กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 899.1 อนาคต
“ก่อนจะได้เจอกับอิ่นกวาน ข้ายังสงสัยใคร่รู้ว่าต้องเป็นบุรุษที่โดดเด่นถึงเพียงใด ถึงจะคู่ควรกับเซียนกระบี่หนิงบุคคลอันดับหนึ่งของใต้หล้าแห่งหนึ่ง ต่อให้จะอยู่ต่อหน้าพี่จง ข้าก็ยังบอกเล่าความสงสัยนี้ของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา แล้วยังไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งด้วย จนกระทั่งวันนี้ได้เจอกันถึงได้รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าคู่สร้างคู่สม เฒ่าจันทราผูกด้ายแดง คู่รักเทพเซียน!”
“ได้เจอกับเซียนกระบี่หนิงถึงเพิ่งรู้ว่าสตรีใต้หล้านี้ล้วนธรรมดาสามัญ รอกระทั่งได้พบอิ่นกวานกับตัวเองก็ถึงเพิ่งรู้ว่าอะไรที่เรียกว่าอายุน้อยมากความสามารถ เป็นข้าที่ใช้เวลามาอย่างเสียเปล่า อายุตั้งปูนนี้แล้ว ล้วนใช้ชีวิตหมดไปกับร่างสุนัขจริงๆ”
“ใช่แล้ว เจ้าขุนเขาเฉิน ข้าลืมแนะนำตัวเองไป ข้าชื่อซูกู กูจากคำว่าโดดเดี่ยวเดียวดาย ฉายาคือกูซู แต่กูนี้กลับเป็นกูจากประโยคสามนางหกแม่ (ภาษาจีนอ่านว่าซานกูลิ่วผอ เปรียบเปรยถึงอาชีพของสตรีในวงการยุทธภพ ซานกูหรือสามนางคือสตรีสามจำพวกได้แก่ หนีกูที่แปลว่าแม่ชี เต้ากูที่หมายถึงนักพรตหญิงและกว้ากูที่หมายถึงหมอดู ส่วนลิ่วผอคือหกแม่หรือหกอาชีพที่ปรากฎในยุทธภพได้แก่ หยาผอหญิงค้ามนุษย์ เหมยผอแม่สื่อ ซือผอหญิงบริการแต่งหน้าแต่งผม เฉียนผอแม่เล้าซ่องนางโลม เหย้าผอมีอาชีพปรุงยา และเหวิ่นผอหมอตำแย) กับพี่น้องจงก็ถือว่ามีนิสัยสอดคล้องต้องกัน แค่เจอหน้าก็ถูกชะตากันทันที บอกตามตรง การที่ข้าสามารถเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับจงขุย ออกเดินทางท่องเที่ยวไปในแจกันสมบัติทวีปด้วยกัน พูดคุยกันได้หลายต่อหลายเรื่องก็ยังต้องยกคุณความชอบให้กับการสานสะพานความสัมพันธ์ของเซียนกระบี่หนิง”
จงขุยมองเจ้าอ้วนที่มีสีหน้าจริงจัง พูดจากระตือรือร้นแล้วก็ให้เวทนายิ่งนัก
ไม่ถือว่าเป็นคำพูดโหกทั้งหมด กูซูสงสัยในตัวเฉินผิงอันอยู่หลายครั้งจริงๆ ยกตัวอย่างเช่นบอกว่าเฉินผิงอันต้องเป็นบุรุษกีบเท้าหมูหลายใจ อีกทั้งกระเพาะยังไม่ค่อยดี มิอาจกินอาหารหยาบได้ อ่านตำราอริยะปราชญ์มาแค่ไม่กี่เล่ม อะไรที่ดีดันไม่เรียนรู้ เรียนรู้แต่เรื่องไม่ดี ไม่สมกับวิญญูชนผู้เที่ยงตรงเลยแม้แต่น้อย เชี่ยวชาญการพูดจาหวานหู คิดดูแล้วคงเป็นเพราะคุณสมบัติของหนิงเหยาดีเกินไป จึงไม่รู้ถึงความอันตรายในยุทธภพที่ฝุ่นแดงคละคลุ้งอย่างแน่นอน อีกทั้งนางยังเกิดและเติบโตมาในกำแพงเมืองปราณกระบี่ เกินครึ่งคงเป็นแม่นางน้อยที่ไม่ทันเรื่องทางโลก ถูกบัณฑิตจากต่างถิ่นคนหนึ่งขุดมุมกำแพงของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ถูกเฉินผิงอันใช้ถ้อยคำไพเราะหวานหูล่อลวงจิตใจ เรื่องทำนองนี้ในนิยายรักประโลมโลก นิยายเที่ยวแดนเซียนมีอยู่น้อยนักหรือ?
