กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 896.7 คืนนี้สดชื่น
เฉินผิงอันได้ยินแล้วก็ไม่พูดอะไร เพียงแค่ยิ้มพลางยกกาเหล้าขึ้น ต่างคนต่างดื่มกับเย่อวิ๋นอวิ๋น
เย่อวิ๋นอวิ๋นดื่มเหล้าไปแล้ว นางมีนิสัยตรงไปตรงมาจริงดังคาด “รบกวนเซียนกระบี่เฉินบอกกับข้าให้แน่ชัดด้วย!”
เฉินผิงอันพยักหน้ากล่าว “เป็นอย่างที่เจ้าขุนเขาเย่เอ่ย อีกทั้งเจ้าสำนักคนแรกของสำนักเบื้องล่างพวกเราก็มีฝีมือการเล่นหมากล้อมสูงมาก ต่อให้มองไปทั่วใต้หล้าไพศาลก็ยังถือว่าเป็นยอดฝีมือที่มีจำนวนน้อยนิด”
เย่อวิ๋นอวิ๋นถาม “ไม่ใช่เจิ้ง…เผยเฉียน? หรือว่าจะเป็นเฉาฉิงหล่างที่เป็นผู้ฝึกลมปราณ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ใช่ทั้งคู่ รอให้เจ้าขุนเขาเย่เข้าร่วมพิธีเฉลิมฉลองด้วยตัวเองก็จะได้รู้แล้ว”
เย่อวิ๋นอวิ๋นลังเลเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้า “เจ้าขุนเขาเฉิน ข้ายังต้องเอ่ยประโยคที่ไม่น่าฟังสักคำ ท่านอาศัยอะไรมาใช้เหตุผลกับคนต่างถิ่นในต่างถิ่น? ถึงขั้นที่ว่ายังยินดีที่จะทำให้คนในบ้านเกิดของตัวเองลำบากใจด้วย?”
ในภูเขามีเสือร้ายคอยทำร้ายผู้คน ทว่าช่วยคนชั่วก่อกรรมทำเข็ญกลับน่ารังเกียจยิ่งกว่า
เย่อวิ๋นอวิ๋นจะไม่ยอมให้เรือนอวิ๋นฉ่าวผูซานของตัวเองถูกคนจูงจมูกเดินโดยที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัว สุดท้ายทำสิ่งที่ผิดต่อความตั้งใจเดิมและผิดต่อมโนธรรมในใจเด็ดขาด
หากวันนี้เซียนกระบี่หนุ่มที่กำลังจะได้ครอบครองสำนักเบื้องล่างผู้นี้มิอาจพูดโน้มน้าวตนได้อย่างแท้จริง ถ้าอย่างนั้นเย่อวิ๋นอวิ๋นก็ยินดีอิงตามราคาเดิมแล้วเพิ่มมูลค่าไปอีกเท่าตัว หักลบเป็นเงินเทพเซียนก้อนใหญ่ คืนเม็ดชุดขนนกสองเตาให้กับตำหนักพยัคฆ์เขียว แต่จะไม่ยอมให้ผูซานมีความเกี่ยวข้องใดๆ กับภูเขาเซียนตูเด็ดขาด
เฉินผิงอันเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “สามทวีปที่อาจารย์ของผสานมรรคาด้วย หนึ่งในนั้นคือใบถงทวีปของพวกเจ้า”
เย่อวิ๋นอวิ๋นที่กำลังจะดื่มเหล้าถึงกับรีบเก็บกาเหล้าลงไป เอ่ยอย่างตกตะลึงว่า “อาจารย์ของเซียนกระบี่เฉินคืออาจารย์เหวินเซิ่งที่ได้รับสถานะเทวรูปตั้งบูชาในศาลบุ๋นกลับคืนมาผู้นั้นหรือ?!”
