กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 903.1 ไร้เรื่องก็สงบสุข
หลังจากเย่อวิ๋นอวิ๋นจากไปก่อน สุยโย่วเปียนก็ขี่กระบี่ทะยานลงจากภูเขาไปโดยไม่เอ่ยอะไรสักคำ มุ่งหน้าไปที่หาดลั่วเป่าที่อยู่ริมลำคลองชิงอีเพียงลำพัง
ส่วนฉิวตู๋นั้นพาเด็กสาวหูฉู่หลิงเดินเลียบเส้นทางบนสันเขาเดินเที่ยวไปบนยอดเขาเซียนตู
ระหว่างภูเขาลั่วพั่วกับภูเขาผูซาน การถามหมัดของปรมาจารย์สองครั้งทำให้หญิงชราได้เปิดโลกกว้าง
ประเด็นสำคัญคือคนที่ชนะหมัดไม่ลำพองใจ คนที่แพ้หมัดไม่หมดอาลัยตายอยาก ทำให้หญิงชรารู้สึกว่าล้ำค่าหาได้ยากยิ่ง
ผ่านประสบการณ์ที่อันตรายรายล้อมอยู่รอบด้านที่วังมังกรลำน้ำใหญ่มา แล้วได้มาเห็นมาดยามออกหมัดของเฉินผิงอันกับตาตัวเอง ทำให้หญิงชรามีความประทับใจที่ดีเยี่ยมต่อภูเขาเซียนตูลูกนี้
แหงนหน้ามองภูเขาสูง
แล้วนับประสาอะไรกับที่คนชุดเขียวยังเป็นเซียนกระบี่อีกด้วย
หญิงชราทอดสายตามองไปยังทิศไกล อยู่ดีๆ ก็อดรู้สึกทอดถอนใจขึ้นมาไม่ได้ ขุนเขาสายน้ำมีหรือที่คนธรรมดาจะวาดมันขึ้นมาได้ ฟ้าและดินยังคงเป็นอริยะที่แบ่งแยกความแตกต่าง
หญิงชราใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ชู่ชู่ อาจารย์จะพยายามช่วยให้เจ้าได้สถานะบนทำเนียบของภูเขาเซียนตูแห่งนี้มา แต่เรื่องนี้ไม่แน่เสมอไปว่าจะสำเร็จ”
หูฉู่หลิงพยักหน้า ไม่ถามด้วยซ้ำว่าทำไมอาจารย์ถึงเปลี่ยนใจกะทันหัน
หญิงชราลังเลเล็กน้อย เอ่ยเตือนว่า “ชู่ชู่ หากได้กลายเป็นผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์ที่แห่งนี้จริงๆ วันหน้าอย่าได้ทำอะไรเอาแต่ใจอีก เชื่อว่าเจ้าคงมองออกแล้วว่าเซียนกระบี่เฉินที่อายุน้อยท่านนั้น แม้ว่าจะเป็นคนดีมาก แต่เจ้าลองดูแม่นางเผยสิ ขอบเขตวิถีวรยุทธสูงถึงเพียงนั้น ตอนอยู่กับอาจารย์พ่อของนางกลับยังเคารพกฎเกณฑ์มากขนาดนั้น มีมารยาทไม่ขาดตกบกพร่อง ชุยเซียนซืออีกเดี๋ยวก็จะได้เป็นเจ้าสำนักของสำนักหนึ่งแล้ว อยู่ข้างกายอาจารย์ของเขาก็ยังเคารพนอบน้อมเหมือนกันไม่ใช่หรือ”
แต่สิ่งที่ทำให้หญิงชราวางใจและเชื่อมั่นในภูเขาเซียนตูได้อย่างแท้จริงล้วนไม่ใช่คำว่าเซียนกระบี่ เจ้าสำนัก หรือขอบเขตบินทะยานอะไรทั้งนั้น แต่เป็น…รอยยิ้มที่มาจากใจจริง
ยามที่เฉินผิงอันปฏิบัติต่อทุกคน และยามที่ทุกคนปฏิบัติต่อเฉินผิงอัน
