กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 901.3 หนึ่งกระบี่ข้ามทวีป
เด็กหนุ่มชุดขาวที่เท่ากับว่าเดินวนไปรอบหนึ่งก่อนกลับมาที่เดิมเก็บกระจกส่องมารลงไปอย่างขุ่นเคือง “ฮ่า เข้าใจผิดๆ ต้องโทษที่พี่สาวคนนี้งดงามเกินไป คำกล่าวเก่าแก่ในยุทธภพบอกว่าหากพบเจอในภูเขา ถ้าไม่ใช่ผีสาวงามก็ต้องเป็นภูตจิ้งจอก”
ซีหมานมองไปทางผู้เฒ่า หลีป๋าพยักหน้า สามารถลงมือได้ แต่ต้องกะน้ำหนักให้ดี ดูสิว่าจะหยั่งเชิงเบาะแสตื้นลึกของอีกฝ่ายได้หรือไม่
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำพลันลุกพรวดขึ้นยืน น้ำในสระบัวที่อยู่รอบเรือลำเล็กพลันลดระดับดิ่งฮวบลงไป น้ำในทะเลสาบที่อยู่ห่างไปกระเพื่อมรุนแรง เส้นทางน้ำทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ เพิ่มระดับความสูง ก่อนจะแผ่ลามขึ้นไปบนฝั่ง มีเพียงศาลาที่คนหนุ่มหมวกเหลืองรองเท้าเขียวอยู่เท่านั้นที่ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ
ซีหมานผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าใช้ข้อศอกถองเข้าที่หน้าผากของเด็กหนุ่มชุดขาว อีกฝ่ายไม่มีเรี่ยวแรงให้ตอบโต้คืนเลยแม้แต่น้อย ประหนึ่งลูกธนูที่ปักดิ่งลงไปในน้ำ ครู่หนึ่งต่อมาเด็กหนุ่มชุดขาวก็ยื่นหัวออกมาจากจุดที่ห่างไปไกล เช็ดหน้าตัวเอง ว่ายน้ำตรงมายื่นมือไปคว้าดอกบัวก้านหนึ่งที่ส่ายไหวไปตามสายน้ำ จากนั้นดึงใบบัวให้เอนมาทางตน พลิกตัวกลับกระโดดไปยืนบนใบบัว เต้นงผางสบถด่า “เจ้าโจรชั่ว บังอาจลงมือทำร้ายคนอย่างอำมหิต เรื่องนี้ไม่จบง่ายๆ แน่ ฝากไว้ก่อนเถอะ ข้าจะไปเรียกคนมาเดี๋ยวนี้ แน่จริงก็อย่าหนีนะ…”
ชุยตงซานพลันหยุดพูด กระทืบเท้าด้วยสีหน้าเจ็บใจตัวเอง “คิดไม่ถึงว่าข้าจะมีชีวิตกลายมาเป็นคนที่ในอดีตข้ารังเกียจที่สุด ข้าทำแบบนี้ก็เหมือนบุรุษเสเพลลูกหลานคนรวยที่หยอกเย้าสตรีบนถนนแล้วถูกจอมยุทธใหญ่ซ้อมตี พอลุกขึ้นได้ก็ได้แต่กล้าหนี หนีไปยังทิ้งคำอาฆาตข่มขู่คนเขาไปด้วยไม่ใช่หรอกหรือ?!”
ซีหมานรวมเสียงให้เป็นเส้น เอ่ยเตือนอีกสามคนที่เหลือ “ค่อนข้างรับมือได้ยาก”
สตรีเหลือบมองหวงม่าน หัวเราะหยันเอ่ยว่า “นักพรตหยก ยังทนได้อีกหรือ?”