“เรื่องแบบนี้ข้าจะกล้าพูดเหลวไหลได้หรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้าขุนเขาเย่ เรื่องรายงานข่าว บนภูเขาผูซานสามารถยกเลิกคำสั่งห้ามได้แล้วจริงๆ หากไม่ผิดไปจากที่คาด วันหน้าข่าวคราวทั้งหลายบนภูเขาก็จะกลายเป็นเงินเทพเซียนก้อนแล้วก้อนเล่าแล้ว ถึงอย่างไรพวกเราก็ไม่ใช่โจวอันดับหนึ่งที่ได้แต่กลัดกลุ้มว่าไม่มีที่ให้ใช้เงิน หาเงินอย่างยากลำบากโดยไม่ผิดต่อมโนธรรมในใจ ไม่รังเกียจหากเงินจะมากทับมือ”
การพูดคุยในศาลาคืนนี้ อีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยประโยคไร้สาระแม้แต่ครึ่งคำ คิดไม่ถึงว่าเย่อวิ๋นอวิ๋นที่ทนแล้วทนอีก ในที่สุดนางก็อดไม่ไหวเอ่ยคำพูดไร้ประโยชน์ว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านก็เป็นศิษย์น้องของราชครูชุยน่ะสิ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ย่อมต้องใช่”
เย่อวิ๋นอวิ๋นพลันคลี่ยิ้ม “อาจารย์เฉิน มาเร็วไม่สู้มาได้จังหวะ พวกเรามาเล่นหมากล้อมกันสักตาดีไหม?! หากว่าท่านชนะ อย่าว่าแต่เข้าร่วมงานพิธีของสำนักเบื้องล่างเลย จะให้ข้าเป็นเค่อชิงที่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาเซียนตูพวกท่านก็ยังได้”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “วันนี้อย่าเพิ่งเลยดีกว่า วันหน้าต้องยังมีโอกาสแน่นอน”
บางทีนางอาจยังต้องเล่นหมากล้อมกับลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจบางคนที่บอกว่าตัวเอง ‘ได้รับการสืบทอดฝีมือการเล่นหมากล้อมทั้งหมดมาจากอาจารย์’ ก่อนสักสองสามตา
เย่อวิ๋นอวิ๋นเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยินดีจะเล่นหมากล้อมก็ให้รู้สึกเสียดายยิ่งนัก เพียงแต่ไม่สะดวกจะบังคับลากอีกฝ่ายมาเล่นด้วย ใต้หล้านี้ไม่มีเจ้าบ้านที่ไหนต้อนรับแขกผู้มาเยือนเช่นนี้
ต้องโทษตน เรื่องของการเล่นหมากล้อมมีชื่อเสียงที่ไม่โด่งดังมาโดยตลอด คงถูกอีกฝ่ายรังเกียจว่าฝีมือต่ำต้อยสินะ?
วันหน้าจะต้องไปหาเซวียไหวแล้วสอนหมัดให้สักที เจ้าเด็กนั่นยามอยู่นอกภูเขาเล่นหมากล้อมหลายกระดานขนาดนั้น แต่ไม่รู้จักเล่าให้คนอื่นฟังบ้างว่าเจ้าหัดเรียนการเล่นหมากล้อมมาจากใคร?
เฉินผิงอันถาม “เจ้าขุนเขาเย่ ภาพเซียนหันหน้าเข้าหาผนังภาพนั้น ขอให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”
เย่อวิ๋นอวิ๋นพยักหน้า หยิบม้วนภาพม้วนหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อแล้วโยนให้อีกฝ่ายเบาๆ
นางถึงเพิ่งค้นพบว่าคนทั้งสองอยู่ในตำแหน่งที่ห่างไกลกันที่สุดในศาลาที่ไม่ใหญ่แห่งนี้
