กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 896.3 คืนนี้สดชื่น
โอกาสอีกครั้งหนึ่งก็คือเย่อวิ๋นอวิ๋น นอกจากจะเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางแล้ว นางยังเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบที่ชื่อเสียงไม่โด่งดังด้วย แต่ถูกสงครามครั้งนั้นถ่วงเวลาเอาไว้ และหลังจากที่เย่อวิ๋นอวิ๋นเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน แค่พูดง่ายๆ คำเดียวในศาลบรรพจารย์ผูซาน อีกทั้งยังไม่อนุญาตให้สมาชิกของศาลบรรพจารย์นำเรื่องนี้แพร่งพรายไปยังภายนอก และทุกวันนี้ก็ไม่คิดจะรายงานเรื่องนี้ให้ทางสำนักศึกษาต้าฝูทราบ นี่แสดงให้เห็นว่าอย่างน้อยที่สุดในช่วงเวลาอันใกล้นี้ ภูเขาผูซานก็ยังไม่คิดจะขยับเลื่อนเป็นสำนัก
ดูเหมือนว่าในเรื่องของการเลื่อนขั้นเป็นสำนัก ผูซานมักจะขาดความหมายที่เรียกว่าเจตนารมณ์สวรรค์ไปอยู่เสมอ
ฝนฟ้าไม่เป็นใจ?
เหมือนว่าจะได้รับการชดเชยตอบแทน ก่อนหน้านี้ไม่นานเย่อวิ๋นอวิ๋นจึงได้ภาพเซียนภาพที่เจ็ดมา ล้ำค่ามากเป็นพิเศษ มีมูลค่าควรเมือง
เฉินผิงอันเคยได้ยินเจียงซ่างเจินพูดเน้นย้ำให้ฟัง บอกว่าเป็นภาพวาดฝาผนังภาพหนึ่ง ระดับขั้นสูงกว่าภาพบรรพบุรุษทั้งหกเสียอีก
อีกทั้งก่อนที่โจวอันดับหนึ่งจะออกไปจากไพศาลยังตั้งใจทิ้งจดหมายฉบับหนึ่งไว้ที่ภูเขาลั่วพั่วเพื่อพูดถึงเรื่องนี้โดยเฉพาะ
ตามคำอธิบายในจดหมายของเจียงซ่างเจิน ภาพนี้มีประวัติความเป็นมาไม่ธรรมดา วาดเป็นภาพแผ่นหลังของภิกษุที่สวมจีวร แต่กลับสวมกวานเต๋า ในมือถือแผ่นหยก หันหน้าเข้าหาภาพวาดฝาผนังภาพหนึ่ง
ในภาพมีภาพ ภาพวาดบนฝาผนังเป็นการลอกลายของกระถางทองสัมฤทธิ์โบราณใบหนึ่ง รวมไปถึงตัวอักษรโบราณหลายพันตัวที่เรียงรายกันแน่นขนัด
เผยเฉียนพลันยิ้มเอ่ย “อาจารย์พ่อ ในเมื่อพี่หญิงหวงกลับบ้านเกิดแล้ว พวกเราจะไปหานางเมื่อไหร่หรือ?”