ก็เหมือนอย่างเด็กสองคนที่ฉิวตู๋ยังไม่รู้ชื่อและสถานะ ดูเหมือนพวกเขาจะเคารพนับถือ พึ่งพาและใกล้ชิดสนิทสนมกับเซียนกระบี่เฉินอย่างที่มิอาจหาเหตุผลมาอธิบายได้
อันที่จริงนี่เป็นเรื่องที่ประหลาดมาก ในพรรคในสำนักอักษรจงของไพศาล ผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่ขอบเขตและความอาวุโสต่างจากพวกผู้เฒ่า หลายคนเวลาเจอผู้คุมกฎหรือผู้ถวายงานในศาลบรรพจารย์ระหว่างทาง บางทีแม้แต่จะทักทายก็ยังไม่กล้า ระมัดระวัง เคารพยำเกรง เหมือนถูกมัดมือมัดเท้า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยามพบเจอกับบรรพจารย์ท่านหนึ่งที่ก่อสำนักตั้งพรรคกลางทางเลย
ดวงตาคลอประกายน้ำเฉลียวฉลาดคู่นั้นของหูฉู่หลิงยิ้มหยีจนเป็นจันทร์เสี้ยว น้ำเสียงที่พูดก็อ่อนนุ่ม “ล้วนเชื่อฟังอาโผ (ท่านยาย)”
ยามอยู่กับฉิวตู๋ เด็กสาวยังคงชอบใช้ภาษาบ้านเกิดเรียกอาจารย์ของตัวเองว่าอาโผ
หญิงชราลูบศีรษะของเด็กสาว “ไม่รู้ว่าในอนาคตใครจะโชคดีได้แต่งชู่ชู่ของพวกเราไปเป็นภรรยานะ”
อืม เด็กรุ่นหลังที่ชื่อเฉาฉิงหล่างผู้นั้น มองดูแล้วก็ดีมาก
อีกทั้งเฉาฉิงหล่างยังเป็นลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของเซียนกระบี่เฉิน
หญิงชรามองชู่ชู่ หากว่าพวกเขาสองคนเป็นคู่สร้างคู่สมกันได้ ทั้งสองรักใคร่กลมเกลียวกัน นั่นก็ยิ่งดีเลย
คู่รักเทพเซียนอยู่เคียงข้างกันจนผมขาว มีลูกมีหลานเต็มบ้านเต็มเมือง…
หญิงชราหัวเราะกับตัวเอง
ทางฝั่งของหอซ่าวฮวา ชุยตงซานเอ่ยเตือนเด็กสองคนว่า “การถามหมัดสองครั้งในวันนี้ พวกเจ้าต้องเก็บเป็นความลับไว้นะ ห้ามบอกให้คนนอกรู้แม้แต่คำเดียว”
เฉิงเฉาลู่พยักหน้าตอบตกลง ส่วนเรื่องที่ว่าเพราะเหตุใด จะต้องสิ้นเปลืองสมองคิดเรื่องที่ไม่มีประโยชน์พวกนั้นไปทำไมกัน หากตนมีเวลาว่างเช่นนั้นก็สามารถเอามาฝึกหมัดเพิ่มได้อีกหนึ่งรอบแล้วยังทำอาหารได้อีกหนึ่งโต๊ะแล้ว
แต่อวี๋เสียหุยกลับเป็นพวกที่ชอบซักไซ้ให้รู้ถึงสาเหตุ จึงถามอย่างสงสัยว่า “นี่เป็นเรื่องดีนี่นา มีอะไรให้บอกคนอื่นไม่ได้กันเล่า?”
หากว่าอยู่ที่บ้านเกิดของตน ข้าผู้อาวุโสอาศัยความสามารถที่แท้จริงถามกระบี่ชนะใคร หากจะตีฆ้องร้องป่าวแล้วจะทำไม จะคุยโวบนโต๊ะเหล้า ใครจะมายุ่งกับข้าได้?
ชุยตงซานขมวดคิ้ว วางชายแขนเสื้อสีขาวหิมะข้างหนึ่งลงบนหัวไหล่ของอวี๋เสียหุย “หืม?!”
