กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 896.6 คืนนี้สดชื่น
สวี่ชิงจู่เอ่ย “ข้าต้องกลับภูเขาไปปิดด่านทันที จึงไม่อาจขึ้นฝั่งไปช่วยปกป้องมรรคาให้กับเซวี่ยนฉวีได้แล้ว”
โค่วเซวี่ยนฉวียกจอกเหล้าขึ้น เป็นจอกเทพีบุปผาเลียนแบบใบหนึ่งที่มาจากแจกันสมบัติทวีป นางคลี่ยิ้มหวานเอ่ยว่า “ไหนเลยจะกล้าให้เจ้าแห่งถ้ำสถิตปกป้องมรรคาให้ ในอนาคตหากยังสามารถเดินลงน้ำได้ ค่อยรบกวนเจ้าแห่งถ้ำสถิตก็แล้วกัน”
สวี่ชิงจู่ที่สีหน้าเย็นชาคลี่ยิ้มรับ ชูถ้วยชาที่ขั้นตอนการเผานับว่ายังประณีตอยู่บ้างขึ้นมา “เช่นกัน”
ดื่มชากันไปแล้ว เย่อวิ๋นอวิ๋นไม่ได้ให้โค่วเซวี่ยนฉวีเดินไปส่ง คนทั้งสามออกมาจากศาลด้วยกัน เดินเล่นอยู่ริมชายฝั่งที่ต้นกำเนิดแม่น้ำเพ่ยเจียง
สวี่ชิงจู่ลูบศีรษะของเย่เสวียนจีที่อยู่ด้านข้าง ยิ้มถามว่า “เสวียนจี ครั้งนี้อุตส่าห์ได้ติดตามเจ้าขุนเขาออกมาจากบ้าน ไม่ได้แอบซื้อรายงานข่าวหรือ?”
เย่เสวียนจีเหลือบมองหวงอีอวิ๋นที่เป็นทั้งเจ้าประมุขสกุลเย่และเป็นทั้งเจ้าขุนเขาผูซาน
ไม่กล้าพูด
เย่อวิ๋นอวิ๋นกล่าว “ขอแค่ไม่เอารายงานขุนเขาสายน้ำที่อ่านแล้วกลับไปที่ผูซานก็พอ”
เย่เสวียนจีถึงได้ยอมเปิดปากเล่าเรื่องคนประหลาดเรื่องน่าสนใจของแจกันสมบัติทวีปและอุตรกุรุทวีปที่อยู่ทางเหนือให้เจ้าขุนเขาและผู้อาวุโสรุ่นเยว่ฟัง
ยกตัวอย่างเช่นได้ยินมาว่าภูเขาพีอวิ๋นขุนเขาเหนือของแจกันสมบัติทวีปจะจัดงานเลี้ยงท่องราตรีอีกแล้ว
น่าเสียดายที่รายงานขุนเขาสายน้ำของใบถงทวีปบ้านตนข่าวสารติดขัดเกินไป แล้วนับประสาอะไรกับที่เรื่องราวมากมายบนภูเขาล้วนเป็นการกระพือข่าวลือ หรือไม่ก็ยกเอาเนื้อหาที่คัดลอกจากรายงานของแจกันสมบัติทวีปมา เป็นเหตุให้ผ่านมือคนมาสองคนหรือถึงขั้นสามคนแล้ว ความหมายย่อมไม่มาก ยกตัวอย่างเช่นจนถึงตอนนี้ เย่เสวียนจีถึงเพิ่งจะรู้ว่าจู๋เฉวียนแห่งสำนักพีหมาที่ชายหาดโครงกระดูกอุตรกุรุทวีปคนนั้นถึงกับปลดประจำการจากตำแหน่งเจ้าสำนักแล้ว และยังมีช่วงเวลาระหว่างที่ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางทำการประชุม มียอดฝีมือไม่ทราบนามที่จู่ๆ ก็ปรากฎตัวขึ้นมาบนโลกคนหนึ่ง เรียกตัวเองว่า ‘นักพรตเนิ่น’ มรรคกถาไร้เทียมทาน เวทคาถาเลิศล้ำค้ำฟ้าจนน่าตะลึง ถึงกับเล่นงานจนบินทะยานเฒ่าคนหนึ่งไร้เรี่ยวแรงตอบโต้ จากนั้นก็มีเซียนเหรินจากหอเซียนจิ่วเจินคนหนึ่งที่ก็ถูกเซียนกระบี่หนุ่มไม่ทราบประวัติความเป็นมาถามกระบี่ที่เกาะยวนยางสถานที่อันตราย ฝ่ายแรกเกือบต้องซี้แหงแก๋ไปแล้ว แน่นอนว่ายังมีภูเขาชื่อว่าภูเขาลั่วพั่วอีกแห่งหนึ่งที่เข้าร่วมงานพิธีของภูเขาตะวันเที่ยงซึ่งอยู่ในทวีปเดียวกัน สร้างความอึกทึกครึกโครมใหญ่เทียมฟ้า บอกว่าภูเขาถล่มแผ่นดินทลายก็ไม่เกินจริงไปแม้แต่น้อย
พอได้ยินเรื่องการเข้าร่วมงานพิธี ในที่สุดสวี่ชิงจู่ก็เปิดปากยิ้มเอ่ย “อวิ๋นอวิ๋น บังเอิญยิ่งนัก ดูเหมือนเจ้าขุนเขาหนุ่มผู้นี้จะชื่อว่าเฉินผิงอัน เขาเดินขึ้นเขาด้วยวิธีการคล้ายคลึงกับเจ้า เป็นทั้งผู้ฝึกตน แล้วก็เป็นปรมาจารย์ด้านวรยุทธด้วย”
เห็นได้ชัดว่าเย่อวิ๋นอวิ๋นเคยได้ยินชื่อเสียงของอีกฝ่ายมาก่อนแล้ว จึงส่ายหน้าเอ่ยว่า “บอกว่าคล้ายคลึงกัน แต่อันที่จริงกลับแตกต่างกันอย่างมาก อีกฝ่ายไม่เพียงแต่เป็นผู้ฝึกลมปราณเท่านั้น ยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ ยิ่งเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหยกดิบตอนอายุสี่สิบกว่าปีพอๆ กับเซียนกระบี่ใหญ่เว่ยแห่งศาลลมหิมะด้วย หากเพียงแค่อิงตามคำกล่าวบนรายงาน แล้วข้าสามารถถามหมัดกับเขาได้ โอกาสชนะคงมีไม่มาก”
สวี่ชิงจู่จุ๊ปากสองที “คำพูดแบบนี้ก็มีแต่หวงอีอวิ๋นเท่านั้นแหละที่ยืนพูดไม่ปวดเอว”
นางเอ่ยต่อด้วยสีหน้าขุ่นเคืองเล็กน้อย “คนเปรียบเทียบกับคน ชวนให้คนโมโหตายจริงๆ เจ้าออกจากบ้านมาครั้งหนึ่งก็ได้ยาชุดขนนกไปเปล่าๆ สองเตา ดูข้าสิ ไม่ได้ขยับเท้าออกจากบ้านแม้แต่น้อยก็ไปมีเรื่องกับใต้เท้าเจ้าเมืองแซ่เหยาของราชวงศ์ต้าเฉวียนเสียได้”
เย่อวิ๋นอวิ๋นพูดอย่างโผงผาง “นี่เรียกว่าบ้านใหญ่คนน้อย ภูตผีมากมายออกอาละวาด บ้านเล็กคนเยอะ กลับง่ายที่จะปะทะคารมกัน”
สวี่ชิงจู่โมโหไม่เบา ยื่นมือไปหยิกแขนของเย่อวิ๋นอวิ๋น
เย่อวิ๋นอวิ๋นไม่สนใจ เพียงแค่ว่าตรงหว่างคิ้วมีความกลัดกลุ้มอยู่จางๆ ราวกับมีความกังวลยิ่งกว่าสวี่ชิงจู่เสียอีก
ในบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสวี่ชิงจู่มีเด็กคนหนึ่งที่ชื่อเล่นว่าหลินจื่อ มีชื่อว่าหม่าหลินซื่อ เจ้าตะพาบน้อยผู้นี้ออกจากสำนักไปหาประสบการณ์ครั้งหนึ่งก็สร้างเรื่องก่อราวไว้ไม่น้อย อันดับแรกก็เป็นที่นครเซิ่นจิ่งแห่งราชวงศ์ต้าเฉวียนที่ไปทะเลาะมีเรื่องกับคนขาเป๋แขนด้วนผู้หนึ่ง หลังจบเรื่องถึงเพิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นถึงเจ้าเมืองของเมืองหลวง เป็นน้องชายของฮ่องเต้หญิงแห่งต้าเฉวียน บรรดาศักดิ์คือจวิ้นหวังขั้นหนึ่งชั้นโท
ภายหลังยังไปมีเรื่องกับคนกลุ่มหนึ่งในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาของสกุลเจียง เดือดร้อนให้โหยวชีถูกเด็กคนหนึ่งที่ตั้งฉายาให้ตัวเองว่า ‘หมัดเทพน้อยไร้เทียมทาน’ เตะกลิ้ง อีกทั้งมองดูแล้วยังเป็นการบดขยี้อย่างที่ไร้เรี่ยวแรงให้ตอบโต้เอาคืนอีกด้วย ผู้ฝึกตนคนหนึ่งที่ฝึกตนเป็นเซียน ขาดอีกแค่ก้าวเดียวก็จะเป็นขอบเซียนดินขอบเขตประตูมังกรแล้ว แต่กลับถูกเด็กที่ฝึกหมัดคนหนึ่งสั่งสอนอย่างหนักหน่วง
ทว่าทางฝั่งของถ้ำมังกรขาว หลังจากผ่านการประชุมของศาลบรรพจารย์ไปแล้วก็ไม่เหลือความคิดที่จะไปซักไซ้เอาผิดกับใครอีก
หนึ่งเพราะบรรพจารย์ที่รับหน้าที่เป็นเจ้าแห่งถ้ำมานานหลายปีอย่างนางรังเกียจความยุ่งยาก นับประสาอะไรกับที่ทุกวันนี้ยังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญที่กำลังจะปิดด่าน พยายามฝ่าทะลุขอบเขต กิจธุระทั้งในและนอกภูเขา ทางที่ดีที่สุดอย่าไปยุ่งเกี่ยวด้วย
นอกจากนี้ถ้ำมังกรขาวยังกลัวว่าปัญหาใหญ่นี้ยิ่งนานก็จะยิ่งลุกลามมากขึ้น เพื่อศักดิ์ศรีหน้าตาแล้วกลับต้องบาดเจ็บถึงภายใน มีแต่จะได้ไม่คุ้มเสีย
ไม่ว่าจะเป็นเจ้าเมืองแห่งเมืองหลวงที่ควบตำแหน่งจวิ้นหวังของราชวงศ์ต้าเฉวียน หรือพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา บุรุษที่ตอนนั้นยืนอยู่ข้างกายเย่อวิ๋นอวิ่นแล้วเรียกขานนางคำแล้วคำเล่าว่า ‘พี่หญิงเย่’ เป็นคนเหลาะแหละเสเพลถึงเพียงใด แต่กลับทำให้เย่อวิ๋นอวิ๋นไม่พูดอะไรสักคำได้ นี่ก็อธิบายทุกอย่างได้อย่างชัดเจนแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ตอนนั้นข้างกายเด็กกลุ่มนั้นยังมีเด็กหนุ่มชุดขาวที่ตบะลึกล้ำยากคาดเดาอยู่ด้วย คำพูดคำจาของเขาแสดงให้เห็นว่าไม่เห็นถ้ำมังกรขาวอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย
ลูกศิษย์ที่รักที่อายุไม่ถึงสิบขวบก็เลื่อนเป็นขอบเขตถ้ำสถิตคนนั้นจึงถูกนางสั่งกักบริเวณไปแล้ว เด็กที่ตอนฝึกตนอยู่ในภูเขาก็ดูเป็นเด็กดีเป็นคนซื่อ คิดไม่ถึงว่าพอลงจากภูเขาจะกลายเป็นตัวก่อเรื่องเช่นนี้
