กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 897.3 ตะวันจันทราล้วนเป็นดั่งจอกแหนที่ลอยบนน้ำ
ปีนั้นเสี่ยวโม่ชอบเดินทางท่องเที่ยวไปในใต้หล้าเพียงลำพัง คงเพราะการแต่งกายของเขาชัดเจน จึงง่ายที่จะถูกคนจำได้
ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่สามารถพูดคุยกับเจ้าแห่งถ้ำปี้เซียวอย่างถูกคอ แล้วยังร่วมกันหมักเหล้า นิสัยใจคอเป็นอย่างไร แน่นอนว่าไม่ต้องเดา
เงยหน้าขึ้น เฉินผิงอันมองดรุณีน้อยที่ขยับม้านั่งไปนั่งอยู่ข้างกายหญิงชรา เขาลุกขึ้นยืน ยกเท้าขึ้นยิ้มเอ่ย “แม่นางน้อย เส้นด้ายชะตาคู่จะจับโยงกันมั่วซั่วไม่ได้ รบกวนช่วยเก็บไปด้วย”
เด็กสาวทำหน้าเหลอหลา ท่าทางออดอ้อน ไร้เดียงสาไม่รู้ความ
เฉินผิงอันประกบสองนิ้วเข้าด้วยกันแล้วปาดลงไปข้างเท้าตัวเองเบาๆ ก็สามารถสะบั้นเชือกแดงที่มองไม่เห็นซึ่งผูกไว้ที่ข้อเท้าของตนกับเย่อวิ๋นอวิ๋นได้อย่างง่ายดาย
เด็กสาวพลันหรี่ดวงตาผลซิ่งคู่นั้นลง
ตามคำกล่าวของอาจารย์ นี่ต้องเป็นเซียนกระบี่บนภูเขาคนหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว!
ไม่ต้องใช้ศาสตราวุธเทพหรือกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอะไรก็สามารถสะบั้นด้ายผูกชะตาที่ตนผูกไว้ได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังทำได้สบายๆ เหมือนใช้มีดผ่าเต้าหู้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องมีตบะเป็นขอบเขตเซียนเหรินแล้ว
หญิงชราเหม่อมอง ‘มือกระบี่’ ชุดเขียวอย่างเหม่อลอย นางถอนหายใจ ตบศีรษะของเด็กสาวเป็นการบอกนางว่าอย่ากลัว บางทีหญิงชราคงรู้ว่าวันนี้เรื่องมิอาจจบลงด้วยดีได้แน่แล้ว นางจึงก้มหน้าหัวเราะ หยิบเอาเศษกระจกสีมองที่มีวงโค้งงดงามชิ้นหนึ่งออกมา ใช้ชายเสื้อเช็ดมันเบาๆ วัตถุดิบคล้ายคลึงแก้วใสแต่กลับไม่ใช่แก้วใส อีกทั้งยังกลึงมาอย่างประณีติ ช่างทำกระจกล่างภูเขาไม่มีทางขัดเกลาได้อย่างนี้แน่นอน
หญิงชราเงยหน้าขึ้น ใช้น้ำเสียงเดิมของตนเปิดปากพูดด้วยเสียงแหบพร่าว่า “คิดไม่ถึงว่าอยู่ห่างแคว้นสู่โบราณมาไกลขนาดนี้แล้วจะยังโชคดีได้พบเจอเซียนกระบี่พสุธาอายุน้อยคนหนึ่งได้อีก”
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เพียงแค่สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เหลือบมองของที่อยู่ในมือหญิงชรา ได้เปิดโลกกว้างแล้ว
วังมังกรปลูกหลิงจือหยก หว่านไถแก้วใสสีม่วง