นางมีความประทับใจที่ดีเยี่ยมต่อพี่สาวนักพรตหญิงคนนั้น หน้าเย็นใจร้อน (เปรียบเปรยว่าภายนอกเย็นชา แต่แท้จริงกลับเป็นคนมีน้ำใจไมตรี) สรุปก็คือแตกต่างจากสุยโย่วเปียนอย่างมาก
เฉินผิงอันกล่าว “ถึงเวลานั้นพวกเรากลับภูเขาเซียนตูกันก่อนแล้วค่อยไปที่เสี่ยวหลงชิว”
เดินอยู่บนเส้นทางเงียบสงัดสายหนึ่งที่มุ่งตรงสู่ประตูภูเขาของผูซาน
เฉินผิงอันจำต้องหยิบกระบอกยาสูบออกมาอีกครั้ง หรี่ตาครุ่นคิดถึงเรื่องบางอย่าง
เหตุใดผูซานถึงสามารถหลบพ้นหายนะท่ามกลางขุนเขาสายน้ำที่พังภินท์แผ่นดินที่จมดิ่งได้ แท้จริงแล้วนี่เป็นเรื่องที่ชวนให้คนคิดลึกอย่างมาก
บนภูเขา นับตั้งแต่สำนักฝูจีไปจนถึงภูเขาไท่ผิง ต่อให้เป็นสำนักกุยหยกที่แม้จะรักษากิจการบรรพบุรุษเอาไว้ได้ ไม่ถึงกับควันธูปขาดสะบั้น ทว่าศาลบรรพจารย์กลับมีคนรอดชีวิตแค่ไม่กี่คน จนถึงทุกวันนี้ ทุกครั้งที่ประชุมกันก็ยังมีเก้าอี้ว่างอยู่ถึงครึ่งหนึ่ง
ส่วนล่างภูเขา ราชวงศ์ต้าเฉวียนคือราชวงศ์เพียงหนึ่งเดียวที่สามารถรักษาชะตาแคว้นไม่ให้ขาดสะบั้นได้ กองทัพชายแดนรบตายกันไปนับไม่ถ้วน ได้แต่ค่อยๆ ถอยกลับมาทีละก้าว สุดท้ายจึงพอจะรักษานครเซิ่นจิ่งไม่ให้ถูกข้าศึกยึดครองไว้ได้อย่างถูไถ
มีเพียงผูซานที่ดูเหมือนว่าแค่ทำสงครามที่ไม่เจ็บไม่คันบนภูเขาไม่กี่ครั้งเท่านั้น ฟ้าร้องดังฝนตกเบา ปีศาจใหญ่ในกระโจมทัพหลายตนมองสังเกตการณ์อยู่ไกลๆ พักหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงได้มีความเห็นพ้องต้องกัน ไม่ได้ลงมือกับผูซานอย่างแท้จริง
ไม่อย่างนั้นปีนั้นเย่อวิ๋นอวิ๋นก็คงไม่คิดอยากจะบุกไปเข่นฆ่าที่ราชวงศ์ต้าเฉวียน
ตามคำกล่าวของชุยตงซาน เป็นเพราะโจวมี่มหาสมุทรความรู้ฝากความหวังไว้มากต่อผูซานที่ไม่สะดุดตาแห่งนี้
พูดแค่นิดเดียวเฉินผิงอันก็เข้าใจได้ทันที นี่เกี่ยวพันกับเส้นทางหัวขาดของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวและการเปิดเส้นทางเทพใหม่อีกครั้งบนโลกมนุษย์
แต่ผู้ฝึกตนของใบถงทวีปในทุกวันนี้ต่างก็มองข้ามเรื่องนี้ไปคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนา เพียงแค่คิดว่าบรรพบุรุษสกุลเย่ของเรือนอวิ๋นฉ่าวผูซานช่วยปกป้องคุ้มครอง มีบุญบารมีคอยช่วยเหลือ
ขยับเข้าใกล้ประตูภูเขา เฉินผิงอันถึงได้เก็บกระบอกยาสูบ
เจ้าของสิ่งนี้ เขายังไม่ค่อยคุ้นชินกับมันสักเท่าไร สูบแล้วคนอื่นเหม็น ตัวเองก็สำลักควัน ดูเหมือนว่าจะยากยิ่งกว่าดื่มเหล้าเสียอีก
……
