กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 898.5 สิบสองตำแหน่งสูง
ชุยตงซานเอ่ยเรียก “อาจารย์”
เฉินผิงอันรู้สึกอัดอั้นเล็กน้อย “หืม?”
ชุยตงซานคลี่ยิ้มเจิดจ้า “แม้ว่าทุกวันนี้อาจารย์จะไม่ได้สะพายกระบี่…”
เฉินผิงอันเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เงียบไปเลย!”
ชุยตงซานกลับยังไม่หยุดพูด “ลมปราณเขมือบกลืนขุนเขาสายน้ำ ปราณกระบี่เปี่ยมชีวิตและจิตวิญญาณ”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน พึมพำว่า “ขนบธรรมเนียมชั่วร้ายเอนเอียงส่วนนี้ของภูเขาลั่วพั่ว เจ้าน่ะเป็นตัวนำเลย”
ชุยตงซานทำหน้าน้อยใจ “อาจารย์ คิดไปคิดมา ในที่สุดข้าก็แน่ใจแล้วว่าใครที่เป็นขุนนางใหญ่ผู้มีคุณูปการเป็นอันดับหนึ่งในด้านขนบธรรมเนียมของภูเขาลั่วพั่วพวกเรา”
เฉินผิงอันใคร่รู้อยู่บ้าง “เป็นใคร?”
ชุยตงซานกดเสียงลงเบาๆ “เป็นเป่าผิงน้อย!”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง นั่งกลับลงไปที่เดิม นวดคลึงปลายคาง เพียงแต่ว่าไม่นานก็ด่าชุยตงซานขำๆ เจ้าอย่ามาฟ้องเรื่องเป่าผิงน้อยกับข้า อยากโดนตีหรือไร
ชุยตงซานตบหน้าผาก ได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน
หากจะบอกว่าศิษย์น้องเล็กกวอจู๋จิ่วอาจจะเป็นตัวยุ่งยากเพียงหนึ่งเดียวของเผยเฉียน แต่เผยเฉียนกลับเป็นตัวยุ่งยากของใครหลายคน
ทว่ากับชุยตงซานแล้ว แน่นอนว่าตัวยุ่งยากของเขาในปีนั้นก็ต้องเป็นแม่นางน้อยที่สวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงแล้ว
เพียงแต่ว่าเรื่องนี้ คนที่รู้ มีไม่มาก
ชุยตงซานเอ่ย “อาจารย์มีธุระก็ไปทำก่อนเถอะขอรับ”
เฉินผิงอันกลับเพียงแค่หมุนตัวไปอีกด้าน ยังคงนั่งอยู่ต่อ มองเม็ดฝนปรอยๆ นอกประตูอยู่อย่างนั้น พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “ไม่มีธุระ”
ภูเขาเซียนตู หอซ่าวฮวาบนยอดเขาเจ๋อเซียนที่เป็นภูเขาแยกออกไป
สุยโย่วเปียนถ่ายทอดเวทกระบี่และวิชาหมัดให้กับเฉิงเฉาลู่ผู้เป็นลูกศิษย์เสร็จแล้ว นางก็ไปชมทัศนียภาพอยู่ที่หาดลั่วเป่าข้างแม่น้ำชิงอีตรงตีนเขา
ระหว่างที่อวี๋เสียหุยหยุดพักจากการฝึกกระบี่ก็มาเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์ที่นี่เช่นกัน ฝนหยุดตกระหว่าง เขาจึงหุบร่มกระดาษน้ำมันแล้วเอามาควงเล่นแทนกระบี่ตลอดทาง
