กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 897.7 ตะวันจันทราล้วนเป็นดั่งจอกแหนที่ลอยบนน้ำ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่ว่าจะหัวร้อนอยากอวดเก่งเป็นวีรบุรุษ หรือเกิดจากความเห็นแก่ตัว แค่อยากจะรักษาชีวิตรอดเท่านั้น ท้ายที่สุดแล้วหลูอิงผู้ฝึกตนแห่งใบถงทวีปก็ทำเรื่องที่…คนทำ”
เสี่ยวโม่ที่นั่งอยู่บนขั้นบันไดในลานบ้านใช้เสียงในใจยิ้มเอ่ย “ผู้ฝึกตนเฒ่าผู้นี้มีความรู้สึกเสียใจเล็กน้อย”
ส่วนเผยเฉียนกลับรวมเสียงให้เป็นเส้นพูดกับอาจารย์พ่อว่า “สภาพจิตใจของหลูอิงมีทัศนียภาพอย่างหนึ่งปรากฎขึ้นในเสี้ยววินาที และมีสตรีที่ใบหน้าพร่าเลือนอีกคนหนึ่ง”
ระหว่างทางที่มา เฉินผิงอันได้ส่งข่าวผ่านห้องกระบี่ของเรือข้ามฟากเฟิงยวน ส่งกระบี่บินแจ้งข่าวฉบับหนึ่งไปบอกสามเรื่องแก่สำนักศึกษาต้าฝู
ภูเขาลั่วพั่วจะก่อตั้งสำนักเบื้องล่างในวันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิของปีหน้า ขอเชิญให้เฉิงหลงโจวเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษามาร่วมงานพิธี นอกจากนี้ก็สอบถามวิธีการส่งข่าวให้กับจงขุย สุดท้ายก็คือหากหลูอิงผู้ถวายงานแห่งอารามจินติ่งส่งจดหมายลับไปยังสำนักศึกษาต้าฝูบอกว่าตนคือเฝ่ยหราน ทางสำนักศึกษาสามารถบันทึกเรื่องนี้ลงในเอกสารคดี แต่ไม่จำเป็นต้องระดมพลมา ‘ล้อมจับเฝ่ยหราน’ ที่ท่าเรือใบท้อแล้ว
หลูอิงสับสนมึนงง
เขาถือว่าเป็นคนดีเสียที่ไหน ก็แค่ว่าทุกวันนี้อายุมากแล้ว ขอบเขตสูงแล้ว จึงอยากมีชีวิตที่สงบสุขมั่นคงเท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่นพูดถึงแค่หลังจากที่ตนเป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของอารามจินติ่ง เวลาออกเดินทางไกล ผู้ฝึกตนหญิงที่ยินดีที่จะร่วมเรียงเคียงหมอน หรือไม่คนที่อยากจะเปลี่ยนสำนักให้เขามาเป็นอาจารย์ หรือถึงขั้นเป็นพ่อบุญธรรม สองมือนับยังไม่พอ
ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ สิ่งที่ปรารถนาแต่ไม่ได้มาครองมากที่สุด สตรีสองคนที่คิดถึงพะวงหามากที่สุด คนหนึ่งคือหวงถิงแห่งภูเขาไท่ผิง คือสตรีบ้าที่อายุน้อยคนหนึ่ง
และยังมีบรรพจารย์หญิงแห่งอวี้จือก่างที่สร้างหายนะใหญ่เทียมฟ้า ทุกวันนี้คนทั้งใบถงทวีปต่างก็พากันประฌามรุมด่านางอย่างเอาเป็นเอาตาย
เพียงแต่ว่าหลูอิงไม่เพียงแต่ไม่ด่านาง กลับกันยังตั้งใจไปเยือนซากปรักที่ตั้งของอวี้จือก่าง นั่งยองดื่มเหล้าพึมพำกับตัวเองท่ามกลางซากปรักหักพังแห่งนั้น