หวงม่านยิ้มเอ่ย “ระวังว่าสิ่งที่ทำมาจะสูญเปล่า ข้าสามารถทนได้อีกหน่อย”
เสี่ยวโม่มองไกลๆ ไปยังกลุ่มคนที่ทะเลาะกัน ไม่ได้มีท่าทีว่าจะร่วมวงด้วยแม้แต่น้อย
เขาเป็นแค่นักรบพลีชีพของคุณชาย แล้วนับประสาอะไรกับที่เจ้าสำนักชุยที่เป็นลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของคุณชายก็ไม่ต้องให้เสี่ยวโม่มาคอยเป็นห่วงความปลอดภัยเลย
ชุยตงซานมองไปยังสตรีหน้าตางดงามที่เรือนกายอวบอิ่มคนนั้น หยิบกระจกกฎเกณฑ์ที่แกะสลักคำว่า ‘ขึ้นภูเขาใหญ่’ ออกมาจากชายแขนเสื้ออีกครั้ง “เอ๊ะ? กระจกโบราณที่พี่สาวท่านนี้ห้อยไว้ตรงเอวช่างคุ้นตายิ่งนัก คนบ้านเดียวกันเจอคนบ้านเดียวกัน ดวงตาสองข้างคลอไปด้วยน้ำตาหรือ?”
กงเยี่ยนเอ่ยอย่างจนใจ “เจ้าคนผู้นี่ช่างน่ารำคาญยิ่งนัก”
เสี่ยวโม่เอนพิงเสาศาลา ขยับไม้เท้าเดินป่าที่อยู่ในมือขึ้นมา “แนะนำเจ้าว่าอย่าได้ขยับส่งเดช จิตสังหารเกิดขึ้นได้ง่าย แต่น้ำท่วมกลับเก็บกวาดได้ยาก”
เด็กหนุ่มชุดขาวเหมือนคนหาที่พึ่งเจอ ยกสองมือเท้าเอวฉับ หัวเราะเสียงดังลั่น “ได้ยินหรือยัง ได้ยินหรือยัง อาจารย์เสี่ยวโม่ของข้าพูดแล้วว่าให้พวกเจ้าทำตัวดีๆ หน่อย อยู่ในกฎในระเบียบสักหน่อย สำรวมสักหน่อย แล้วก็ต้องพูดกับข้าให้มีมารยาทหน่อย!”
เสี่ยวโม่ไม่ปฏิเสธ เจ้าสำนักชุยท่านนี้ หากเป็นแค่คนผ่านทางมาที่เพิ่งได้รู้จักกัน คำพูดและการกระทำของเขาก็น่าเตะจริงๆ นั่นแหละ
ในเรือแจวลำน้อย นักพรตหยกที่ขอบเขตสูงที่สุดคล้ายจะอดกลั้นกับการกระทำเหลวไหลของเด็กหนุ่มชุดขาวไม่ไหว จึงคิดจะลงมือด้วยตัวเองแล้ว
ทันใดนั้นคนหนุ่มหมวกเหลืองรองเท้าเขียวก็พุ่งตัวมาที่เรือแจว ยืนอยู่บนกราบเรือด้านหนึ่ง ใช้ไม้เท้าเดินป่ากดลงตรงหว่างคิ้วของนักพรตหยกเบาๆ
ไม้เท้าไม้ไผ่เขียวชิ้นหนึ่งประหนึ่งกระบี่ยาวสีเขียวเล่มหนึ่งที่ปลายกระบี่แหลมคม หน้าผากของนักพรตหยกมีเลือดซึมออกมา
“สหายหวงม่าน ฝึกตนไม่ใช่เรื่องง่าย จงทะนุถนอมเห็นค่าชีวิตให้ดี”
เสี่ยวโม่ยิ้มบางๆ “เดินท่องอยู่ในใต้หล้า ยืนอยู่ริมน้ำบ่อยๆ รองเท้าจะไม่เปียกได้อย่างไร รู้จักแต่จะรบราฆ่าฟันย่อมเดินได้ไม่ไกล”
เด็กหนุ่มชุดขาวเริ่มก่อกวนอีกครั้ง ยกสองมือปรบกันอย่างว่องไวแต่กลับไร้เสียง