ไม่ใช่เพราะเย่อวิ๋นอวิ๋นจงใจสาดเกลือลงบนบาดแผลของสหายรัก
แต่เป็นเพราะภัยแฝงของภูเขาบ้านตนใหญ่ยิ่งกว่าแผ่นฟ้าจริงๆ
เรื่องวงในบางอย่าง อย่าว่าแต่คนนอกอย่างสวี่ชิงจู่เลย แม้แต่แม่หนูเย่เสวียนจีก็ยังไม่รู้เรื่อง
ยกตัวอย่างเช่นกวอป๋ายลู่ผู้นั้น ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองที่คุณสมบัติดีเยี่ยม อีกทั้งอายุยังน้อยมาก
หลังจากอีกฝ่ายออกไปจากอาณาเขตของผูซานได้ไม่นานก็เจอกับการลอบฆ่าอย่างเงียบเชียบครั้งหนึ่ง อันตรายอย่างยิ่ง เพียงแต่ว่าถูกเจียงซ่างเจินขัดจังหวะ กวอป๋ายลู่ถึงได้รอดพ้นหายนะที่มาเยือนโดยไม่ทันรู้ตัวซึ่งเดิมทีถูกกำหนดมาแล้วว่าไร้ร่องรอยให้ตามหาครั้งนั้นมาได้ ด้วยขอบเขตและวิธีการของเจียงซ่างเจินยังไม่อาจจับตัวนักฆ่าคนนั้นได้อย่างแท้จริง เพราะดูเหมือนว่านักฆ่าจะใช้วิชาตัวตายตัวแทนที่สูงส่ง
ภายหลังอริยะบู๊อูซูได้รับกระบี่บินแจ้งข่าวข้ามทวีปจากเรือนอวิ๋นฉ่าวภูเขาผูซานก็รีบกลับมาที่ใบถงทวีปที่เป็นบ้านเกิดอย่างเงียบเชียบทันที
เดิมทีเขาคิดว่าจะถามหมัดกับเย่อวิ๋นอวิ๋นครั้งหนึ่ง แต่เย่อวิ๋นอวิ๋นกลับปฏิเสธ แม้อู๋ซูจะรู้สึกประหลาดใจเป็นทบทวี แต่ก็ไม่ได้ฝืนใจอีกฝ่าย
ไม่ใช่เพราะเรื่องที่ลูกศิษย์กวอป๋ายลู่ถูกลอบโจมตีทำให้เขาพานโกรธเอากับผูซาน ไม่ได้ใกล้เคียงเลย แต่เป็นเพราะอู๋ซูรู้สึกว่าตัวเองบังเอิญ ‘ผ่านทางมาและสะดวกพอดี’
ต้องยกคุณความชอบให้กับคำเตือนแต่เนิ่นๆ ของเจียงซ่างเจิน ด้วยกังวลว่าตนและอู๋ซูจะพากันหล่นลงในหลุมพรางบางอย่าง เย่อวิ๋นอวิ๋นถึงไม่ได้ตอบตกลงถามหมัดกับอู๋ซูทั้งที่เดิมทีแล้วนางรอคอยมานาน
ภายหลังเย่อวิ๋นอวิ๋นก็เริ่มเรียบเรียงเส้นสายที่อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนี้ ภาพเซียนเหรินหันหน้าเข้าหาภาพวาดฝาผนัง มองเห็นเพียงแผ่นหลัง มองไม่เห็นรูปโฉมของคนที่อยู่ในภาพวาด
ให้ความรู้สึกราวกับว่า ‘ชะตาชีวิตหันหลังให้ ไม่เป็นที่ยอมรับบนโลกใบนี้’
เป็นเหตุให้โลกภายนอกมีการเล่าลือกันว่าหวงอีอวิ๋นแห่งเรือนอวิ๋นฉ่าวผูซานเตรียมจะปิดด่าน นับแต่นี้จะวางเรื่องการเรียนวรยุทธไว้ก่อน หันมาตั้งใจฝึกตน หมายจะช่วงชิงขอบเขตบินทะยานที่เป็นอมตะไม่เสื่อมสลายมาครอง ไม่ใช่เรื่องขบขันไร้สาระที่ปั้นน้ำเป็นตัวอะไรเลยจริงๆ
