กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 904.3 นกกระเรียนโดดเดี่ยวแห่งฟ้าดิน
หากจะบอกว่าเงินทองบนโลกคือฝนใหญ่ที่ตกลงมาครั้งหนึ่ง มองดูเหมือนว่าสามารถมุดลอดลงไปได้ทุกร่องทุกรู ไปได้ทุกที่ทุกแห่งหน ทว่าอำนาจกลับเป็นหิมะใหญ่ครั้งหนึ่ง ฝั่งตรงข้ามนอกประตูมีหิมะกองทับถม คนในประตูที่ได้เห็นย่อมเกิดความหวาดกลัว เพราะมันสามารถทำให้คนหนาวตายได้จริงๆ
หากไม่เป็นเพราะได้รับคำสั่งบางอย่างมาจากต้าหลงชิว ทุกวันนี้เฉวียนชิวชิงที่อยู่กับศิษย์พี่หลินฮุ่ยจื่อก็ไม่มีทางกล้า ‘ล่วงเกินส่งเดช’ เช่นนี้แน่นอน
คานบนไม่ตรงคานล่างเอียง
โต๊ะหินใต้ต้นสนโบราณมีเศษซากกระดานหมากเหลือทิ้งไว้
บุรุษวัยกลางคนที่มีสีหน้าเคร่งขรึมตามธรรมชาติคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างโต๊ะ มองสถานการณ์หมากที่เล่นไม่จบ เขายื่นนิ้วไปคีบเม็ดหมากจากความว่างเปล่า ทันใดนั้นก็มีเม็ดหมากใหม่เอี่ยมโผล่ขึ้นมา จำแลงร่างขึ้นบนตำแหน่งเดิมของกระดานหมาก ส่วนเม็ดหมากในมือของบุรุษกลับสลายหายไปด้วยตัวเอง สถานการณ์หมากเก่าแก่ยังคงเป็นเหมือนเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง
กราบไหว้ดวงจันทร์หลอมลมปราณ ชักนำดวงดาว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นฝีมือของเซียนเหริน
เป็นเหตุให้บนโต๊ะนี้เป็นทั้งสถานการณ์หมากหนึ่งกระดาน แล้วก็เป็นทั้งตำราหมากหนึ่งเล่ม ยิ่งเป็นค่ายกลค่ายหนึ่ง
บนโต๊ะมีเม็ดหมากอยู่แค่แปดสิบเอ็ดตัว หากวางเม็ดหมากลงไปหนึ่งร้อยแปดตัวก็จะกลายเป็นค่ายกลใหญ่สมบูรณ์แบบที่ครบทั้งฟ้าอำนวยและดินอวยพร
นี่ก็เหมือนพวกคนที่เก็บสะสมของเก่าแก่โบราณ หากรูปร่างไม่สมบูรณ์ ราคาก็จะต่างกันมาก ยกตัวอย่างเช่นจอกเทพีบุปผาสิบสองใบครบชุดที่สร้างขึ้นด้วยกรรมวิธีลับของพื้นที่มงคลร้อยบุปผา หากเก็บสะสมมาได้แค่สิบเอ็ดใบ ต่อให้จะขาดจอกเทพีบุปผาไปแค่ใบเดียว ราคาก็อาจต่างจากเดิมถึงหนึ่งเท่าตัว
ครั้งนี้บุรุษเดินทางข้ามทวีปมาเยือนเสี่ยวหลงชิวก็พอจะถือว่าเป็นการมาเยือนสถานที่เดิมได้อย่างถูไถ ก็แค่ว่าวัตถุคงเดิมแต่คนไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
ปีนั้นอาจารย์เคยประลองหมากล้อมกับเซียนเหรินหนุ่มคนหนึ่งที่นี่ ก็คือเจ้าสำนักว่านเหยาของพื้นที่มงคลสามภูเขาคนปัจจุบันอย่างหันเจี้ยงซู่
ได้ยินมาว่าทุกวันนี้คนผู้นี้คิดจะสร้างสำนักเบื้องล่าง เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงได้ถ่วงเวลามานานจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวอย่างจริงจังสักที
