กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 907.2 เสริมตำแหน่งขาด
ผู้ฝึกกระบี่ในใต้หล้าที่เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนจะมีสักกี่คนที่อยู่ร่วมด้วยง่าย?
สำนักศึกษาจะควบคุมหรือไม่ หากทำตามกฎเกณฑ์ก็ไม่ยากแม้แต่น้อย กลัวก็แต่จะเจอเรื่องที่มีความหมายคลุมเครือมองได้สองมุม คนนี้ก็บอกว่าตัวเองมีเหตุผล คนนั้นก็บอกว่าตัวเองมีเหตุผล จัดการขึ้นมาย่อมทำให้คนสิ้นเปลืองความคิดจิตใจอย่างมาก
หากว่ามีอิ่นกวานหนุ่มแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่มาเป็นคนกลางคอยช่วยไกล่เกลี่ยให้กับสถานศึกษาหรือสำนักศึกษา บางครั้งอาจจะได้ผลดีกว่า
แต่เฉินผิงอันก็ยังคารวะขอบคุณ จากนั้นตกปากรับคำอย่างเต็มใจ แต่แค่รับรองว่าตัวเองยินดีออกหน้าคลี่คลายปัญหาให้ แต่จะไม่รับรองเด็ดขาดว่าผู้ฝึกกระบี่บางท่านจะต้องฟังตนเสมอไป
เมื่อเป็นเช่นนี้กลับทำให้ผู้อำนวยการหลิวรู้สึกว่าดีเยี่ยมที่สุด
ผู้เฒ่าตบแขนของคนหนุ่มชุดเขียวที่อยู่ข้างกาย เอ่ยเสียงเบาว่า ‘ผิงอัน วันหน้าอย่าได้ไม่รู้ว่าควรจะคบค้าสมาคมกับราชวงศ์ต้าเฉวียนอย่างไรเพียงแค่เพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ในวันวาน ควรต้องทำอย่างไรก็ทำไปอย่างนั้น’
เฉินผิงอันพยักหน้าตอบตกลง ‘ขอรับ’
แสงสนธยา ภายใต้ตะวันรอน
บนยอดเขาชิงผิงที่จะกลายเป็นสำนักกระบี่ชิงผิงในอนาคตแห่งนี้ แม่ทัพผู้เฒ่ายืนอยู่ตรงหน้าผา ตบราวรั้วเบาๆ
มองเด็กรุ่นเยาว์สองคนที่อยู่ข้างกาย อันที่จริงผู้เฒ่าพึงพอใจมากแล้ว จู่ๆ ก็พลันหวนนึกไปถึงเด็กหนุ่มชุดขาวสะพายกระบี่ที่ได้พบกันครั้งแรก เวลานั้นเซียนจือยังอายุน้อยยิ่งกว่าเขา
ควบม้าอยู่บนเส้นทาง เด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาสง่างาม ผมขาวมุ่งหน้าไปที่ใด แสงตะวันรอนสาดส่องพันหมื่นยอดเขา
……
จังหวัดหลงโจวเก่าได้เปลี่ยนชื่อเป็นฉู่โจวอย่างเป็นทางการ อำเภอคืออำเภอไหวหวง
หลี่ไหวหวนกลับบ้านเกิด ข้างกายยังมีผู้ติดตามที่อยู่ใกล้ชิดไม่ห่างกายคนหนึ่งมาด้วย ลักษณะเป็นผู้เฒ่าสวมชุดสีเหลือง
ก็คือเถาถิงแห่งเปลี่ยวร้างที่มาจากภูเขาใหญ่แสนลี้ ทุกวันนี้ก็คือนักพรตเนิ่นแห่งไพศาลที่สร้างชื่อเสียงจากศึกเกาะยวนยาง
นักพรตเนิ่นลงเรือที่ท่าเรือหนิวเจี่ยว กวาดตาไปรอบด้านแล้วเอ่ยว่า “คุณชาย บ้านเกิดของท่านคือพื้นที่ฮวงจุ้ยมงคลจริงๆ สมแล้วที่น้ำดินของสถานที่หนึ่งเลี้ยงดูคนของพื้นที่หนึ่ง อีกทั้งคุณชายยังเป็นคนที่โดดเด่น พูดถึงแค่ชื่ออำเภอไหวหวงก็เป็นชื่อที่ดีจริงๆ ยามที่ต้นไหวออกดอกเหลือง (ไหวหวง) คนในโลกมนุษย์ยุ่งอยู่กับการสอบรับราชการ”
ค่อนข้างน่าสนใจ มีความนัยให้ขบคิดอย่างมาก