เพราะเจ้าคือเซียนซือทำเนียบ เจ้าถึงเป็นเซียนซือทำเนียบ แม้จะโง่ไปสักหน่อย เขลาจนเลอะเลือน แต่เจ้าก็เป็นคนดีนะ
ขว้างกาเหล้าลงบนพื้นอย่างแรง ก่อกำเนิดผู้เฒ่าที่ชื่อเสียงฉาวโฉ่ระบือไปทั่วทุกหัวถนนผู้นี้ สุดท้ายแล้วก็เค้นรอยยิ้มที่ไม่เอาการเอางาน หัวเราะหึหึ ปีนั้นอยากจะฉวยโอกาสตอนที่เหล่าบรรพจารย์ของอวี้จือก่างไปร่วมงานพิธีฉลองเปิดขุนเขาที่ยิ่งใหญ่อลังการของสำนักกุยหยก ก็เหวยอิ๋งได้เข้าไปอยู่ในยอดเขาเสินจ้วนนี่นะ เรื่องใหญ่จะตายไป หลูอิงจึงคิดว่าจะมาขโมยยันต์บางส่วนของหอซูอี๋ ผลคือ หึหึ…
ก่อนที่ผู้ฝึกตนเฒ่าจะออกมาจากซากปรัก สุดท้ายได้เอ่ยประโยคหนึ่ง เรื่องน่ายินดีที่ไม่คาดฝัน แอบมองสาวงามโผล่พ้นจากถังน้ำโดยบังเอิญ มองน้อยไปหน่อย แค่เผยให้เห็นลำคอเท่านั้นก็ถูกเจ้าจับได้เสียก่อน ไม่อย่างนั้นถึงวันนี้จะต้องจดจำเจ้าได้ชัดเจนยิ่งกว่านี้เป็นแน่
ริ้วน้ำพลันกระเพื่อมไหว ไอน้ำลอยอบอวล ผู้เฒ่าท่าทางสง่างามสวมกวานสูงรัดเข็มขัดหยกคนหนึ่งเผยกาย ก็คือเฉิงหลงโจวเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาต้าฝูในทุกวันนี้ อดีตเจียวเฒ่าแห่งแคว้นหวงถิง อดีตรองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาหลินลู่ภูเขาพีอวิ๋น
เฉินผิงอันเก็บกระบอกยาสูบ ลุกขึ้นประสานมือคารวะเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาท่านนี้
เฉิงหลงโจวคารวะกลับคืน
หากเฉินผิงอันเป็นแค่เจ้าขุนเขาหนุ่มของภูเขาลั่วพั่ว ตอนที่ได้รับจดหมายลับจากหลูอิง ต่อให้เฉินผิงอันจะยังเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของเหวินเซิ่งด้วย เฉิงหลงโจวก็ยังไม่กล้าประมาท ทว่าเซียนกระบี่หนุ่มผู้นี้ยังมีอีกสถานะหนึ่ง ดังนั้นครั้งนี้เฉิงหลงโจวจึงได้แต่มาเยือนเพียงลำพัง
ทว่าเรื่องนี้สำนักศึกษาจะยังทำอย่างที่เฉินผิงอันกล่าวไว้ในจดหมาย นั่นคือต้องบันทึกลงเอกสารลับ อีกทั้งเฉิงหลงโจวก็ได้ส่งจดหมายแจ้งข่าวไปที่ศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง รายงานเรื่องนี้อย่างครบถ้วนกระบวนความในทันทีแล้ว
เห็นผู้เฒ่าที่สวมกวานสูงรัดเข็มขัด ตรงเอวห้อยหยกพกชิ้นนั้น หลูอิงก็สับสนไปอย่างสิ้นเชิง นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
เฉิงหลงโจวยิ้มกล่าว “คนฉลาดกลับตกเป็นเหยื่อของความฉลาด เฉาโม่ที่อยู่ตรงหน้าเจ้าผู้นี้ไม่ใช่เฝ่ยหรานอะไรทั้งนั้น แน่นอนว่าเจ้าจะเข้าใจผิดต่อไปก็ได้ ยกตัวอย่างเช่นว่าข้ามีชาติกำเนิดจากเผ่าปีศาจ ดังนั้นจึงสมคบคิดกับ ‘เฝ่ยหราน’ ผู้นี้มานานมากแล้ว เจ้าจึงไม่ควรส่งจดหมายไปที่สำนักศึกษาต้าฝูเลย”