ตามหลักแล้วด้วยรากฐานอันแน่นหนามั่นคงของพื้นที่มงคลสามภูเขา การสืบทอดยาวนานของสำนักว่านเหยา บวกกับตบะขอบเขตของตัวหันเจี้ยงซู่เอง การก่อตั้งสำนักเบื้องล่างมีแต่จะเป็นเรื่องที่น้ำมาคูคลองก่อเกิดสำเร็จ
ปีนั้นการที่เขาติดตามอาจารย์ข้ามทวีปเดินทางไกลก็เพียงแค่เพื่อมาพบอาจารย์ของหลินฮุ่ยจื่อ
ต้าหลงชิวในเวลานั้นฝากความหวังไว้กับนางมาก หวังว่านางที่อยู่ในใบถงทวีปจะสามารถใช้เสี่ยวหลงชิวเป็น ‘สถานที่มังกรลุกผงาด’ รอกระทั่งนางได้เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนก็จะสามารถก่อตั้งสำนักเบื้องล่างได้อย่างสมเหตุสมผล
ตามกฎที่ศาลบุ๋นตั้งไว้ในอดีต การแตกกิ่งก้านทำเนียบรองของบนภูเขา เทียบกับลำดับวงศ์ตระกูลของล่างภูเขาแล้วมีความเข้มงวดมากยิ่งกว่า ยกตัวอย่างเช่นหากคิดจะก่อตั้งสำนักเบื้องล่างไว้ที่ทวีปอื่น บรรพจารย์ผู้บุกเบิกภูเขาของสำนักเบื้องล่างจะต้องเป็นคนในท้องถิ่นที่ได้เป็นก่อกำเนิด จากนั้นฝ่าทะลุขอบเขตเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน ไม่ใช่ว่าแค่สำนักเบื้องบนส่งผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบมาสักคนก็สามารถก่อสำนักตั้งพรรค แตกกิ่งก้านสาขาได้ง่ายๆ
อีกทั้งการที่คนต่างถิ่นมาก่อตั้งสำนักถือเป็นข้อห้ามใหญ่ จะถูกคนในพื้นที่ขับไล่ผลักไสอย่างหนัก เพราะถึงอย่างไรก็เป็นกองกำลังจากต่างถิ่น หากก่อสำนักขึ้นมาจะต้องแบ่งน้ำแกงถ้วยหนึ่งไป สูบกลืนปราณวิญญาณของขุนเขาสายน้ำที่อยู่รอบด้านและโชคชะตาบนมหามรรคาไปดั่งปลาวาฬสูงน้ำ ก็เหมือนอย่างสำนักพีหมาของอุตรกุรุทวีปที่ช่วงแรกของการก่อตั้งก็เต็มไปด้วยอุปสรรคไม่ขาดสาย คนบาดเจ็บล้มตายกันไปเยอะมาก กว่าจะหยัดยืนได้อย่างมั่นคงอยู่ที่ชายหาดโครงกระดูกได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ผลคือต้องไปเจอเพื่อนบ้านอย่างหุบเขาผีร้าย ถูกสำนักใหญ่แห่งต่างๆ ของแผ่นดินกลางมองเป็นการค้าขายที่ขาดทุนมาโดยตลอด และมักจะยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างของผลลัพธ์ที่ย่ำแย่เสมอ
หรือยกตัวอย่างเมื่อหลายปีก่อนสำนักกุยหยกได้เลือกสถานที่แห่งหนึ่งที่ชื่อว่าทะเลสาบซูเจี่ยนของแจกันสมบัติทวีปมาก่อตั้งสำนักเจินจิ้งได้สำเร็จ สวินยวนเจ้าสำนักผู้เฒ่าได้ส่งตัวเจียงซ่างเจินและเหวยอิ๋งให้ไปรับหน้าที่เป็นเจ้าสำนักของสำนักเบื้องล่าง และผู้ฝึกตนสองคนนี้ ภายหลังก็ได้ทยอยกันมาเป็นเจ้าสำนักของสำนักเบื้องบน
คิดถึงความพยศยากกำราบของเจียงซ่างเจิน คิดถึงเหวยอิ๋งที่เป็นคนมากความสามารถถึงเพียงนั้น ผลคือไปอยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยนก็ยังต้องยอมถอยให้กับราชวงศ์สกุลซ่งต้าหลีครั้งแล้วครั้งเล่า