เย่อวิ๋นอวิ๋นพลันพูดพึมพำกับตัวเองว่า “วันหน้าไม่สู้ผูซานคลายคำสั่งห้ามรายงานขุนเขาสายน้ำตามไปด้วยดีไหม? ดูเหมือนว่าสถานการณ์ที่เป็นอยู่จะบีบให้พวกเรามิอาจแสร้งทำเป็นหูหนวกตาบอดได้อีกแล้ว”
ถึงอย่างไรใบถงทวีปก็ไม่ใช่ใบถงทวีปที่ตามองสูงไม่เห็นหัวใครเหมือนอย่างในอดีตอีกแล้ว
ปีนั้น ‘นอกจากแผ่นดินกลางก็เป็นทวีปล่างกลาง’ แต่ทุกวันนี้กลับกลายเป็นเรื่องตลกใหญ่เทียมฟ้าไปเสียแล้ว
อีกทั้งนับแต่วันนี้ไปก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะถูกอีกแปดทวีปที่เหลือหัวเราะเยาะไปอีกร้อยปีพันปี
เมื่อก่อนอยู่ในราชวงศ์ล่างภูเขา ขุนนางในท้องถิ่นเจอกับขุนนางจากกรมขุนนางของเมืองหลวงที่ออกมาข้างนอกก็มีคำกล่าวที่ว่าเจอขุนนางใหญ่กว่าสามขั้น
ใบถงทวีปในทุกวันนี้ยามที่เจอกับผู้ฝึกตนของทวีปอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกตนของแจกันสมบัติทวีป ดูเหมือนว่าก็จะมีสภาพการณ์พอๆ กันนี้ ขี้ขลาดเพียงใด อัดอั้นตันใจเพียงใด
เย่อวิ๋นอวิ๋นหันหน้ามาเอ่ยว่า “รุ่นเยว่ ขออวยพรให้เจ้าปีดด่านสำเร็จ”
สวี่ชิงจู่เอ่ยเยาะเย้ยตัวเอง “ต่อให้โชคดีได้เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน แต่จะอย่างไรเล่า คนตัวเตี้ยชมงิ้วย่อมมองอะไรไม่เห็น ไม่รู้ว่างิ้วดีหรือไม่ดี ได้แต่ฟังความเห็นจากคนอื่นเท่านั้น”
แจกันสมบัติทวีปเล็กๆ ที่อยู่ทางทิศเหนือแห่งนั้น รอกระทั่งสงครามดำเนินไปอย่างดุเดือด ต้าหลีถึงกับสามารถอาศัยกองกำลังของแคว้นเดียวขัดขวางฝีเท้ากองทัพใหญ่ของเปลี่ยวร้างเอาไว้ได้ เป็นหตุให้ทั้งสองฝ่ายทำสงครามกันจากนครมังกรเฒ่าไปจนถึงลำน้ำใหญ่ภาคกลาง รากฐานของทวีปแห่งหนึ่งจึงเป็นดั่งน้ำลดหินผุดอย่างแท้จริง ถึงได้ทำให้คนนอกค้นพบด้วยความตะลึงพรึงเพริดว่าที่แท้แจกันสมบัติทวีปก็คือสถานที่มังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบถึงเพียงใด
เย่เสวียนจีพลันเอ่ยเสียงเบา “อาจารย์ย่า ในรายงานบอกว่าเซียนกระบี่เฉินของภูเขาลั่วพั่วท่านนั้นก็คือคนที่แต่งกายด้วยชุดเขียวปักปิ่นหยก อีกทั้งลูกศิษย์เปิดขุนเขาของเจ้าขุนเขาหนุ่มดูเหมือนจะชื่อว่าเผยเฉียน ฮ่าๆ เจิ้งเฉียน หาเงิน เผยเฉียน ขาดทุน...”