อวี๋เสียหุยถอนหายใจทันใด “จะทำตามที่เจ้าสำนักชุยบอก”
คราวก่อนพวกเขาเก้าคนได้ถูกห่านขาวใหญ่ผู้นี้ใช้วิชาอภินิหารจักรวาลในชายแขนเสื้อเก็บพวกเขาเข้าไปไว้ข้างใน นอกจากซุนชุนหวังแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็กล้ำกลืนความยากลำบากจนเต็มอิ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งป๋ายเสวียนที่ฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรง ทุกวันนี้เห็นชุยตงซานก็ราวกับเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น อวี๋เสียหุยเองก็ยังจดจำได้อย่างชัดเจน ไม่เป็นไร รอให้ข้าถามกระบี่ชนะชุยเหวยเมื่อไหร่ คนถัดไปก็คือห่านขาวใหญ่อย่างเจ้าแล้ว
ใบหน้าของชุยตงซานเต็มไปด้วยรอยยิ้ม อยู่ดีๆ ก็กอดคออวี๋เสียหุย เอาหัวมาชนกัน จากนั้นกดเสียงต่ำเอ่ยว่า “ในอนาคตคิดอยากจะถามกระบี่ชนะผู้คุมกฎชุยที่เป็นอาจารย์ของเจ้าก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว ยังอยากจะถามหมัดเจ้าสำนักเบื้องล่างอย่างข้าด้วย? ช่างใจกล้ายิ่งนัก มีปณิธาน นับถือๆ ทำไม ทุกวันนี้เจ้ามีจิตใจทะเยอทะยาน เพราะคิดว่าสักวันหนึ่งจะช่วงชิงตำแหน่งเจ้าสำนักไปจากข้าอย่างนั้นหรือ? ใครมอบดีหมีหัวใจเสือให้เจ้ากัน รีบเล่าให้ข้าฟังสิ?”
อวี๋เสียหุยร่างแข็งค้างในทันที รีบหันไปมองเฉินผิงอัน ตะโกนว่า “เจ้าสำนักชุยหากท่านยังใส่ร้ายคนอื่นส่งเดชแบบนี้ ข้าจะฟ้องใต้เท้าอิ่นกวานแล้วนะ!”
เฉินผิงอันหันหน้ามายิ้มเอ่ย “ในเมื่อสำนักเบื้องล่างของพวกเราคือสำนักกระบี่ อีกทั้งเจ้าก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ คิดอยากจะถามกระบี่กับพวกผู้อาวุโสอย่างเจ้าสำนักชุยก็ถือว่าเป็นกุญแจสำคัญในการฝึกตนบนภูเขาอยู่แล้ว เป็นวัตถุประสงค์ในการหลอมกระบี่ของพวกเจ้าพอดี มีอะไรให้กล้าหรือไม่กล้ากัน ข้าขอบอกไว้ตั้งแต่ตอนนี้เลยว่าวันหน้าไม่ว่าเจ้าจะเอาชนะอาจารย์ของเจ้า หรือเอาชนะเจ้าสำนักชุยได้ ข้าก็จะเลี้ยงเหล้าเจ้า”
อวี๋เสียหุยมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมทันที ต่อให้จะยังถูกห่านขาวใหญ่รัดคอ ก็ยังหัวเราะหึหึ “ใต้เท้าอิ่นกวาน งั้นเดี๋ยวข้าจะไปฝึกดื่มเหล้าให้คอแข็งก่อนนะ”
ได้ยินมาว่าร้านสุราขนาดเล็กที่บ้านเกิดมีการดื่มสุราร่วมโต๊ะกันหลายครั้ง ทว่าใต้เท้าอิ่นกวานกลับไม่เคยเมามาก่อน
แน่นอนว่าเถ้าแก่รองเป็นเจ้ามือก็ไม่เคยต้องขาดทุนมาก่อน
