กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 900.1 เพื่อนบ้าน
คนทั้งกลุ่มลงเรือที่ท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่งซึ่งมีชื่อว่าท่าเรือเฮยเซี่ยน (เส้นดำ) สิ่งปลูกสร้างบนท่าเรือสร้างติดกันเป็นแถบ แต่ส่วนใหญ่เพิ่งจะสร้างขึ้นใหม่หลังสงครามผ่านพ้นไปแล้ว ประหนึ่งเมืองเล็กแห่งหนึ่ง มีลำคลองสายเล็กทะลุผ่านเมืองเล็ก น้ำในลำคลองสงบนิ่งใสสะอาด คลื่นน้ำไม่แรง สองฝากฝั่งของลำคลองมีร้านรวงตั้งเรียงราย เพียงแต่ว่ากิจการซบเซา การที่ท่าเรือมีชื่อเช่นนี้เนื่องจากในอดีตที่ท่าเรือมีเผ่าน้ำประหลาดอยู่ชนิดหนึ่ง เหมือนปลาแต่ไม่ใช่ปลา คล้ายงูแต่ไม่ใช่งู จับตัวได้ยากยิ่ง อีกทั้งหากพ้นน้ำแล้วจะต้องตาย เรือนกายของพวกมันเรียวยาว ตรงสันหลังเหมือนเส้นด้ายสีดำเส้นหนึ่ง มักจะจับกลุ่มกันแหวกว่ายอยู่ในน้ำ เส้นสีดำแต่ละเส้นคล้ายเทือกเขาที่ทอดยาวออกไปในน้ำ เพียงแต่ว่าเมื่อสงครามใหญ่ผ่านพ้นไป ในลำคลองก็ไม่มีเงาร่างของเผ่าน้ำประเภทนี้อีก เป็นเหตุให้ท่าเรือเฮยเซี่ยนไม่สมชื่ออีกต่อไป
หวงอีอวิ๋นพาเซวียไหวผู้เป็นลูกศิษย์ และยังมีแขกของภูเขาผูซานอีกสองคนมาเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองการเปิดสำนักที่ท่าเรือเซียนตู
หญิงชราและเด็กสาวที่อยู่ข้างกายเย่อวิ๋นก็คือเจ้าของเพิงน้ำชาร้านหมั้นหมายที่สร้างขึ้นริมตลิ่งแม่น้ำชื่อหลิน
หญิงชราใช้นามแฝงว่าฉิวตู๋ ร่างจริงคือฉิวเฒ่าตัวหนึ่ง อายุมากเกือบห้าพันปี เคยเป็นหมัวมัวผู้สอนกฎระเบียบของวังมังกรลำน้ำใหญ่ ถือว่าเป็น ‘ขุนนางใกล้ชิดโอรสสวรรค์’ กุมอำนาจสำคัญอยู่ในมือ ทำนาจที่แท้จริงเท่าเทียมกับบรรพจารย์ผู้คุมกฎครึ่งตัวของตระกูลเซียนบนภูเขา
เด็กสาวมีชื่อว่าหูฉู่หลิง มีทั้งแซ่ของพ่อและแม่ ชื่อเล่นคือชู่ชู่
นางไม่เหมือนกับหญิงชรา ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ตามภูเขาลำเนาไพรอะไร แต่เป็นชาวบ้านที่เกิดและเติบโตมาในท้องถิ่นของแม่น้ำชื่อหลิน บรรพบุรุษล้วนเป็นคนเก็บหินที่ว่ายน้ำเก่ง เด็กสาวคือวัตถุดิบเซียนชิ้นหนึ่ง เนื่องจากโชควาสนานำพา หลังจากถูกหญิงชราตรวจสอบคุณสมบัติ นิสัยใจคอและความประพฤติแล้ว สุดท้ายก็รับนางไว้เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอด ทั้งสองฝ่ายเหมือนญาติใกล้ชิดที่มีชีวิตพึ่งพากันและกัน และยังเป็นความใกล้ชิดของคนที่ต่างรุ่นกันหนึ่งรุ่นด้วย (หมายถึงคนรุ่นย่ากับรุ่นหลาน เป็นความเชื่อว่าถ้าคนแก่เลี้ยงหลานมาจะมีความสนิทสนมกับหลานมากกว่าลูก)