ถ้ำสวรรค์เล็กหลีจูในอดีตหล่นลงพื้นหยั่งรากสู่พื้นดิน ลดจากระดับของถ้ำสวรรค์มาเป็นพื้นที่มงคล เด็กรุ่นเยาว์ของเมืองเล็กจึงคล้ายกับต้องเผชิญการทดสอบใหญ่ที่เงียบเชียบไร้เสียงครั้งหนึ่ง
พ่อแม่พี่สาวและพี่เขยกลับอุตรกุรุทวีปไปแล้ว ท่านแม่ยังคงเป็นห่วงร้านที่ตั้งอยู่ตรงตีนเขาของยอดเขาสิงโต
เดินเล่นเป็นเพื่อนคุณชายไปจนถึงเมืองเล็ก นักพรตเนิ่นเหลือบมองไปยังทิศไกล ร้องเอ๊ะหนึ่งที นักพรตเนิ่นกวักมือเรียก “เจ้าตัว…เอ๊ย สหายน้อยท่านนี้ มาคุยกันหน่อยสิ”
ผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายของตรอกฉีหลงลังเลเล็กน้อย เงยหน้ามองหลี่ไหว แล้วค่อยมองผู้เฒ่าชุดเหลือง ชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายก็ยังหนีบหางวิ่งตุปัดตุเป๋ไปหา
นักพรตเนิ่นก้มหน้าค้อมเอวถามด้วยสีหน้าเมตตาปราณี “ในเมื่อน้องชายหลอมร่างได้สำเร็จนานแล้ว ไยถึงยังต้อง…เก็บงำประกายเช่นนี้อยู่เล่า?”
หมาเหลืองไหล่ลู่คอตก
ยากจะอธิบายได้หมดในคำเดียว มีปากก็ยากจะพรรณนา
หลอมร่างเป็นมนุษย์สำเร็จแล้วอย่างไร? วันเวลาของเทพเซียนคืออะไร? ก็คือวันเวลาที่เผยเฉียนไม่อยู่ตรอกฉีหลงและภูเขาลั่วพั่วน่ะสิ!
มันหรือจะอยากเป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายของตรอกฉีหลงอะไรนี่ เป็นเพราะเจ้าถ่านดำน้อยในปีนั้นยัดตำแหน่งนี้ให้กับมัน วันเวลาที่ชีวิตอเนจอนาถที่สุดก็คือช่วงที่ถ่านดำน้อยต้องไปเรียนหนังสือที่โรงเรียน ทุกครั้งที่เลิกเรียนมา ตอนเดินผ่านห้องส้วมข้างทาง ถ่านดำน้อยจะต้องใช้สายตาประหลาด รอยยิ้มมีเลศนัยถามมันว่าหิวหรือไม่
หลี่ไหวทรุดตัวลงนั่งยอง ลูบศีรษะของหมาเหลือง
มองออกว่าผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายของตรอกฉีหลงท่านนี้ค่อนข้างจะตื่นเต้น หลี่ไหวจึงไม่ได้ให้นักพรตเนิ่นดึงตัวสหายผู้นี้ไว้พูดคุยกัน
โรงเรียนเก่าแห่งหนึ่ง หลี่ไหวไปไหว้วานคนที่สนิทสนมกันที่ฝ่ายครัวเรือนถึงได้ขอกุญแจดอกหนึ่งมาได้
โรงเรียนที่สอนเด็กประถมในอดีตแห่งนี้ ในนามยังคงอยู่ในการดูแลของที่ว่าการอำเภอไหวหวง
คราวก่อนตอนอยู่ที่เกาะยวนยางใกล้กับศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง หลี่ไหวเคยปรึกษากับเฉินผิงอันเรื่องหนึ่ง
พอรู้ว่าเฉินผิงอันมีความคิดที่จะเป็นอาจารย์สอนหนังสือจริงๆ เพียงแต่ไม่เป็นอาจารย์อยู่ที่บ้านเกิด หลี่ไหวก็ถามว่าเพราะอะไรถึงไม่เปิดปากของสถานที่แห่งหนึ่งจากราชวงศ์ต้าหลี เป็นเรื่องที่ถูกต้องสมเหตุสมผล ทั้งยังไม่เกินกว่าเหตุ อย่างมากก็แค่เปิดโรงเรียนอีกแห่งแยกกับสกุลเฉินลำธารหลงเหว่ยไป
คำตอบของเฉินผิงอันทำให้หลี่ไหวรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง
ทุกวันนี้ในเมืองเล็กมีชาวบ้านในท้องถิ่นเหลืออยู่แค่ไม่กี่ครอบครัวแล้ว ทุกๆ คืนวันที่สามสิบยังจะมีสักกี่ครอบครัวที่แวะเวียนไปกินอาหารข้ามปีร่วมกัน?