ซีหมานที่กำลังจะขยับร่างปลิวกระเด็นออกไป คล้ายถูกปราณกระบี่หลายร้อยเส้นกระแทกใส่ในเวลาเดียวกัน เท้าเหยียบอยู่บนผิวน้ำของสระบัว ถอยแล้วถอยอีก ปราณกระบี่ไร้รูปลักษณ์พวกนั้นรู้หนักเบาดีอย่างยิ่ง ราวกับว่าแค่ต้องการซัดให้ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าขั้นสูงสุดคนนี้ถอยออกไปจากเรือเล็กเท่านั้น
หนึ่งชายหนึ่งหญิงปรากฏตัวที่ริมตลิ่งของสระบัว
เสี่ยวโม่จึงเก็บไม้เท้าเดินป่ามา ออกมาจากเรือเล็ก ร่างกายเปล่งวูบมาหยุดอยู่ข้างกายคุณชายบ้านตน
ชุยตงซานเห็นว่าอาจารย์มาถึงแล้วก็รีบทำตัวเป็นคนใหม่ทันใด ตามเสี่ยวโม่ไปหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ใช้เสียงในใจแนะนำหวงม่านกับหลี่ป๋าให้ฟัง
เฉินผิงอันฟังแล้วก็กุมหมัดคารวะคนทั้งสี่ที่อยู่บนเรือไกลๆ จากนั้นให้ชุยตงซานเรียกฉิวตู๋ให้ออกไปจากที่นี่ด้วยกัน
จื้อกุยพลันใช้เสียงในใจเอ่ย “เฉินผิงอัน เจ้าไปบอกฉิวเฒ่าตัวนั้นสักคำ บอกว่าข้าอนุญาตให้นางเอาสมบัติของวังมังกรไปได้ส่วนหนึ่ง อีกหนึ่งก้านธูปเมื่อวังมังกรแห่งนี้ปิดประตูลงแล้ว หากนางยังกล้ามาขโมยของที่นี่อีก ยังกล้าไม่ฟังคำของข้าอีกก็จะให้ฉิวเฒ่าตัวนั้นต้องแบกรับผลลัพธ์ที่ตามมา”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ไม่เสียแรงที่เป็นสุ่ยจวินแห่งมหาสมุทรบูรพา ช่างมีบารมีขุนนางยิ่งใหญ่เสียจริง”
จื้อกุยตอบกลับด้วยการเหลือกตามองบนใส่
เฉินผิงอันพาชุยตงซานกับเสี่ยวโม่ไปรอที่นอกประตูของซากปรักวังมังกรประมาณครึ่งก้านธูป ฉิวตู๋ก็พุ่งตัวออกจากประตูใหญ่มาด้วยอาการตระหนกลนลาน
ทุกคนทะยานลมกลับไปที่ภูเขาเซียนตูด้วยกัน
ชุยตงซานใช้ท่าว่ายน้ำทะยานลมไปเบื้องหน้า หัวเราะหึหึ “อาจารย์ ทุกวันนี้แม่นางจื้อกุยรู้จักรับสมัครกำลังพลซื้อม้าแล้ว นับว่ามีพัฒนาการอย่างมาก”
ใต้หล้าไพศาลในทุกวันนี้นอกจากห้ามหาบรรพตแผ่นดินกลางซึ่งมีภูเขาสุ้ยซาน ภูเขาจิ่วอี๋และภูเขาแยนจือเป็นหนึ่งในนั้นแล้ว ยังมีห้าทะเลสาบกับสี่มหาสมุทร ระดับขั้นตำแหน่งเทพของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำพวกนี้ถือว่าสูงที่สุดแล้ว ต่างก็เป็นขั้นหนึ่งชั้นโทในทำเนียบหยกทองที่ศาลบุ๋นเป็นผู้กำหนด เพียงแต่ว่าแม้สุ่ยจวินของห้าทะเลสาบจะมีระดับขั้นเท่ากับสุ่ยจวินของสี่มหาสมุทร ทว่าความแตกต่างของน่านน้ำที่ทั้งสองฝ่ายควบคุมดูแล หนึ่งเป็นฟ้า แต่หนึ่งกลับเป็นดิน
ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาเก้าทวีปของใต้หล้าไพศาลนั้น เจ้าแห่งชะตาน้ำบนพื้นดินคือตั้นตั้นฮูหยินแห่งหลุมน้ำลู่
ตามการแบ่งอาณาเขตของสุ่ยจวินสี่มหาสมุทร น่านน้ำทะเลบูรพาที่จื้อกุยดูแลจะรวมไปถึงอาณาเขตสายน้ำที่กว้างขวางเว้นจากบุรพแจกันสมบัติทวีปและอาคเนย์ใบถงทวีปด้วย
ดังนั้นการที่จื้อกุยเลือกซากปรักวังมังกรแห่งนี้ของใบถงทวีปก็เพราะเป็นจุดศูนย์กลางในการบริหารจัดการจวนน้ำของนางในอนาคต นอกจากจะต้องการให้น้ำในแม่น้ำใสสะอาด น้ำในมหาสมุทรไร้คลื่นลมแล้ว เว้นจากราชวงศ์ต้าหลีของแจกันสมบัติทวีปก็ยังต้องประคับประคองราชวงศ์สกุลเหยาต้าเฉวียนภาคกลางของใบถงทวีป ราชวงศ์สกุลอวี๋ทางทิศเหนือ ราชวงศ์สกุลหยวนต้ายวนเก่า ความแข็งแกร่งรุ่งเรืองของราชวงศ์ใหม่เก่าทั้งหลายพวกนี้จะช่วยให้จื้อกุยได้เพิ่มพูนปราณมังกรบนร่างให้แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม
ส่วนสุ่ยจวินแห่งมหาสมุทรทักษิณคนใหม่ก็จะดูแลทักษินาตยทวีปกับหรดีฝูเหยาทวีป ดังนั้นหากเฉินผิงอันอยากจะบูรณะปรับปรุงขุนเขาสายน้ำของสามทวีป คนที่เขาต้องไปมาหาสู่ด้วยอย่างแท้จริง นอกจากเพื่อนบ้านเก่าอย่างจื้อกุยแล้วยังมีหลี่เย่โหวที่รับหน้าที่เป็นสุ่ยจวินแห่งทะเลสาบเจี่ยวเยว่ด้วย ก่อนหน้านี้เคยเจอกันที่สวนกงเต๋อมาก่อนแล้ว เป็นหนึ่งในแขกสูงศักดิ์ที่มาร่วมแสดงความยินดีหลังจากอาจารย์ของตนได้รับสถานะในศาลบุ๋นกลับคืนมา
เนื่องจากรายงานขุนเขาสายน้ำของสำนักซานไห่ คาดว่าทุกวันนี้ผู้ฝึกตนบนยอดเขาทุกคนก็คงจะรู้เรื่องที่เฉินผิงอันได้รับโชคชะตาน้ำส่วนหนึ่งจากลำคลองเย่ลั่วใต้หล้าเปลี่ยวร้างมาแล้ว
ไม่แน่ว่าอีกไม่นานสุ่ยจวินทะเลทักษิณคนใหม่อาจจะส่งทูตให้มาเยือนถึงที่ หรือบางทีอาจเป็นหลี่เย่โหวเองที่หาเวลาว่างปลีกตัวมาเยี่ยมเยือนภูเขาลั่วพั่ว
ชุยตงซานหัวเราะร่าถามหญิงชราว่า “กระอักกระอ่วนหรือไม่เล่า?”