ภูเขาบรรพบุรุษของเสี่ยวหลงชิว ภูเขาหลงเหมียน (มังกรจำศีล) บนยอดเขาที่มีศาลบรรพจารย์ตั้งอยู่มีชื่อว่ายอดซินอี้ (น้ำใจ จิตใจ)
มีนักพรตหญิงที่มาจากต่างถิ่นคนหนึ่งมาสร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ที่นี่ หลังถามกระบี่เสร็จแล้ว นางก็ยังไม่จากไปไหน
ปักกระบี่โบราณเล่มหนึ่งไว้บนพื้นดินของยอดเขา ราวกับว่าเมื่อทำเช่นนี้บนยอดเขาก็กลายเป็นอาณาเขตของนางแล้ว
เพียงแต่ว่าต่อให้จะเป็นผู้ฝึกตนของเสี่ยวหลงชิวก็จำต้องยอมรับว่า ท่วงท่ายามที่สตรีผู้นี้ถามกระบี่ ช่างสง่างามองอาจเหลือเกิน
โชคดีที่เสี่ยวหลงชิวพยายามปิดข่าวอย่างสุดความสามารถ บวกกับที่ใบถงทวีปในทุกวันนี้มีตระกูลเซียนที่เป็นโล้เป็นพายอยู่แค่ไม่กี่แห่ง จำนวนของรายงานบนภูเขาก็มีไม่มาก ไม่อย่างนั้นหากเรื่องนี้แพร่ออกไป คนนอกคงหัวเราะกันจนฟันหัก
ไม่เหมือนกับทวีปอื่นๆ ในไพศาล ใบถงทวีปขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่ปิดตาย เหมือนกับตาเฒ่าคนหนึ่งที่แก่ชราเสื่อมสภาพ ทว่ากลับหลงลำพองว่าตัวเองเก่งกาจ
ดังนั้นเมื่อมีเจียงซ่างเจิน ที่แห่งนี้ถึงได้เปลี่ยนมาเป็นครึกครื้น
สำนักฝูจีและภูเขาไท่ผิง สำนักใหญ่สองแห่ง ทุกวันนี้เหลือแค่คนคนเดียว คล้ายครอบครัวที่มีแต่บุตรโทน
เวลานี้นักพรตหญิงหวงถิงยืนอยู่ตรงหน้าผา สองมือค้ำยันอยู่บนด้ามกระบี่ แหงนหน้ามองจันทร์
นางเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบอยู่ที่ใต้หล้าห้าสี อยู่ที่นั่นนางมีโชคไม่เลว ได้รับวาสนาติดต่อกันหลายครั้ง แต่สำหรับนางแล้ว วาสนาที่หล่นลงมาจากฟ้าประเภทนี้ นางเคยชินมาตั้งแต่เด็กแล้ว
ถึงอย่างไรตอนเด็กก็เคยมียอดฝีมือที่เดินทางผ่านภูเขาไท่ผิงช่วยทำนายให้ว่านางเป็นคนมีบุญบารมี
ก่อนหน้านี้ใช้กระบี่ฟันเปิดตราผนึกขุนเขาสายน้ำของค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขา จากนั้นใช้อีกกระบี่ทำให้เจ้าขุนเขาของเสี่ยวหลงชิวบาดเจ็บสาหัส สุดท้ายใช้อีกกระบี่ฟันศาลบรรพจารย์แบ่งออกเป็นสองส่วน
นางพกกระบี่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ ทิ้งคำพูดไว้ให้กับผู้ฝึกตนทั้งภูเขาที่ปากอ้าตาค้างแค่เพียงสองประโยค
‘ต่อจากนี้ใครที่มารับกระบี่ ระวังว่าต้องตาย’
‘แต่หากใครสามารถรับกระบี่ได้สามครั้งติด ศาลบรรพจารย์บ้านพวกเจ้า ข้าจะเป็นคนเงินออกค่าซ่อมแซมให้เอง’
แน่นอนว่าไม่มีใครกล้ามารับกระบี่
