กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 902.2 ถามหมัดบนยอดเขา
อีกทั้งนางกับอาจารย์ผู้เฒ่าเซวียไหวที่มีความรู้สึกประทับใจไม่เลวผู้นี้ยังไม่เคยมีความขัดแย้งกันมาก่อน
หากว่ามีโอกาสได้ถามหมัดกับหวงอีอวิ๋นจริงๆ ถึงอย่างไรทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นขอบเขตปลายทางในชั้นของปราณโชติช่วงเหมือนกัน ย่อมสามารถปล่อยหมัดได้อย่างเต็มกำลัง
การถามหมัดของผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดียวกันมีการกระทบกระทั่งกันบ้างจะแปลกตรงไหน ไม่ถือว่าเป็นการใช้เรื่องส่วนรวมมาแก้แค้นส่วนตัวอะไรด้วยซ้ำ
เฉินผิงอันพยักหน้าบอกเป็นนัยกับเผยเฉียนว่ากดขอบเขตแค่หนึ่งขั้นก็พอ
เย่อวิ๋นอวิ๋นกับเซวียไหว จนถึงทุกวันนี้ยังไม่รู้ว่าอันที่จริงเผยเฉียนเลื่อนเป็นขอบเขตปลายทางแล้ว
นี่ก็เป็นเรื่องปกติ คราวก่อนทั้งสองฝ่ายจากลากันที่พื้นที่มงคลถ้ำเมฆาเพิ่งจะผ่านไปนานเท่าไรเอง?
การถามหมัดเริ่มต้นขึ้น
อิงตามกฎเกณฑ์ในยุทธภพที่ปฏิบัติตามกันมาจนเกิดเป็นความเคยชิน การประลองบนเวทีที่ไม่ต้องลงนามสัญญาเป็นตาย แค่ประชันฝีมือสูงต่ำระหว่างผู้ฝึกยุทธเท่านั้น ผู้ที่มีหมัดสูงกว่าเป็นฝ่ายยอมลงให้ก่อน
พื้นดินของหอซ่าวฮวาสั่นสะเทือนเล็กน้อย เซวียไหวขยับเข้ามาใกล้เผยเฉียนแล้ว หนึ่งหมัดปล่อยออกไปอย่างไม่ออมแรง หมัดที่ปล่อยออกไปปณิธานหมัดเพิ่มพูนประหนึ่งภาพน้ำตกที่น้ำไหลดิ่งลงมาจากเบื้องบน แต่เปลี่ยนจากดิ่งแนวตรงเป็นแนวขวางแทน
เซวียไหวเคยอาศัยคุณสมบัติและความเฉลียวฉลาดของตัวเองหลอมรวมภาพเซียนเหรินหกภาพที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของผูซานเข้าด้วยกัน รังสรรค์เป็นวิชาหมัดชุดหนึ่ง ดึงเอาแก่นสุดยอดของภาพเซียนเหรินแต่ละภาพออกมาหลอมเป็นหนึ่งหมัด ขอแค่ได้ปล่อยหมัดหนึ่งออกไป ห้ากระบวนท่าต่อจากนั้นก็จะทอดยาวไม่ขาดสาย วิชาหมัดเชื่อมติดกันแนบแน่น มีพลังอำนาจดุจกระแสน้ำไหลเชี่ยวโถมสู่มหาสมุทร
เผยเฉียนไม่ถอยกลับกันยังรุดขึ้นหน้า ถึงกับยกข้อศอกขึ้นต้านรับหมัดของเซวียไหว
เมื่อเทียบกับกระบวนท่ากองทัพม้าเหล็กทะลวงขบวนรบของผู้เฒ่าบนเรือนไม้ไผ่ที่เคยชินมาตั้งแต่เด็ก หมัดตรงหน้านี้ความเร็วช้าเกินไป น้ำหนักเบาเกินไปเหมือนดีดปุยนุ่นอย่างไรอย่างนั้น
เผยเฉียนยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ เพียงแค่ยกมือข้างหนึ่งขึ้น กางห้านิ้วออกหมายจะตบลงบนใบหน้าของอาจารย์ผู้เฒ่า