หญิงชรายิ้มอย่างฝืดฝืน
กระอักกระอ่วนอย่างยิ่งจริงๆ นึกอยากจะขุดรูมุดหนีลงดินไปแล้วด้วยซ้ำ
หากอิงตามสุภาษิตบางอย่างบนภูเขาของใบถงทวีป นี่เรียกว่าเหมือนกับ ‘เจียงซ่างเจินส่องกระจก ในและนอกล้วนไม่ใช่คน’ (มาจากสำนวนว่าจูปาเจี้ยหรือตือโป้ยก่ายส่องกระจก ในและนอกล้วนไม่ใช่คน เปรียบเปรยว่าไม่เป็นที่พอใจของฝ่ายใดสักฝ่าย)
นางหรือจะคิดได้ว่าเซียนกระบี่เฉินที่อำพรางตนอย่างลึกล้ำผู้นี้ไม่เพียงแต่เป็นใต้เท้าอิ่นกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ยังเป็นเพื่อนบ้านกับมังกรแท้จริงตัวนั้นมานานหลายปีด้วย
ในเวลาครึ่งก้านธูปก่อนหน้านี้ หวังจูเดินเล่นกับนางไปตลอดทาง ถึงขั้นยังช่วยหญิงชราเลือกสมบัติล้ำค่าธาตุน้ำมาหลายชิ้นด้วย ไม่รับไว้? ฉิวตู๋หรือจะกล้าไม่รับไว้
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยปลอบใจ “ท่านยายไม่ต้องรู้สึกอึดอัดใจเช่นนี้ ความเข้าใจผิดบางอย่างที่เป็นเรื่องปกติของคนทั่วไป แค่พูดคุยกันให้รู้เรื่องก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องรู้สึกยอกแสลงใจ”
หลายๆ เรื่องที่ยากจะปล่อยวางได้ วันนี้อาจคิดคำนึงถึงอยู่ตลอดเวลา แต่วันหน้าก็เพียงแค่ยิ้มรับมันเท่านั้น
หญิงชราพอจะสบายใจขึ้นได้หลายส่วน “ใต้เท้าเซียนกระบี่เฉินใจกว้าง ก่อนหน้านี้เป็นข้าผู้อาวุโสที่สายตาตื้นเขิน ใช้ใจของคนถ่อยมาวัดใจของวิญญูชน มีจุดจบกลายเป็นที่ขบขันของทุกคน เป็นข้าผู้อาวุโสที่หาเรื่องใส่ตัวเอง”
ฉิวตู๋ตัดสินใจแล้วว่าจะเปลี่ยนความตั้งใจเดิม เพื่อชู่ชู่แล้วก็ไม่สนเรื่องหน้าตาไม่หน้าตาอะไรทั้งนั้น ในเมื่อรู้ตัวตนที่แท้จริงของเซียนกระบี่เฉินแล้วยังจะมัวลังเลอะไรอีก? หญิงชราจึงฉวยโอกาสตีเหล็กตอนที่ยังร้อน “เซียนกระบี่เฉิน ติดตามเจ้าขุนเขาเย่มาเยี่ยมเยือนภูเขาเซียนตูครั้งนี้ เดิมทีก็มาเพื่ออนาคตของชู่ชู่ ต่อให้เจ้าสำนักชุยไม่เชิญมา ข้าผู้อาวุโสก็จะยังทำหน้าหนาเดินทางมาพร้อมกับเจ้าขุนเขาเย่ให้ได้ ไม่กล้าคาดหวังให้ชู่ชู่ได้กลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเซียนกระบี่เฉิน ขอแค่ว่าบนทำเนียบหยกทองของศาลบรรพจารย์ภูเขาเซียนตูจะมีชื่อของชู่ชู่อยู่ก็พอ”
เค่อชิงอะไร ใจแคบเกินไปแล้ว
ส่วนสุ่ยจวินแห่งมหาสมุทรบูรพา หวังจูมังกรแท้จริงที่เหลือเพียงหนึ่งเดียวบนโลก หญิงชราก็พอจะขบคิดอะไรบางอย่างได้แล้ว
นางกับเซียนกระบี่ชุดเขียวที่ทั้งมาดและบุคลิกล้วนโดดเด่นผู้นี้เป็นเพื่อนบ้านกันมานานหลายปี ระหว่างทั้งสองคนมีเรื่องราวมากมาย!