แต่เวลานี้การที่เจ้าอ้วนทำตัวดี กระตือรือร้นพูดประจบเอาใจเช่นนี้ แน่นอนว่าเป็นเพราะยังคงกริ่งเกรงหนิงเหยาที่ตอนนี้ยังไม่เห็นเงาร่างชั่วคราว
ผีในใต้หล้า นอกจากเวทอสนีแล้วก็เกรงกลัวเทียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์ที่เป็นผู้สูงศักดิ์หวงจื่อ ยิ่งกลัวผู้ฝึกตนใหญ่บางส่วนที่มีโชคชะตาอยู่ติดร่างมากที่สุด เนื่องจากจะถูกสยบกำราบตามธรรมชาติ
ชุยตงซานสะบัดชายแขนเสื้อ นี่สมกับเป็นภูเขาลั่วพั่วมากๆ แล้ว
ขนบธรรมเนียมประจำบ้านตนช่างสร้างเรื่องประหลาดได้ไม่หยุดหย่อนเลยจริงๆ
ลองนับนิ้วคำนวณก็ดูเหมือนว่าจะมีเพียงขอบเขตสิบสี่อย่างเจ้าอารามผู้เฒ่าและเจิ้งจวีจงเท่านั้นที่ถึงจะหลบเลี่ยงได้?
ผีที่มีชาติกำเนิดจากฮ่องเต้ในโลกมนุษย์ผู้นี้เคยเป็นหนึ่งในวิธีรับมือเบื้องหลังที่โจวมี่ทิ้งไว้ในใต้หล้าไพศาล วางหมากจัดเตรียมสถานการณ์มาไว้นานมากแล้ว เพียงแต่ว่ารอกระทั่งโจวมี่เดินขึ้นฟ้าจากไปก็เหมือนกับได้ดึงเอาโชคชะตาบางอย่างไปด้วย เพียงไม่นานจึงถูกหนิงเหยาที่พกกระบี่บินทะยานมายังใต้หล้าไพศาลค้นพบร่องรอย จากนั้นก็ถูกศาลบุ๋นดักจับไว้บนมหาสมุทร
ทว่าอูฐที่ผอมตายก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า ในเมื่อเป็นขอบเขตเซียนเหรินที่ขอบเขตถดถอยลงมาจากบินทะยาน ดังนั้นจึงไม่สามารถมองเป็นเซียนเหรินธรรมดาได้ ก็เหมือนอย่างเจียงซ่างเจิน เซียนเหรินทั้งหลายในใต้หล้าไพศาลทุกวันนี้คนที่กล้าพูดว่าเป็นคู่ต่อสู้ของเขา ยกตัวอย่างเช่นสวีเซี่ยเซียนกระบี่ใหญ่ที่วางตัวสูงส่งมีคุณธรรม อยู่ร่วมกับหวังจี้แห่งสำนักกุยหยกที่ท่าเรือชวีซานนานวันเข้า ยามที่พูดถึงอดีตเจ้าสำนักอย่างเจียงซ่างเจิน สวีเซี่ยก็ยังพูดได้แค่ว่าตัวเองกล้าถามกระบี่กับอีกฝ่าย แต่ไม่มีทางคิดว่าตัวเองจะเอาชนะเจียงซ่างเจินได้แน่นอน
ภายใต้สถานการณ์ทั่วไป ผีตนนี้ที่อยู่ในใบถงทวีปที่ซึ่งพลังการต่อสู้สูงสุดเสียหายอย่างหนัก ก็ถือว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่หาได้ยากอย่างแท้จริงคนหนึ่งแล้ว