ปีนั้นฝึกหมัด ถ่านดำน้อยก็เคยถูกผู้เฒ่าใช้ท่านี้ซัดให้ร่างทั้งร่างกระแทก ‘กระเด้งกระดอน’ อยู่บนกระดานไม้ไผ่นับครั้งไม่ถ้วน
จากนั้นก็ต้องทนฟังคำพูดโหดร้ายทำนองว่า ‘ชอบนอนคว่ำเดินนิ่งอยู่บนพื้นหรือ’ การป้อนหมัดของผู้เฒ่าไม่ได้สิ้นสุดแต่เพียงเท่านี้ ถ่านดำน้อยยังถูกปลายเท้าเตะเข้าที่หัวใจหรือไม้ก็หน้าผากในเสี้ยววินาที ร่างกระแทกเข้ามุม นอนตัวงอ เจ็บปวดจนเหมือนตับไต้ไส้พุงพันกัน แล้วยังต้องฟังผู้เฒ่าวิจารณ์ว่า ‘ชอบเป็นผ้าเช็ดพื้นขนาดนี้เชียวหรือ คุณสมบัติในการฝึกวรยุทธของเจ้าแย่พอๆ กับอาจารย์พ่อของเจ้าเลย แล้วยังเกียจคร้านที่จะฝึกหมัด ดีนัก วันหน้าก็เอาตัวไปแนบติดอยู่กับหน่วนซู่น้อยทุกวันเลยแล้วกัน ไม่อย่างนั้นยืนอยู่กับอาจารย์พ่อที่เป็นเศษสวะของเจ้า ตาใหญ่มองตาเล็ก คนหนึ่งบนหน้าผากเขียนคำว่าเศษ คนหนึ่งบนหน้าผากเขียนคำว่าสวะ ถึงจะไม่เสียแรงที่พวกเจ้าสองคนอุตส่าห์ได้เป็นอาจารย์และศิษย์กัน’
แน่นอนว่าทุกครั้งที่พูด ผู้เฒ่าก็ไม่ได้อยู่นิ่งเฉย ไม่เปิดโอกาสให้เผยเฉียนได้หายใจหายคอแม้แต่น้อย เดี๋ยวก็เหยียบลงบนนิ้วมือของถ่านดำน้อย เดี๋ยวก็เหยียบลงบนหน้าผากของนาง เพิ่มน้ำหนักฝีเท้าเรื่อยๆ ทำให้นางกระดุกกระดิกไม่ได้
เรือนกายของเซวียไหวในเวลานี้ผงะไปด้านหลังเล็กน้อย มือกวาดเหวี่ยงไปแนวขวางเหมือนผ่าไม้เอามาทำเป็นพิณ พละกำลังหนักหน่วง พายุหมัดกระเทือนรุนแรง ลมกระโชกพัดดัง
ขณะเดียวกันเซวียไหวก็ยกเท้าเตะออกไปอย่างแรง ปลายเท้าเหมือนคมดาบ ว่องไวดุจลูกธนูที่ทิ่มแทงเข้าที่ชายโครงของเผยเฉียน
เผยเฉียนยกแขนข้างหนึ่งบังตรงหัวไหล่แล้วพลันยกเท้าขึ้น บิดหมุนข้อเท้าเตะโดนเซวียไหวอย่างพอเหมาะพอเจาะ ต้านหมัดและเท้าของเซวียไหวไว้ได้ในเวลาเดียวกันพอดี
ในที่สุดก็ไม่ยืนเฉยอีกแล้ว นางขยับไปในแนวขวางหลายก้าว พริบตานั้นราวกับเซวียไหวกำลังรอให้เผยเฉียนขยับร่างอยู่ ฝีเท้าของอาจารย์ผู้เฒ่าประหนึ่งเซียนเหรินย่ำดารา สอดคล้องกับหลักเกณฑ์แห่งสวรรค์ หดย่อพื้นที่ ปณิธานหมัดของทั้งร่างไต่ทะยานถึงจุดสูงสุด ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ไหลวนเร็วกว่าก่อนหน้านี้ ถึงกับเร็วกว่าเดิมเกือบหนึ่งเท่า พูดถึงแค่นาทีนี้ พลังอำนาจของเซวียไหวก็ไม่แพ้ให้กับผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าคนใดแล้ว พายุหมัดสีเขียวม่วงเป็นเส้นๆ ที่ทะลักขึ้นมาด้านหลังยิ่งขับให้เซวียไหวเหมือนเทพแปดกร ก้าวยาวๆ ไปข้างหน้าหนึ่งก้าว หนึ่งหมัดแยกตัวออกไปเป็นหมัดอีกนับไม่ถ้วน หมัดมากมายพากันต่อยรัวใส่เผยเฉียน