หวงถิง นักพรตหญิงแห่งภูเขาไท่ผิงท่านนี้ คือหนึ่งในผู้ฝึกตนหญิงที่มีเรื่องเล่ามากสีสันที่สุดในใบถงทวีปเมื่อครั้งอดีต
โชคดีขี้หมาของเจียงซ่างเจินแห่งสำนักกุยหยก โชควาสนาของหวงถิงแห่งภูเขาไท่ผิง ถูกเรียกรวมกันว่าหยกคู่แห่งหนึ่งทวีป
ครั้งนี้จู่ๆ หวงถิงก็หวนคืนกลับบ้านเกิด ทำให้คนทั้งเสี่ยวหลงชิวคาดไม่ถึงอย่างยิ่ง เนื่องจากตอนที่ประตูใหญ่ของใบถงทวีปเปิดออกให้ผู้คนได้เดินทางไปหลบภัยที่ใต้หล้าใหม่เอี่ยม ยามนั้นศาลบุ๋นแห่งลัทธิขงจื๊อได้กำหนดระยะเวลาไว้ที่ร้อยปี ครบร้อยปีถึงจะเปิดประตูอีกครั้ง
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของหวงถิงถึงได้ทำให้เสี่ยวหลงชิวรับมือกันไม่ทัน อันที่จริงก่อนหน้านี้มีคนต่างถิ่นไปเยือนซากปรักของภูเขาไท่ผิง ก็ทำให้เสี่ยวหลงชิวสัมผัสได้ถึงความผิดปกติแล้ว รอกระทั่งหวงถิงเผยกายมาถามกระบี่ พวกเขาก็ถอดใจกันไปอย่างสิ้นเชิง
การประชุมในศาลบรรพจารย์ของทุกวันนี้ ไม่ใช่อยากจะขับไล่คน แต่กลายเป็นต้องปรึกษากันว่าควรจะขออภัยผู้ฝึกกระบี่นักพรตหญิงที่คนผู้หนึ่งคือสำนักแห่งหนึ่งอย่างไร นางถึงจะยินดีย้ายออกไปจากศาลบรรพจารย์ ต่อให้ไม่ออกไปจากยอดซินอี้ แต่ย้ายไปอยู่ตรงจุดอื่นก็ยังดี
ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่เป็นผู้ดูแลอย่างแท้จริงของทุกวันนี้ เดิมทีเขาที่เป็นขุนนางใหม่จึงมีไฟสามกอง (เปรียบเปรยว่าคนมารับหน้าที่ใหม่ย่อมไฟแรง) คิดจะช่วยให้ทางสำนักยึดครองซากปรักของภูเขาไท่ผิงมา รวบรวมท่วงทำนองแห่งมรรคาที่หลงเหลืออยู่ บวกกับวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นหนึ่งของตน พยายามจะหลอมคันฉ่องแสงจันทร์ขึ้นมา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลส่วนรวมหรือส่วนตัว ล้วนเป็นประโยชน์ต่อมหามรรคาอย่างยิ่ง นี่ได้ผลยิ่งกว่าการสร้าง ‘สวนป่า’ ให้คนมาเที่ยวชมเสียอีก
หวงถิงกวาดตามองไปรอบด้าน บริเวณโดยรอบเสี่ยวหลงชิวโอบล้อมไปด้วยสายน้ำ ผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาแบ่งเป็นซ้ายกับขวา คือวานรเด็ดจันทร์ที่อยู่อันดับเดียวกับเผ่าพันธ์ย้ายภูเขาซึ่งหาได้ยากมาก กับตะพาบน้ำตัวหนึ่ง
นอกจากนี้ในอาณาเขตขุนเขาสายน้ำยังมีปลาจวี้ชิงที่กลายเป็นภูตแล้วตัวหนึ่งกับปลาต้าเหนียนอีกตัวหนึ่ง ไม่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องจากทางราชสำนัก พวกมันจึงแต่งตั้งตัวเองเป็นพญาฉีเหอและมหาราชย์หวงสุ่ย เพียงแต่ได้ยินว่าระหว่างที่เกิดสงครามใหญ่ พวกมันต่างก็เผ่นหนีกันไปหมด พอสงครามใหญ่ปิดฉากลงถึงกลับกันมา