เพื่อความปลอดภัยไว้ก่อน ตอนที่เจินเหรินผู้เฒ่าของภูเขามังกรพยัคฆ์และเซียนกระบี่ชุดเขียวจากไปแล้ว นางก็ไม่ได้ออกจากอาณาเขตของแม่น้ำชื่อหลินทันที กลับกันยังเป็นฝ่ายไปเยือนเรือนอวิ๋นฉ่าวผูซานด้วยตัวเอง ด้านหนึ่งก็เพื่อขอบคุณหวงอีอวิ๋น ถือของขวัญไปเยี่ยมเยือนถึงบ้าน มอบหินงามของแม่น้ำชื่อหลินไปให้รวดเดียวหลายพันจิน นอกจากนี้ก็เพราะใบถงทวีปในทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนในท้องถิ่นหรือผู้ฝึกตนต่างถิ่น มักจะไม่ค่อยเป็นมิตรกับเผ่าปีศาจเท่าใดนัก จะมีผู้ฝึกลมปราณของต่างทวีปจับกลุ่มกันมาค้นภูเขาพลิกสายน้ำ ตามจับและสังหารเผ่าปีศาจเปลี่ยวร้างซึ่งเป็นปลาหลุดรอดจากหว่างแหโดยเฉพาะ อาศัยสิ่งนี้มาหาเงิน ยังได้รับคุณความชอบเพิ่มเติมจากทางสำนักศึกษาอีกด้วย
เรือนอวิ๋นฉ่าวรับของขวัญไปแล้วก็เข้าใจได้ทันที จึงมอบผลหลีตอบแทนผลท้อ เย่อวิ๋นอวิ๋นเขียนจดหมายด้วยตัวเองหนึ่งฉบับ ส่งไปให้กับเจ้าขุนเขาเฉิงแห่งสำนักศึกษาต้าฝู ถือว่าช่วยรับรองให้กับฉิวเฒ่า ถือเป็นความสัมพันธ์ควันธูปที่ไม่เล็กส่วนหนึ่ง เพราะหากฉิวตู๋ที่ออกไปหาประสบการณ์ข้างนอกทำเรื่องใดพลาดไประหว่างนั้น ผูซานและเย่อวิ๋นอวิ๋นต่างต้องรับผิดชอบกับทางสำนักศึกษา
ภายหลังเรือนอวิ๋นฉ่าวก็ได้รับกระบี่บินแจ้งข่าวหนึ่งฉบับ คนที่เขียนจดหมายบอกว่าตัวเองชื่อชุยตงซาน มาจากภูเขาเซียนตู เป็นลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของเฉินผิงอัน อยากจะขอเชิญให้อาจารย์และศิษย์คู่ของหญิงชราและเด็กสาวมาเป็นแขกที่บ้าน ช่วงท้ายของจดหมายนอกจากจะประทับตราของตัวเองแล้วยังลงนามส่วนตัวเป็นสามคำว่า ซานซานจ้วง
เย่อวิ๋นอวิ๋นจึงนำมาบอกต่อแก่หญิงชราที่มาเป็นแขกที่ภูเขาพอดี บอกว่าทางฝั่งของภูเขาเซียนตูกำลังจะก่อสร้างสำนัก เจ้าสำนักคนแรกจึงขอเชิญให้อาจารย์และศิษย์สองคนไปเป็นแขกที่ภูเขาเซียนตู