สุสานกลางมหาสมุทรแห่งนั้น หลุมศพที่ลอยอยู่กลางอากาศ ถือเป็นจำพวกที่ฟ้าไม่รับดินไม่สน ถึงได้หลบซ่อนอยู่ได้นานหลายปี หากจะบอกว่าเรือราตรีร่องรอยไม่เป็นที่แน่ชัด เหมือนยุงตัวหนึ่งที่บินอยู่ในบ้านหลังใหญ่โต บางครั้งที่บินฉวัดเฉวียนอาจส่งเสียงบ้างเล็กน้อย ทว่าสถานที่ฝึกตนแห่งนั้นของเจ้าอ้วนก็คือจิ้งจกที่เกาะนิ่งอยู่บนมุมกำแพงไม่ขยับ เป็นเหตุให้ศาลบุ๋นตามหาร่องรอยได้ยากยิ่งกว่าเดิม
คงเป็นเพราะไม่ยื่นมือไปตบหน้าคนที่ยิ้มให้กระมัง
เห็นว่าอิ่นกวานหนุ่มยังคงมีรอยยิ้มประดับใบหน้า เจ้าอ้วนก็เหมือนได้กินยาสงบใจ ตนก็แค่ใช้ลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ ซึ่งเป็นวิชาที่ใครๆ ก็ใช้กันกลับสามารถผ่านด่านมาได้อย่างง่ายดายแล้ว
ถึงอย่างไรก็ยังอายุน้อย ถึงได้ชอบเรื่องไร้แก่นสารพวกนี้ รักหน้าตา มิอาจต้านรับคำชมได้
เจ้าอ้วนถามหยั่งเชิง “เจ้าขุนเขาเฉิน เซียนกระบี่หนิงล่ะ? ตามเหตุตามผลแล้ว ข้าควรจะขอบคุณนางต่อหน้าสักคำ”
สุดท้ายก็อดไม่ไหว แต่ก็ไม่ได้เอาอย่างจงขุยเรียกหนิงเหยาว่าน้องสะใภ้โดยตรง
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “นางกลับไปที่ใต้หล้าห้าสีแล้ว”
ใบหน้าของเจ้าอ้วนเต็มไปด้วยความเสียดาย ถูมือเบาๆ พลังอำนาจมีการเปลี่ยนแปลงอยู่หลายส่วน แม้ว่าจะก้มหน้า แต่เอวกลับยืดตรงมากกว่าเดิม
ถ้าอย่างนั้นข้างกายเจ้าเฉินผิงอันในเวลานี้ก็ไม่มีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานแล้วสินะ?
อย่าเห็นว่าเจ้าอ้วนกลิ้งกลอก พูดจาชวนสะอิดสะเอียน เหมือนพวกลูกกะจ๊อกในตลาดที่ไม่เป็นโล้เป็นพาย ทว่าเรื่องบางอย่างเขากลับมองเห็นได้ชัดเจนยิ่งกว่าใคร
หากเฉินผิงอันโผล่มาบนโลกอย่างฉับพลันเหมือนกับ ‘เซียนกระบี่สวีจวิน’ ที่เกราะทองทวีป ให้ตายอย่างไรเจ้าอ้วนก็ไม่มีทางติดตามจงขุยมาที่ภูเขาเซียนตูแน่นอน คงได้แต่กล้ารอคอยอยู่ไกลๆ เท่านั้น รอให้จงขุยเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองของสำนักเบื้องล่างเสร็จเสียก่อนแล้วค่อยออกเดินทางกับเขาต่ออีกครั้ง
แต่ในเมื่อหลายปีก่อนเฉินผิงอันยังเป็นขอบเขตหยกดิบ ถ้าอย่างนั้นไม่ว่าเฉินผิงอันที่อยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างจะสร้างวีรกรรมที่สะเทือนขวัญผู้คนรอบข้างอย่างไร เจ้าอ้วนก็สามารถมั่นใจในเรื่องหนึ่งได้ เฉินผิงอันไม่มีทางเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่แน่นอน ส่วนเรื่องที่ว่าเขาสามารถฟันนครที่สูงที่สุดในโลกมนุษย์ให้ขาดออกจากกัน ช่วงชิงลำคลองเย่ลั่วกับเฟยเฟย ถึงขั้นใช้กระบี่ฟันเปิดภูเขาทัวเยว่สังหารปีศาจใหญ่ที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดคนหนึ่งได้อย่างไร…