เพียงแต่ว่าเสี่ยวหลงชิวไม่ได้ถือสาอะไรกับพ่อปู่สายน้ำสองตนนี้ คงเพราะรู้สึกว่าอย่างไรก็เป็นถึงโอสถทองสองตน น้ำดีไม่ควรไหลเข้านาของคนอื่น ต่อให้เป็นได้แค่เครื่องประดับก็ยังดี
สมบัติพิทักษ์ภูเขาของเสี่ยวหลงชิวคือน้ำเต้าฝนธัญพืชลูกหนึ่ง
เจ้าขุนเขาหญิงที่โดนกระบี่ของนางไปหนึ่งทีมีฉายาว่าชิงซวงซ่างเหริน
เพียงแต่ว่าทุกวันนี้คนที่จัดการดูแลกิจธุระทุกอย่างอย่างแท้จริงกลับเป็นศิษย์น้องชายของนาง ปณิธานยิ่งใหญ่ แต่ความสามารถต่ำต้อย นิสัยใจคอก็ไม่เที่ยงตรง
เหตุผลก็เรียบง่ายมาก หนึ่งกระบี่ฟันเปิดตราผนึกขุนเขาสายน้ำ ชิงซวงซ่างเหรินที่กำลังปิดด่านยอมฝ่าด่านออกมาอย่างไม่เสียดาย มารับกระบี่ที่สองของหวงถิงไป หันไปมองบุรุษผู้นั้น ดูเหมือนว่าจะชอบดูเรื่องสนุกมากกว่า ทุกวันนี้คงกำลังแอบสะใจอยู่กระมัง เพราะถึงอย่างไรเมื่อเป็นเช่นนี้ ศิษย์พี่หญิงเจ้าขุนเขาก็จำเป็นต้องปิดด่านรักษาตัวนานยิ่งกว่าเดิม หากไม่มีสี่สิบห้าสิบปีหรือกระทั่งหกสิบปี ก็อย่าหวังว่าจะหวนคืนสู่ขอบเขตเดิมได้ คนผู้นี้มีวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นหนึ่งเป็นเบ็ดตกปลา ดูเหมือนว่าจะสามารถเอาดวงจันทร์ในน้ำเป็นเหยื่อล่อได้ มีความคล้ายคลึงกับข้องราชามังกร
ทุกวันนี้ผู้ฝึกตนของเสี่ยวหลงชิวเพียงหนึ่งเดียวที่กล้าเข้าใกล้กระท่อมหลังนี้คือผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่ง มีนามว่าลิ่งหูเจียวอวี๋ ฉายาว่าฝูสู่
ฉายาของผู้ฝึกตนบนภูเขาก็เหมือนกับนามของบุรุษวัยสวมกวานล่างภูเขา ไม่ใช่ว่าผู้ฝึกลมปราณจะได้ครอบครองกันง่ายๆ ต้องเลื่อนเป็นขอบเขตถ้ำสถิตห้าขอบเขตกลางก่อนถึงจะได้
พ่อแม่ของนางต่างก็เป็นผู้ฝึกตนของเสี่ยวหลงชิว คือคู่รักคู่หนึ่งบนภูเขา ในฐานะบุตรสาวคนเดียว แม่นางน้อยย่อมได้รับความรักความเอ็นดูอย่างล้นเหลือ เพียงแต่พวกเขาล้วนรบตายอยู่นอกภูเขาแล้ว เดิมทีไม่ต้องตายก็ได้ ได้ยินว่าด้านนอกมีสหายเก่าที่ต้องการความช่วยเหลือ บางทีในสายตาของคนมากมาย หรือแม้กระทั่งในสายตาของคนในเสี่ยวหลงชิวเอง นี่คือการรนหาที่ตายเอง น่าขันอย่างถึงที่สุด แต่หวงถิงกลับไม่รู้สึกว่าน่าขันเลยแม้แต่น้อย
ดังนั้นถึงได้ให้แม่นางน้อยที่มีนามว่าลิ่งหูเจียวอวี๋ผู้นั้นมา ‘เป็นแขก’ ที่นี่