วัสดุใสแวววาวแทบจะใกล้เคียงกับวัตถุที่สร้างขึ้นด้วยกรรมวิธีลับของหอแก้วใสนครจักรพรรดิขาวแล้ว อีกทั้งอยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ของสิ่งนี้ก็ยังมีประโยชน์ที่มหัศจรรย์อยู่อย่างหนึ่ง เหมาะจะนำมาหลอมเป็นวัตถุที่ช่วยในการมองไกลมากที่สุด ขุนนางล่างภูเขาที่อายุมากแล้ว หรือไม่ขุนนางชนชั้นสูงที่อายุน้อยๆ ก็สายตาไม่ดี ของสิ่งนี้จะสามารถช่วยให้ความสามารถในการมองเห็นกลับคืนมาเป็นเหมือนตอนอายุยังน้อยได้อีกครั้ง นอกจากนี้กองโหราศาสตร์ของแต่ละแคว้นในแผ่นดินกลางยังได้ครอบครองวัตถุที่ทำขึ้นด้วยวิธีการลับของสกุลลู่หยินหยางอีกชนิดหนึ่ง เล่าลือกันว่าเป็นวัตถุที่ต่อให้ใช้ตาเนื้อของคนธรรมดาก็ยังมองเห็นดวงดาวที่อยู่ห่างไปไกลเหมือนมันมาอยู่ตรงหน้า ยามที่มองดวงดาวบนท้องฟ้าจะเห็นเส้นสายได้อย่างชัดเจนประหนึ่งเทพที่มองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือ
เฉินผิงอันทรุดตัวลงนั่งยองอีกครั้ง ยื่นสองมือไปอังไฟ ยิ้มถามว่า “กล่องเหล็กใต้แม่น้ำที่วาดเป็นลายน้ำใบนั้นคือของเก่าแก่ของวังมังกร เป็นของรักที่ท่านยายเก็บรักษาไว้หรือ? แต่เมื่อสามร้อยปีก่อนกลับถูกใครบางคนงมขึ้นมาได้แล้วส่งไปให้วังหลวงแคว้นหยวน?”
หญิงชรามองเซียนกระบี่ชุดเขียวที่สีหน้าอ่อนโยนแล้วยิ้มเอ่ย “ขอแค่เซียนกระบี่ช่วยนำยันต์ชิ้นหนึ่งออกไปให้ได้ วันนี้หญิงชราเช่นข้าจะบอกทุกเรื่องที่รู้แก่ท่านทั้งหมด ไม่อย่างนั้น”
หญิงชราส่ายหน้า “ไม่อย่างนั้นต่อให้คุณชายเป็นเซียนกระบี่บนภูเขาก็ไม่กล้าฆ่าข้าจริงๆ หรอก”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ยันต์ที่เจินเหรินจวนเทียนซือท่านหนึ่งเขียนขึ้นกับมือตัวเอง ทั้งเป็นตราผนึกบ่อสายฟ้าแล้วก็สามารถเอามาใช้เป็นยันต์คุ้มกันชีวิตได้จริงๆ”
หญิงชรามองหวงอีอวิ๋นแห่งผูซาน พอถอนสายตากลับมาก็มองบุรุษชุดเขียวที่พูดภาษากลางของใบถงทวีปสำเนียงถูกต้องชัดเจนตรงหน้าอีกครั้ง เอ่ยชื่นชมจากใจจริงว่า “คุณชายมีสายตาเฉียบแหลมจริงๆ พลิกเปิดปฏิทินเหลืองตรวจสอบเรื่องวงในได้คล่องแคล่วเหมือนนับสมบัติในบ้านตัวเอง”
ศึกพิฆาตมังกรของเมื่อสามพันปีก่อน เข่นฆ่าเสียจนทายาทเจียวหลงและเผ่าพันธุ์น้ำนับพันนับหมื่นในใต้หล้าพากันหยุดชะงักอยู่ที่ขอบเขตก่อกำเนิด แล้วก็มิอาจเดินหน้าได้อีก อย่างมากสุดก็แค่เดินลงน้ำกลายเป็นเจียว ย่อมไม่มีใครกล้าเดินลงลำน้ำใหญ่กลายเป็นมังกรเด็ดขาด
บนโลกไม่มีการจำแลงร่างจากปลาเป็นมังกรอีกต่อไป