จุดประสงค์ที่จะเรียกตัวไปช่วยงานนั้นชัดเจนยิ่ง
หลังจากฉิวตู๋รู้เรื่องนี้ก็ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง รู้สึกว่าควรจะต้องพาชู่ชู่ไปเดินดูที่ภูเขาเซียนตูด้วยกันก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ ต้นไม้ย้ายที่ตายคนย้ายที่รอด แล้วนับประสาอะไรกับที่หญิงชราวาดพื้นที่เป็นกรงขังอยู่ที่แม่น้ำชื่อหลิน กักบริเวณตัวเองมานานหลายพันปี ตอนนี้ก็อยากออกมาสูดอากาศข้างนอกบ้างแล้ว หากสามารถคว้าสถานะบนภูเขาที่มีน้ำหนักมากพอมาให้ชู่ชู่ได้ก็เป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง เพียงแต่ว่าการเป็นเซียนซือบนทำเนียบหยกทองของศาลบรพจารย์นั้นมีกฎเข้มงวด ถูกมัดมือมัดเท้า ดังนั้นการเป็นเค่อชิงจึงดีที่สุด เป็นทั้งยันต์คุ้มกันกายชิ้นหนึ่ง ขณะเดียวกันพันธนาการก็น้อยด้วย
เย่อวิ๋นอวิ๋นยังไม่ได้บอกให้ฉิวตู๋รู้ถึงตัวตนอีกหลายอย่างของเฉินผิงอัน
เจ้าสำนักของสำนักหนึ่งแห่งภูเขาลั่วพั่วแจกันสมบัติทวีป ลูกศิษย์คนสุดท้ายของเหวินเซิ่ง อิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ แน่นอนว่าเขายังเป็นคนรักของหนิงเหยาด้วย
ถึงอย่างไรรอให้ไปเยือนภูเขาเซียนตูด้วยกัน ทุกอย่างก็จะเป็นดั่งน้ำลดหินผุดเอง
รอกระทั่งเย่อวิ๋นอวิ๋นมาปรากฏตัวที่ท่าเรือ พวกร้านผ้าห่อบุญรายทางที่เดิมทีรอคอยกิจการมาเยือนอย่างอ่อนระโหยโรยแรงก็พากันตะโกนร้องเร่เสียงดัง
ลูกจ้างร้านก็เดินอ้อมโต๊ะคิดเงินมาที่หน้าประตู เริ่มผิวปาก
เพียงแต่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนจำตัวตนของสตรีได้ก่อน ตะโกนออกมาว่าหวงอีอวิ๋นแห่งผูซาน ทุกคนก็พากันเงียบกริบเหมือนจักจั่นในหน้าหนาว เหมือนฝูงนกที่บินหนีแตกฮือกันไปคนละทาง
หาเรื่องให้ผู้ฝึกยุทธหญิงขอบเขตปลายทางคนหนึ่งเดือดดาล คาดว่านางปล่อยหมัดง่ายๆ ออกมาแค่สองสามทีก็คงไม่มีท่าเรือเฮยเซี่ยนอะไรอีกแล้ว
เย่อวิ๋นอวิ๋นเหลือบมองน้ำในลำคลองที่ไม่มีเส้นสีดำลอยให้เห็น ถามชวนคุยว่า “ฉิวหมัวหมัว เผ่าน้ำพันธ์นั้นแพร่พันธ์กันมานานหลายปี ทุกวันนี้กลับไม่มีให้เห็นแม้แต่ตัวเดียว หรือว่าถูกเผ่าปีศาจของเปลี่ยวร้างจับเอาไปหมดแล้ว?”