ตรงเอวของแม่นางน้อยพกหยกก้นหอยชิ้นหนึ่ง คือสมบัติอาคมจำพวกเรียกภูเขา ค่อนข้างคล้ายคลึงกับระฆังไล่ภูเขา ทว่าได้แค่ทำเรื่องอย่างการ ‘อบรม’ พวกเทพภูเขา เทพแห่งผืนดินเท่านั้น ไม่ได้มีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่อย่างฝ่ายหลังที่สามารถขับไล่ภูเขาให้เคลื่อนลงสู่มหาสมุทรได้
เสี่ยวหลงชิวแห่งนี้คล้ายจะไม่ค่อยถูกกับภูเขาสักเท่าไร ยกตัวอย่างเช่นบนภูเขามีหอต้มหินอยู่แห่งหนึ่ง และนอกภูเขาก็ยังมีแม่น้ำกลิ้งภูเขาสายหนึ่ง
เรื่องเดียวที่น่าสนใจก็คือสมัยโบราณมีเซียนเหรินสองคนเคยมาประลองหมากล้อมกันในภูเขา ทิ้งเศษซากกระดานหมากล้อมไว้ใต้ต้นสน ไม่สนใจวันเวลาที่หมุนเวียนผันผ่านของโลกมนุษย์
หวงถิงเคยไปเดินเล่นที่นั่น มีความลี้ลับอยู่บ้างจริงๆ
นางหันหน้ามาก็เห็นว่าแม่นางน้อยคนหนึ่งเดินมาทางนี้ รอกระทั่งอีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้ หวงถิงก็เดินไปทางกระท่อม แม่นางน้อยเดินตามมา มีความรู้ใจกันอย่างยิ่ง
ในกระท่อมมีเพียงเตียงหนึ่งหลังกับม้านั่งหนึ่งตัว พอเข้าหน้าหนาวก็เพิ่มกระถางไฟมาอีกใบหนึ่ง ตรงมุมห้องวางถ่านไม้ไว้หนึ่งถุง หวงถิงนั่งอยู่ตรงขอบเตียง สองเท้าเหยียบอยู่ริมขอบของกระถางไฟ โน้มตัวไปด้านหน้า ในมือถือไม้คีบถ่านขยับเขี่ยถ่านในกระถาง
ลิ่งหูเจียวอวี๋นั่งยองอยู่ด้านข้าง ยื่นมือมาอังไฟ
หวงถิงกล่าว “มีเก้าอี้แต่ไม่นั่งหรือ?”
ลิ่งหูเจียวอวี๋ถึงได้ลุกขึ้นขยับเท้าไปนั่งบนม้านั่งยาว นั่งล้อมกระถางไฟกับหวงถิง
หวงถิงถามชวนคุย “ลิ่งหูเจียวอวี๋ ปลาที่ทั้งไหม้ทั้งเละ? ใครตั้งชื่อนี้ให้เจ้า พ่อแม่เจ้าคิดอย่างไรกันแน่?”
ลิ่งหูเจียวอวี๋ยิ้มเอ่ย “พี่หญิงหวงถิง เรื่องนี้มีความหมายซุกซ่อนอยู่นะ ปีนั้นหลังจากที่ท่านแม่ข้าตั้งท้องข้า มีวันหนึ่งนางฝัน ฝันเห็นว่าสระน้ำลึกใต้ร่มใบกล้วยกอหนึ่งมีปลาตัวหนึ่งว่ายขึ้นมาบนฝั่ง ปลาเงยหน้ามองสบตากับท่านแม่ข้า แล้วยังพูดด้วยนะ ท่านพ่อท่านแม่ต่างก็รู้สึกว่าเป็นลางมงคล ก็เลยตั้งชื่อนี้ให้ข้า”
บนภูเขาในทุกวันนี้ พวกผู้อาวุโสและคนร่วมสำนักต่างก็จงใจเลี่ยงที่จะพูดถึงท่านพ่อท่านแม่ของนาง แน่นอนว่าเป็นเพราะหวังดี กลัวว่านางจะเสียใจ
แต่อันที่จริงนางไม่ได้คิดมาก ถึงขั้นรู้สึกด้วยว่าท่านพ่อท่านแม่เป็นคนดีขนาดนั้น ทำไมถึงไม่พูดถึงพวกเขาให้มากหน่อยล่ะ จะต้องทำให้นางดีใจมากกว่าเสียใจแน่นอน
ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้
หวงถิงถาม “แจกันสมบัติทวีปก็มีต้าหลงชิว เสี่ยวหลงชิวเหมือนกัน เกี่ยวข้องกับพวกเจ้าด้วยหรือไม่?”