อาจารย์ของตัวอ่อนเซียนกระบี่ทั้งสองล้วนเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิด เพียงแต่ว่าทุกวันนี้คนหนึ่งเป็นขุนนาง คนหนึ่งไม่ใช่
อวี๋เสียหุยวางร่มกระดาษน้ำมันไว้บนรั้วริมหน้าผา เหยียดปลายเท้าเขย่งตัวขยับก้นไปนั่งบนรั้ว มองพ่อครัวน้อยที่ฝึกหมัดเดินนิ่ง มองดูแล้วเข้าท่าเข้าที
รอกระทั่งเฉิงเฉาลู่ฝึกหมัดเสร็จสิ้นก็มาหาอวี๋เสียหุย พ่อครัวน้อยลังเลอยู่พักใหญ่ แต่ก็ยังไม่กล้าจะเปิดปากถาม
อวี๋เสียหุยยกสองแขนกอดอก แกว่งขาสองข้าง เอ่ยว่า “มีลมก็รีบผาย”
เฉิงเฉาลู่เอ่ยเสียงแผ่ว “พักสักเดี๋ยว (เซียหุย ออกเสียงพ้องกับชื่อเสียหุย) แม้ว่าข้าเองก็ไม่ค่อยชอบชุยเหวย แต่ว่า…”
ไม่รอให้เฉิงเฉาลู่พูดจบ อวี๋เสียหุยก็เริ่มไม่สบอารมณ์แล้ว จึงแย่งพูดอย่างขุ่นเคืองว่า “จะดีจะชั่วชุยเหวยก็เป็นผู้คุมกฎของสำนักเบื้องล่าง ไอ้หมอนี่จิตใจคับแคบ เจ้าพูดจาอะไรก็ระวังหน่อย”
ตนไม่ชอบชุยเหวย แต่เจ้ามีสิทธิ์อะไร? สิทธิ์ที่เจ้าพ่อครัวน้อยยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตล่างหรือ?
พักสักเดี๋ยว ฉายานี้ป๋ายเสวียนเป็นคนตั้งให้กับอวี๋เสียหุย และยังมีฉายาพ่อครัวน้อยของเฉิงเฉาลู่ ลูกคิดน้อยของน่าหลันอวี้เตี๋ย เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับฉายา ‘ตาปลาตาย’ ของซุนชุนหวังแล้วยังดีกว่าเล็กน้อย เทียบกับคนที่เหนือกว่าไม่ได้ แต่เทียบกับคนที่ด้อยกว่าได้เหลือเฟือ พวกอวี๋เสียหุยแต่ละคนจึงยอมรับกันไปโดยปริยาย
แน่นอนว่ายังมีฉายาอิ่นกวานน้อยน้อยที่ป๋ายเสวียนตั้งให้กับตัวเอง เพียงแต่ว่าไม่ว่าใครก็ไม่ยอมรับ ดูเหมือนว่าคราวก่อนที่ได้เจอกับเฉินหลี่ ‘อิ่นกวานน้อย’ ผู้นั้น ตอนนั้นป๋ายเสวียนยังสะอึกอึ้งอยู่เลย
เฉิงเฉาลู่นวดคลึงข้างแก้มอวบอ้วนของตัวเองด้วยความเคยชิน ร้องฮ่าหนึ่งที
ในบรรดาเด็กเก้าคนที่เดินทางไกลมาอยู่ต่างบ้านต่างเมือง เจ้าอ้วนน้อยคือคนที่นิสัยดีที่สุด
เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับตอนที่อยู่พื้นที่มงคลถ้ำเมฆาคราวก่อน เฉิงเฉาลู่ถามหมัดกับคนอื่นเป็นครั้งแรกในชีวิต เขาเอาชนะได้อย่างรวดเร็วฉับไว ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรด้วย แม้จะบอกว่าห่านขาวใหญ่แอบเล่นตุกติก แต่กลับทำให้พวกเด็กๆ คนอื่นต้องมองเขาเสียใหม่ แม้ปากพวกเขาจะไม่พูด แต่ในใจล้วนมีตาชั่งกันอยู่ทุกคน ตอนนั้นแม้แต่ชุยตงซานก็ยังประหลาดใจเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเป็นเจ้าตัวน้อยจอมฉุนเฉียวที่ร้ายกาจคนหนึ่ง พอลงมือก็ไม่เลอะเลือนแม้แต่น้อย