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “อันที่จริงข้าเองก็ไม่ได้คอแข็งหรอก แค่ว่าพวกผีขี้เหล้าที่ร้านคออ่อน ล้วนได้เพื่อนร่วมอาชีพคอยช่วยเหลือทั้งนั้น”
เฉิงเฉาลู่รู้สึกเสียดายเล็กน้อย หากว่าน่าหลันอวี้เตี๋ยอยู่ที่นี่ด้วยจะต้องจดถ้อยคำล้ำค่าดุจทองดุจหยกประโยคนี้ลงไปในสมุดบันทึกอีกเป็นแน่
ชุยตงซานทะยานลมออกไปจากหอซ่าวฮวา ยังมีกิจธุระยิบย่อยอีกมากมายที่รอให้เขาไปจัดการ
ระหว่างที่ทะยานลมไปแอบเหลือบไปเห็นหวงอีอวิ๋นกับอาจารย์เซวียที่เดินเท้าไปทางยอดเขามี่เซวี่ย
สังเกตเห็นเมฆขาวก้อนนั้น เย่อวิ๋นอวิ๋นก็เงยหน้าขึ้นโบกมือให้ชุยตงซาน
ชุยตงซานจุ๊ปากด้วยความประหลาดใจ ไม่เสียแรงที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางที่เพิ่งเลื่อนสู่ขั้นคืนความจริง
นอกจากนี้สภาพจิตใจของเย่อวิ๋นอวิ๋นก็เข้ากับภูเขาเซียนตูบ้านตนได้เป็นอย่างดี ใจกว้าง!
ลังเลอยู่เล็กน้อย ชุยตงซานก็พลันเกิดความคิดอยากจะพูดคุยกับหวงอีอวิ๋นเป็นการส่วนตัว ทะยานร่างไปว่องไวราวสายฟ้าแลบ เรือนกายสีขาวหิมะวาดเส้นโค้งอยู่กลางอากาศ พลิ้วกายลงบนเส้นทางหินเขียวระหว่างหน้าผา มาหยุดอยู่ด้านหลังหวงอีอวิ๋น ประสานมือคารวะยิ้มเอ่ย “ยินดีกับเจ้าขุนเขาเย่ด้วยที่พัฒนารุดหน้าไปอีกขั้นบนวิถีวรยุทธ”
เย่อวิ๋นอวิ๋นหยุดเท้ารออยู่นานแล้ว กุมหมัดคารวะกลับคืน เอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “โชคดีที่ได้เจ้าขุนเขาเฉินให้การช่วยเหลือ ไม่อย่างนั้นหากในอนาคตข้าต้องถามหมัดกับอู๋ซูจะต้องเป็นปัญหาใหญ่อย่างแน่นอน ไม่ทันระวังก็อาจมีจุดจบเช่นเดียวกับหวังฟู่ซู่แห่งอุตรกุรุทวีป”
ชุยตงซานถอนหายใจ ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
เย่อวิ๋นอวิ๋นยิ้มกล่าว “เจ้าสำนักชุยมีอะไรก็พูดมาตามตรงเถอะ ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่คนนอกกันอยู่แล้ว”
ชุยตงซานถึงได้เอ่ยว่า “บอกตามตรง หลังจากที่อาจารย์กลับมาจากใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็บาดเจ็บไม่เบา พูดถึงแค่ขอบเขตของวิถีวรยุทธก็ต้องหล่นจากคืนความจริงมาเป็นปราณโชติช่วง ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ถึงขั้นขอยาขนนกเตาหนึ่งมาจากเทพเซียนผู้เฒ่าลู่ยงแห่งตำหนักพยัคฆ์เขียวหรอก นี่เป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานมานี้เอง”
ในใจเย่อวิ๋นอวิ๋นสะท้านไหว ตอนที่เฉินผิงอันถามหมัดกับตน ถึงกับเป็นแค่ขั้นปราณโชติช่วง? นางรีบหันหน้าไปมองเซวียไหวทันที “ยาขนนกสองเตาที่ตำหนักพยัคฆ์เขียวมอบให้พวกเราก่อนหน้านี้ยังเหลืออีกกี่เม็ด? เจ้าส่งกระบี่บินไปถามผู้คุมกฎหรงหน่อย ไม่ว่าจะเหลืออีกกี่เม็ดก็เอามาให้หมด”