เฉินผิงอันบังคับม้วนภาพให้ลอยอยู่กลางอากาศเบื้องหน้าตัวเอง จากนั้นวางกาเหล้าที่อยู่ในมือไว้ด้านข้าง ประกบสองนิ้วปาดเบาๆ หนึ่งครั้ง ม้วนภาพคลี่กางออกช้าๆ หรี่ตาลงพิศมองอย่างละเอียด
เฉินผิงอันไม่ได้เงยหน้าขึ้น แต่คลี่กางม้วนภาพที่ยาวเหยียดนั้นต่อไปช้าๆ เพิ่งจะอ่านอักษรที่เป็นคำนำจบเท่านั้นก็ใช้เสียงในใจถามว่า “ก่อนหน้านี้ได้ยินเจียงซ่างเจินเล่าให้ฟังว่า หลังจากที่เจ้าขุนเขาเย่เลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบแล้ว การที่ไม่ได้ทำความปรารถนาของบรรพบุรุษได้สำเร็จ ช่วยให้ผูซานเลื่อนเป็นสำนักอย่างถูกต้องชอบธรรม เหมือนว่าจะเกี่ยวพันกับความลับข้อหนึ่ง? เกี่ยวกับเรื่องนี้เจียงซ่างเจินไม่ได้พูดถึงแม้แต่ครึ่งคำ แค่บอกให้ข้าขึ้นเขามาถามเจ้าขุนเขาเย่ด้วยตัวเอง”
เย่อวิ๋นอวิ๋นกล่าว “ก่อนที่ท่านบรรพบุรุษจะจากไปได้ทิ้งคำสั่งเสียเอาไว้ ให้เจ้าขุนเขาแต่ละรุ่นในยุคหลังสืบทอดกันต่อไป อีกทั้งยังได้แต่สืบทอดกันปากต่อปากเท่านั้น ก่อนที่สำนักใบถงจะเปิดภูเขา ผูซานห้ามเลื่อนเป็นสำนัก”
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น “เรื่องที่กวอป๋ายลู่ถูกลอบฆ่า มองดูเหมือนว่าอีกฝ่ายแหวกหญ้าให้งูตื่น คนหนุ่มเพียงตกใจแต่ไร้อันตราย อันที่จริงเป็น…ฝีมือของเจียงซ่างเจิน”
เย่อวิ๋นอวิ๋นรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย เพียงแต่ไม่นานนางก็เข้าใจจุดเชื่อมต่อของเรื่องราวนี้ จึงยิ้มเอ่ยว่า “เป็นสิ่งที่เขาชอบทำจริงๆ ทำเรื่องดีสักเรื่องก็ยังต้องโดนด่า”
หากไม่เป็นเพราะเรื่องนี้ ไม่แน่ว่าเย่อวิ๋นอวิ๋นอาจจะตอบตกลงรับการถามหมัดจากอู๋ซูไปแล้ว
อู๋ซูถามหมัด ไม่มีคำกล่าวที่ว่าหยุดแต่พอสมควรอะไรทั้งนั้น นี่ก็เป็นต้นเหตุที่ทำให้อริยะบู๊ท่านนี้ถูกคนด่าประณาม ลงมือหนักหน่วงเกินไป ขาดคุณธรรม การถามหมัดหลายครั้งที่ชื่อเสียงครึกโครมไปสี่ทิศ คนที่รับหมัดล้วนไม่มีจุดจบที่ดีอะไร คนหนึ่งในนั้นคือปรมาจารย์ใหญ่ที่ในอดีตเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางเหมือนกัน เป็นเพราะถูกถามหมัดรุนแรงเกินไป ภูเขาสายน้ำในเรือนกายจึงแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ
กวอป๋ายลู่ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาที่เขาให้ความสำคัญมาก หากชะตาบู๊ขาดสะบั้นใต้เปลือกตาของเรือนอวิ๋นฉ่าวผูซานจริงๆ เกรงว่าต่อให้อู๋ซูจะเห็นแก่ส่วนรวมมากแค่ไหน ต่อให้หมัดจะไม่หนัก แต่ก็ไม่มีทางเบาแน่นอน
หากเย่อวิ๋นอวิ๋นบาดเจ็บสาหัสหรือขอบเขตวรยุทธถดถอย ถ้าอย่างนั้นเย่อวิ๋นอวิ๋นที่ได้ครอบครองภาพเซียนหันหน้าเข้าหาผนังภาพนี้ก็มีทางเลือกแค่อย่างเดียวเท่านั้น หันไปตั้งใจฝึกบำเพ็ญตนนับแต่นี้