หลูอิงมีสีหน้ากระอักกระอ่วน
ต่อให้ตนไม่เชื่อใจตัวเองมากแค่ไหน แต่ก็ยังเชื่อในสายตาของศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง
มีทั้งปรมาจารย์มหาปราชญ์ มีทั้งหลี่เซิ่งหย่าเซิ่ง แล้วนับประสาอะไรกับที่ทุกวันนี้ยังมีเหวินเซิ่งเพิ่มมาอีกคน
เฉิงหลงโจวโยนรายงานขุนเขาสายน้ำฉบับหนึ่งให้กับหลูอิง “ลองอ่านเอาเองเถอะ คำตอบอยู่ในนั้นแล้ว”
หลูอิงพลิกเปิดไปมา กลัวว่าจะพลาดไปแม้แต่ตัวอักษรเดียว เพียงแต่ว่าอ่านไปแล้วสองรอบก็ยังไม่เข้าใจว่าเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาผู้นี้คิดจะให้ข้าผู้อาวุโสอ่านอะไรกันแน่?
ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับเฉาโม่แม้แต่คำเดียว
หากจะบอกว่าเฉาโม่เป็นนามแฝง แล้วอย่างไร จะบอกว่าไม่ใช่เฝ่ยหรานแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้าง แต่เป็นเหวยอิ๋งเซียนกระบี่ใหญ่แห่งสำนักกุยหยกหรือ? ดังนั้นถึงได้เดินเคียงบ่าอยู่กับเจียงซ่างเจิน
ไม่อย่างนั้นก็เป็นคนต่างถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่าง…เฉินผิงอัน?
ฟันนครเซียนจานในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง กระชากลำคลองเย่ลั่วจากปีศาจใหญ่บนบัลลังก์เฟยเฟย จากนั้นเคลื่อนย้ายภูเขาทัวเยว่ สุดท้ายสังหารลูกศิษย์คนแรกของบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่ที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานไปคนหนึ่ง?
หากว่าใช่จริงๆ
ข้าผู้อาวุโสจะลงไปคุกเข่าโขกหัวให้เดี๋ยวนี้เลย
ถึงอย่างไรหากเล่าลือออกไปก็เป็นเรื่องเล่าที่งดงามเรื่องหนึ่ง
เฉิงหลงโจวกล่าว “แม้ว่าเฉาโม่จะไม่ใช่เฝ่ยหราน แต่เจ้าไม่ได้เลือกสมคบคิดกับคนที่เจ้าเข้าใจผิดคิดว่าเป็น ‘เฝ่ยหรานแห่งเปลี่ยวร้าง’ กลับกันยังยอมเสี่ยงอันตรายเปิดเผยความลับนี้ สำนักศึกษาต้าฝูจะจดลงบันทึกเอาไว้ ทั้งยังจะไม่ป่าวประกาศแก่ภายนอก รอแค่เมื่อใดที่เจ้าต้องการคุณความชอบนี้ ยกตัวอย่างเช่นสามารถนำไปใช้ชดเชยความผิด เพียงแค่ว่าคำพูดไม่น่าฟังต้องเอามาพูดกันก่อน ความผิดบางอย่างย่อมไม่อาจเอาความดีความชอบมาใช้ทดแทนกันได้ เจ้าลองชั่งน้ำหนักเอาเองแล้วกัน”
หลูอิงรีบแสร้งทำท่าประสานมือคารวะขอบคุณเจ้าขุนเขาเฉิงทันใด