หญิงชราเหลือบมองจุดที่ห่างไปไม่ไกล มีเถ้าแก่หนุ่มคนหนึ่งนั่งอาบแดดอยู่หน้าประตูร้านบ้านตัวเอง ทั้งสองฝ่ายสบตากัน หญิงชราไม่ได้ใช้เสียงในใจพูด แต่เปิดปากยิ้มเอ่ยว่า “ล้วนพากันไปหลบหมดแล้ว เผ่าน้ำชนิดนี้มีชื่อจริงว่าปลาแบกภูเขา ถือเป็นหนึ่งในทายาทของเจียวสีหมึก ไม่เคยมีบันทึกไว้ในตำรา ดังนั้นชื่อเสียงในยุคหลังจึงไม่โด่งดัง เนื่องจากถูกวังมังกรลำน้ำใหญ่ในอดีตตัดชื่อออกจากทำเนียบหยกของเผ่าน้ำนานแล้ว เป็นเหตุให้จักรพรรดิในโลกยุคหลังจำต้องแต่งตั้งให้ถูกต้อง ต่อให้เดินลงน้ำได้สำเร็จก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะมิอาจกลายร่างเป็นเจียว มหามรรคาขาดสะบั้นนับแต่นี้ ได้แต่มีชีวิตอยู่รอดไปวันๆ เท่านั้น”
ในอดีตมีปลาแบกภูเขาตนหนึ่งที่กำลังจะทิ้งคราบร่างเซียนกลายเป็นเจียว ความสัมพันธ์ของมันกับวังมังกรทะเลสาบพสุธาแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บนสายน้ำแยกของลำน้ำใหญ่ย่ำแย่อย่างมาก ภายใต้สถานการณ์ที่จนตรอก จึงได้แต่หวังว่าจะโชคดี แอบเลือกวันที่มีฝนตกฟ้าร้องในช่วงเหมยเหลืองเดินลงน้ำโดยพลการ ไม่แจ้งให้ทางวังมังกรลำน้ำใหญ่ทราบ หวังว่าจะสร้างโอสถทองเม็ดหนึ่งได้ ผลคือไม่รู้ว่าข่าวหลุดไปได้อย่างไร จึงถูกคนก่อกวนกลางคัน ไม่ทันระวังกลายเป็นชักนำให้เกิดน้ำท่วม น้ำท่วมทับสองฝากฝั่งเป็นระยะทางพันกว่าลี้ ศพนับไม่ถ้วนลอยอืดขึ้นบนผิวน้ำ มีโทษมหันต์ จึงถูกฟ้องร้อง หลังจากราชามังกรแห่งลำน้ำใหญ่ทราบก็เดือดดาลอย่างหนัก เผ่าน้ำในอาณาเขตการปกครองบ้านตนถึงกับกล้าละเมิดกฎสวรรค์ สร้างภัยพิบัติให้กับพื้นที่แห่งหนึ่ง จึงจะจับมันมาตัดหัว ปลาแบกภูเขาตนนั้นจึงได้แต่ซ่อนตัวหลบหนีมาถึงที่นี่ มาพึ่งพิงผู้ฝึกตนบนภูเขาคนหนึ่งที่บนร่างแบกรับโชคชะตาไว้ ซ่อนตัวจนพ้นหายนะครั้งนั้นมาได้ เพื่อเป็นการตอบแทน มันจะต้องช่วยสำนักแห่งนั้นรวบรวมโชคชะตาน้ำไว้ที่ท่าเรือ รอจนศึกพิฆาตมังกรสิ้นสุด มันจึงกล้าโผล่หน้ามา
คนหนุ่มใช้เสียงในใจถามว่า “หญิงแก่อย่างเจ้าช่างไร้คุณธรรมยิ่งนัก ในเมื่อเป็นเผ่าน้ำของลำน้ำใหญ่เหมือนกัน ก็ถือว่าเป็นสหายคนบนภูเขาครึ่งตัวแล้ว ต่อให้ไม่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกัน ไยต้องสร้างความลำบากใจให้กันด้วย? ทำไม เพราะว่าตอนนี้กอดขาใหญ่ได้แล้วก็เลยคิดว่าจะจับตัวข้าไปรับรางวัลจากหวงอีอวิ๋นและสำนักศึกษาต้าฝูงั้นหรือ? เดินทางมาเยือนท่าเรือเฮยเซี่ยนครั้งนี้ก็เพราะตั้งใจมาหาข้า?”