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นหลักฐานที่พิสูจน์ให้เห็นว่าการก่อตั้งสำนักเบื้องล่างนั้นไม่ง่าย และหากคิดจะหยัดยืนให้มั่นคงก็ยิ่งยากมากกว่า
เป็นเหตุให้ในประวัติศาสตร์มีสำนักใหญ่ของแผ่นดินกลางมากมายที่คิดอยากจะไปก่อตั้งสำนักเบื้องล่างอยู่ในทวีปอื่น ผู้ที่ทำสำเร็จ ในสิบคนมีอยู่แค่สองสามคน และในสองสามคนนี้เกินครึ่งก็ล้วนมิอาจสืบทอดควันธูปได้นานเป็นพันปี นี่ก็เหมือนลูกหลานขุนนางที่ได้รับบรรดาศักดิ์สืบทอดกันมาหลายยุคหลายสมัยที่ต้องไปเป็นขุนนางอยู่ต่างถิ่น ส่วนใหญ่ก็มักจะต้องเจอกับอุปสรรค เจอตะปูอ่อนต่อเนื่อง สุดท้ายคนที่สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างคนรุ่นพ่อ กลายเป็นบุคคลที่อยู่ในจุดศูนย์กลางของราชสำนักได้ก็ยังคงมีจำนวนน้อยอยู่ดี
เฉวียนชิงชิวพาจางหลิวจู้เดินเท้ามาถึงที่แห่งนี้ด้วยกัน “ชิงชิวคารวะบรรพจารย์ลุง”
ก่อนที่จางหลิวจู้จะทำการคำนับด้วยพิธีการใหญ่กลับเรียกอีกฝ่ายด้วยความเคารพก่อนว่าหลงหรานเซียนจวิน
บุรุษเอ่ยกับเค่อชิงอันดับหนึ่งของล่างภูเขาผู้นี้ว่า “สหายสุ่ยเซียน เจ้าสามารถกลับไปก่อนได้”
ก่อกำเนิดเฒ่าตกใจที่ได้รับความเมตตาโดยไม่คาดฝัน เอ่ยขอตัวอำลา ถอยหลังไปสามก้าวแล้วค่อยหมุนตัวจากไป เดินห่างไปไกลมากแล้วถึงได้กล้าทะยานลมออกไปจากภูเขาบรรพบุรุษ
ซือถูเมิ่งจิงเอ่ยว่า “นั่งเถอะ”
เฉวียนชิงชิวรีบนั่งลงทันใด
ในระบบสืบทอดของภูเขาต้าหลงชิว บิดามารดาของเฉวียนชิงชิวคือคู่รักบนภูเขาคู่หนึ่ง และเซียนเหรินที่อยู่ตรงหน้าท่านนี้ก็คืออาจารย์ผู้ถ่ายทอดมรรคาให้กับคู่รักคู่นั้นพอดี
เนื่องจากความสัมพันธ์ในชั้นนี้ ดังนั้นซือถูเมิ่งจิงจะถูกผู้ฝึกตนของเสี่ยวหลงชิวมองว่าเขามาเพื่อช่วยหนุนหลังให้กับเฉวียนชิงชิว ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลดีแล้ว
ส่วนอาจารย์ของหลินฮุ่ยจื่อกับเฉวียนชิงชิวนั้น พอมาถึงใบถงทวีป ในอดีตก็ได้ฝ่าทะลุขอบเขตเลื่อนขั้น ทว่าตอนที่เป็นขอบเขตก่อกำเนิดกลับถูกความรักถ่วงรั้ง มิอาจเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบได้ จิตมารก่อกวน การปิดด่านจึงล้มเหลว ล่างภูเขาเรียกว่ากลิ่นหอมจางหายหยกแตกสูญ ส่วนบนภูเขาเรียกว่ากายดับมรรคาสลาย
สตรีที่น่าสงสารได้เจอกับบุรุษเลวทราม ทรยศต่อความรักความจริงใจของนาง ทว่าก็เคยเป็นสตรีสิบห้าสิบหกเอวบางร่างน้อยดุจกิ่งหลิวที่ส่ายไหวนุ่มนวล
ซือถูเมิ่งจิงถาม “เฉวียนชิงชิว ปีนั้นเจ้าเคยสมคบคิดกับเผ่าปีศาจเปลี่ยวร้างหรือไม่?”