เฉินผิงอันเดินมาถึงลานบ้านเป็นเพื่อนเฉิงหลงโจว อารมณ์ของเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาท่านนี้ซับซ้อนอย่างมาก
ปีนั้นครั้งแรกที่ทั้งสองฝ่ายพบเจอกัน อีกฝ่ายยังเป็นแค่เด็กหนุ่มที่พกมีดผ่าฟืนสวมรองเท้าสาน ตากแดดจนตัวดำเกรียมเหมือนถ่าน เพียงแต่ว่าแม้เด็กหนุ่มจะผ่ายผอม แต่กลับให้ความรู้สึกว่าเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง เรียกได้ว่าภายนอกอ่อนโยนแต่ภายในเปี่ยมไปด้วยความเป็นธรรมอย่างเคร่งครัด
เฉิงหลงโจวยิ้มเอ่ย “เดินมาจนถึงวันนี้ได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เหมือนกันนั่นแหละ”
ผู้เฒ่าแบฝ่ามือออก ซิ่วไฉเฒ่าที่ปีนั้นไม่ใช่เหวินเซิ่งอีกต่อไปได้มอบตัวอักษรสีทองตัวหนึ่งให้เขา
คล้ายเป็นคำปริศนา
ฝู
ฝูจากคำว่าจำศีล หรือก็คือฝูจากคำว่าสำนักศึกษาต้าฝูในทุกวันนี้
เฉินผิงอันถาม “หยางผู่ของสำนักศึกษาพวกท่าน ทุกวันนี้ยังไม่ได้เป็นนักปราชญ์อีกหรือ?”
ตอนนั้นที่อยู่ซากปรักภูเขาไท่ผิง หยางผู่ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของสำนักศึกษาอยู่เฝ้าหน้าประตูภูเขานานถึงสามปีเต็ม ไม่เพียงแต่ถูกคนดูแคลน ยังเท่ากับว่าผูกปมแค้นกับกองกำลังมากมายบนภูเขา อีกทั้งหยางผู่ยังไม่ได้รับคำสั่งมาจากสำนักศึกษาด้วย เพียงแค่เพราะหัวร้อน ไม่คิดสนใจสิ่งใดก็ไปเฝ้าประตูให้กับภูเขาไท่ผิง เวลานั้นตำแหน่งเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาต้าฝูยังว่างอยู่ เป็นหยางผู่ที่ไปอยู่ที่นั่นระยะเวลาหนึ่งแล้วเฉิงหลงโจวถึงได้มารับตำแหน่ง จากนั้นสำนักศึกษาถึงได้ช่วยหนุนหลังให้หยางผู่อย่างแท้จริง
เฉินผิงอันที่อยู่หน้าประตูภูเขาไท่ผิงได้เจอกับโอสถทองหนึ่งคน ก่อกำเนิดหนึ่งคน หยกดิบหนึ่งคน และเซียนเหรินหนึ่งคนตามลำดับ
หลีเจินลูกศิษย์คนสุดท้ายของบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่ หันอวี้ซู่เซียนเหรินแห่งสำนักว่านเหยาของพื้นที่มงคลสามภูเขา
สองคนนี้ต่างก็เป็นนายทุนใหญ่อันดับหนึ่ง
และการต่อสู้สองครั้งนี้ก็เป็นเฉินผิงอันที่ได้ผลเก็บเกี่ยวมาอุดมสมบูรณ์ที่สุด
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง…ตำราหมัดครึ่งเล่มนั้น
เพราะเจ้าสำนักหันท่านนั้นเท่ากับว่าเจอหมัดหนึ่งของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบเอ็ดคนหนึ่งเข้าไป
“ได้เป็นแล้ว”