หญิงชราใช้เสียงในใจยิ้มตอบ “ปลาแบกภูเขาตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง ยังไม่อาจเดินลงน้ำกลายเป็นเจียวหมึกได้สำเร็จ โชคดีได้สร้างโอสถอยู่ที่นี่ ติดค้างอยู่ที่ขอบเขตก่อกำเนิดมานานหลายปีขนาดนี้ หากเจ้ารู้ตัวตนของข้าคงไม่กล้าพูดจาวางโตเช่นนี้แล้ว ยังไม่ต้องเปิดปฏิทินเหลืองเก่าแก่บางอย่าง ในเมื่อเจ้าเองก็พูดแล้วว่าพวกเราทั้งสองต่างก็เป็นชาวบ้านลี้ภัยของลำน้ำใหญ่ ถือว่าเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันครึ่งตัว อีกทั้งเห็นแก่ที่ปีนั้นเจ้าไม่ได้พลัดหลงเดินทางผิดไปสวามิภักดิ์กับเปลี่ยวร้าง ข้าก็จะพูดจาดีๆ แนะนำเจ้าสักคำ รีบรายงานให้ทางสำนักศึกษาต้าฝูทราบซะ ไม่อย่างนั้นรอให้วิญญูชนของสำนักศึกษามาหาด้วยตัวเองก็สายไปแล้ว แน่นอนว่าหากเจ้ายินดีพึ่งพาผูซาน ตอนนี้ข้าก็สามารถช่วยแนะนำเจ้าได้”
ในอดีตการที่ปลาแบกภูเขาตัวนี้สามารถหลบพ้นการซักไซ้เอาโทษจากวังมังกรลำน้ำใหญ่มาได้ อันที่จริงยังต้องยกคุณความชอบให้กับคำขอร้องของเจียวหมึกตัวหนึ่ง จากนั้นหญิงชราถึงไปช่วยขอร้องมังกรหญิงตนนั้นให้อีกที ไม่อย่างนั้นภูเขาลูกเล็กที่มีเซียนดินนั่งบัญชาการณ์แค่คนเดียวจะปกป้องอีกฝ่ายได้อย่างไร?
ชายหนุ่มแค่นหัวเราะเย็นชา “ลูกผู้ชายไม่พึ่งพาใต้กระโปรงสตรี”
เย่อวิ๋นอวิ๋นพอจะมองเบาะแสออกจึงถามว่า “ฉิวหมัวมัว คุยอะไรกับเขาหรือ?”
หญิงชรายิ้มกล่าว “ปลาแบกภูเขาตัวน้อยๆ ใจใหญ่เทียมฟ้า ไม่ยินดีจะพึ่งพาผู้อื่น”
เย่อวิ๋นอวิ๋นยิ้มเอ่ย “กว่าจะได้อิสระกลับคืนมาไม่ใช่เรื่องง่าย จะดีจะชั่วก็เป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนหนึ่ง ขอแค่ชาติกำเนิดใสสะอาด เมื่อทางสำนักศึกษาตรวจสอบแล้วก็สามารถยึดครองภูเขาสายน้ำก่อตั้งพรรคของตัวเองขึ้นมาได้แล้ว ในเมื่อตัวเองเป็นที่พึ่งของตัวเองได้ก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาใคร”
หญิงชราข้างกายผู้นี้ถือเป็นข้อยกเว้น เพราะนางเป็นขุนนางผู้ช่วยในวังมังกรมาจนเคยชินแล้ว
ไม่ใช่ว่าขอบเขตของผู้ฝึกตนมากพอก็จะสามารถก่อสำนักตั้งพรรคได้ นี่เป็นเรื่องที่บนภูเขาเห็นพ้องต้องกัน