เพราะถึงอย่างไรก็เกิดและเติบโตอยู่ในสถานที่อย่างกำแพงเมืองปราณกระบี่ กล้าต่อยตีแล้วยังต่อยตีได้จริงๆ สำคัญยิ่งกว่ามีแซ่ว่าอะไรเสียอีก
พวกเด็กๆ ตระกูลชั้นสูงบนถนนไท่เซี่ยงและถนนอวี้ฮู่ หากไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ก็ยังดี แต่หากเป็นผู้ฝึกกระบี่ แต่กลับออกกระบี่บนสนามรบนุ่มนิ่ม มิอาจสร้างคุณปการด้านการสู้รบที่แท้จริงมาได้ จะต้องถูกคนดูแคลนมากที่สุด
เฉิงเฉาลู่เอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “พักสักเดี๋ยว ไม่ว่าจะอย่างไร เอาเป็นว่าข้ามองออกก็แล้วกันว่าใต้เท้าอิ่นกวานไม่เคยดูแคลนอาจารย์ของเจ้าแม้แต่น้อย ไม่ถูกสิ ต้องบอกว่าเห็นดีในตัวเขาอย่างมาก! ส่วนเหตุผลน่ะหรือ ข้าไม่เข้าใจหรอก แค่รู้ว่ามันมีเรื่องแบบนี้อยู่ก็แล้วกัน”
อวี๋เสียหุยสอดมือสองข้างไว้ในชายแขนเสื้อเอาอย่างใต้เท้าอิ่นกวาน พยักหน้ารับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ในที่สุดพ่อครัวน้อยก็พูดจาภาษาคนบ้างแล้ว
หากว่าดูแคลน ชุยเหวยจะเป็นผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่วได้หรือ? ลำดับรายชื่อยังไม่ต่ำอีกด้วยนะ ทุกวันนี้ยังเป็นถึงผู้คุมกฎของสำนักเบื้องล่าง
หากว่าไม่ใช่เห็นดีในตัวเขาอย่างมาก จะดื่มเหล้าร่วมโต๊ะกับใต้เท้าอิ่นกวานและห่านขาวใหญ่ได้หรือ? เขามองเห็นอย่างชัดเจน จำได้อย่างแม่นยำว่าลำดับการดื่มเหล้าคารวะที่ใต้เท้าอิ่นกวานเป็นฝ่ายดื่มให้ผู้อื่น ชุยเหวยอยู่ในอันดับที่สองเชียวนะ
เฉิงเฉาลู่เอ่ย “ไม่รู้ว่าอวี๋ชิงจางกับเฮ้อชั้นหนังสือ เวลานี้ไปถึงที่ไหนแล้ว”
อวี๋เสียหุยเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าพวกใจจืดใจดำ ข้าไม่สนหรอกว่าพวกเขาจะไปอยู่ที่ไหน”
เฉิงเฉาลู่พูดเสียงเบา “ถือว่าต่างคนต่างก็มีปณิธานเป็นของตัวเองหรือไม่?”
อวี๋เสียหุยหลุดหัวเราะพรืด ไม่ตอบรับแล้วก็ไม่ปฏิเสธ
อวี๋เสียหุยเหล่ตามองไปยังทิศไกล สุยโย่วเปียนที่พบเจอใครก็ไม่เคยยิ้มให้ผู้นั้นเดินห่างไปไกลมากแล้ว เขาถึงได้กดเสียงต่ำถามว่า “พ่อครัวน้อย เจ้าบอกกับข้ามาตามตรง หืม?”
“อะไร?”
“อาจารย์ของเจ้ากับใต้เท้าอิ่นกวานของพวกเรา หืม?!”
เฉิงเฉาลู่ฉงนสนเท่ห์ “หมายความว่าอย่างไร?”