เฉวียนชิงชิวสีหน้าเป็นปกติ น้ำเสียงสงบเยือกเย็น “บรรพจารย์โปรดวางใจ ไม่มีเรื่องเช่นนี้แน่นอน”
เซียนเหรินใต้ต้นสนไม่ต้องเอ่ยถ้อยคำ ก็มีเสียงคลื่นสนพัดเป็นระลอกดุจเสียงจากสวรรค์
เฉวียนชิงชิวเอ่ยอย่างเสียดายว่า “การฝึกตนในชีวิตนี้ของศิษย์พี่หลินราบรื่นเกินไป จิตแห่งมรรคาจึงไม่มั่นคงมากพอ ปิดด่านสองครั้งล้วนล้มเหลว เป็นเหตุให้ไม่มีความมั่นใจในเรื่องของการฝ่าทะลุขอบเขต มักรู้สึกว่าเป็นขีดจำกัดของตัวเองแล้ว บวกกับที่ถูกหวงถิงฟันไปหนึ่งกระบี่ แน่นอนว่าต้องยิ่งหมดหวังแล้ว บรรพจารย์ลุง อีกเดี๋ยวศิษย์พี่หญิงหลินก็จะมาแล้ว บรรพจารย์ลุงช่วยโน้มน้าวนางสักคำสองคำได้หรือไม่ ช่วยให้นางตื่นจากฝันเสียที”
เซียนดินก่อกำเนิด อายุขัยบนโลกมนุษย์แปดร้อยปี
บวกกับมีวิธีการต่ออายุขัยบางอย่าง บนภูเขาจึงมีคำว่า ‘พันสารท’ (พันปี)
ส่วนการที่บนภูเขาเพิ่มคำว่า ‘หมื่นปี’ ต่อท้ายคำว่าพันสารท ที่บอกว่า ‘พิสูจน์มรรคาเป็นอมตะ มีอายุขัยยืนยาวอยู่ร่วมกับฟ้าดิน’ นั้น ก็คือวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ที่มีเพียงผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ในตำนานเท่านั้นถึงจะทำได้
เห็นว่าบรรพจารย์ลุงไม่เอ่ยอะไร เฉวียนชิงชิวก็ใคร่ครวญหาถ้อยคำที่เหมาะสมอย่างระมัดระวัง เอ่ยเนิบช้าว่า “หากศิษย์พี่หญิงต้องการจะรักษาสถานะเจ้าขุนเขาไว้ให้ได้จริงๆ ก็สามารถพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมาได้ ไม่จำเป็นต้องสาดน้ำสกปรกใส่ข้ายามพูดคุยกับบรรพจารย์ลุง การประชุมในศาลบรรพจารย์ของเสี่ยวหลงชิวก็ดี การรายงานไปยังบรรพจารย์ทั้งหลายของต้าหลงชิวโดยบอกว่าข้าพยายามจะแย่งชิงตำแหน่งของนางก็ช่าง อันที่จริงก็ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรเมื่อปิดประตูลงก็ล้วนเป็นคนบ้านเดียวกัน บรรพจารย์ลุงกับเหล่าบรรพจารย์ของสำนักเบื้องบนต่างก็ฉลาดเฉียบแหลม ย่อมต้องตัดสินอย่างเป็นธรรม”