ไม่เป็นไร เจ้าอ้วนยังคงยืนกรานเชื่อมั่นในความจริงข้อหนึ่ง เฉินผิงอันที่เดินทางลัดก็เหมือนโจรบนมหามรรคาที่ ‘ละโมบอยากเอาคุณูปการของสวรรค์มาเป็นของตน’ รอกระทั่งอิ่นกวานหนุ่มหวนกลับมายังไพศาลก็อย่าว่าแต่ขอบเขตสิบสี่อะไรเลย คาดว่าการที่สามารถรักษาขอบเขตโอสถทองไว้ได้ก็ถือว่ามีโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้าแล้ว
ความคิดนี้ของเจ้าอ้วนเป็นผลลัพธ์ที่อนุมานออกมาโดยอาศัยแค่คำพูดบางประโยคที่พูดคุยกับจงขุยเท่านั้น ตามความเห็นของจงขุย อันที่จริงก็ไม่ได้มีปัญหาใดๆ ถึงขั้นที่ว่าก็คือความจริงข้อนั้น
เจ้าอ้วนพลันสังเกตเห็นว่าคนหนุ่มที่สวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียวเริ่มคลี่ยิ้มบางๆ อีกครั้ง เป็นรอยยิ้มกึ่งๆ ติดจะบึ้งตึง
ข้าฝึกตนมานานสามพันปี น่าเสียดายที่ไร้ศัตรูเทียมทาน
หากไม่เป็นเพราะตั้นตั้นฮูหยินผู้นั้นหน้าตาอัปลักษณ์เกินไป ปิดไฟแล้วก็ยังกระเดือกไม่ลง ไม่อย่างนั้นหลุมน้ำลู่คงเปลี่ยนเจ้าของไปนานแล้ว
เฉินผิงอันหันหน้ามายิ้มเอ่ย “เสี่ยวโม่ รับรองแขกผู้สูงศักดิ์ให้ดี”
เสี่ยวโม่พยักหน้า “คุณชายโปรดวางใจ”
มีแขกแค่สองประเภทเท่านั้นที่จะเป็นแขกผู้สูงศักดิ์
ประเภทหนึ่งคือคนที่คุณชายของตนต้อนรับด้วยตัวเอง อีกประเภทหนึ่งคือสามารถแทะเมล็ดแตงได้
จงขุยมองเจ้าอ้วนแวบหนึ่ง รักษาตัวให้ดีเถิด
เมื่อครู่นี้ระหว่างที่เดินทางมา กูซูพูดจาหนักแน่นน่าเชื่อถือบอกว่าจะลองหยั่งเชิงดูว่าภูเขาเซียนตูที่มีเมฆหมอกลอยอบอวลแห่งนี้น้ำลึกหรือน้ำตื้น ผู้ฝึกตนของอีกฝ่าย ขอแค่กล้าท้าทายตัวต่อตัวก็ไม่ต้องสนใจแล้ว ในฐานะที่ข้าเป็นผู้อาวุโสบนภูเขาจะต้องสอนให้พวกเขารู้ถึงหลักการที่ว่าภูเขาลูกหนึ่งต้องมีภูเขาอีกลูกที่สูงกว่าเสมอ หลีกเลี่ยงไม่ให้คนหนุ่มก่อตั้งสำนักเบื้องล่างแล้วก็จะเชิดหน้า ตามองสูงเลยหัวคน ดูแคลนวีรบุรุษในใต้หล้า ย่อมต้องมีความลำบากใหญ่ให้กล้ำกลืน