เฉิงหลงโจวยิ้มเอ่ย “เจ้าเด็กหน้าเหม็นผู้นี้ได้เป็นนักปราชญ์ก็เริ่มถามข้าแล้วว่าต้องทำอย่างไรถึงจะได้เป็นวิญญูชน เหตุผลก็พูดได้เต็มปากเต็มคำยิ่งนัก บอกว่าอดีตเจ้าสำนักเจียงเคยอนุญาตเรื่องหนึ่งกับปากตัวเอง บอกว่ารอวันใดที่เขาเป็นวิญญูชนแล้วก็จะสามารถนัดหมายกับเจ้าขุนเขาเฉินให้มาดื่มเหล้าด้วยกัน อีกทั้งจะนัดหมายกันที่สำนักศึกษาต้าฝูด้วย”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “เดิมทีก็เป็นความจริงอยู่แล้ว”
เฉิงหลงโจวกล่าว “ข้าติดต่อจงขุยได้แล้ว บอกให้เขาไปหาเจ้าที่ภูเขาเซียนตูโดยตรง”
เฉินผิงอันกุมหมัดขอบคุณ
เฉิงหลงโจวยิ้มพลางโบกมือ แล้วเรือนกายก็เปล่งวูบหายไป
หลังจากแน่ใจว่าเจ้าขุนเขาเฉิงจากไปไกลแล้ว หลูอิงถึงได้กล้าออกมาจากห้อง เพราะกลัวจริงๆ ว่าเจ้าคนที่ไม่ใช่เฝ่ยหรานผู้นี้จะคิดบัญชีตนย้อนหลัง
อีกฝ่ายไม่ใช่เฝ่ยหราย แต่ก็ยิ่งกว่าใช่เฝ่ยหรานเสียอีก
มิน่าเล่าตอนนั้นถึงเอาแต่พร่ำพูดว่า ‘เจ้าหลานเฝ่ยหรานผู้นั้น’
ใต้หล้านี้คนที่กล้าพูดจาเช่นนี้ อีกทั้งยังคู่ควรที่จะพูดแบบนี้ หาไปหามาก็มีแค่ใต้เท้าอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่คนเดียวไม่ใช่หรือ?
มองแผ่นหลังคนชุดเขียวที่นั่งอยู่บนขั้นบันได ทั้งยังเริ่มสูบยาพ่นควันขโมงอีกครั้ง
หลูอิงก็ได้แต่เดินก้าวออกไป เรือนกายพลิ้วลงตรงเชิงบันไดด้านล่างสุด จากนั้นถึงได้นั่งลง
เฉินผิงอันหยิบกระบอกยาสูบออกมาเคาะ เปลี่ยนเส้นยาสูบใหม่ ถามว่า “เคยไปอวี้จือก่างแล้วใช่ไหม?”
ในใจหลูอิงประหลาดใจอย่างมาก แต่ก็ได้แค่พยักหน้ารับเงียบๆ
ใต้หล้ามีสาวงามมากมาย คิดไม่ถึงว่าถึงท้ายที่สุดกลับจะคิดถึงสตรีที่ได้เห็นเพียงชั่วขณะมากกว่าใคร
ไม่ถึงกับว่าชอบมากมายอะไร แรกเริ่มก็เป็นแค่ความหลงใหลในความงามเหมือนบุรุษทั่วไป ทุกวันนี้ก็มีเพียงความกลัดกลุ้มจางๆ ที่ล้อมวนอยู่รอบหัวใจ ทว่าปัดเท่าไรกลับไม่จางหาย ยากจะปล่อยวางลงได้ และก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีเหตุผลให้อธิบายเสียด้วย
เฉินผิงอันถาม “หลูอิง เจ้าคิดอย่างไร”
หลูอิงตอบอย่างไม่ลังเลว่า “หากข้าเป็นผู้ฝึกตนในศาลบรรพจารย์ของอวี้จือก่าง และตอนนั้นก็อยู่ในสถานการณ์ด้วย ในช่วงเวลาที่นางถูกผีล่อลวงจิตใจหมายจะเปิดประตูรับคนตกทุกข์ได้ยาก ข้าจะต้องตบหน้านางแรงๆ ข้าผู้อาวุโสด่าให้นางคืนสติไม่ได้ แต่จะตบให้นางมีสติไม่ได้เลยหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “หากข้าจำไม่ผิด นางเป็นขอบเขตหยกดิบ หลูอันดับหนึ่งเป็นแค่ก่อกำเนิด ใครจะตบใครก็ยังไม่แน่กระมัง?”