บนหอซ่าวฮวา ปณิธานหมัดของเซวียไหวรวมตัวกันเหมือนกลายมาเป็นของจริง พายุหมัดสลายไปสี่ด้านแปดทิศอย่างรวดเร็ว
ชุยตงซานโบกชายแขนเสื้อสีขาวหิมะชักนำพวกมันให้ออกไปนอกยอดเขาเจ๋อเซียน ซัดให้ทะเลเมฆที่ผ่านทางมาแตกตัวออกเป็นก้อนเมฆนับไม่ถ้วน
ชุยตงซานใช้เสียงในใจยิ้มถาม “ยังคงเป็นศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่รู้จักวางตัว”
หากไม่เป็นเพราะเผยเฉียนเก็บออมกำลังอย่างไม่เปิดเผยร่องรอย ตอนแรกสุดเผยเฉียนก็สามารถแบกรับหนึ่งหมัดหนึ่งเท้าของเซวียไหวแล้วใช้ฝ่ามือหนึ่งตบกระแทกลงบนหน้าผากของฝ่ายหลังอย่างแรง เกรงว่าเซวียไหวคงต้องไปนอนหลับกรนครอกๆ อยู่ในหลุมใดหลุมหนึ่งแล้ว
ชุยตงซานถามอย่างระมัดระวัง “อาจารย์คงไม่รู้สึกว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่เอาแต่ประมาทอยู่ตลอดหรอกกระมัง?”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มกล่าว “จะเป็นไปได้อย่างไร นางไม่ได้ถามหมัดกับเจ้าขุนเขาเย่เสียหน่อย กดขอบเขตถามหมัดกับเซวียไหวย่อมต้องมีมารยาท”
อันที่จริงเฉินผิงอันมองออกแล้วว่าไม่เพียงแค่เพราะมีอาจารย์พ่ออย่างตนคอยมองดูอยู่ ทำให้เผยเฉียนเหมือนถูกมัดมือมัดเท้า ยังมีสาเหตุที่ใหญ่ยิ่งกว่านั้น การออกหมัดของเผยเฉียน หากคิดจะให้ปณิธานหมัดสมบูรณ์เต็มเปี่ยมอย่างแท้จริง นางก็เคยชินที่จะลงมืออย่างอำมหิต พูดง่ายๆ ก็คือเผยเฉียนเหมาะกับการแบ่งแพ้ชนะอย่างไม่ออมมือไว้ไมตรีกับคนอื่นมากกว่า ไม่เหมาะกับการประลองวิชาถามหมัดที่ต้องหยุดแต่พอสมควรเช่นนี้แม้แต่น้อย
ดังนั้นปีนั้นเผยเฉียนใช้ขอบเขตแปดถามหมัดกับหลิ่วสุ้ยอวี๋แห่งศาลเหลยกงที่เป็นขอบเขตยอดเขา หรือจะเป็นภายหลังที่ถามหมัดกับเฉาสือบนหัวกำแพงเมืองของราชวงศ์ต้าตวนสี่ครั้งติด นั่นต่างหากถึงจะเป็นการลงมืออย่างแท้จริงของเผยเฉียน
หากจะวิจารณ์ให้โหดร้ายสักหน่อยก็คือ เซวียไหวแห่งผูซานขอบเขตยังต่ำเกินไป เผชิญหน้ากับเผยเฉียนที่กดขอบเขตแล้วก็ยังมิอาจเป็นหินฝนทองก้อนนั้นได้อยู่ดี
ชุยตงซานเอ่ยอย่างระมัดระวัง “ศิษย์พี่หญิงอาจจะอยากให้เซวียไหวปล่อยหมัดได้อีกหลายๆ ครั้ง”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างขันๆ ปนฉุน “ดี รอให้การถามหมัดของข้าสิ้นสุดลงจะต้องขอบคุณนางให้ดีสักหน่อย”
เย่อวิ๋นอวิ๋นลังเลเล็กน้อย สุดท้ายนางก็อดไม่ไหวรวมเสียงให้เป็นเส้นถามเฉินผิงอันอย่างประหลาดใจว่า “เวลาปกติเจ้าสอนหมัดอย่างไร?”