ลิ่งหูเจียวอวี๋ทำหน้าเหลอหรา “หา?”
นางเพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรกว่าที่แจกันสมบัติทวีปก็มีเสี่ยวหลงชิวด้วย
หวงถิงถาม “อยากติดตามข้าไปฝึกตนที่ภูเขาไท่ผิงหรือไม่?”
ลิ่งหูเจียวอวี๋คิดแล้วก็ส่ายหน้า เอ่ยอย่างขลาดๆ ว่า “อย่าดีกว่า”
หวงถิงเองก็แค่เกิดความคิดกะทันหันจึงพูดชวนไปอย่างนั้นเอง แม่นางน้อยไม่เต็มใจก็ช่างเถอะ นางจึงเอ่ยสัพยอกว่า “ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่ต้องกลุ้มเรื่องแต่งงานแล้ว”
กระดานแยนจือภูเขาฮวาเสินที่ประเมินใหม่ล่าสุดของพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา แม่นางน้อยที่อยู่ตรงหน้าก็มีชื่อติดอันดับด้วย
ลิ่งหูเจียวอวี๋รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย เงยหน้ามองพี่สาวนักพรตหญิงที่แสงไฟจากเตาถ่านสาดส่องใบหน้า อีกฝ่ายงดงามกว่านางมากนัก
หวงถิงชี้ไปยังกระบี่พกประจำตัวที่แขวนไว้บนผนัง ยิ้มเอ่ย “ไม่เหมือนกับเจ้า ข้าคือผู้ฝึกกระบี่ หน้าตางดงามหรือไม่ มิอาจเอามากินแทนข้าวได้”
ส่วนกระบี่พกที่เอากลับมาจากใต้หล้าห้าสีเล่มนั้น นางเก็บมาได้จากซากปรักในพื้นที่ลับแห่งหนึ่ง
คงเป็นเพราะอาวุธเซียนมีสติปัญญา จึงรับนายด้วยตัวเอง แสงกระบี่พลันเปล่งวูบแล้วพุ่งตรงมาหานาง ตอนนั้นนางแค่ตามติดอยู่ด้านหลังเซียนซือกลุ่มใหญ่เพื่อไปดูเรื่องครึกครื้นเท่านั้น
เห็นว่าเหล่าเทพเซียนห้าขอบเขตกลางพวกนั้นทั้งตั้งค่ายกล ทั้งทำอะไรก็ไม่รู้ ยุ่งวุ่นวายลำบากลำบน แต่นางกลับแค่ออกไปเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์เท่านั้น ใต้หล้าห้าสีในเวลานั้น เซียนดินโอสถทองคนหนึ่งก็กล้าก่อสำนักตั้งพรรคแล้ว
นอกจากนี้หวงถิงยังรับแม่นางน้อยคนหนึ่งเป็นลูกศิษย์อยู่ที่นั่น ดูเหมือนว่าจะเป็นเด็กใน ‘ท้องที่’ ที่ถือกำเนิดขึ้นมาในใต้หล้าห้าสี
เพียงแต่ว่าครั้งนี้ไม่ได้พามาด้วย มอบให้นครบินทะยานช่วยดูแล เพราะถึงอย่างไรที่ใต้หล้าห้าสีแห่งนั้นก็มีภูเขาอยู่ลูกหนึ่งที่ตั้งป้ายศิลาแกะสลักสามคำว่าภูเขาไท่ผิง
ในรัศมีพันลี้รอบด้าน ผู้ฝึกตนห้ามกล้ำกรายเข้ามา ไม่อย่างนั้นจะเท่ากับถามกระบี่กับนาง