“เพียงแต่ไม่ว่าอย่างไรข้าก็คิดไม่ถึงว่า หลินฮุ่ยจื่อจะถึงขั้นใช้วิธีต่ำช้าเช่นนี้มารักษาตำแหน่งเจ้าขุนเขาเอาไว้ ทำลายชื่อเสียงของข้าไม่ถือเป็นอะไรได้ แต่เดือดร้อนให้สำนักเบื้องบนถูกสำนักศึกษาหรืออาจถึงขั้นศาลบุ๋นกล่าวโทษ ถึงเวลานั้นหากแพร่ออกไป ข่าวลือพวกนั้นแพร่กระจายไปทั่ว ผลลัพธ์ที่ตามมาย่อมร้ายแรงจนมิอาจคาดเดา แล้วนับประสาอะไรกับที่ทุกวันนี้รายงานภูเขาสายน้ำได้ถูกยกเลิกคำสั่งห้ามแล้ว ตระกูลเซียนที่อิจฉาสำนักเบื้องบนต้องคอยผลักดันคลื่นอยู่อย่างลับๆ แน่นอน หากเอาเรื่องนี้ไปป่าวประกาศให้รู้กันทั่ว การกระทำเช่นนี้ของศิษย์พี่หญิงหลินก็จะกลายเป็นโทษมหันต์ที่มิอาจอภัย เดิมทีก็เป็นการทรยศเนรคุณอยู่แล้ว ผิดต่อการอบรมปลูกฝังที่ทางสำนักมีให้ ไม่ต่างจากการตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้น!”
“หลินฮุ่ยจื่อผู้นี้เสียสติไปแล้วจริงๆ”
เซียนเหรินรับฟังถ้อยคำด้วยสีหน้านิ่งสงบเป็นปกติ เพียงแค่จ้องเศษซากกระดานหมากเงียบๆ
บิดามารดาของเฉวียนชิงชิวผู้นี้ ลูกศิษย์ทั้งสองของเขาพูดไม่เก่งเหมือนบุตรชายของพวกเขา
ซือถูเมิ่งจิงพลันยื่นมือออกมากวัก กำเข็มสนกำมือหนึ่งไว้ในฝ่ามือ ฝ่ามือเสียดสีกับเข็มสนเบาๆ พอแบมือออกอีกครั้งเข็มสนก็แหลกสลายเป็นเศษผงที่ปลิวกระจายไปทั่ว มีแสงยันต์เป็นประกายแทรกซอนอยู่ด้านใน ผิดแผกไปจากปกติทั่วไป
เฉวียนชิงชิวไม่กล้าพูดอะไรมาก เกรงว่าจะเป็นการวาดงูเติมขา ทำให้บรรพจารย์ลุงท่านนี้รังเกียจ
ต้าหลงชิวใครบ้างไม่รู้ว่าบรรพจารย์ท่านนี้ชื่นชอบความสงบเป็นที่สุด รังเกียจความวุ่นวายมากที่สุด
ในที่สุดซือถูเมิ่งจิงก็เปิดปากเอ่ย “หลังเจ้าจากไป ก็ไปบอกกับหลินฮุ่ยจื่อว่าให้นางปิดด่านต่อไป”
เฉวียนชิงชิวแอบยินดีอยู่ในใจ ลุกขึ้นขอตัวอำลา ได้รับคำสั่งนี้จากบรรพจารย์ลุง สถานการณ์ใหญ่ก็มั่นคงดีแล้ว การที่หลินฮุ่ยจื่อปิดด่านไม่ยอมออกมาต้องทำให้ในใจบรรพจารย์ลุงท่านนี้ไม่สบอารมณ์แน่นอน
หลังจากที่เฉวียนชิงชิวจากไป ซือถูเมิ่งจิงก็ลุกขึ้นยืน ต้นสนโบราณแม้จะเป็นต้นไม้เก่าแก่ที่ผ่านลมผ่านฝนมายาวนาน แต่กระนั้นก็ยังมีชีวิตชีวา น่าเสียดายที่คนวัยเยาว์ไม่สนใจคนแก่ชรา
เซียนเหรินท่านนี้เป็นลูกหลานตระกูลชั้นสูง อีกทั้งยังเป็นคนเกเร ทำอะไรตามแต่ใจ สวมชุดสีสดควบม้ากลางตลาด วางอำนาจบาตรใหญ่ ภายหลังน่าจะถือว่าเป็นคนเสเพลที่กลับใจ โชคดีที่ไม่ได้เอาหัวไปทิ้งในชีวิตเกกมะเหลกเกเร
เซียนเหรินใช้มือจับประคองต้นสน หันหน้าไปมองยังกระท่อมที่อยู่ห่างไปไกล ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “หวงถิง มาพบกันที่นี่หน่อยได้หรือไม่?”