เย่อวิ๋นอวิ๋นวางกาเหล้าลง ยกมือข้างหนึ่งขึ้นวาดเป็นวงกลม วงกลมหนึ่งวง ระหว่างนั้นหยุดชะงักอยู่หลายครั้ง เหมือนกับว่าได้เชื่อมต่อจุดที่เป็นกุญแจสำคัญหลายจุดเข้าด้วยกัน มีจุดเริ่มต้นที่ภาพวาดฝาผนังภาพนี้ และมีปลายทางอยู่ที่ภาพเซียนภาพนี้ กล้าวางแผนเล่นงานกัน ทั้งยังสามารถเล่นงานเย่อวิ๋นอวิ๋นที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตหยกดิบได้
อย่างน้อยที่สุดต้องมีขอบเขตเริ่มต้นที่เซียนเหริน ขณะเดียวกันทุกวันนี้ใบถงทวีปก็ไม่มีขอบเขตบินทะยานแล้ว ตู้เม่า สวินยวน ต่างก็ตายกันไปหมดแล้ว เจียงซ่างเจินเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานในระยะเวลาสั้นๆ แต่กลับขอบเขตถดถอยในสงครามใหญ่ เหวยอิ๋งยังเป็นแค่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่ง คราวก่อนที่เจอกับเจียงซ่างเจินในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา ได้พูดถึงเจ้าอารามขอบเขตก่อกำเนิดของอารามจินติ่งอย่างตู้หันหลิง ก่อนหน้านานกว่านั้น เย่อวิ๋นอวิ๋นได้เจอกับตู้หันหลิงที่ท่าเรือใบท้อราชวงศ์ต้าเฉวียน ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันไม่มาก ตอนนั้นส่วนใหญ่ล้วนเป็นสหายรักอย่างสวี่ชิงจู่ที่พูดคุยกับอีกฝ่าย
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่หาดหวงเฮ้อ เจียงซ่างเจินได้เตือนเย่อวิ๋นอวิ๋นว่าให้ระวังสองเรื่องและคนหนึ่งคน
ความเป็นมาของภาพวาดฝาผนัง การถามหมัดของอู๋ซู ตู้หันหลิงแห่งอารามจินติ่ง
หัวหอกพุ่งตรงไปที่ตู้หันหลิง อันที่จริงตอนนั้นเจียงซ่างเจินเกือบจะบอกกล่าวกับเย่อวิ๋นอวิ๋นอย่างตรงไปตรงมาแล้วว่าหากอยากจะฝึกตนอย่างมั่นคงปลอดภัย ไม่มีหนึ่งในหมื่นอะไรทั้งนั้น มีแต่ต้องสังหารตู้หันหลิงโดยตรง
ก่อนหน้านี้เย่อวิ๋นอวิ๋นมั่นใจในความเป็นมาของม้วนภาพนี้แล้วว่าไม่มีช่องโหว่ใดๆ
แต่เจียงซ่างเจินกลับพูดว่าหากไม่มีปัญหาแม้แต่น้อย นั่นแสดงว่าต้องมีปัญหาใหญ่แน่
ถึงขั้นยังบอกด้วยว่าหากเฉาโม่ไม่ได้ปรากฏตัว เขาจะติดตามตนแฝงตัวอยู่ในเรือนอวิ๋นฉ่าวผูซาน ช่วยปกป้องมรรคาให้ ดูสิว่าจะดึงเอาตัวเจ้าพวกคนที่กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา เจตนาชั่วร้ายออกมาได้สักคนสองคนหรือไม่
สุดท้ายเจียงซ่างเจินตบอกตัวเองอย่างแรง พูดจาน่าเชื่อถือบอกว่าพี่หญิงเย่ท่านรอไปก่อนเถอะ อีกไม่นานเจ้าอารามตู้ที่เชี่ยวชาญเรื่องการฝ่าทะลุขอบเขต ยิ่งเชี่ยวชาญการกดขอบเขตเหมือนกับตนก็จะกลายเป็นขอบเขตหยกดิบแล้ว
อารามจินติ่ง ตัวสำรองสำนักอักษรจง ตู้หันหลิงเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบ อารามจินติ่งก็จะได้เลื่อนติดอันดับสำนักของไพศาล ถูกต้องชอบธรรม น้ำมาคูคลองก่อเกิด