การที่นางสามารถแหกกฎออกมาจากใต้หล้าห้าสีได้ เพราะหนิงเหยาบุคคลอันดับหนึ่งของใต้หล้าผู้นั้น อยู่ดีๆ ก็มาหานาง
ตอนนั้นข้างกายหนิงเหยายังมีแม่นางน้อยท่าทางประหลาดคนหนึ่งติดตามมาด้วย ในมือนางถือไม้เท้าไม้ไผ่เขียว ตรงเอวห้อยแท่นฝนหมึกขนาดพกพา ดูเหมือนว่าจะชื่อกวอจู๋จิ่ว
แม่นางน้อยพูดจาน่าสนใจอย่างมาก บอกว่าตัวเองคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของใต้เท้าอิ่นกวาน เวทกระบี่ธรรมดา แต่วิชาหมัดกลับหนักหน่วงอย่างมาก
หนิงเหยาเล่าสถานการณ์ล่าสุดของภูเขาไท่ผิงในใบถงทวีปให้หวงถิงฟัง บอกว่าเฉินผิงอันทำลายแผนการของเสี่ยวหลงชิวที่พยายามจะยึดครองที่ตั้งเก่าของภูเขาไท่ผิงไป
ยังบอกอีกว่าหากหวงถิงยินดีกลับบ้านเกิด ช่วยปกป้องกวอจู๋จิ่วระหว่างที่ข้ามผ่านแม่น้ำแห่งกาลเวลาช่วงนั้น เพื่อเป็นการขอบคุณ ศาลบุ๋นจะไม่ขัดขวาง และ ‘สำนักเบื้องล่าง’ ของภูเขาไท่ผิงที่อยู่ที่นี่ นครบินทะยานก็สามารถช่วยดูแลให้ได้เป็นเวลาร้อยปี…
ตอนนั้นหวงถิงมองสตรีสะพายกระบี่ที่คล้ายจะพูดคุยปรึกษากับตน ช่างทำให้บุคคลอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าห้าสีลำบากแล้วจริงๆ
ตอนนั้นกวอจู๋จิ่วพูดเสียงดังว่า ‘อาจารย์แม่โปรดรักษาตัวด้วย’
จากนั้นเด็กสาวก็กดเสียงลงต่ำเอ่ยว่า ‘อาจารย์แม่ ท่านวางใจเถอะ พอข้าไปถึงภูเขาลั่วพั่วแจกันสมบัติทวีป หากพบว่ามีปีศาจจิ้งจอกที่กล้าทำหน้าหนาตามตอแยอาจารย์พ่อ เหอะ ถ้าอย่างนั้นก็อย่ามาโทษว่าข้าไม่ออมมือก็แล้วกัน’
แม่นางน้อยทำท่าเอามือปาดคอ
หนิงเหยาลูบศีรษะของเด็กสาว ยิ้มพูดด้วยสีหน้าอ่อนโยน ‘อาจารย์พ่อของเจ้าคนนั้น ฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรง แต่กลับกลัวบางเรื่องมากที่สุด และเรื่องนี้ข้าก็เข้าใจอย่างชัดเจนพอดี’
จนกระทั่งนาทีนั้น หวงถิงถึงได้อาศัยคำเรียกขานสามอย่างของกวอจู๋จิ่วมาค้นพบความจริงที่น่าตะลึงข้อหนึ่ง ที่แท้อาจารย์พ่อของกวอจู๋จิ่วก็คืออิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ หรือก็คือเฉินผิงอันแห่งภูเขาลั่วพั่ว