ทุกวันนี้ขุนเขาสายน้ำยกเลิกคำสั่งห้าม เผ่าน้ำในใต้หล้าเหมือนได้รับอภัยโทษ พากันไปรวมตัวอยู่ที่ประตูมังกรของนครจักรพรรดิขาว ว่ายทวนกระแสน้ำขึ้นไป กระโดดข้ามประตูมังกร ขอแค่สามารถข้ามไปอยู่ในถ้ำสวรรค์เล็กหวงเหอได้สำเร็จก็จะได้รับการแต่งตั้งจากทางศาลบุ๋น
น่าเสียดายที่ทางฝั่งของภูเขามังกรพยัคฆ์ไม่มีเจินเหรินจากจวนเทียนซือเดินทางมาที่นี่ ช่วยคลายตราผนึกยันต์ที่มีพลานุภาพน่าครั่นคร้ามให้กับนาง
ราวกับว่าลืมเรื่องนี้ไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว
เย่อวิ๋นอวิ๋นดื่มชาหนึ่งอึก รู้สึกอัดอั้นเป็นอย่างยิ่ง
ฝนกระหน่ำนอกเพิงน้ำชาพลันหยุดลง
มีนักพรตชุดม่วงคนหนึ่งเดินเข้ามา
สถานะของนักพรตผู้เฒ่าในทุกวันนี้คือเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้นเหลียง
เทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ เหลียงส่วง
หญิงชรามองเจินเหรินผู้เฒ่าที่ทั่วร่างเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายมหามรรคาเข้มข้น คุ้นเคย คุ้นเคยยิ่งนัก แม้ว่าจะไม่ใช่เทียนซือหนุ่มของภูเขามังกรพยัคฆ์ในปีนั้น แต่ในที่สุดตนก็รอคอยจนได้พบเจอกับเจินเหรินจากจวนเทียนซือคนหนึ่งแล้ว สีหน้าของนางอึ้งค้างไปพักใหญ่ ก่อนจะพลันกรีดร้องเสียงแหลม สิบนิ้วสองมืองอเป็นตะขอจิกใบหน้าที่แห้งเหี่ยวของตัวเองเอาไว้แน่น สีหน้าเหมือนหัวเราะแต่ไม่ได้หัวเราะ เหมือนร้องไห้แต่ไม่ได้ร้องไห้ คล้ายคนวิปลาส พูดเสียงสั่นแทบใกล้เคียงกับการวิงวอน “ขอเทียนซือโปรดเอายันต์ออกไป ขอร้องเจินเหรินโปรดเมตตา ข้าผิดไปแล้ว…”
เจินเหรินผู้เฒ่าเอาสองมือไพล่หลัง ไม่สนใจหญิงชราที่มีสีหน้าเศร้าตรมขมขื่นแม้แต่น้อย เพียงแค่หัวเราะหึหึเอ่ยว่า “วิถีทางโลกใบนี้ คิดจะทำเรื่องดีๆ เรียนรู้เอาอย่างคนอื่น ก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายสักเท่าไรเลยนะ หากยังอยากเริ่มต้นด้วยดีแล้วจบลงด้วยดีก็ยิ่งยากกว่าเสียอีก”
หลินส่วงมาที่ข้างกระถางไฟ กดไหล่ข้างหนึ่งของเฉินผิงอันที่กำลังจะลุกขึ้นเบาๆ จากนั้นก็นั่งยองด้วยกัน เจินเหรินผู้เฒ่าหยิบเหล้าเหลืองร้อนๆ กานั้นขึ้นมากระดกดื่มจนหมด สองนิ้วคีบถ่านแดงฉานก้อนหนึ่งขึ้นมา เช็ดมุมปาก จากนั้นโยนกาเหล้าที่ว่างเปล่าไปข้างหลัง โยนลงไปในแม่น้ำชื่อหลินสายนั้น