เซวียไหวตกตะลึงยิ่งกว่าเย่อวิ๋นอวิ๋นเสียอีก อาจารย์ผู้เฒ่ายากจะปิดบังสีหน้าตื่นตะลึงของตัวเองได้ การที่ผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งขอบเขตถดถอยไม่ใช่เรื่องเล็กเลย หาได้ยากยิ่งกว่าและรับมือได้ยากยิ่งกว่าการขอบเขตถดถอยของผู้ฝึกลมปราณเสียอีก ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ เจ้าขุนเขาเฉินก็ยังตอบตกลงที่จะถามหมัดกับอาจารย์
เจ้าขุนเขาเฉินสมกับเป็นวิญญูชนผู้เที่ยงตรงจริงๆ ทำอะไรเปิดเผยตรงไปตรงมา ใจกว้างอารี
มิน่าเล่าเจ้าขุนเขาเฉินที่อายุน้อยๆ ถึงสามารถใช้สถานะของผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นรับหน้าที่เป็นอิ่นกวานคนสุดท้ายอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้
เชื่อว่าด้วยนิสัยใจคอของเจ้าขุนเขาเฉิน อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่จะต้องมีชื่อเสียงและคำชื่นชมที่ดีอย่างแน่นอน
จำต้องยอมรับว่าทุกวันนี้ผูซานติดค้างน้ำใจใหญ่เทียมฟ้ากับภูเขาเซียนตู แต่การติดค้างน้ำใจที่เป็นเช่นนี้ ไยจะไม่ใช่เรื่องดีใหญ่เทียมฟ้าที่ได้แต่ปรารถนามิอาจได้มาครอบครองเล่า?!
แค่การถามหมัดที่หอซ่าวฮวาครั้งนี้ก็ได้ช่วยให้อาจารย์เลื่อนสู่ชั้นคืนความจริง ด้วยเหตุผลส่วนตัวแล้ว รากฐานของเรือนอวิ๋นฉ่าวผูซานจะยิ่งหนาแน่นมั่นคงกว่าเดิม ด้วยเหตุผลส่วนรวม สำหรับตลอดทั้งใบถงทวีปแล้วก็จะสามารถข่มขวัญผู้ฝึกตนต่างทวีปที่มีจิตใจชั่วร้ายได้มากกว่าเดิม ต่อให้อริยะบู๊อู๋ซูไม่อยู่ที่บ้านเกิด ขอแค่อาจารย์ทำขอบเขตให้มั่นคงได้ ต่อให้เป็นเซียนกระบี่ใหญ่อย่างสวีเซี่ยก็ยังต้องหวั่นเกรง มิกล้าถามกระบี่กับอาจารย์ง่ายๆ
ชุยตงซานรีบโบกมือ “ไม่ได้มาร้องทุกข์กับเจ้าขุนเขาเย่เพราะเรื่องนี้ มีเทพเซียนผู้เฒ่าลู่พิทักษ์ภูเขาชิงจิ้ง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ขาดยาขนนกของอาจารย์ข้า การที่ข้าบ่นเรื่องนี้ก็เหมือนอย่างที่เจ้าขุนเขาเย่พูด พวกเราต่างก็ถือเป็นคนกันเองแล้ว ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรกัน”
โชคดีที่หวงอีอวิ๋นเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบแล้ว หากยังเป็นเซียนดินก่อกำเนิด จุ๊ๆ คิดจะฝ่าทะลุคอขวดเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน นางก็ต้องเผชิญหน้ากับจิตมาร...