พูดอย่างไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย ชาวบ้านของที่บ้านเกิดสิบบ้านก็มีถึงเก้าบ้านที่หายไปแล้ว พวกเขาพากันย้ายไปอยู่ที่เขตการปกครองนานแล้ว หลังจากขายบ้านบรรพบุรุษด้วยราคาสูงหรือถึงขั้นสูงเทียมฟ้า กลายไปเป็นคนมีเงินของเขตการปกครองหลงโจว เมื่อก่อนนอกจากถนนฝูลู่และตรอกเถาเย่ รวมถึงพวกช่างเตาเผามังกรทั้งหลายแล้ว พวกชาวบ้านแทบจะไม่เคยได้เห็นเศษเงินก้อน ในวันเวลาที่ได้ร่ำรวยเป็นเศรษฐีซึ่งแม้แต่ฝันก็ยังไม่กล้าฝันถึงนั้น แต่ละครอบครัวอยากจะเห็นเหรียญทองแดงสักเหรียญก็ยังยาก ในกระเป๋ายังมีเหรียญทองแดงอยู่อีกหรือ ลดสถานะตัวเองเกินไปแล้ว
เพียงแต่ว่าเกือบสามสิบปีผ่านไป คนที่สามารถรักษากิจการบรรพบุรุษไว้ได้อย่างแท้จริงก็เหลือแค่ไม่กี่คน เงินทองมาเยือนและจากไปเหมือนสายน้ำไหล ครึ่งหนึ่งนั้นเอาไปมอบให้กับโต๊ะเดิมพัน หอโคมเขียว เหลาสุรา เพียงไม่นานก็ย่ำยีทรัพย์สินในบ้านจนหมดเกลี้ยง คนไม่น้อยแม้แต่บ้านหลังใหม่ที่เขตการปกครองก็ยังรักษาไว้ไม่อยู่ หรือไม่ก็เป็นพวกจิตใจทะเยอทะยาน ดื่มเหล้ากันแค่ไม่กี่มื้อ ได้รู้จักกับคนจากตระกูลใหญ่หรือไม่ก็ลูกหลานขุนนาง ก็เอาเงินไปร่วมลงทุนกับเขาอย่างส่งเดช ไม่ว่าเงินแบบไหนก็จะเอา ไม่ว่าการค้าขายแบบไหนก็รู้สึกว่าเป็นเส้นทางแห่งเงินทอง ไม่ว่าทรัพย์ที่ได้มาโดยมิชอบแบบใดก็กล้ารับไว้ ทว่าคนที่มีชาติกำเนิดจากเมืองเล็ก ไหนเลยจะฉลาดเกินกว่าคนพวกนั้น ไปๆ มาๆ ก็ได้ยินเสียงเงินกระทบกันแค่ไม่กี่ทีก็ไหลหายไปกับสายน้ำหมดแล้ว
แสงตะวันช่วงปลายฤดูหนาวสาดส่องลงบนร่าง นำพาความอบอุ่นมาให้ผู้คน
เมืองเล็กมีคำโบราณที่หากแปลงเป็นภาษาทางการต้าหลี ความหมายคร่าวๆ ก็คือตะวันเข้าโพรง ตะวันกลับรัง
หลี่ไหวเดินผ่านซุ้มก้ามปูและบ่อโซ่เหล็กแล้วก็หยุดเท้า เมื่อก่อนที่นี่เคยมีแผงดูดวงอยู่แผงหนึ่ง
ตอนเด็กมีครั้งหนึ่งติดตามหลี่หลิ่วผู้เป็นพี่สาวมาซื้อของข้างนอก ขณะที่หลี่หลิ่วต่อราคากับที่ร้าน หลี่ไหวรู้สึกเบื่อจึงวิ่งออกมาจากร้านคนเดียว แล้วมาหยิบเซียมซีที่นี่ หลักๆ แล้วคืออยากขอให้การบ้านของโรงเรียนปีหน้าง่ายสักหน่อย เวลาท่องหนังสือก็อย่าได้จำไม่ค่อยได้แบบนั้น โดนตียังไม่เท่าไร แต่มักจะถูกเจ้าคนมัดผมแกละของตรอกฉีหลงหัวเราะเยาะบ่อยๆ ไม่ดีเลย ไม่ว่าใครก็เป็นลูกผู้ชายที่ต้องการหน้าตาไม่ใช่หรือ?