เจินเหรินผู้เฒ่ายังคงพูดพึมพำกับตัวเองต่อ “ก็เหมือนอย่างสหายน้อยเฉินที่แค่เห็นก็ถูกชะตาข้างกายข้าผู้นี้ ไยไม่ใช่คนหนุ่มอารมณ์วู่วาม ง่ายที่จะไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ เป็นเหตุให้ทำอะไรโดยใช้อารมณ์ ยอมอุทิศตนเพื่อเมตตาธรรมเล่า อายุน้อยๆ ก็ทำเรื่องดีมาหลายครั้งแล้ว โชคดีที่ยังไม่ตาย ในสายตาของคนนอก แน่นอนว่าแค่พูดว่าโชคดีก็จบเรื่องกันแล้ว เพียงแต่ว่ารสชาติที่ต้องพบเจอเป็นเช่นไร หวานหรือขมย่อมรู้แค่ตัวเอง มิอาจบอกกล่าวแก่คนนอกได้”
เฉินผิงอันหยิบเหล้าหมักข้าวเหนียวสองกาออกมาวางลงในกระถางไฟ
เจินเหรินผู้เฒ่ารอคอยให้เหล้าต้มค่อยๆ ร้อน จากนั้นก็ถามว่า “สหายน้อยเฉิน ในเมื่อชอบอ่านตำราเบ็ดเตล็ดขนาดนั้น มีนิยายเรื่องใดที่ถูกใจมากเป็นพิเศษหรือไม่? อย่าเพิ่งพูด ขอให้ข้าได้เดาดูก่อน มีของเวินฉีหรือไม่ ถ้ามี ใช่บทเวินเฟยชิงหรือไม่? หืม?”
“เจินเหรินทำนายได้แม่นยำจริงๆ”
เฉินผิงอันยิ้มอย่างรู้ทัน พยักหน้าเอ่ย “ในบรรดานิยายสามเรื่องที่ผู้เยาว์ชอบมากที่สุดก็มีบท ‘โต่วอี้’ อยู่จริงๆ”
อันที่จริงนามแฝงที่ใช้ในปีนั้น ท่ามกลางชื่อที่เตรียมไว้กระบุงใหญ่ ชื่อโต่วอี้ที่พบเห็นได้ยากนี้เคยตีคู่มากับชื่อเฉาโม่ และตอนนี้เขาก็คิดว่าหากได้ไปท่องเที่ยวทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางพร้อมกับหลิวจิ่งหลงก็ว่าจะใช้นามแฝงนี้พอดี
เจินเหรินผู้เฒ่าถามอีก “ความยอดเยี่ยมที่สุดของบทนี้อยู่ตรงใด?”
เฉินผิงอันตอบ “เด็กหนุ่มโต่วอี้เคยปลูกต้นไม้อยู่เงียบๆ ห้าปี คิดดูแล้วรสชาติระหว่างนี้คงมีเพียงคนในตำราเท่านั้นที่รู้ว่าหวานหรือขม เกรงว่าเวินเฟยชิงอาจจะสัมผัสความรู้สึกเช่นนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ”
เจินเหรินผู้เฒ่าโยนถ่านใส่ลงไปในกระถางไฟ ลูบหนวดยิ้ม พูดเสียงดังว่า “ข้ากับสหายน้อยเฉินถูกชะตากันจริงๆ เสียด้วย มีเหตุผลอย่างมากเลย!”
ในฐานะจิตหยินของเจินเหรินเหลียงส่วง ทุกอารมณ์ความรู้สึกล้วนไร้ซึ่งพันธนาการ
นอกจากคนสองคนที่พูดคุยกัน คนอื่นๆ ที่อยู่ในเพิงน้ำชาต่างก็ไม่เข้าใจบทสนทนานี้
เฉาฉิงหล่างกับเสี่ยวโม่ และยังมีอาจารย์เซวียแห่งผูซาน บัณฑิตทั้งหลายเหล่านี้ แน่นอนว่าต้องเคยได้ยินชื่อ ‘เวินเฟยชิง’ ที่ถูกขนานนามว่าเป็นปรมาจารย์แห่งถ้อยคำละมุนละม่อมมาก่อน เพียงแต่พวกเขาไม่รู้เลยว่าเวินฉีเคยเขียนนิยายอะไรทิ้งไว้ด้วย
เจินเหรินผู้เฒ่าเหลือบสายตาขึ้นไปด้านบนเล็กน้อย มองหญิงชราที่หมอบกราบอยู่กับพื้นนานแล้ว เอ่ยว่า “ขอร้องอะไร มีประโยชน์หรือ?”