แต่หากอีกฝ่ายไร้คุณธรรมในยุทธภพ รุมซ้อม ชอบที่จะกรูกันเข้ามา ถ้าอย่างนั้นเจ้าจงขุยก็ต้องช่วยห้าม หลีกเลี่ยงไม่ให้ข้าต่อยตีจนฮึกเหิม กะหน้ำหนักหนักเบาได้ไม่ดี ทำให้พวกลูกกระจ๊อกข้างกายเฉินผิงอันต้องเลือดท่วม ถึงเวลานั้นต้องเข้าร่วมงานพิธีพร้อมอาการบาดเจ็บก็คงไม่น่าดูแล้ว
เฉินผิงอันเดินเล่นไปพร้อมกับจงขุยเพียงลำพัง
ทุกเรื่องล้วนยากที่การเริ่มต้น การก่อสร้างสำนักใหม่เอี่ยมแห่งหนึ่งขึ้นมา ในช่วงเริ่มต้นส่วนใหญ่มักจะเกี่ยวพันไปถึงค่ายกลลับมากมาย ไม่สะดวกจะจ้างช่างหรืออาจารย์ค่ายกลบนภูเขาให้มาทำ ได้แต่ให้พวก ‘รัฐบุรุษผู้อาวุโส’ ออกแรงด้วยตัวเอง เวลานี้มัลละยันต์และหุ่นเชิดกลไกที่ทำงานยุ่งอยู่ในสองสถานที่อย่างที่ท่าเรือและบนภูเขา มีจำนวนมากถึงสองร้อยตน ระดับขั้นต่างก็ไม่สูง ต่ำกว่าพวกอวี่กง เทียวซานกงและโมอวี๋เอ๋อร์บนเรือข้ามฟากมากนัก แต่ว่ารับหน้าที่ออกแรงทำงานหนักกลับมากพอเหลือแหล่ ส่วน ‘ขุนนางผู้ตรวจการ’ ที่รับผิดชอบคอยบัญชาหุ่นเชิด ควบคุมมัลละก็คือผู้ฝึกตนสามคนจากหอซูอี๋แห่งอวี้จือก่างที่ลี้ภัยมาอยู่ด้วย อายุต่างก็ไม่มาก ร้อยปีกว่าๆ ขอบเขตก็เพิ่งจะเป็นสองชมมหาสมุทรกับหนึ่งถ้ำสถิตเท่านั้น ตอนนี้คนทั้งสามเป็นเค่อชิงที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อชั่วคราวของภูเขาเซียนตู
จงขุยเพิ่งจะยื่นมือออกไป เฉินผิงอันก็ส่งเหล้าให้หนึ่งกา
จงขุยแกะผนึกกระดาษแดงออก ก้มหน้าสูดดม เอ่ยคำหนึ่งว่าสุราดีแล้วยิ้มกล่าวว่า “ขอบเขตถดถอยอยู่ที่ภูเขาทัวเยว่หรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ถือว่ามียืมมีคืนมากกว่า โชคดีที่ขอบเขตวิถีวรยุทธถดถอยไปไม่มาก แค่ร่วงจากขอบเขตคืนความจริงมาสู่ขอบเขตปราณโชติช่วง ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าออกไปข้างนอกแล้ว”
จงขุยหันหน้าผงกศีรษะไปทางเสี่ยวโม่ “ข้างกายมีผู้ปกป้องมรรคาเช่นนี้ติดตามอยู่ ยังต้องกลัวอะไร หากเปลี่ยนมาเป็นข้า ออกมาข้างนอกคงเดินกร่างได้แล้ว เหมือนกับพวกผู้คุ้มกันที่ต้องชูธงร้องตะโกนไปตลอดทาง”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างสงสัย “เจ้ามองออกหรือว่าเสี่ยวโม่มีตบะขอบเขตเท่าไร?”