อวี๋เสียหุยยื่นมือออกมาจากชายแขนเสื้อ ตบไหล่ของเจ้าอ้วนน้อย ทำท่าแบบอิ่นกวาน แล้วยังพูดจาด้วยน้ำเสียงเหมือนอิ่นกวาน “เฉาลู่อ่า เจ้าเองก็เป็นคนโง่ที่มีโชคของคนโง่นะ”
ได้ยินมาว่าตอนอยู่บนโต๊ะเหล้าของกำแพงเมืองปราณกระบี่ มีกฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรอยู่ข้อหนึ่ง หากเรียกคนแล้วไม่เพิ่มคำว่า ‘อ่า’ เข้าไปด้วย จะดูไม่สนิทสนมกันอย่างเห็นได้ชัด รู้เลยว่าเป็นคนนอก ไม่ใช่หน้าม้าแน่นอน
เฉิงเฉาลู่หัวเราะหึหึ คนโง่มีโชคของคนโง่ ประโยคนี้เขาชอบฟังมากเลยล่ะ
อวี๋เสียหุยพลันกระโดดลงมาจากรั้ว
เฉิงเฉาลู่หันหน้าไปมอง ที่แท้ใต้เท้าอิ่นกวานก็มาแล้ว
อวี๋เสียหุยเอ่ยเตือน “อะไรที่ไม่ควรพูดก็อย่าพูด!”
เฉิงเฉาลู่พยักหน้ารับอย่างแรง “รู้แล้ว!”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “เรื่องอะไรที่ไม่ควรพูดหรือ?”
อวี๋เสียหุยทอดถอนใจ “พ่อครัวน้อยแอบชอบน่าหลันอวี้เตี๋ยน่ะสิ”
เฉิงเฉาลู่เผยอปากอ้าค้างในทันใด
เฉินผิงอันร้องเอ๊ะหนึ่งที แสร้งทำเป็นตกใจ “ข้ายังนึกว่าเฉิงเฉาลู่ชอบเหยาเสี่ยวเหยียนเสียอีก”
หยิบร่มกระดาษน้ำมันที่หุบรวบไว้ในมือขึ้นมาเคาะบนฝ่ามือ เฉินผิงอันพยักหน้าพลางพูดกับตัวเอง “ใช่แล้วๆ มิน่าเล่าถึงได้จ่ายเงินซื้อหนังสือจากน่าหลันอวี้เตี๋ย ที่แท้ก็จงใจอยากตีสนิทนี่เอง เจ้าตัวน้อยเฉิงเฉาลู่เจ้าใช้ได้เลยนี่นา อายุน้อยๆ ก็เข้าใจเรื่องแบบนี้เสียแล้ว วันหน้าไม่ต้องกลุ้มว่าจะหาภรรยาไม่ได้แล้ว”
เฉิงเฉาลู่หน้าแดงก่ำทันใด ไม่ได้มีเรื่องแบบนี้เสียหน่อย
คนโลภตัวน้อยอย่างน่าหลันอวี้เตี๋ยนั่นมีความเคยชินที่ดีอยู่อย่างหนึ่ง ถ้อยคำล้ำค่าหายากที่ใต้เท้าอิ่นกวานเป็นคนพูด นางจะต้องจดลงไปทุกประโยคทุกคำ เฉิงเฉาลู่กังวลว่าตัวเองจะพลาดสัจธรรมหมัดข้อใดไปจึงมักจะขอยืมอ่าน ‘บันทึกเอกสาร’ จากนางเป็นประจำ อ่านหนึ่งหน้าก็ต้องจ่ายเงิน อันที่จริงหนึ่งหน้าก็มีแค่ไม่กี่ตัวอักษรเท่านั้น มักจะมีแค่ประโยคเดียว น่าหลันอวี้เตี๋ยยังทำสมุดบัญชีเล่มหนึ่งให้กับเฉิงเฉาลู่โดยเฉพาะเพื่อเอาไว้คิดดอกเบี้ย
อวี๋เสียหุยที่อยู่ด้านข้างกุมท้องหัวเราะก๊าก
หลังจากอวี๋เสียหุยหัวเราะไปแล้วก็เอ่ยเสียงเบาว่า “ใต้เท้าอิ่นกวาน ข้าสามารถรับรองกับท่านได้เลยว่าอีกเดี๋ยวข้าก็จะเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตถ้ำสถิตแล้ว ไม่มีทางช้ากว่าซุนชุนหวังหรือป๋ายเสวียนมากนัก”