ผลลัพธ์ที่ตามมาจะต้องเลวร้ายจนมิอาจคาดเดาได้ คาดว่าอาจารย์คงจะต้องเพิ่มหนี้รักที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุอีกเรื่องเลยกระมัง
ชุยตงซานสะบัดชายแขนเสื้อ ยกมือเกาหน้า ถามเสียงเบา “เจ้าขุนเขาเย่ หากข้าจะขอสถานะผู้สืบทอดเรือนอวิ๋นฉ่าวผูซานของท่านมาสักตำแหน่งจะได้หรือไม่? แต่ว่าเรื่องนี้ เกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของข้า ผูซานอย่างมากสุดรู้ได้แค่สามคนเท่านั้น ท่าน เซวียไหว ผู้คุมกฎถานหรง”
“ไม่มีปัญหา”
เย่อวิ๋นอวิ๋นเป็นคนพูดเร็วทำเร็ว พยักหน้าตอบตกลงอย่างไม่มีลังเลแม้แต่น้อย
นางรู้ว่านี่เป็นปัญหาที่มาจากภาพเซียนเหรินภาพที่เจ็ดของผูซาน
คนทั้งสามเดินเท้าไปที่ยอดเขามี่เซวี่ยด้วยกัน ระหว่างนั้นต้องผ่านยอดเขาชิงผิงที่เป็นภูเขาบรรพบุรุษ เย่อวิ๋นอวิ๋นมีสีหน้าลำบากใจอย่างหาได้ยาก ลังเลอยู่นานกว่าจะเปิดปากถามหยั่งเชิงว่า “เจ้าสำนักชุย ขอละลาบละล้วงถามสักคำเถอะ อาจารย์ของเจ้าเขาฝึกหมัดอย่างไรกันแน่?”
ชุยตงซานสอดสองมือรองใต้ท้ายทอย เอ่ยเนิบช้าว่า “อยู่ที่บ้านเกิดอยู่ที่ต่างถิ่น อยู่ที่การเดินทางไกลอยู่ที่การเดินทางกลับ อยู่ในภูเขาอยู่นอกภูเขา อยู่บนโลกมนุษย์อยู่ในใจคน อยู่ในขุนเขาสายน้ำทอดยาว อยู่ในจักรวาลตะวันจันทรา อยู่ในสถานที่งดงามยิ่งใหญ่ของโลกมนุษย์ อยู่บนเส้นทางดินโคลนของวิถีทางโลก อยู่ในสถานที่ที่ผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ อยู่ที่ความหวังผิดหวังแล้วกลับมามีหวังใหม่อีกครั้ง อาจารย์ล้วนฝึกหมัดอยู่เพียงลำพัง ถามหมัดกับฟ้าดิน ถามหมัดกับตัวเอง”
หันหน้ามามอง สุดท้ายเด็กหนุ่มชุดขาวยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ดังนั้นอาจารย์ของข้าจึงไม่เคยมองเฉาสือเป็นศัตรูตัวฉกาจ เป็นศัตรูคู่แค้น หรือเป็นศัตรูคู่อาฆาต หมัดในใต้หล้ามีเฉาสือ บนเส้นทางวรยุทธเบื้องหน้ามีเฉาสือที่เป็นคนวัยเดียวกันเดินอยู่ ในสายตาของอาจารย์ก็คือความโชคดีอย่างใหญ่หลวง นี่จึงทำให้อาจารย์เดินขึ้นภูเขาได้สูงกว่าเดิม ฝีเท้าก้าวได้เร็วกว่าเดิม”
เย่อวิ๋นอวิ๋นได้ยินแล้วจิตใจก็สะท้านสะเทือน ความคิดพุ่งฉิวโบยบิน
เงียบไปครู่หนึ่งนางก็อดไม่ไหวถามว่า “มีรายงานของแผ่นดินกลางฉบับหนึ่งบอกว่าตอนที่เฉินผิงอันถามหมัดกับเฉาสือที่สวนกงเต๋อ ออกหมัดไม่ค่อย…พิถีพิถันสักเท่าไร? ตั้งแต่ต้นจนจบเอาแต่ต่อยใส่หน้าคนเขา?”
ชุยตงซานหันไปถ่มน้ำลายอีกด้านหนึ่ง “ผายลมน่ะสิ เป็นโจรชั่วคนใดที่กล้าใส่ร้ายอาจารย์ของข้าอย่างไร้จิตสำนึกเช่นนี้ ขาดคุณธรรมเกินไปแล้ว!”