พรรคใหม่ๆ หลายแห่งมักจะครึกครื้น พลังอำนาจไม่น้อยอยู่แค่ช่วงระยะแรกๆ จากนั้นก็เป็นเหมือนดอกราตรีที่เบ่งบานเพียงข้ามคืน
ก็เหมือนอย่างเรือนอวิ๋นฉ่าวบ้านตน ต่อให้ผู้คุมกฎถานหรงเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน จากนั้นหลุดพ้นไปจากผูซาน ก็ไม่มีทางไปตั้งสำนักเอง ก่อกำเนิดผู้เฒ่าไม่แม้แต่จะคิดถึงเรื่องนี้ด้วยซ้ำ
พวกแม่ทัพอัครเสนาบดีบุกเบิกแคว้นที่ช่วยประคับประคองมังกร ทิ้งชื่อเสียงดีงามไว้ในประวัติศาสตร์ทั้งหลายก็เป็นหลักการเดียวกันนี้ ไม่อยาก ไม่ต้องการ แล้วก็ไม่อาจ
ดูเหมือนคนหนุ่มจะเปลี่ยนใจกะทันหัน พลันใช้เสียงในใจเอ่ยกับหญิงชราว่า “หญิงแก่พูดจาวางโต เจ้าสามารถบอกกับหวงอีอวิ๋นได้ว่า หากยินดีจะผูกเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับข้า ข้ากลับสามารถแต่งเข้าผูซานได้”
หญิงชราหลุดหัวเราะพรืด
แต่ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับหวงอีอวิ๋นโดยตรง นางเปลี่ยนคำพูดใหม่ ความหมายคร่าวๆ ก็คือบอกว่าสหายแบกภูเขาท่านนี้ชื่นชมเลื่อมใสเจ้าขุนเขามานานมากแล้ว
หวงอีอวิ๋นเพียงยิ้มรับ
เดินเล่นตามร้านรวงต่างๆ ที่ท่าเรือซึ่งส่วนใหญ่เงียบเหงาจนจะกางตาข่ายดักจับนกได้กันไปรอบหนึ่ง เนื่องจากมีตัวอย่างจากภาพเซียนมาก่อน เย่อวิ๋นอวิ๋นจึงตัดสินใจไว้แล้วว่าจะแค่ดูไม่ซื้อ สุดท้ายก็หามุมเงียบสงัดมุมหนึ่ง นางหยิบเรือกระดาษห้าสีที่เกิดจากการนำกระดาษมาพับเป็นเรือออกมาจากชายแขนเสื้อ โยนลงไปในน้ำของท่าเรือเฮยเซี่ยน เหมือนนกหลวนหลากสีที่พุ่งลงสู่มหาสมุทร น้ำในลำคลองกระเพื่อมไหวเบาๆ สุดท้ายพลันกลายเป็นเรือยันต์ระดับสูงลำหนึ่ง ลักษณะคล้ายเรือหอเรือน สูงสองชั้น สามารถบรรจุคนได้สามสิบกว่าคน เมื่อเทียบกับเรือหลิวเสียที่ราคาแพงลิบลิ่ว อีกทั้งยังมีแต่ราคาทว่าหาซื้อได้ยากแล้ว เรือข้ามฟากไฉ่หลวนก็คือตัวเลือกแรกของผู้ฝึกตนหญิงเทพธิดาบนภูเขาของใบถงทวีป แน่นอนว่าเงื่อนไขก็คือต้องควักเงินฝนธัญพืชได้ไหว อีกทั้งยังไม่เหมาะจะเดินทางไกล เพราะกินเงินเทพเซียนเกินไป