หวงถิงใช้ชายชุดคลุมอาคมห่อเผือกร้อนกองเล็กๆ พอเดินออกมาจากกระท่อมก็หดย่อพื้นที่ เดินก้าวเดียวมาถึงใต้ต้นสน นางนั่งลงบนเก้าอี้หินโดยตรง ปอกเปลือกเผือกหลายลูกออก โยนเข้าปากในเวลาเดียวกัน แก้มพองโป่ง พูดเสียงอู้อี้ “ว่ามาเถอะ จะตีกันตรงไหน ให้เจ้าเป็นคนเลือกสถานที่ ข้าตกลงได้หมด”
ซือถูเมิ่งจิงนั่งลงตรงข้ามโต๊ะหิน ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “เรื่องที่เฉวียนชิงชิวละโมบต้องการท่วงทำนองของคันฉ่องแสงจันทร์ภูเขาไท่ผิงเองโดยพลการ พยายามจะช่วงชิงซากปรักที่ตั้งภูเขาไท่ผิง ข้าต้องขอโทษเจ้าแทนศาลบรรพจารย์ต้าหลงชิวด้วย หากไม่เป็นเพราะเจ้าอยู่ที่เสี่ยวหลงชิวพอดี ข้าจะต้องเดินทางไปเยือนถึงที่เพื่อขออภัยด้วยตัวเองแน่นอน”
หวงถิงหัวเราะหยัน “ซากปรัก?”
เซียนเหรินกล่าว “เป็นข้าพูดผิดไป ขออภัยเจ้าอีกครั้ง”
หวงถิงเอ่ย “เก็บเฉวียนชิงชิวไว้ก็คือภัยร้าย เรื่องบางอย่างขอแค่ทำลงไปแล้วก็จะกลายเป็นกระดาษที่ห่อไฟไม่มิด”
ซือถูเมิ่งจิงกล่าว “ข้ากำลังหาหลักฐาน เพียงแต่ได้ผลไม่ดีนัก”
อันที่จริงเมื่อหนึ่งปีก่อน เขาก็เคยมาที่อาณาเขตของเสี่ยวหลงชิว อาศัยตบะของเซียนเหรินเข้ามายังที่แห่งนี้เหมือนมาเยือนดินแดนไร้คน ต่อให้เป็นการถามกระบี่ของหวงถิงครั้งนั้น ซือถูเมิ่งจิงก็ไม่ได้ลงมือขัดขวาง
หากไม่เป็นเพราะมีความสัมพันธ์กับอาจารย์ผู้มีพระคุณของหลินฮุ่ยจื่อ ก็คงไม่ใช่ซือถูเมิ่งจิงที่มาหาเบาะแสที่นี่แล้ว แต่ต้องเป็นศิษย์น้องที่เป็นผู้คุมกฎที่จะมาเยือนที่แห่งนี้
แต่หากจะบอกว่าให้ใช้วิธีการโหดเหี้ยมอย่างการกักดวงวิญญาณพลิกค้นความทรงจำ เขาก็รู้สึกลำบากใจ หนึ่งเพราะผู้ฝึกตนของต้าหลงชิวไม่เชี่ยวชาญวิชานี้ ยากจะรับประกันได้ว่าจะไม่ทำลายรากฐานมหามรรคา หากเป็นการเข้าใจผิดกันไปเอง ไม่ต้องพูดถึงพ่อแม่ของเฉวียนชิงชิวที่จะต้องไปอาละวาดเอาเรื่องที่ศาลบรรพจารย์ต้าหลงชิว ลองคิดว่าถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง เกรงว่าต่อให้เป็นซือถูเมิ่งจิงก็คงจะต้องเคียดแค้นสำนักเบื้องบนเพราะสาเหตุนี้ อีกอย่างฝ่ายในของศาลบรรพจารย์ต้าหลงชิวก็มีคนจำนวนน้อยนิดที่มีความเห็นไม่ตรงกัน บ้างก็หวังว่าจะโชคดี ในเมื่อเสี่ยวหลงชิวไม่ได้ออกหน้าทำเรื่องสกปรก อีกทั้งไม่เคยทำร้ายขุนเขาสายน้ำของใบถงทวีปเลยแม้แต่น้อย ถ้าอย่างนั้นไยต้องระดมกำลังใหญ่โต คำกล่าวโบราณก็บอกไว้แล้วไม่ใช่หรือว่า หากดูแค่การกระทำ เช่นนั้นบ้านคนยากจนย่อมไม่มีบุตรกตัญญู หากดูแค่ที่จิตใจ นับแต่โบราณมาก็ไร้คนสมบูรณ์แบบ
เจ้าสำนักลำบากใจทั้งสองทาง
ทว่าซือถูเมิ่งจิงกับศิษย์น้องที่เป็นผู้คุมกฎกลับอยากสืบสาวราวเรื่องให้รู้แน่ชัดกันไป
หวงถิงถาม “หากหาหลักฐานเจอแล้วจะทำอย่างไร?”
ซือถูเมิ่งจิ่งเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “ข้าจะจัดการเก็บกวาดบ้านให้สะอาด แล้วยังจะรายงานเรื่องนี้ให้ทางสำนักศึกษาทราบ มอบให้ศาลบุ๋นบันทึกลงเอกสารด้วยตัวเอง”
หวงถิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ซือถูเมิ่งจิงพลันเอ่ยว่า “กลัวก็แต่ว่าหลินฮุ่ยจื่อจะเลอะเลือนเหมือนกัน”
หากเฉวียนชิงชิวเคยสมคบคิดกับกระโจมทัพเปลี่ยวร้างมาก่อนจริงๆ เขาตายไปก็ไม่น่าเสียดาย
แต่หากหลินฮุ่ยจื่อก็ทำด้วย ซือถูเมิ่งจิ่งจะต้อง…เสียใจอย่างถึงที่สุด
หวงถิงตะลึงพรึงเพริด ประหลาดใจอย่างมาก นางไม่เคยคิดมาก่อนจริงๆ ว่าหลินฮุ่ยจื่อจะแอบสมคบคิดกับกระโจมทัพของเปลี่ยวร้างด้วย ต่างก็พูดกันว่าเรื่องน่าอายในบ้านไม่เอาไปแพร่งพรายภายนอก บรรพจารย์ของต้าหลงชิวท่านนี้กลับไม่ยึดติดกรอบประเพณีเก่าๆ
นางพลันเปลี่ยนมามีความประทับใจอันดีต่อต้าหลงชิวอีกหลายส่วน
ตามหลักแล้วต้าหลงชิวในแผ่นดินกลางผลิตช่างทำกระจกฝีมือเป็นเอก ผูกขาดการค้า สำนักที่เป็นเช่นนี้แทบไม่มีสักแห่งที่ทั่วร่างจะไม่เหม็นกลิ่นสาบเหรียญทองแดง
ซือถูเมิ่งจิงคลี่ยิ้มอย่างที่หาได้ยาก มองไปยังนักพรตหญิงอายุน้อยที่ขอบเขตยังไม่สูง แต่ชื่อเสียงกลับไม่น้อยตรงหน้า “เป็นผู้ฝึกตนกับเป็นเจ้าสำนักน่ะคนละเรื่องกันเลย”
ดังนั้นปีนั้นเขาถึงได้ปฏิเสธที่จะรับสืบทอดตำแหน่งเจ้าขุนเขาของต้าหลงชิว