เย่อวิ๋นอวิ๋นถลึงตาใส่ “อ่านหนังสือให้มาก ตั้งใจฝึกตน พูดจาโง่งมให้น้อยๆ หน่อย”
เย่เสวียนจีห่อเหี่ยวทันใด ไหล่ลู่คอตก ร้องอ้อรับหนึ่งคำ
เย่อวิ๋นอวิ๋นยกมือขึ้นคีบยันต์นกเขียวตัวหนึ่ง เปิดกระดาษที่พับอ่านเนื้อหาด้านใน ก่อนจะเก็บยันต์ใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ เอ่ยกับสหายรักว่า “รุ่นเยว่ บนภูเขามีแขกมาเยือน จะกลับผูซานกับข้าไหม?”
สวี่ชิงจู่ยิ้มเอ่ย “อย่าดีกว่า เที่ยวเล่นพอสมควรแล้ว ข้ากลับจวนเลยดีกว่า”
เย่อวิ๋นอวิ๋นคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ข้าจะไปส่งเจ้าอีกสักช่วงระยะทางหนึ่ง ให้เสวียนจีกลับไปก่อน”
เย่เสวียนจีได้รับคำสั่งจากอาจารย์ย่าก็รีบร้อนทะยานลมกลับผูซานไปทันใด
ทะยานลมขึ้นเหนือไปพร้อมกับสวี่ชิงจู่ สวี่ชิงจู่ยิ้มถาม “ถามได้ไหมว่าเป็นใคร ถึงทำให้เจ้าจำต้องเร่งเดินทางข้ามคืนไปรับรองแขก?”
เย่อวิ๋นอวิ๋นยิ้มเอ่ย “ก็คือแขกผู้สูงศักดิ์จากต่างถิ่นที่สามารถทำให้ตำหนักพยัคฆ์เขียวนำยาชุดขนนกสองเตามามอบให้ได้ ตามหลักแล้วอันที่จริงข้าควรรอต้อนรับเขาอยู่ที่หน้าประตูภูเขาด้วยซ้ำ”
สวี่ชิงจู่สีหน้าเป็นประกาย “ข้าเปลี่ยนใจแล้ว จะกลับผูซานไปกับเจ้าด้วย! เฉาเซียนซือท่านนั้นมีรูปโฉมเช่นไร อายุเท่าไร มีคนรักแล้วหรือยัง?”