เจินเหรินผู้เฒ่าหัวเราะ “แล้วนับประสาอะไรกับที่ไม่ต้องขอร้องแล้ว ข้าไม่มีทางดื่มเหล้าของเจ้ากาหนึ่งเปล่าๆ หรอก”
หญิงชราถึงได้ค้นพบด้วยความตกตะลึงระคนยินดีว่ายันต์เทียนซือที่อยู่บนร่างของตนได้สลายหายไปแล้วโดยไม่รู้ตัว
เจินเหรินผู้เฒ่าเอ่ยเตือนว่า “ไม่ต้องโขกหัว ระวังว่าจะบั่นทอนอายุขัยของข้า ด้วยความโมโหแล้วจะเพิ่มยันต์ใหม่ให้เจ้าอีกแผ่น รีบลุกขึ้นเถอะ เดิมทีสุขและทุกข์ก็ล้วนเป็นตัวเราที่เรียกหามาเองเหมือนการเปิดประตูต้อนรับลูกค้า ไม่ใช่เรื่องที่ต้องขอร้องหรือไม่ขอร้องอะไร”
หญิงชรานั่งลงบนม้านั่ง มองไปยังเซียนกระบี่ชุดเขียว พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เรียนเซียนกระบี่เฉิน ปีนั้นเป็นนักพรตหนุ่มคนหนึ่งเดินทางท่องเที่ยวมาถึงที่แห่งนี้ และได้ซื้อกล่องเหล็กใบนั้นไปจากข้า ข้าเห็นว่าเขาเป็นนักพรตของภูเขาไท่ผิง อีกฝ่ายยังให้ข้าดูป้ายหยกของศาลบรรพจารย์ด้วย ข้าตรวจสอบว่าเป็นของจริงหรือของปลอมแล้วจึงตอบตกลง เพียงแต่ข้าขอบอกเซียนกระบี่เฉินให้ชัดเจนว่า ปีนั้นในกล่องเหล็ก แท้จริงแล้วไม่มีสิ่งใดอยู่”
เฉินผิงอันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ เป็นวานรเฒ่าสะพายกระบี่ตัวการร้ายที่สร้างความวุ่นวายให้กับฝ่ายในของภูเขาไท่ผิงตนนั้นนั่นเอง อีกฝ่ายอำพรางตนได้อย่างดีเยี่ยม เทพไม่รู้ผีไม่เห็น เคยเป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนสืบทอดของภูเขาไท่ผิงจริงๆ
อีกฝ่ายคือหนึ่งในปีศาจใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่มาซ่อนตัวอยู่ในใบถงทวีปนานแล้ว อ้อมไปอ้อมมา สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็ยังคงเป็นแผนการของมหาสมุทรความรู้โจวมี่อยู่ดี
ดูท่าโจวมี่จะมีปณิธานอยากครอบครองผูซานจริงๆ เสียด้วย
หญิงชรามองเซียนกระบี่เฉินที่สีหน้าไร้อารมณ์ ในใจพลันกระวนกระวาย โอบเด็กสาวข้างกายมาใกล้ตัวตามจิตใต้สำนึก “นางคือลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวที่ข้ารับมา ก่อนหน้านี้นางบุ่มบ่ามผูกด้ายแดงก็เป็นข้าที่บงการอยู่เบื้องหลัง หากเทียนซือผู้เฒ่าและเซียนกระบี่เฉินคิดจะลงโทษก็อย่าลากนางมาเกี่ยวข้องด้วยเลย”
เฉินผิงอันพยักหน้า ลุกขึ้นยืน ใช้เสียงในใจบอกกับเจินเหรินผู้เฒ่าและเซวียไหวคนละประโยคว่าให้เดินออกไปนอกร้านน้ำชาด้วยกัน
ไปถึงริมแม่น้ำ เฉินผิงอันหยุดเดิน มองไปทางอาจารย์เซวียแห่งผูซานที่ไม่เข้าใจสิ่งใด หรี่ตาเอ่ยว่า “ออกมาได้แล้ว ในเมื่อเจินเหรินผู้เฒ่าอยู่ที่นี่ ข้าคิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องหลบซ่อนแล้วกระมัง?”