หลูอิงพยักหน้า “ก็จริงนะ”
ตอนที่สตรีผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่บนโลก นางดุร้ายอย่างมาก
แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนนักพรตหญิงของภูเขาไท่ผิงคนนั้นแล้วยังดีกว่าหลายส่วน
คนทั้งสองพากันเงียบงันไป
ก่อนที่หลูอิงจะถามหยั่งเชิงว่า “เซียนกระบี่เฉิน ท่านคืออิ่นกวานคนนั้นจริงๆ หรือ?”
เรื่องแบบนี้ต่อให้จะเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอนก็ยังทำให้คนรู้สึกเหลือเชื่อได้อยู่ดี
คนต่างถิ่นคนหนึ่งที่มาจากแจกันสมบัติทวีป หากลองคิดคำนวณดู ตอนที่เพิ่งไปถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ ตอนนั้นคนที่อยู่ข้างกายผู้นี้ยังอายุน้อยอยู่เลย แล้วจะกลายเป็น ‘ขุนนางใหญ่’ ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้อย่างไร
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ไม่อย่างนั้น?”
หลูอิงเริ่มใคร่ครวญหาถ้อยคำเหมาะๆ แล้วพูดเนิบช้าว่า “ใต้เท้าอิ่นกวาน ก่อนที่ข้าจะมาท่าเรือใบท้อ ตอนที่อยู่อารามจินติ่ง ก่อนหน้านี้ไม่นานได้เปิดอ่านรายงานข่าวฉบับหนึ่งที่มาจากธวัลทวีป บอกว่าตำราตราประทับสองเล่มนั้นใต้เท้าอิ่นกวานเป็นคนเขียนขึ้นเอง ดังนั้น…ขอตำราตราประทับให้ข้าสักเล่มได้หรือไม่ แน่นอนว่าหากเป็นตราประทับเลยก็ยิ่งดี ข้าจะต้องเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี เอาไปทำเป็นสมบัติสืบทอดประจำตระกูล แม้ว่าจนถึงทุกวันนี้ข้าจะยังไม่มีคู่บำเพ็ญเพียรบนภูเขาอย่างเป็นทางการ ไร้ลูกหลาน แต่เรื่องแบบนี้หากตั้งใจเข้าหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องยาก...”
ปีนั้นหลูอิงหมายจะไปผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับหวงถิง ผลกลับดีนัก เกือบจะโดนฟันตาย ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าแม่นางน้อยผู้นั้นไร้คุณธรรม ก่อนจะตีกัน รวมไปถึงระหว่างที่ประลองเวทก็ยังไม่ยอมบอกว่าตัวเองมาจากภูเขาไท่ผิง หากรู้ตัวตนของอีกฝ่ายตั้งแต่แรก อย่าว่าแต่หลูอิงจะไปหาเรื่องหวงถิงเลย แค่เจอหน้านางก็เผ่นหนีแล้ว หากเผ่นหนีช้าไปก็แสดงว่าเขาไร้สมองแล้ว ใบถงทวีปในเวลานั้นต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่ามีเรื่องกับใครก็อย่าไปมีเรื่องกับผู้ฝึกตนของภูเขาไท่ผิงเด็ดขาด
แม้จะบอกว่า ‘ทายาทตระกูลเซียน’ ที่คู่รักบนภูเขาให้กำเนิดไม่แน่ว่าจะต้องเป็นโล้เป็นพายเสมอไป แต่ขอแค่เป็นคนที่ไม่ต้องพึ่งพาเงินเทพเซียนก็สามารถฝึกตนได้ด้วยตัวเอง ส่วนใหญ่คุณสมบัติก็มักจะดีกว่าคนทั่วไป
ยกตัวอย่างเช่นลิ่งหูเจียวอวี๋แห่งเสี่ยวหลงชิว และยังมีหม่าหลินซื่อลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสวี่ชิงจู่เจ้าแห่งถ้ำมังกรขาว รวมไปถึงโหยวชีศิษย์หลานของบรรพจารย์ผู้คุมกฎของพวกเขาที่ต่างก็มีคุณสมบัติในการฝึกตนดีเยี่ยม
ผลคือพูดไปพูดมา หลูอิงก็สังเกตเห็นว่าใต้เท้าอิ่นกวานเหล่ตามองตนอยู่
หลูอิงจึงรีบหุบปากทันใด
เข้าใจแล้ว คิดจะประจบเอาใจแต่ดันประจบผิดจุด
ตนก็แค่อยากจะหาคำประจบเหมาะๆ ไม่ใช่หรือ
ด้วยสถานะที่สูงศักดิ์ของใต้เท้าอิ่นกวานผู้นี้จะขาดแคลนคำประจบสอพลอที่ธรรมดาสามัญหรือไร?