“อาจารย์เสี่ยวโม่กดขอบเขตไว้ได้ดีเยี่ยมนัก”
จงขุยส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ข้ามองถึงความพัวพันของผลกรรมในประวัติศาสตร์ที่ยาวไกลบางอย่างออก แล้วก็เอามาปะติดปะต่อเป็นความจริง ยกตัวอย่างเช่นอายุขัยยาวนาน มาจากใต้หล้าเปลี่ยวร้าง แล้วยังเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง เนื่องจากวิญญาณที่ตายภายใต้คมกระบี่ของอาจารย์เสี่ยวโม่มีเซียนดินอยู่ไม่น้อย จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่หลุดพ้น แน่นอนว่าต้องเป็นผู้อาวุโสขอบเขตบินทะยานที่มีประวัติโชกโชนท่านหนึ่ง”
มนุษย์ธรรมดากับผู้ฝึกตนบนภูเขา สายตาที่มองโลกใบนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ถ้าอย่างนั้นนักมองลมปราณกับผู้ฝึกตนทั่วไปก็ย่อมมีความแตกต่างราวก้อนเมฆกับก้อนดิน
คนทั้งสองนั่งลงบนไม้ตระกูลเซียนขนาดหนาเท่าปากบ่อน้ำด้วยกัน เฉินผิงอันหยิบกล่องไม้ใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ยื่นส่งให้จงขุย “อยากมอบให้เจ้านานแล้ว อยู่ในมือข้ามานานหลายปี แต่พวกเราสองคนไม่เคยมีโอกาสได้เจอกันสักที”
คือสมบัติที่ดีที่สุดในร้านชิ้นหนึ่งที่เฉินผิงอันซื้อมาจากหอชิงฝูท่าเรือของภูเขาตี้หลงในอดีต คือเงินเทียนซือพิฆาตผีสี่เหรียญครบชุด
จงขุยรับมาแล้วก็เปิดกล่องไม้ออกโดยตรง “โอ้โห ของดี จ่ายเงินไปไม่น้อยเลยกระมัง?”
เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้เล่นแง่ บอกราคาไปตามตรง “ไม่ถือว่าน้อย ห้าเหรียญเงินฝนธัญพืช”
จงขุยทอดถอนใจ “สามารถซื้อเหล้าบ๊วยเขียวในปีนั้นได้ตั้งกี่กา ซื้อแพะย่างทั้งตัวได้ตั้งกี่ตัว แม้แต่คนที่เป็นนักบัญชีมาจนชินอย่างข้าก็ยังคิดไม่ออกเลยนะ”
อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็เอ่ยขึ้นว่า “เป็นนักบัญชี ข้าก็เรียนรู้มาจากเจ้า”
จงขุยหัวเราะร่วน “รสชาติไม่น่าชิมเท่าไรกระมัง”
ทะเลสาบซูเจี่ยน จงขุยเคยไปเยือนมาก่อน เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันในเวลานั้นเหนื่อยล้าถึงขีดสุด จึงทอดตัวนอนบนพื้นส่งเสียงกรนดังสนั่น จงขุยจึงไม่ได้รบกวนเขา
เฉินผิงอันยิ้มรับ
จงขุยจิบเหล้าหนึ่งคำ พูดถึงแค่สำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อสามแห่งในใบถงทวีป อันที่จริงจงขุยก็มีเพื่อนอยู่ไม่น้อย
ผู้อาวุโส เพื่อนร่วมสำนัก สหายรัก คนรู้จักในอดีตคล้ายต้นไม้ในลานกว้าง เจอกับลมฤดูใบไม้ร่วงหนึ่งวันก็ร่วงโรยหนึ่งวัน
เฉินผิงอันเอ่ย “ได้ยินมาว่าจิ่วเหนียงไปอยู่จวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์แล้ว ครั้งนี้กลับบ้านเกิด ได้เจอกันหรือไม่?”
จงขุยเหลือกตามองบน “มีเรื่องให้พูดตั้งมากไม่พูด ดันมาพูดเรื่องนี้”
เงียบกันไปพักหนึ่ง จงขุยก็อดไม่ไหวถอนหายใจ ใช้ฝ่ามือดันปลายคาง “ไปแล้วยังจะพูดอะไรได้อีก ยังไม่ได้คิดไว้เลย แล้วนับประสาอะไรกับที่อาจต้องกินน้ำแกงประตูปิด วันหน้าค่อยว่ากันเถอะ”
อันที่จริงปมในใจที่ใหญ่ที่สุดยังคงเป็นเพราะจงขุยคิดว่าจิ่วเหนียงจิ้งจอกฟ้าที่ฝึกบำเพ็ญตนอยู่ที่ภูเขามังกรพยัคฆ์ในทุกวันนี้ แท้จริงแล้วไม่ใช่เถ้าแก่เนี้ยะที่เปิดโรงเตี๊ยมในปีนั้นอีกแล้ว