การคาดการณ์ของเจียงซ่างเจินไม่ผิดเลยสักนิดจริงๆ
ภายในของเรือนอวิ๋นฉ่าวผูซานมีทางหนีทีไล่ที่ถูกซ่อนอยู่จริงเสียด้วย
ก็คือผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลที่มีชื่อเสียงดีที่สุดในผูซาน ลูกศิษย์ที่หวงอีอวิ๋นฝากความหวังให้ความสำคัญมากที่สุดอย่าง ‘เซวียไหว’ ผู้นี้
นักพรตชุดม่วงลูบหนวดยิ้ม ก็แค่ผีขอบเขตหยกดิบตนหนึ่งที่สิงร่างอยู่ในจิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธ อยู่ใต้เปลือกตาของตนยังจะหลบๆ ซ่อนๆ เข้าท่าเสียที่ไหน
รังแกที่ผินเต้าไม่ใช่ขอบเขตสิบสี่หรือ?
เพียงชั่วครู่ ไม่เปิดโอกาสให้ผีเผ่าปีศาจขอบเขตหยกดิบได้ก่อการแม้แต่น้อย เจินเหรินผู้เฒ่าก็ ‘ค้นภูเขา’ ไปกลับแล้วหนึ่งรอบ สองนิ้วคีบดวงวิญญาณเล็กเท่าเมล็ดงาดวงหนึ่งเอาไว้
เซวียไหวรู้สึกเหมือนหัวจะแตก ปวดร้าวทรมานเหมือนถูกมีดคว้าน หมายจะยกมือสองข้างขึ้น เฉินผิงอันรีบยื่นมือไปจับแขนของอาจารย์เซวียทันที ช่วยอีกฝ่ายรักษาปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกนั้นให้มั่นคง ไม่ถึงขั้นเกิดแม่น้ำพลิกทะเลตลบอยู่ในฟ้าดินเล็กเรือนกายมนุษย์ ประหนึ่งน้ำท่วมโถมทะลักที่ทำลายรากฐานของร่างกายและจิตวิญญาณ
ครู่ต่อมาเซวียไหวที่เหงื่อท่วมเต็มศีรษะก็ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “เจ้าขุนเขาเฉิน เป็นข้าที่ติดกับไปก่อนหน้านี้หรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เป็นอีกฝ่ายที่มีใจเล่นงานคนไม่ทันระวังตัว แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังเป็นผีห้าขอบเขตบนที่เชี่ยวชาญศาสตร์ลวงวิญญาณตนหนึ่ง อันที่จริงอาจารย์เซวียไม่จำเป็นต้องโทษตัวเองเกินไป”
แท้จริงแล้วเฉินผิงอันเดาเอา แต่ก็ไม่ใช่ว่าเดามั่วทั้งหมด เรื่องราวและบุคคลที่เป็นดั่งเงามืดใต้โคมไฟ ส่วนใหญ่มักจะอยู่ใกล้กับแสงไฟมากที่สุด
ถึงอย่างไรเรื่องแบบนี้เฉินผิงอันก็คุ้นเคยเป็นอย่างดี