ดูท่าตนคงคิดผิดไปแล้ว
ได้รับเสียงในใจจากเสี่ยวโม่ เฉินผิงอันก็ลุกขึ้นยืน ยกกระบอกยาสูบในมื้อชี้ๆ ทิ่มๆ ไปกลางอากาศที่มีควันลอยอวล รวมตัวอักษรออกมาได้สิบสองตัว “มอบให้เจ้าก็แล้วกัน”
ที่แท้เหยาเซียนจือใต้เท้าเจ้าเมืองก็เร่งรุดเดินทางมาที่นี่
ในห้องของเฉินผิงอัน พอพบหน้ากันเหยาเซียนจือก็ยิ้มเอ่ยทันที “ฝ่าบาทตอบตกลงแล้ว การค้าพู่กันจีจวี้ ราชวงศ์ต้าเฉวียนของพวกเราสามารถทำร่วมกับภูเขาเซียนตูได้!”
อันที่จริงตอนแรกไม่ได้พูดเช่นนี้ ยามเช้าตรู่ของวันหนึ่งฮ่องเต้ว่าราชการในท้องพระโรงเสร็จก็แต่งกายเป็นสามัญชนออกจากวังมาที่จวนเหยา นางพูดคุยความในใจกับท่านปู่อยู่พักหนึ่งก็มาหาเหยาเซียนจือที่ตอนนั้นรออยู่หน้าประตู อันที่จริงตอนนั้นพอฮ่องเต้ได้ยินเรื่องนี้ก็ปฏิเสธไปโดยตรง อีกทั้งสีหน้ายังไม่ค่อยน่ามอง เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ก่อนนางจะกลับเข้าวังถึงได้เปลี่ยนใจ บอกว่าเรื่องนี้สามารถทำได้
ตอนนั้นฮ่องเต้นวดคลึงหว่างคิ้วแล้วเอ่ยเสริมมาอีกประโยคว่า ท้องพระคลังของแคว้นขาดเงิน
แต่เรื่องในบ้านพวกนี้ เหยาเซียนจือคงไม่เอามาพูดให้อาจารย์เฉินฟังแล้ว
ถึงอย่างไรฮ่องเต้ก็เป็นสตรี จิตใจสตรีเหมือนเข็มใต้มหาสมุทร เขาที่เป็นบุรุษหยาบกระด้างคนหนึ่งจะเดาออกได้อย่างไร ตนไม่ใช่อาจารย์เฉินเสียหน่อย
ส่วนหลูอิงที่อยู่ในเรือนพักอีกแห่งหนึ่งก็มองตัวอักษรควันที่ค่อยๆ จางหายไป อ่านซ้ำไปซ้ำมาอยู่สองรอบ ผู้ฝึกตนเฒ่ารู้สึกจากใจจริงว่าเป็นถ้อยคำที่มีความหมายลึกล้ำ เขาเงียบงันไปพักใหญ่ก็พลันตบเข่าฉาด ร้องเสียงดังว่าดี
‘มีสมาธิเคารพระมัดระวัง ฝึกตนฝึกถึงบรรลุผล’ (ประโยคนี้ภาษาจีนอ่านว่า จิ้งซือจิ้งซื่อจิ่งซื่อ ซิวเต้าซิวเต้าซิวเต้า เป็นการเล่นคำที่ออกเสียงใกล้กันแต่คนละความหมาย)