพืชหนึ่งร้อยเหรียญที่หล่นมาอยู่ในกระเป๋าเพื่อความสบายใจแล้ว ยังสามารถอาศัยส่วนแบ่งหนึ่งส่วนครึ่งนั้น สามร้อยปีข้างหน้า ภูเขาหลิงปี้ก็แค่นอนรอรับเงินบนสมุดบัญชีเท่านั้น
ไม่อย่างนั้นลำพังอาศัยแค่ค่าเช่าจากร้านค้าหกสิบกว่าร้าน รวมไปถึงเงินค่าผ่านทางจากเรือข้ามฟากเล็กๆ ทั้งหลาย ปีเดือนไหนถึงจะได้เงินฝนธัญพืชหนึ่งร้อยเหรียญมาเล่า? แทบไม่ต่างจากคนปัญญาอ่อนที่เพ้อฝันเลย
ดังนั้นภูเขาหลิงปี้จึงรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของเด็กหนุ่มหน้าตางดงามมีไฝแดงกลางหว่างคิ้วผู้นั้นอย่างมาก ส่วนเรื่องที่ว่าอีกฝ่ายมีความเป็นมาอย่างไร มีรากฐานอะไร พวกเขาไม่ไปสืบเสาะ ขอแค่เงินเป็นของจริงก็พอแล้ว
มีเงินเทพเซียนก้อนใหญ่ขนาดนี้หล่นลงมาจากฟ้า เส้นทางการหาเงินของภูเขาหลิงปี้ก็มีมากขึ้น เงินทองไหลมาเทมา กำไรเป็นกอบเป็นกำ
ยกตัวอย่างเช่นสำนักกุยหยกทางทิศใต้ ทุกวันนี้ก็ได้สร้างโรงฝากเงินบนภูเขาแห่งแรกในประวัติศาสตร์ของใบถงทวีปขึ้นมา ไม่เพียงแต่สามารถฝากเงินเทพเซียน เงินทองและเหรียญทองแดงของราชสำนักในแต่ละแคว้นยังสามารถเอามาคิดเป็นเงินเทพเซียนได้ ประเด็นสำคัญคือไม่คิดจำนวนเงินเทพเซียนที่จ่ายจริงเกินไปด้วย
ในเมื่อทุกวันนี้เจ้าสำนักไม่ใช่เจียงซ่างเจินแล้ว แต่เปลี่ยนมาเป็นเซียนกระบี่ใหญ่เหวยอิ๋งที่ทุกคนฝากความหวังไว้ ถ้าอย่างนั้นเกินครึ่งก็น่าเชื่อถือได้
แม้จะบอกว่ายังมีพรรคจวนเซียนจำนวนไม่น้อยที่ยังคงสังเกตการณ์ด้วยความระแวง แต่ภูเขาหลิงปี้ได้ส่งคนไปที่สำนักกุยหยก ปรึกษาเรื่องดอกเบี้ยจากการฝากเงินแล้ว
ในเมื่อเฉินผิงเดินเล่นอยู่ที่ท่าเรือบ้านตัวเอง ไม่ว่าจะผู้คนหรือเรื่องราวที่ได้พบเห็นล้วนน่าใกล้ชิดสนิทสนม ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดีไปหมด
เฉาฉิงหล่างพลันเอ่ยว่า “ได้ยินศิษย์พี่เล็กเล่าว่าทางฝั่งของฝูเหยาทวีปไม่สงบสุข มีเซียนซือกำลังค้นหาสมบัติอยู่ในใต้ดินที่ลึกมากแล้วบังเอิญค้นพบสายแร่ที่จำนวนอุดมสมบูรณ์สายหนึ่ง วัตถุดิบไม่แน่ชัด แต่ปราณวิญญาณที่ซุกซ่อนอยู่ตามธรรมชาติสามารถมองเป็นเงินเทพเซียนใหม่เอี่ยมอย่างหนึ่งได้เลย ระดับขั้นเป็นรองเงินเกล็ดหิมะ แต่เหนือกว่าในด้านปริมาณมหาศาล”
เผยเฉียนเอ่ยอย่างสงสัย “ต้นกำเนิดทรัพย์สินอย่าง ‘เส้นชีพจรมังกร’ เส้นนี้ ปีนั้นเผ่าปีศาจของเปลี่ยวร้างไม่ค้นพบหรือ?”
เหวยเหวินหลงนักบัญชีเคยยกตัวอย่างเปรียบเปรยให้ฟัง เงินขาวที่ใช้กันอย่างแพร่หลายล่างภูเขา ก็คือเส้นชีพจรมังกรที่หลบซ่อนหลายต่อหลายเส้น
เฉินผิงอันกล่าว “มีโอกาสก็แวะไปดูสักหน่อย”
ระหว่างทางกลับเหนือ
คนชุดขาวอยู่ท่ามกลางเมฆขาว
ชุยตงซานหันกลับมามองแวบหนึ่ง ไม่เห็นเรือนกายเมฆาวารีของอาจารย์อีกแล้ว
นึกถึงประโยคทำนายจากเหลียงส่วงเจินเหรินผู้เฒ่า
‘ใต้หล้ารอท่านมานานแล้ว’