เย่อวิ๋นอวิ๋นกล่าว “ออกเดินทางต่อเถอะ”
สุดท้ายก็บอกลากับสวี่ชิงจู่เมื่อเดินทางไปได้ไกลพันลี้ ทั้งสองฝ่ายทะยานลมไม่เร็ว เพราะถึงอย่างไรครั้งนี้เจ้าแห่งถ้ำมังกรขาวท่านนี้ก็ต้องปิดด่านเป็นตาย
ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้นางก็ยังกลับไปถึงผูซานได้เร็วกว่าเย่เสวียนจี
เพราะรอกระทั่งเย่อวิ๋นอวิ๋นบอกลากับสหายรักแล้วนางก็เปลี่ยนมาใช้ฝีมือของผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางออกเดินทางไกล ร่างพุ่งไปว่องไวดุจสายฟ้าแลบ บนฟ้าถึงกับมีเสียงฟ้าคำรามดังแว่วมา
สถานที่ที่ผูซานใช้รับรองแขกเปลี่ยนมาเป็นหอฟังเมฆชมฝนแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมหน้าผา
เฉินผิงอันบอกให้เสี่ยวโม่ไปชมทัศนียภาพอยู่ที่ลานหยกขาวนอกศาลา เผยเฉียนกับเฉาฉิงหล่างต่างก็แยกกันเข้าพักในเรือนจวนเซียนสองหลังที่อยู่ติดกันแล้ว
เฉินผิงอันกับหวงอีอวิ๋นพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา
เจอหน้าก็พูดเข้าประเด็น บอกกล่าวสถานะของตัวเองให้อีกฝ่ายทราบทันที
เฉินผิงอันแห่งภูเขาลั่วพั่ว กำลังจะก่อตั้งสำนักเบื้องล่างไว้ที่ภูเขาเซียนตูใบถงทวีป ขอเชิญให้ผู้อาวุโสเย่เข้าร่วมงานพิธีเฉลิมฉลองการก่อตั้งสำนักในวันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิของปีหน้า
อีกทั้งเจียงซ่างเจินก็คือผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของภูเขาลั่วพั่ว
เย่อวิ๋นอวิ๋นไม่ได้มีความสงสัยใดๆ มิน่าเล่าคราวก่อนที่อยู่ในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา เจียงซ่างเจินถึงได้มีท่าทีสนิทสนมกับคนชุดเขียวผู้นี้ถึงเพียงนั้น
และเหตุใด ‘เฉาโม่’ ถึงได้เรียกตัวเองว่าผู้เยาว์ ก็เพราะว่าเขาเป็นคนหนึ่งที่หากนับตามอายุของล่างภูเขาก็เพิ่งจะสี่สิบกว่าปีเท่านั้นเอง
นอกจากนางจะตกตะลึงแล้วก็ยิ่งมั่นใจในเรื่องหนึ่ง ไม่เพียงแต่จำเป็นต้องยกเลิกคำสั่งห้ามรายงานภูเขาสายน้ำบนภูเขาบ้านตน ในอนาคตยังต้องซื้อรายงานหลายฉบับจากจวนเซียนแห่งอื่นด้วย เงินเทพเซียนน้อยนิดแค่นั้นไม่ควรประหยัด
เมื่อก่อนกังวลว่าลูกศิษย์ของเรือนอวิ๋นฉ่าวจะเสียสมาธิ ทว่าทุกวันนี้การกระทำมากมายทั้งทางลับและทางแจ้งของมังกรข้ามแม่น้ำที่มาจากต่างถิ่น ไหนเลยจะยอมปล่อยให้เรือนอวิ๋นฉ่าวผูซานไม่แบ่งสมาธิวอกแวก