ต่อมาก็เป็นการใช้เรือข้ามฟากส่วนตัวเดินทางข้ามผ่านภูเขาสายน้ำในอาณาเขตทิศใต้ของราชวงศ์เก่าแห่งหนึ่ง ห่างจากภูเขาเซียนตูด้วยระยะทางเป็นเส้นตรงอีกประมาณสองพันลี้ หากเป็นรถม้าหรือเรือปกติทั่วไป ระยะทางต้องเพิ่มจากนี้อย่างน้อยหนึ่งเท่าตัว
เรือข้ามฟากลอยอยู่กลางอากาศ ภูเขาสายน้ำบนพื้นดินเหมือนสวนในกระถาง
เย่อวิ๋นอวิ๋นที่สวมชุดสีเหลืองยืนอยู่ตรงหัวเรือ ชายแขนเสื้อโบกสะบัด ท่วงท่าดุจดั่งคนบนสวรรค์
เซวียไหวมองอาจารย์ของตัวเองแวบหนึ่ง มีความคิดแค่อย่างเดียว อาจารย์พ่อในอนาคตช่างหาได้ยากเสียจริง
กิจธุระบนผูซานมีมากมาย ดังนั้นผู้คุมกฎถานหรงจึงจะตามมาทีหลัง
เมื่อก่อกำเนิดเฒ่ารู้ว่าเฉาเซียนซือที่ไปเที่ยวเยือนหอพันทองหมื่นหินของตัวเองก่อนหน้านี้ถึงกับเป็นเจ้าของที่แท้จริงของตราประทับร้อยเซียนกระบี่และตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่ ผู้คุมกฎเฒ่าก็เบิกตากว้างจนตาแทบถลนออกจากเบ้า รอกระทั่งถานหรงคืนสติก็พูดจนน้ำลายแตกฟอง บ่นเจ้าขุนเขาของตัวเองว่าทำไมไม่บอกแต่แรก ไม่อย่างนั้นเขาก็คงเตรียมสี่สมบัติในห้องหนังสือและตราประทับเปล่าๆ เอาไว้กองใหญ่ แล้วจับกดอิ่นกวานหนุ่มให้นั่งลงบนเก้าอี้ไม่ยอมให้จากไปไหนแล้ว
เย่อวิ๋นอวิ๋นไม่สะดวกจะอธิบายอะไร อันที่จริงตัวนางเองก็รู้ตัวตนของเฉาเซียนซือก่อนหน้าเขาแค่ไม่กี่วันเท่านั้น
ผู้คุมกฎเฒ่าเหมือนสตรีที่ถูกฟันแล้วทิ้ง สายตาฉายแววตำหนิ ปากพร่ำบ่นเย่อวิ๋นอวิ๋นไม่หยุดหย่อน
เจ้าขุนเขาทำผิดต่อข้า!
หากรู้ตัวตนของอีกฝ่ายตั้งแต่แรก อิ่นกวานหนุ่มไม่ทิ้งน้ำหมึกที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาไว้สักหลายๆ แผ่น จากนั้นแกะสลักตราประทับที่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของหินทองอีกสักสิบกว่าชิ้นตลอดคืนจนสว่าง เฉินผิงอันก็อย่าหวังว่าจะออกไปจากห้องหนังสือและผูซานได้เลย
ตอนนี้กลับดีนัก ได้แต่มองโอกาสที่พันปีก็ยากจะพานพบคลาดสวนไหล่ตัวเองไปคาตา ชดเชย จะชดเชยอย่างไร? รอให้วันหน้าข้าถานหรงไปที่ภูเขาเซียนตูก็เท่ากับว่าเป็นคนนอกและเป็นแขกแล้ว จะมีหน้าเปิดปากได้อย่างไร?