เสี่ยวโม่ยิ้มบางๆ ใช้เสียงในใจบอกความลับแก่คุณชายบ้านตน
อยู่กับเสี่ยวโม่ผู้นี้ หากเป็นผู้ฝึกตนที่ต่ำกว่าขอบเขตบินทะยานลงไป ทางที่ดีที่สุดอย่าได้คิดในใจ
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “บอกตามตรง ต่อให้ท่านยายกล้าส่งแม่นางชู่ชู่มาฝึกตนที่ภูเขาเซียนตู แต่ข้าก็ไม่กล้ารับไว้หรอกนะ”
ก่อนหน้านี้อยู่ในร้านหมั้นหมายริมแม่น้ำ เด็กสาวกล้าผูกด้ายแดงให้ตนกับหวงอีอวิ๋นส่งเดช ฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรง นิสัยใจร้อนบุ่มบ่ามเกินไปแล้ว
พูดให้ไม่น่าฟังสักหน่อย แม่นางน้อยก็คือคนที่ทำอะไรสนแต่หัวไม่สนบั้นท้าย
ฉิวตู๋เหลือบมองเซียนกระบี่เฉินอย่างระมัดระวัง
อดไม่ไหวนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมา หญิงชราก็รู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะ
ชู่ชู่แม่หนูน้อยนั่นชอบจับคู่ยวนยางส่งเดชจริงๆ นั่นแหละ
ไม่เพียงแต่แอบขโมยผูกด้ายแดงให้เฉินผิงอันกับเย่อวิ๋นอวิ๋น ในความเป็นจริงแล้วปีนี้คนต่างถิ่นที่นางเจอสองคน คนหนึ่งคือบัณฑิตลัทธิขงจื๊อมีอายุ อีกคนหนึ่งคือชายฉกรรจ์พูดน้อย พวกเขาเดินทางมาเยือนแม่น้ำชื่อหลิน ระหว่างนั้นมาดื่มชาพักเท้าที่เพิงน้ำชา ชู่ชู่ก็เกือบจะก่อเรื่องแล้ว
ชุยตงซานเอ่ยเสียงเบา “อาจารย์ ข้ากล้ารับนะ”
สำนักเบื้องบนบ้านตนนั้นต้องเรียกว่าเป็นสถานที่มังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบ มากด้วยคนมีพรสวรรค์ เซียนกระบี่ดุจก้อนเมฆ ปรมาจารย์ดุจสายฝน
แต่สำนักเบื้องล่างของข้ายังอยู่ช่วงเริ่มต้นของการก่อตั้ง ต้องการคนมีความสามารถอย่างมาก แม่นางน้อยคนนั้นหากอิงตามคำกล่าวของเสี่ยวโม่ก็คือมีชาติกำเนิดจากกองดวงจันทร์บรรพกาล แม้ว่าสายเลือดจะเจือจาง แต่คุณสมบัติในการฝึกตนกลับไม่เลวเลย ‘มีหวังจะได้เป็นหยกดิบ’
มีหวังจะได้เป็นหยกดิบนั่นก็คือต้องเป็นเซียนดินก่อกำเนิดแน่นอนแล้ว อย่าได้ไม่เห็นเซียนดินเป็นเทพเซียนเด็ดขาด ในช่วงเวลาที่โลกสงบสุข ผู้ฝึกตนเซียนดินมักจะเป็นป้ายของสำนักนอกภูเขา อีกทั้งยังเป็นป้ายอักษรทองอีกด้วย ก็เหมือนอย่างเรือนอวิ๋นฉ่าวผูซานของหวงอีอวิ๋น หวงอีอวิ๋นเป็นคนจัดการกิจธุระต่างๆ จริงหรือ? ก็ยังไม่ใช่คนอย่างผู้คุมกฎถานหรง ลูกศิษย์อย่างเซวียไหวที่คอยวิ่งวุ่นอยู่ข้างนอก ยุ่งหัวไม่วางหางไม่เว้นหรอกหรือ
อีกอย่างฉิวเฒ่าตัวนี้มีดีอยู่อย่างหนึ่ง ปกป้องคนของตัวเอง!
นี่ก็สอดคล้องกับขนบธรรมเนียมบ้านตนได้อย่างเป็นธรรมชาติเลยไม่ใช่หรือ?
เฉินผิงอันเหล่ตามองไป
ชุยตงซานรีบเปลี่ยนคำพูดใหม่ทันที “อาจารย์พูดได้ถูกต้อง!”
รอกระทั่งคนทั้งกลุ่มกลับไปที่ยอดเขามี่เซวี่ยภูเขาเซียนตู เย่อวิ๋นอวิ๋นก็มาหาเฉินผิงอันทันที บอกว่าอาจารย์และศิษย์สองฝ่ายสามารถถามหมัดกันคนละครั้งได้หรือไม่