เฉินผิงอันคงจะพูดไม่ได้ว่าเขาที่เป็นอาจารย์พ่อ อันที่จริงไม่เคยสอนหมัดให้กับลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขามาก่อน จึงได้แต่ใช้คำพูดที่คลุมเครือว่า “ใช้วิธีโง่ๆ สอนหมัดเยอะๆ ความหมั่นเพียรสามารถชดเชยข้อบกพร่องได้ ตอนที่ช่วยป้อนหมัดก็ฝืนข่มใจไม่สงสารลูกศิษย์”
หกกระบวนท่าผ่านไปแล้ว
เซวียไหวยังคงไม่ได้เปรียบใดๆ
ปณิธานหมัดของหกกระบวนท่ายังคงเหมือนเดิม อันที่จริงจึงถือว่าได้ปล่อยหมัดไปแค่หมัดเดียวเท่านั้น
แน่นอนว่าเซวียไหวไม่ได้โง่จนเป็นฝ่ายเปิดปากพูดเรื่องนี้ออกมาด้วยตัวเอง
เผยเฉียนยืนอยู่บนราวรั้วหยกขาว ยื่นนิ้วโป้งออกมาเช็ดคราบเลือดตรงมุมปากเบาๆ
กระบวนท่าสุดท้ายของเซวียไหวค่อนข้างจะประหลาด ทั้งๆ ที่หมัดเท้าของอีกฝ่ายหล่นลงบนความว่างเปล่าทั้งหมด แต่กลับสามารถสร้างให้มีจากไม่มี เผยเฉียนเกือบจะหลบไม่พ้น ได้แต่เอียงศีรษะหนี แต่กระนั้นก็ยังถูกพายุหมัดกรีดมาบนแก้ม
สุยโย่วเปียนที่ตอนนี้ยังคงมีพื้นฐานร่างกายของผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองถึงขั้นต้องหรี่ตาเพ่งมองถึงจะมองกระบวนท่าของสองฝ่ายได้อย่างชัดเจน
ไม่ถือว่าเซวียไหวใช้กลโกง
เพราะเซวียไหวไม่ได้ใช้วิธีการของผู้ฝึกลมปราณ มองดูเหมือนมีเทพแปดกรองค์หนึ่งคอยปกป้องผู้เฒ่า แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ใช่กายธรรมร่างทอง
วิชาหมัดของผูซานแห่งใบถงทวีป กระบวนท่าหมัดวิชาหมัดได้มาจากภาพเซียนเหริน ไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง ไม่ได้เป็นแค่ชั้นวางดอกไม้อะไรเท่านั้น
ส่วนตัวอ่อนเซียนกระบี่สองคนอย่างเฉิงเฉาลู่และอวี๋เสียหุย อันที่จริงก็แค่มาชมเรื่องสนุกเท่านั้น พวกเขาตาพร่าไปทีเดียวก็มองไม่เห็นเงาของเซวียไหวแล้ว กะพริบตาอีกทีก็เห็นว่าอาจารย์ผู้เฒ่าที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อได้ลากเอาเรือนกายสีเขียวที่เป็นมายาล่องลอยต่อกันไปเป็นทอดๆ ราวกับว่าในลานประลองยุทธของหอซ่าวฮวามีเซวียไหวหลายคนยืนอยู่ในเวลาเดียวกัน ทำให้ผู้ฝึกกระบี่ทั้งสองคนรู้สึกเพียงว่าหูตาพร่าลาย
เซวียไหวพอจะสงบใจได้บ้างแล้ว แม้จะมองออกว่าเผยเฉียนจงใจออมมือให้หลายส่วน แต่อย่างน้อยที่สุดการถามหมัดของผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดียวกันของทั้งสองคนก็ไม่ถือว่าศักยภาพแตกต่างกันมากเกินไป
ดูท่าแล้วอย่าว่าแต่สิบหมัดเลย ยี่สิบหมัดก็น่าจะเป็นไปได้แล้ว
เซวียไหวไม่ได้หยุดพัก เรือนกายเปล่งวูบหนึ่งครั้งก็ขยับเข้าประชิดตัวเผยเฉียนอีกครั้ง ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ในร่างกายไหลรินไปเร็วยิ่งกว่าเดิม
ครั้งนี้เซวียไหวเลือกที่จะแยกกระบวนท่าทั้งหกออก ทำลายระเบียบขั้นตอนของการออกหมัด นักสู้ในยุทธภพ หมัดกลัวคนหนุ่มแข็งแรงที่สุด การประลองของปรมาจารย์ หมัดกลัวคนเก่าแก่มีประสบการณ์ที่สุด