เฉิงเฉาลู่เห็นว่าพักสักเดี๋ยวพูดจารับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วก็ได้แต่เอ่ยตามไปว่า “ใต้เท้าอิ่นกวาน ข้าจะพยายามไม่ให้อยู่รั้งท้ายมากนัก”
อันที่จริงในใจยังมีคำพูด ถึงอย่างไรในบรรดาคนวัยเดียวกันเก้าคนก็ต้องมีสักคนที่อยู่รั้งท้าย เป็นตนก็ไม่ได้แย่หรอกนะ
แล้วนับประสาอะไรกับที่ใต้เท้าอิ่นกวานบอกไว้แต่แรกแล้วว่าคนโง่ฝึกตนก็มีวิธีโง่ๆ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ความรู้ที่เรียนได้ยากที่สุดในใต้หล้านี้อยู่ที่ความมานะหมั่นเพียร ความรู้ที่ง่ายที่สุดในใต้หล้านี้อยู่ที่ผลลัพธ์”
อวี๋เสียหุยพยักหน้า
จากนั้นเฉินผิงอันก็กะพริบตาปริบๆ หันหน้ามาเอ่ยสัพยอกเจ้าอ้วนน้อย “ประโยคนี้วันหน้าอย่าลืมบอกให้น่าหลันอวี้เตี๋ยฟังด้วยนะ เจ้าจะได้มีโอกาสพูดคุยกับนางอย่างไรล่ะ ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก”
อวี๋เสียหุยเริ่มกุมท้องหัวเราะชอบใจอีกครั้ง
เฉิงเฉาลู่ถอนหายใจ หากว่าน่าหลันอวี้เตี๋ยรู้เข้า ตนคงถูกซ้อมปางตายเลยกระมัง
เฉินผิงอันหยิบหนังสือสี่เล่มออกมาจากชายแขนเสื้อ มอบให้พวกเขาคนละสองเล่ม สองเล่มในนั้นคือ ‘คัมภีร์เวทกระบี่’ เล่มหนึ่งคือ ‘ตำราหมัดเขย่าขุนเขา’ แน่นอนว่าล้วนเป็นฉบับสำเนา ตำราหมัดมอบให้กับเฉิงเฉาลู่ นอกจากนี้ยังมีอีกเล่มหนึ่ง แต่เขากลับมอบให้อวี๋เสียหุย เฉินผิงอันไม่ได้ใช้เสียงในใจ เปิดปากยิ้มเอ่ยโดยตรงว่า “อวี๋เสียหุย เล่มนี้จำไว้ว่าต้องเก็บรักษาไว้ให้ดี ห้ามให้คนนอกอ่านง่ายๆ เด็ดขาด เนื้อหาในตำราไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องมีประโยชน์ เจ้าก็ถือเสียว่าได้อ่านหนังสือเบ็ดเตล็ดก็แล้วกัน”
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของอวี๋เสียหุยตั้งชื่อว่า ‘โพ่จื่อลิ่ง’ พอดี
เนื่องจากเกี่ยวข้องกับเรือราตรี ตอนที่อยู่ศาลบุ๋น เฉินผิงอันได้ตั้งใจเปิดหาตำราบางอย่างโดยเฉพาะ จึงพอจะมีความเข้าใจอยู่บ้าง จึงเลือกเนื้อหาบางส่วนมาจดรวบรวมเป็นตำรา
หลังจากเด็กสองคนรับหนังสือมาด้วยสองมืออย่างนอบน้อมแล้วก็เอ่ยขอบคุณใต้เท้าอิ่นกวาน
เฉินผิงอันยื่นมือออกมาลูบศีรษะเด็กทั้งสอง
หลังจากที่อวี๋เสียหุยเก็บหนังสือสองเล่มใส่ไว้ในสาบเสื้อตรงหน้าอกแล้วก็พลันเอ่ยเสียงเบาว่า “ใต้เท้าอิ่นกวาน ได้ยินว่าตอนอยู่ในยุทธภพท่านได้รู้จักกับหญิงงามคนรู้ใจมากมาย”
หัวใจของเฉินผิงอันบีบตัวแน่น แต่หน้ากลับไม่เปลี่ยนสี ยิ้มบางๆ ถามว่า “ได้ยินใครพูดมา?”