ภาพปรากฎการณ์แห่งฟ้าดิน เจ็ดสำแดงสองอำพราง อาคมฟ้าสภาพดิน เมื่อค่ายกลนี้ถูกตั้งขึ้น ใช้ที่ตั้งของภูเขาอารามจินติ่งมาหลอมเป็นแกนกลางฟ้า เก้าเตาหลอมตะวันจันทรา หอกเหล็กออกคำสั่งอสนี ทิวาหลอมน้ำห้ามหาสมุทร ราตรีต้มดาวเป่ยโต้ว นั่งพิทักษ์อยู่กลางค่ายกลใหญ่ ขอบเขตของตู้หันหลิงจะเท่ากับเซียนเหรินคนหนึ่งที่ ‘นำขบวนสังหาร’ อยู่ทางทิศเหนือของใบถงทวีป สามารถไร้ศัตรูเทียมทานได้อย่างสิ้นเชิง เข้ามาแทนที่สำนักใบถงที่ควันธูปกระจัดกระจายบางเบา กลายมาเป็นผู้นำตระกูลเซียนของแม่น้ำภูเขาครึ่งทวีป กลายเป็นจักรพรรดิบนภูเขาอย่างสมชื่อ ใช้พันธมิตรใบท้อเป็นเปลือกนอก นำขบวนเหล่าผู้กล้า ภายนอกงัดข้อกับกองกำลังของทวีปอื่น แต่แท้จริงแล้วภายในกลับคุมเชิงอยู่กับสำนักกุยหยกทางทิศใต้อยู่ไกลๆ สร้างค่ายกลใหญ่ เลื่อนเป็นสำนัก ช่วงชิงโชควาสนา รวบรวมกองกำลัง สุดท้ายเท่ากับว่าเก็บรวมเอาขุนเขาสายน้ำครึ่งทวีปเข้ามาไว้ในกระเป๋าตัวเอง…
ดูเหมือนเฉินผิงอันจะมองความคิดของเย่อวิ๋นอวิ๋นออก จึงยิ้มกล่าว “เจ้าอารามตู้คือสิงห์ร้ายผู้เห่อเหิมทะเยอทะยาน คือผู้ที่ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่”
ตอนอยู่สำนักศึกษาชุนซาน เฉินผิงอันเคยพูดเรื่องนี้กับอาจารย์ของตน ยามที่พูดคุยกับท่านอาจารย์ไม่มีข้อห้ามอะไรทั้งนั้น เฉินผิงอันจึงพูดถึงสิ่งที่ตัวเองคาดเดาไว้ในใจโดยตรง บอกว่ามีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่อารามจินติ่งและตู้หันหลิงจะเคยพบเจอกับมหาสมุทรความรู้โจวมี่มานานมากแล้ว
ซิ่วไฉเฒ่าลูบหนวด แต่ถึงท้ายที่สุดก็ได้แต่เอ่ยว่า ‘รอดูการเปลี่ยนแปลงไปก่อน’ จากนั้นก็บอกให้ลูกศิษย์ปิดสำนักคอยระมัดระวังตัวเอาไว้
ภาพวาดฝาผนังภาพหนึ่ง ม้วนภาพได้ปูแผ่อยู่ตรงหน้าเฉินผิงอันอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย “เจ้าขุนเขาเย่ ข้ามีการคาดเดาอย่างหนึ่ง บางทีอาจฟังแล้วน่าขัน ทั้งยังเหมือนจะล่วงเกินอยู่บ้าง ดังนั้นหวังว่าเจ้าขุนเขาเย่ฟังแล้วจะไม่เก็บมาใส่ใจ”
เย่อวิ๋นอวิ๋นยิ้มกล่าว “อาจารย์เฉินพูดอย่างตรงไปตรงมาได้เลย”
แม้จะบอกว่าคนผู้นี้เป็นสหายรักบนภูเขาของเจียงซ่างเจิน เป็นที่ต้องสงสัยว่า ‘ของอยู่รวมกันตามประเภท คนแบ่งกลุ่มตามจำพวก’ แต่สองครั้งก่อนหลังที่ได้พูดคุยกัน นิสัยใจคอคร่าวๆ ของอีกฝ่ายเป็นอย่างไร เย่อวิ๋นอวิ๋นก็พอจะเข้าใจได้บ้างแล้ว ไม่ใช่คนบนเส้นทางเดียวกันกับเจียงซ่างเจิน ไม่มีทางเป็นพวกคนที่ชอบหยอกเย้าเกี้ยวพาสตรีอย่างแน่นอน