เย่อวิ๋นอวิ๋นกึ่งเชื่อกึ่งกังขา
เฉินผิงอันที่อยู่บนหอซ่าวฮวาให้เผยเฉียนเลียนแบบหมัดของเย่อวิ๋นอวิ๋นกับเซวียไหว กระบวนท่ายืนท่าหมัดหกสิบกว่าท่า เผยเฉียนสามารถเลียนแบบได้เหมือนทางจิตวิญญาณถึงเจ็ดแปดส่วน
แม้แต่ท่าไม้ตายที่เป็นสมบัติก้นกรุหลายท่าของเย่อวิ๋นอวิ๋นกับเซวียไหว เผยเฉียนก็เรียนรู้ได้อย่างเข้าท่าเข้าที จิตวิญญาณเต็มเปี่ยม เทียบกับผู้สืบทอดของผูซานแล้วยังเหมือนผู้สืบทอดมากกว่า
นี่ทำให้เฉินผิงอันที่เดิมทีจะวางมาดของอาจารย์ ช่วยลูกศิษย์ตรวจสอบหาช่องโหว่ตกเข้าสู่สภาวะกระอักกระอ่วนพูดไม่ออก
เฉิงเฉาลู่รู้สึกว่าพี่หญิงเผยออกหมัดย่อมงดงามน่ามองอยู่แล้ว แต่ดูเหมือนว่าเวลาที่ใต้เท้าอิ่นกวานออกหมัดกับคนอื่นจะน่ามองยิ่งกว่า
ส่วนอวี๋เสียหุยนั้นรู้สึกว่าวันนี้ป๋ายเสวียนไม่อยู่ที่นี่ก็ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก
เผยเฉียนหยุดพัก หันหน้าไปมองอาจารย์พ่อ
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่เลว”
พาเผยเฉียนเดินไปที่ยอดเขาชิงผิงด้วยกัน เฉินผิงอันยิ้มถาม “ก่อนหน้านี้เจ้าอยากจะพูดอะไรหรือ?”
เผยเฉียนกล่าว “การประลองระหว่างข้ากับอาจารย์เซวีย หมัดสุดท้ายนั้น อาจารย์เซวียไม่ควรยืนนิ่งไม่ขยับ คล้ายกับยืนเฉยรอความตายเช่นนั้น ในฐานะผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ข้าคิดว่าทำแบบนี้ไม่ถูก อันที่จริงตอนนั้นที่ถามหมัดเสร็จ ข้าก็อยากจะพูดแล้ว เพียงแต่รู้สึกว่าอาจารย์เซวียคือผู้อาวุโส อีกทั้งยังมีคนนอกหลายคนอยู่ด้วย ข้าเลยไม่กล้าพูด”
เฉินผิงอันยิ้มไม่เอ่ยอะไร
เผยเฉียนจึงรู้สึกว่าเกินครึ่งตนคงต้องพูดผิดอีกเป็นแน่
“เหตุผลข้อนี้ดีมาก ควรจะพูดกับอาจารย์เซวียจริงๆ”
เฉินผิงอันพยักหน้า “แต่ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดในตอนนั้น ดังนั้นความลังเลของเจ้าที่ทำให้สุดท้ายไม่ได้เปิดปากออกไป ถือว่าเหมาะสมแล้ว ตามความเห็นของอาจารย์พ่อ บางทีนี่อาจจะถูกยิ่งกว่าตัวของเหตุผลที่ถูกต้องนี้เสียอีก”
เผยเฉียนประหลาดใจอย่างมาก เป็นเหตุให้เผยสีหน้าเขินอายอย่างที่ไม่ค่อยพบเห็นได้บ่อยนัก
ถ่านดำน้อยในปีนั้น จนมาถึงเผยเฉียนในวันนี้ นางเชื่อมั่นในเรื่องหนึ่งมาโดยตลอด
หลักการเหตุผลดีๆ ในใต้หล้าล้วนอยู่ที่อาจารย์พ่อทั้งหมด
ส่วนตัวนางเองจะรู้เหตุผลหลักการกะผายลมอะไรเล่า