เย่อวิ๋นอวิ๋นถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เฉินเซียนซืออยากอาศัยสำนักเบื้องล่างมาร่วมมือกับสำนักกุยหยกเพื่อที่จะให้หนึ่งใต้หนึ่งเหนือร่วมมือประสานกัน สร้างกฎเกณฑ์บนภูเขาที่เหล่าผู้กล้าต้องพากันก้มหัวให้ใน…ใบถงทวีปของพวกเราหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ภูเขาลั่วพั่วไม่เคยคิดเช่นนี้ แต่บางทีการกระทำบางอย่างในอนาคตอาจทำให้คนนอกรู้สึกว่าพวกเราคิดเช่นนี้ ส่วนเจียงซ่างเจิน เขาเป็นแค่ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของภูเขาลั่วพั่วพวกเรา ทว่าภูเขาลั่วพั่วกลับไม่มีความเกี่ยวข้องทางผลประโยชน์ใดๆ กับสำนักกุยหยก”
เย่อวิ๋นอวิ๋นขมวดคิ้วน้อยๆ ไม่ได้รู้สึกว่าอีกฝ่ายพูดจาไร้แก่นสาร
คนโง่บนภูเขาก็ยังมองออกว่าใบถงทวีปในทุกวันนี้ สนามการค้าเหมือนสนามรบ คือสถานที่ที่ต้องช่วงชิงกัน ไม่อย่างนั้นเรือข้ามทวีปพวกนั้นจะมาทำอะไรที่ใบถงทวีป? พูดถึงแค่สวี่จวินเซียนกระบี่ที่อยู่ท่าเรือชวีซาน คงไม่ถึงกับว่าชอบดื่มลมตะวันออกเฉียงเหนืออยู่บนยอดเขามากจริงๆ หรอกกระมัง
เฉินผิงอันเอ่ยต่ออีกว่า “ข้าที่เป็น ‘คนนอก’ ทั้งพูดถึงผู้ฝึกตนในท้องถิ่นของใบถงทวีปเอง แล้วก็พูดถึงผู้ฝึกตนของแจกันสมบัติทวีปบ้านเกิดข้าด้วย พูดง่ายๆ ก็คือ นอกจากภูเขาเซียนตูแล้ว ล้วนไม่ใช่ข้อยกเว้น”
เย่อวิ๋นอวิ๋นหยิบเหล้าหมักบ้านตนออกมาสองกา โยนให้อีกฝ่ายหนึ่งกา ตัวเองแหงนหน้ากระดกดื่มเหล้าหนึ่งอึก ใช้หลังมือเช็ดมุมปาก ถามว่า “หากเฉินเซียนซือทำได้อย่างที่พูดจริงๆ ก็ง่ายที่จะกลายเป็นที่ไม่พอใจของทุกฝ่าย สุดท้ายกลายเป็นว่าไม่มีใครชอบ ถ้าอย่างนั้นเซียนกระบี่เฉินต้องการอะไร คงไม่ถึงกับว่าเป็นคนที่เกิดมาก็ชอบทวงความยุติธรรมหรอกกระมัง?”
เฉินผิงอันกล่าว “สำนักเบื้องล่างคิดจะยิ่งใหญ่ได้ แน่นอนว่าต้องหาเงิน แล้วก็ต้องขยับขยายอาณาเขต ในอนาคตภูเขาเซียนตูจะต้องตามหาตัวอ่อนด้านการฝึกตนจากทั่วสารทิศ ทว่าการกระทำจะมีการกะหนักเบาให้ดี จะใช้เหตุผลกับทั้งบนและล่างภูเขา ไม่เหมือนอย่างการเล่นหมากรุกที่เจ้ากินข้า ข้ากินเจ้า หรือไม่ต่างฝ่ายก็ต่างผลัดกันรุกผลัดกันรับ ถึงท้ายที่สุดไม่ว่าใครที่ชนะ ทั้งสองฝ่ายล้วนเป็นเพียงเศษซากของกระดานหมากที่เหลืออยู่”
เย่อวิ๋นอวิ๋นยิ้มถาม “ดังนั้นจึงเหมือนหมากล้อมมากกว่า? เว้นเสียจากว่าเซียนกระบี่เฉินและภูเขาเซียนตูต่างก็สังหารมังกรใหญ่ ถ้าอย่างนั้นเม็ดหมากที่ฝ่ายผู้แพ้เหลืออยู่บนกระดานหมากก็จะสามารถเหลือจำนวนตัวได้เยอะเหมือนกัน?”
เรื่องของการเล่นหมากล้อม อันที่จริงหวงอีอวิ๋นสามารถเรียกได้ว่าเป็นผู้เล่นระดับแคว้นของบนภูเขาอย่างสมชื่อ เพียงแต่ว่านางเล่นหมากล้อมกับคนอื่นน้อยครั้ง และเซวียไหวลูกศิษย์ของนางก็มีฝีมือในการเล่นหมากล้อมสูง ติดสิบอันดับแรกของในทวีปนอกภูเขา ทว่าอยู่กับนางที่เป็นอาจารย์ เซวียไหวกลับไม่เคยเอาชนะได้แม้แต่ตาเดียว