ส่วนหวงถิงที่อยู่ตรงหน้า หากไม่ผิดไปจากที่คาด อีกไม่นานนางก็จะต้องเป็นเจ้าสำนักคนใหม่ของภูเขาไท่ผิงแล้ว
“ต่อให้เซียนกระบี่เฉินไปที่ต้าหลงชิวของพวกเราก็ยังถือเป็นแขกผู้มีเกียรติชั้นหนึ่ง แล้วไยต้องทำอะไรลับๆ ล่อๆ เช่นนี้ด้วย”
สีหน้าของซือถูเมิ่งจิงปั้นยาก ถอนหายใจ รู้สึกอ่อนใจเป็นทบทวี
เรือนกายจิตหยินที่ล่องลอยเป็นภาพมายาออกจากช่องโพรงเดินทางไปทั่วภูเขารอบด้านมาแล้วรอบหนึ่งก็กลับเข้ามาในร่างจริงของเซียนเหรินอีกครั้ง
ก่อนหน้านั้นในเข็มสนที่เขากำไว้ในมือ อันที่จริงได้แอบซ่อนยันต์ลมฝนแผ่นหนึ่งที่ถูกบนภูเขาขนานนามว่า ‘ฟังเสียงลมก็คือฝน’ เอาไว้ ยันต์ประเภทนี้เอามาใช้แอบฟังบทสนทนาของผู้อื่น เนื่องจากปราณวิญญาณเผาผลาญไปได้ช้ามาก เป็นเหตุให้ตามหาร่องรอยได้ยาก ดังนั้นจึงมีอีกคำเรียกขานที่ไม่ค่อยน่าฟังนักว่า ‘ยันต์มุมกำแพง’
นอกจากนี้จิตหยินของเซียนเหรินที่ออกจากช่องโพรงเดินทางไกลยังได้ผลเก็บเกี่ยวที่ไม่คาดฝัน ยกตัวอย่างเช่นบนหน้าผาหิน ‘ฟ้าอีกแห่ง’ ใต้ล่างอักษรคำว่า ‘ฟ้า’ มีตัวอักษรเล็กเท่าหัวแมลงวันที่ยากจะสังเกตเห็นแกะสลักคำว่า ‘ดิน’ ก็เป็นยันต์อีกแผ่นเช่นกัน
เพียงแค่ปล่อยจิตหยินออกจากช่องโพรงครั้งหนึ่งก็ค้นพบยันต์ถึงห้าจุด ราวกับเล่นซ่อนหาอย่างไรอย่างนั้น นี่ทำให้เซียนเหรินหงุดหงิดใจ อีกทั้งมั่นใจว่าต้องมีปลาหลุดรอดหว่างแหที่ตัวเองยังไม่ค้นพบร่องรอยอยู่อีกแน่นอน
หวงถิงพลันทรุดตัวลงนั่งยอง เอียงศีรษะยื่นมือไปแงะยันต์แผ่นหนึ่งที่อยู่ใต้โต๊ะหินออกมา ไม่เสียแรงที่เป็นสหายของจงขุย สมกับเป็นวิญญูชนผู้เที่ยงตรงจริงๆ
ทำไมเจ้าไม่แปะยันต์ลงไปบนหน้าผากของซือถูเมิ่งจิงเลยเล่า?
ต่อให้เซียนเหรินจะมีนิสัยเฉยชาแค่ไหนก็ยังอดมีไฟโทสะอย่างห้ามไม่ได้ ทั้งโมโหที่อีกฝ่ายไม่เลือกวิธีการ แล้วก็ตกใจที่ตัวเองสัมผัสไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
ซือถูเมิ่งจิงกวาดตามองไปรอบด้าน เอ่ยเสียงดังว่า “เซียนกระบี่เฉิน ท่านเป็นลูกศิษย์ของอริยะเช่นนี้เองหรือ?!”