อวี๋เสียหุยตอบ “ก็ป๋ายเสวียนน่ะสิ ยังจะมีใครได้อีก เขาพูดเสียน่าเชื่อถือ เฉิงเฉาลู่เป็นพยานให้ได้”
เจ้าอ้วนน้อยแกล้งทำเป็นไม่รับรู้
คงเป็นเพราะนอกจากซุนชุนหวังแล้ว ไม่ว่าใครก็ล้วนกลัวป๋ายเสวียน
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่หอบูชากระบี่ซึ่งเป็นภูเขาใต้อาณัติของภูเขาลั่วพั่ว นายท่านใหญ่ป๋ายเสวียนไม่เคยสนใจเรื่องการฝึกกระบี่เลยจริงๆ แต่ยามฝึกหมัดกลับจริงจังว่าเฉิงเฉาลู่เสียอีก มักมีจะมีวลีติดปากบอกว่า ‘ข้านายท่านใหญ่ป๋ายเสวียนยังต้องฝึกกระบี่ด้วยหรือ ติดตามใต้เท้าอิ่นกวานมาเป็นเทพเซียนที่นี่น่ะหรือ? แน่นอนว่ายังไม่พอ ข้ามาเพื่อเรียนหมัด หลีกเลี่ยงไม่ให้วันหน้าออกท่องยุทธภพแล้วมีคนบอกว่าข้าที่เป็นเซียนฝึกกระบี่รังแกพวกเขาที่ใช้การรำทวนรำกระบองมาขัดเกลาเรือนกาย’
ทว่าแม้ป๋ายเสวียนจะเกียจคร้านในการฝึกตนอย่างถึงที่สุด แต่กลับหลอมกระบี่ได้เร็วยิ่ง ดังนั้นทุกวันจึงชอบเอาสองมือไพล่หลังแวะเวียนไปหาคนอื่นตามเรือนต่างๆ เพื่อ ‘เป็นอาจารย์’ คอยชี้แนะด้านการฝึกตนให้แก่ผู้อื่น ปัญหาคือสองสามประโยคที่ป๋ายเสวียนเอ่ย ส่วนใหญ่มักจะมีประโยคหนึ่งที่ตรงจุดเสมอ แล้วก็มีประโยชน์จริงๆ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตกลง เดี๋ยววันหน้าข้าจะต้องคุยกับป๋ายเสวียนให้ดีๆ”
สุดท้ายหนึ่งคนโตสองเด็กเล็ก ผู้ฝึกกระบี่สามคนก็นั่งอยู่ข้างรั้วทอดมองทัศนียภาพที่อยู่ห่างไกลด้วยกัน
ฟ้าหลังฝนเป็นสีครามสดใส อากาศปลอดโปร่ง
ขุนเขาสายน้ำที่อยู่บนพื้นดินราวกับเป็นวัตถุที่ไร้เจ้าของ แผ่นดินหลังฝนตกก็คล้ายหล่อหลอมขึ้นจากเหล็กจากทอง
ด้านบนเรือข้ามฟากเฟิงยวน นอกจากเจี่ยเฉิงผู้ดูแลรองที่ฮึกเหิมเปี่ยมไปด้วยปณิธานห้าวหาญ จางเจียเจินที่ทุกวันเอาแต่ก้มหน้าก้มตาคำนวณบัญชีอยู่ในห้องแล้ว ก็ยังมีฉางมิ่งผู้คุมกฎที่อยู่ว่างไม่มีอะไรทำ ถึงอย่างไรลูกศิษย์ผู้สืบทอดของนางอย่างลูกคิดน้อยน่าหลันอวี้เตี๋ยก็สามารถให้ความช่วยเหลือห้องบัญชีได้ คอยเป็นผู้ช่วยให้กับจางเจียเจิน คอยจดบัญชีคำนวณบัญชี เป็นระเบียบเป็นขั้นตอน