หากวิชาหมัดที่เป็นสมบัติก้นกรุถูกอีกฝ่ายค่อยๆ ทำความเข้าใจจนคุ้นเคย พลานุภาพจะถูกลดทอนลงไปมาก
หลังจากปล่อยหมัดที่เจ็ดออกไปแล้ว เซวียไหวก็พลันใช้กระบวนท่าหมัดที่ไม่ใช่ของผูซาน เขาเรียนรู้มาจากผู้อาวุโสคนหนึ่งที่พบเจอโดยบังเอิญในยุทธภพตอนเป็นเด็กหนุ่ม
เพียงแต่ว่าเผยเฉียนรับหมัดมาอย่างง่ายๆ ไม่มีท่าทางตระหนกลนเพราะเหตุนี้ หมัดที่แปดของเซวียไหวมองดูเหมือนแสดงความอ่อนแอ แสร้งทำเป็นว่าเรี่ยวแรงไม่พอใช้จนต้องเปลี่ยนลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ แต่เผยเฉียนไม่หลงกลขยับเข้าประชิดตัวอีกฝ่าย
หมัดที่เก้า เซวียไหวรวบรวมวิชาความรู้ทั้งหมดที่เรียนมาในชีวิตไว้ในหมัดนี้ ตอนนี้ยังไม่ได้ตั้งชื่อ คิดไว้ว่ารอให้เลื่อนเป็นขอบเขตเก้าก่อนค่อยว่ากัน เซวียไหวมองว่ามันคือกระบวนท่าหมัดที่ภาคภูมิใจที่สุดในชีวิต
คราวก่อนอริยะบู๊อู๋ซูมาเป็นแขกที่ผูซาน ได้เห็นหมัดนี้ บุคคลอันดับหนึ่งบนวิถีวรยุทธของใบถงทวีปที่ไม่เคยพูดจาเกรงใจมีมารยาทกับใครกลับให้คำวิจารณ์ไว้สูงมาก เอ่ยว่า ‘สูงเหนือสัจธรรมแห่งหมัดใกล้เคียงกับคาถาอาคม’
หมัดพุ่งออกไปเหมือนมังกรทะยาน ปณิธานหมัดปลดปล่อยพลังอำนาจยิ่งใหญ่ไพศาลประหนึ่งน้ำท่วมโถมทับหอซ่าวฮวา เป็นเหตุให้มีภาพบรรยากาศฟ้าดินเล็กของผู้ฝึกลมปราณ
ในเมื่อเซวียไหวปล่อยหมัดเก้าหมัดแล้ว
เผยเฉียนจึงไม่กดปณิธานหมัดบนร่างตัวเองอย่างยากลำบากอีก
ผู้ฝึกยุทธหญิงอายุน้อยพลันตั้งกระบวนท่าหมัดในเสี้ยววินาที ประหนึ่งเมฆคล้อยน้ำไหล ปณิธานหมัดทั่วร่างไม่ได้ไหลออกไปยังฟ้าดินนอกเรือนกายอย่างกำเริบเสิบสาน กลับกันยังคล้ายหดรวมกลายมาเป็นเมล็ดงาเมล็ดหนึ่ง ขณะเดียวกันปณิธานหมัดหนาข้นที่ราวกับกลบทับฟ้าดินบนหอซ่าวฮวาก็เหมือนเผ่าพันธ์เจียวหลงบนพสุธาที่เจอกับมังกรแท้จริงบนฟ้า ถึงกับถอยร่นหนีไปด้วยตัวเอง มาดุจน้ำท่วมทำนบ ไปดุจกระแสน้ำลง ย้อนกลับมามองปณิธานหมัดเมล็ดงาของเผยเฉียนกลับเหมือนแสงจันทร์ที่ลอยขึ้นบนมหาสมุทร
หมัดนี้ปล่อยออกไป ประหนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้รับคำสั่งให้พากันเรียกดวงจันทร์ลอยขึ้นฟ้า
เท้าหนึ่งของเผยเฉียนเหยียบลงพื้น ไม่มีความผิดปกติใดๆ เกิดขึ้นกับหอซ่าวฮวา ทว่าด้านล่างยอดเขาเจ๋อเซียนที่เว้นจากหอซ่าวฮวาแล้ว ฝูงนกในป่ากลับสยายปีกบินหนีแตกฮือกันไปคนละทิศคนละทาง ฝุ่นผงในป่าตลบคละคลุ้ง
หนึ่งคนหนึ่งหมัดตรงดิ่งไปเป็นเส้นตรง
เซวียไหวเหมือนหล่นลงไปในบ่อน้ำแข็ง ฝืนดึงกำลังใจเฮือกนั้นขึ้นมาถึงจะพอทำให้ตัวเองไม่หลับตา ไม่ถอยร่น ไม่หลบหนีได้ ถึงอย่างไรก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องหลบไม่พ้น
เย่อวิ๋นอวิ๋นหรี่ตาลง ถามเฉินผิงอันว่า “หมัดนี้คือวิชาลับไม่แพร่งพรายของภูเขาลั่วพั่วหรือ?”