ม้วนภาพตระกูลเซียนม้วนนี้ มีอักษรที่เป็นคำนำ คำลงท้ายและตราประทับเยอะมาก แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นของเลียนแบบ เพียงแต่ว่าตัวอักษรและตราประทับเลียนแบบได้เหมือนจริงอย่างมาก คำลงท้ายในนั้นมีอยู่ประโยคหนึ่งที่เอามาจากประโยคว่า ‘บนโลกนี้มีสักกี่คนที่โชคดีเหมือนได้กวางในความฝัน สุดท้ายกลับว่างเปล่า ใช้ชีวิตดั่งฝันว่าตัวเองเป็นปลาก็เท่านั้น’ ของนักพรตซานกู่ เฉินผิงอันรับรองได้เลยว่ากลอนประโยคนี้ต้องเป็นตาของค่ายกล หรือไม่ก็เป็นหนึ่งในนั้น
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้าว่า “มีความเป็นไปได้อย่างมากว่ามีคนผู้หนึ่งหลบซ่อนอยู่เบื้องหลังไกลๆ แค่รอให้เจ้าขุนเขาเย่พาตัวไปติดกับดักเท่านั้น เมื่อพลัดหลงเข้าไป ยกตัวอย่างเช่นตอนที่หันหน้าเข้าผนังปิดด่านพยายามจะฝ่าทะลุคอขวดหยกดิบ คนที่อยู่ในภาพวาดคนนี้ก็จะหันหน้ามา หรือจะให้ยกตัวอย่างอีกข้อที่ไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไร ตราประทับและคำลงท้ายทั้งหมดกลายมาเป็นการรวมตัวอักษร กลายเป็นตำรา และยิ่งเป็นเวทอำพรางตา สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็คือค่ายกลที่เจตนาชั่วร้าย สุดท้ายอาจหลอมตัวอักษรให้กลายเป็น ‘กวีฮุ่ยเจิน’ ที่ใช้ล่อลวงใจคน ถึงเวลานั้นคนที่อยู่เบื้องหลังก็สามารถพลิ้วกายเข้ามาถึงห้องลับของผูซาน อีกฝ่ายจะคล้ายเทวบุตรมารนอกโลกที่หลุดพ้นจากพันธนาการ เนื่องจากหมายตาเจ้าขุนเขาเย่มานานแล้ว แค่รอให้ท่านเป็นฝ่ายเปิดตราผนึกของภาพวาดออก ถึงเวลานั้นเมื่ออยู่ในฝันย่อมไม่รู้ว่าตัวเองเป็นเพียงแขกที่มาเยือน คนผู้นั้นก็จะสามารถบังคับให้เจ้าขุนเขาเย่ผูกเป็น…คู่บำเพ็ญเพียรกับเขาชั่วคราวได้”
คำพูดบางอย่างเฉินผิงอันไม่สะดวกจะพูดให้โจ่งแจ้งมากนัก อย่างเช่นคำพูดทำนองว่าฝันเมฆาสายฝน ปลาและน้ำคลอเคลีย ฯลฯ
แม้จะบอกว่าศาสตร์การประกอบกามกิจในห้องนอนของลัทธิเต๋าเป็นวิชานอกรีต แต่กลับไม่ใช่วิชาอธรรมชั่วร้าย ผู้ฝึกตนไม่ได้มองวิชานี้เป็นดั่งภัยพิบัติหรือสัตว์ร้าย ทว่าภาพภาพนี้ แน่นอนว่าเป็นข้อยกเว้น
ค่ายกลแต่ละชั้น ประหนึ่งมองบุปผาท่ามกลางเมฆหมอก นี่ก็เพื่อปิดบังความจริงบางอย่าง ยกตัวอย่างเช่นภาพเซียนหันหน้าเข้าผนังภาพนี้ แท้จริงแล้วคือ…ภาพวังวสันต์
เย่อวิ๋นอวิ๋นจ้องเฉินผิงอันอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเอ่ยเสียงหนักว่า “เจ้าขุนเขาเฉิน ข้ารู้แล้วว่าควรต้องทำอย่างไร”
แทบไม่ต่างจากการออกคำสั่งไล่แขกแล้ว
เฉินผิงอันลุกขึ้นขอตัวลาอย่างรู้กาลเทศะ เก็บม้วนภาพส่งคืนให้เย่อวิ๋นอวิ๋น หยิบกาเหล้าแล้วเดินออกไปจากศาลา
ดูสิ นี่ก็คือจุดจบของการพูดความจริง
อารมณ์ของเย่อวิ๋นอวิ๋นหนักอึ้ง ถอนหายใจหนึ่งที สะบัดศีรษะแรงๆ นางเก็บม้วนภาพ หันหน้าเข้าหาแผ่นหลังคนชุดเขียวที่เดินออกจากศาลา กุมหมัดเอ่ยว่า “ขอบคุณอาจารย์เฉินที่เอ่ยเตือน!”