เจ้าขุนเขาเลอะเลือนจริงๆ
เจ้าขุนเขาท่านอย่าเพิ่งไป ต้องมาชดใช้ความเสียหายส่วนนี้ให้ข้าก่อน ส่วนจะขอตราประทับลายน้ำหมึกจากอิ่นกวานหนุ่มอย่างไรก็เป็นเรื่องของเจ้าขุนเขาแล้ว เอาเป็นว่าข้าจะรอรับของขวัญอย่างเดียวก็แล้วกัน หากร่วมงานพิธีเสร็จแล้ว ตอนลงภูเขามาเจ้าขุนเขามาด้วยสองมือที่ว่างเปล่า ถ้าอย่างนั้นตำแหน่งผู้คุมกฎที่เหนื่อยยากแต่ไม่ได้ดีนี้ หึหึ ข้าผู้แซ่ถานก็เหนื่อยใจที่จะเป็นมาตั้งนานแล้ว
เย่อวิ๋นอวิ๋นไม่ได้กลัวคำขู่ของถานหรง แค่ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าผู้ฝึกตนเฒ่าที่เป็นเช่นนี้ เผชิญหน้ากับเฉินผิงอันดันไม่สนใจเรื่องการโยกย้ายจัดวางกองกำลังที่คฤหาสน์หลบร้อนของเซียนกระบี่หนุ่มในอดีต แต่กลับมาสนใจเฉพาะเรื่องตำราตราประทับนี่เสียได้
เย่อวิ๋นอวิ๋นรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย จึงรวมเสียงให้เป็นเส้นปรึกษากับเซวียไหวผู้เป็นลูกศิษย์ “หรือว่าพอข้าไปถึงภูเขาเซียนตูแล้วจะต้องขอตราประทับอะไรจากเฉินผิงอันจริงๆ? ข้าเปิดปากพูดไม่ได้หรอก ไม่สู้ให้เจ้าเป็นคนพูดแทน?”
เซวียไหวยิ้มกล่าว “อาจารย์ ให้ข้าเปิดปากพูดก็ไม่ยากหรอก เพียงแต่ว่าเรื่องนี้ ข้อเรียกร้องสูงเกินไป เป็นใต้เท้าอิ่นกวานที่เป็นฝ่ายไปเป็นแขกที่ผูซาน จึงเป็นการไปขยายกระเพาะของผู้คุมกฎถานให้ใหญ่ขึ้น ดังนั้นถ้าถามข้านะ มันก็แค่เรื่องที่ต้องพูดแค่ประโยคสองประโยคเท่านั้น…”
สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของอาจารย์ แล้วพอนึกถึงนิสัยของอาจารย์ เซวียไหวก็รีบเปลี่ยนคำพูดทันที “หากอาจารย์ลำบากใจจริงๆ อย่างมากถึงเวลานั้นก็ให้ข้าเป็นคนเปิดประเด็นพูดกับเจ้าขุนเขาเฉินก่อน แล้วอาจารย์ค่อยเอ่ยคล้อยตามไปสักสองสามประโยค เชื่อว่าด้วยนิสัยของเจ้าขุนเขาเฉินต้องไม่มีทางทำให้อาจารย์ลำบากใจยามเจอกับผู้คุมกฎถานแน่นอน”
จากนั้นเซวียไหวก็ช่วยกู้สถานการณ์ให้กับถานหรง “ชั่วชีวิตนี้ผู้คุมกฎถานหลงใหลอยู่กับการเขียนพู่กันจีนและหินทอง สำหรับสองเรื่องนี้ บางทีเขาอาจจะสนใจกว่าการฝึกตนเสียอีก นี่ก็เหมือนกับเด็กรุ่นหลังของสำนักกวีที่ได้เจอกับบุคคลซึ่งเป็นที่ภาคภูมิใจที่สุดของโลก ลูกหลานสำนักวลีเจอกับซูจื่อ หลิ่วชี อาจารย์ก็ต้องเข้าใจเขาบ้าง ส่วนคำพูดด้วยความโมโหที่ผู้คุมกฎถานข่มขู่อาจารย์ ก็ไม่ต้องคิดเป็นจริงเป็นจัง เขาก็แค่เรียกราคาสูงเทียมฟ้าเท่านั้น”