ตัวเลือกของคนที่สามารถเข้าใกล้หวงอีอวิ๋นได้มีน้อยแค่หนึ่งมือนับอยู่แล้ว นอกจากเซวียไหวที่ลำดับอาวุโสไม่สูงแต่มีชื่อเสียงอย่างมากแล้ว อันที่จริงก็ยังมีถานหรงผู้คุมกฎผูซาน และศิษย์พี่ของเย่อวิ๋นอวิ๋นที่ดูแลเงินทองของศาลบรรพจารย์อีกคน ดังนั้นตอนที่อยู่ตรงหน้าประตูภูเขา เฉินผิงอันจึงจงใจพูดถึงเรื่องหินทอง เดิมทีก็เพื่อฉวยโอกาสตอนคุยเล่นสองสามประโยคกับก่อกำเนิดเฒ่าให้เสี่ยวโม่ได้จับสังเกตอีกฝ่ายอย่างลับๆ
จะต้องมีใครสักคนที่ฉลาดกว่าคนเลวอยู่เสมอ คนดีที่ทำดีแล้วได้ดีตอบแทนถึงจะมีได้มากกว่าเดิม สามารถทำให้คนดีได้ทำเรื่องดีมากกว่าเดิมโดยที่ไม่ต้องสนใจผลลัพธ์ที่จะตามมา
เซวียไหวทำท่าจะพูดแต่ไม่พูด สุดท้ายก็ได้แต่พยักหน้า กุมหมัดเงียบๆ
เฉินผิงอันได้แต่กุมหมัดคารวะกลับคืน
เจินเหรินผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “ปรมาจารย์ใหญ่เซวีย ท่านกลับไปที่ร้านน้ำชาก่อนเถอะ ข้าจะพูดคุยกับสหายน้อยเฉินอีกสักสองสามประโยค”
เซวียไหวยังคงไม่เอ่ยอะไร เพียงแค่ประสานมือคารวะต่อนักพรตชุดม่วงที่ไม่มีทางเป็นแค่เจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้นแน่นอนผู้นี้ พอยืดตัวขึ้นตรงแล้วก็ก้าวยาวๆ จากไป
เซวียไหวกลับมาที่ร้านน้ำชาแล้ว เจินเหรินผู้เฒ่าก็เดินเล่นเนิบช้าไปริมตลิ่งแม่น้ำพร้อมกับเฉินผิงอันหลังฝนตก
“บรรยากาศตอนนี้ การแบ่งเส้นทาง คนและผีอย่างละครึ่ง”
“เหอะ กำจัดปีศาจปราบมาร ปีศาจที่แท้จริงถูกสังหารถูกกำราบ เจินเหรินเทียนจวิน แค่กวักมือก็พุ่งมาหา ก็แค่ว่าอาศัยขอบเขตมรรคกถา เหมือนชาวบ้านที่มีเรี่ยวแรงมีพละกำลัง คำว่าหยินหยางมีความต่าง มืดและสว่างอยู่คนละเส้นทางก็หนีไม่พ้นผู้ฝึกตนที่ทิพย์จักษุเปิดออก แค่มองก็รู้ได้เท่านั้น น่าเสียดายที่มิอาจสังหารผีร้ายในใจคนได้หมดสิ้น ไม่อาจกำจัดแมลงวันที่ซอกซอนเจาะรังโน้นเข้ารังนี้ได้สิ้นซาก”
เจินเหรินผู้เฒ่าทอดถอนใจ ลูบหนวดเงียบไปพักใหญ่
“ยากก็ยาก ยากเหมือนเดินขึ้นสวรรค์ ง่ายก็ง่าย ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ”
เฉินผิงอันยิ้มพูดรับประโยคต่อ “ต่อให้ถูกกำหนดมาแล้วว่ากำลังของคนมีช่วงเวลาที่ต้องหมดสิ้นลง แต่ก็ต้องพยายามอย่างสุดความสามารถเสียก่อนแล้วค่อยฟังลิขิตจากสวรรค์ ก็หนีไม่พ้นทำเรื่องตรงหน้าได้เรื่องหนึ่งก็คือเรื่องหนึ่ง สามารถออกแรงกับเรื่องใกล้มือได้ส่วนหนึ่งก็คือส่วนหนึ่ง”