แน่นอนว่าคนที่เกียจคร้านว่างงานที่สุดก็ย่อมต้องเป็นเซียนกระบี่ใหญ่หมี่ผู้ที่ช่วยคุ้มกันปกป้องเรือเฟิงยวนในนามแล้ว
ไปๆ มาๆ หมี่อวี้กลับสนิทสนมกับแม่นางน้อยไฉอู๋อย่างมาก ดูเหมือนว่านางจะชอบชีวิตบนเรือข้ามฟากที่อยู่ท่ามกลางเมฆหมอก ไม่ได้ไปพักอยู่ที่ภูเขาเซียนตู กลับมาอยู่บนเรือข้ามฟากตลอด นอกจากฝึกตนแล้วก็มักจะฟุบตัวอยู่บนหน้าต่างชมวิวทิวทัศน์ หรือไม่ก็เดินวนจากหัวเรือไปยังท้ายเรือหลายๆ รอบ
แม่นางน้อยมักจะดื่มเหล้าเพียงลำพัง มีมาดของยอดฝีมืออยู่มาก
เหมือนกับการฝึกตนของนาง ไม่มีคนสอน เป็นเองตั้งแต่เกิด
สูดเหล้าดังซ้วบหนึ่งที พยักหน้า คีบเมล็ดถั่วลิสงโรยเกลือมาหนึ่งเมล็ด ด้านข้างมียำแตงกวาทุบกับเนื้อหมักเต้าเจี้ยวหนึ่งจาน
อาจารย์กล่าวได้ถูกต้อง เป็นเทพเซียนน่ะดี จ่ายเงินกินเนื้อ ไม่ต้องจ่ายเงิน
ดังนั้นต้องตั้งใจฝึกตน จะไม่ยอมให้ใต้เท้าเจ้าขุนเขาไล่ลงจากเรือเด็ดขาด พยายามที่จะให้ได้เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่ง
ไฉอู๋กลัดกลุ้มเล็กน้อย ใต้เท้าเจ้าขุนเขาที่อาจารย์บอกว่าดื่มเหล้าได้เก่งพอๆ กับเขา ดูเหมือนจะรู้สึกว่านางค่อนข้างโง่ ไม่ค่อยเหมาะจะฝึกตน คาดว่านายท่านเจ้าขุนเขาท่านนี้ก็คงมีงานให้ทำเยอะจริงๆ สรุปก็คือไม่ยินดีจะสอนวิชาความรู้ให้นางด้วยตัวเอง ภายหลังถึงให้อาจารย์เสี่ยวโม่เป็นคนออกหน้า
เฉินผิงอันบอกกับหมี่อวี้ว่าช่วงนี้ให้ช่วยปกป้องมรรคาให้กับแม่นางน้อยสักหน่อย เพราะถึงอย่างไรในบรรดาผู้ฝึกลมปราณ ผู้ฝึกกระบี่กับผู้ฝึกตนสายยันต์ล้วนขึ้นชื่อว่ามีธรณีประตูสูง พิถีพิถันในเรื่องที่สวรรค์ไม่ประทานข้าวให้กินมากที่สุด
เรือข้ามฟากเดินทางลงใต้ไปตลอดทาง ไปเยือนท่าเรือชวีซานที่อยู่ทางใต้สุดมารอบหนึ่ง
บนยอดเขาแห่งหนึ่งของท่าเรือชวีซานมีเค่อชิงสกุลหลิวธวัลทวีปมาปักหลักอยู่ที่นั่น ในนามคือคอยช่วยรับรองเรือข้ามทวีปบางส่วน แต่แท้จริงแล้วกลับไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องทำ