เฉินผิงอันหันหน้ามา แต่ฝีเท้าไม่หยุดนิ่ง ยิ้มพลางโบกมือ
เย่อวิ๋นอวิ๋นเดินเร็วๆ ลงบันไดตามเซียนกระบี่เฉินที่พกดาบคู่ไว้ตรงเอว ถามอย่างใคร่รู้ว่า “ครั้งนี้เหตุใดอาจารย์เฉินออกจากบ้านถึงพกดาบล่ะ?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ครั้งนี้มาก่อสร้างสำนักเบื้องล่างอยู่ที่ใบถงทวีป ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้รบราฆ่าฟันกับใคร”
ก็มีเสี่ยวโม่อยู่ข้างกายนี่นะ
เย่อวิ๋นอวิ๋นมองผู้ฝึกตนหนุ่มที่สวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียวแล้วยิ้มเอ่ย “ขอถามสักเรื่องได้หรือไม่ เสี่ยวโม่ผู้นี้ใช่ผู้ฝึกกระบี่ไหม?”
คนผู้นั้นสะพายหีบไม้ไผ่ ในมือถือไม้เท้าเดินป่า สัมผัสได้ถึงสายตาของหวงอีอวิ๋นก็รีบผงกศีรษะยิ้มบางๆ ให้อย่างมีมารยาท
เฉินผิงอันพยักหน้า “คือผู้ฝึกกระบี่”
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็บอกว่าอยากชมทัศนียภาพอยู่ที่นี่พักหนึ่ง เย่อวิ๋นอวิ๋นจึงจากไปก่อน
เสี่ยวโม่เงยหน้ามองม่านราตรี พอถอนสายตากลับมาก็ทำท่าจะพูดแต่ไม่พูด
เป่ยโต้วในยุคบรรพกาลคือราชรถของจักรพรรดิ เมื่อได้รับคำสั่งจากนายก็จะสร้างสี่ฤดูกาลเฉลี่ยห้าธาตุ ควบคุมฤดูกาล กำหนดทิศทาง ล้วนเกี่ยวข้องกับดาวเป่ยโต้วทั้งสิ้น
ตู้หันหลิงแห่งอารามจินติ่งผู้นั้นขอบเขตไม่สูง แต่ความทะเยอทะยานไม่น้อย
เฉินผิงอันกลับมองไปยังดวงดาวที่อยู่จุดอื่น ยิ้มเอ่ยว่า “สกุลลู่แผ่นดินกลางช่างมีปณิธานสูงส่งยิ่งนัก คาดว่าคงอยากจะสร้างหอบินทะยานจำลองแห่งหนึ่งขึ้นมา หากว่าทำสำเร็จ ในตระกูลของสกุลลู่แผ่นดินกลาง คำว่าเซียนดินก็จะกลายเป็นเซียนดินจริงๆ แล้ว”
เมื่อเทียบกับป๋ายอวี้จิงจำลองของราชวงศ์ต้าหลี หากสามารถสร้างหอบินทะยานจำลองขึ้นมาได้ ถือเป็นวิธีการเลิศล้ำค้าฟ้าอย่างสมชื่อแท้จริง
เสี่ยวโม่ครุ่นคิด สุดท้ายก็ให้คำวิจารณ์สามคำ “คิดขึ้นฟ้า”
เสี่ยวโม่เงยหน้ามองจันทร์ ตำหนักคลายร้อนในโลกมนุษย์ ตำหนักเยือกเย็นบนฟ้า
หอบินทะยานสองแห่งในยุคบรรพกาล ดูแลเรื่องการบินทะยานของเซียนดินชายหญิงบนพื้นดิน
หอบินทะยานหนึ่งในนั้นมีเทพหญิงนกเขียวส่งข่าวแก่โลกมนุษย์
เฉินผิงอันเอาสองมือสอดชายแขนเสื้อยืนอยู่ข้างราวรั้ว ทอดสายตามองไกลไปยังขุนเขาสายน้ำ พ่นไอขาวออกจากปาก
ผู้ที่ขัดขวางการซ่อมแซมขุนเขาสายน้ำของข้า ก็คือผู้ฝึกกระบี่ถามกระบี่ต่อข้า ผู้ฝึกยุทธถามหมัดต่อข้า ผลลัพธ์ที่ตามมาจงแบกรับเอาเอง
เสี่ยวโม่กอดไม้เท้าไผ่เขียวไว้ในอ้อมอก นอนฟุบตัวอยู่บนราวรั้ว หันหน้ามายิ้มถาม “คุณชาย คิดอะไรอยู่หรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ต้องตั้งใจฝึกตนให้ดี”