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เอนหลังพิงราวรั้วอย่างเกียจคร้าน ส่ายหน้ายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่ใช่ ไม่เคยสอนมาก่อน เป็นกระบวนท่าหมัดที่เผยเฉียนคิดค้นขึ้นเอง”
หมัดหยุดอยู่ห่างใบหน้าของเซวียไหวไปหนึ่งฉื่อ เผยเฉียนก็พลันเก็บหมัดกลับคืน ถอยหลังไปสามก้าว ทำท่าจะพูดแต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอะไรมาก เผยเฉียนเพียงกุมหมัดเอ่ยว่า “ยอมให้แล้ว”
รอกระทั่งเบื้องหน้ากลับคืนมาสว่างไสวอีกครั้ง เซวียไหวก็ยังหวาดผวาไม่คลาย เหงื่อแตกพลั่กเต็มตัวในเสี้ยววินาที ประหนึ่งไปเดินผ่านด่านประตูผีมา สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ถอยไปด้านหลังห้าก้าว กุมหมัดคารวะกลับคืน เอ่ยเสียงทุ้มหนัก “ได้รับคำสั่งสอนแล้ว!”
ชุยตงซานรีบใช้เสียงในใจถามว่า “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ แอบคิดค้นกระบวนท่าหมัดใหม่อีกครั้งตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ไม่บอกกล่าวกันเลยสักนิด ทำเอาศิษย์พี่เล็กตกใจสะดุ้งโหยงเลยนะ”
เผยเฉียนเอ่ย “ก่อนหน้านี้ไม่นาน”
ระหว่างทางที่นั่งเรือเฟิงยวนกลับมาใบถงทวีปกับอาจารย์พ่อ มีคืนหนึ่งนางไปยืนอยู่ที่หัวเรือเพียงลำพัง เผยเฉียนมองดวงจันทร์เหนือมหาสมุทร มองดูเหมือนแค่เอื้อมมือก็แตะไปถึง แต่แท้จริงแล้วกลับอยู่ไกลเกินกว่าจะไขว่คว้า นางจึงเกิดแรงบันดาลให้ ทำให้มีหมัดใหม่เพิ่มมาอีกหนึ่งหมัด
เย่อวิ๋นอวิ๋นยืดเอวขึ้นตรงเล็กน้อย ต่อจากนี้ก็ถึงคราวที่ตนต้องถามหมัดกับเฉินผิงอันแล้ว
รอกระทั่งเซวียไหวเดินมาหยุดอยู่ด้านข้าง เย่อวิ๋นอวิ๋นก็ถามว่า “รอให้ในอนาคตเจ้าฝ่าทะลุขอบเขตเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตเก้า จะยังกล้าถามหมัดครั้งที่สองกับเผยเฉียนหรือไม่?”
เซวียไหวหัวเราะเสียงดังกังวาน “ทำไมจะไม่กล้าเล่า?! อาจารย์ถามแบบนี้ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย”
เย่อวิ๋นอวิ๋นพยักหน้าเอ่ยชื่นชม “ดีมาก! สามารถแพ้หมัดไม่แพ้คน ผู้ฝึกยุทธผูซานควรมีสภาพจิตใจเช่นนี้”
เผยเฉียนเดินมาหาอาจารย์พ่อ สีหน้าเหนียมอาย ยกมือเกาหัวด้วยความเคยชิน
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “โดยเฉพาะหมัดสุดท้าย ภาพบรรยากาศไม่เลวเลยทีเดียว”