เอาเป็นว่าตอนนั้นหลี่ไหวเขย่ามั่วๆ ไปพักหนึ่ง ผลคือติ้วเซียมซีที่หล่นออกมาจากกระบอกไม้ไผ่ทำให้นักพรตหนุ่มตกตะลึง บอกว่าเป็นเซียมซีบนบน
ตอนนั้นหลี่ไหวยังเด็ก ไม่เข้าใจเนื้อหาที่บอกในเซียมซี แล้วก็จำไม่ได้ด้วย หลี่ไหวแค่ได้ยินนักพรตหนุ่มคนนั้นพูดจาน่าเชื่อถือว่านี่คือหนึ่งในสามเซียมซีที่ดีที่สุดแล้ว เขาจะไม่เก็บเงิน
เพราะกังวลว่านักพรตจะเปลี่ยนใจทวงเงินจากตน หลี่ไหวที่ได้ผลประโยชน์แล้วจึงเผ่นหนี กลับไปหาพี่สาว หากต้องการเงินจริงๆ ก็มาขอจากพี่สาวข้า เงินไม่พอ ให้ข้านับเจ้าเป็นพี่เขยก็คงได้แล้วกระมัง?
โชคดีที่นักพรตหนุ่มเพียงแค่สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ นั่งอยู่หลังแผงดูดวง ยิ้มเหมือนรอยยิ้มของว่าที่พี่เขยที่ยังไม่แต่งเข้าบ้านมาจริงๆ
กลับบ้านไปเล่าให้ฟัง ทำเอาท่านแม่ดีใจแทบตาย อาหารมื้อเย็นมีแต่เนื้อและปลาชิ้นโต ราวกับเป็นวันปีใหม่อย่างไรอย่างนั้น
เป็นเซียมซีดีจริงๆ
ผ่านไปอีกแค่ไม่กี่วัน เพราะอยากกินน่องไก่ หลี่ไหวจึงแอบไปที่แผงดูดวงอีกรอบ แสร้งทำเป็นว่าตัวเองเพิ่งเคยมาเยือนครั้งแรก ผลคือได้เซียมซีดีอีกครั้ง นักพรตหนุ่มบอกว่าเป็นหนึ่งในสามเซียมซีดีอีกอันหนึ่ง
หลี่ไหววิ่งตุปัดตุเป๋กลับบ้านไปบอกท่านแม่ น้ำมันที่ใส่ในอาหารจึงน้อยกว่าคราวก่อนนิดหนึ่ง
ระหว่างทางที่กลับบ้านยังมีนกกระจอกตัวน้อยบินวนอยู่รอบตัวหลี่ไหว เกือบจะถูกเด็กชายกระโดดคว้ามาไว้ในมือแล้วพากลับบ้านไปด้วยกันเสียแล้ว
สตรีออกเรือนแล้วถามบนโต๊ะอาหารว่าดูดวงเก็บเงินหรือไม่?
หลี่ไหวส่ายหน้า ข้าจะเอาเงินค่าขนมมาจากไหน ล้วนเก็บเอาไว้หมดแล้ว
วันหน้าหากหลี่หลิ่วแต่งไม่ออก คาดว่าคงต้องอาศัยกระปุกเงินเก็บที่เขาเก็บมาได้จากภูเขาเครื่องกระเบื้องใบนั้นแล้ว
เพียงแต่ว่าคำพูดประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องพูดออกไป ต่อให้หลี่หลิ่วจะไม่มีใครต้องการ นางก็ยังเป็นพี่สาวแท้ๆ ของตน อีกทั้งท่านแม่ก็รักและลำเอียงเข้าข้างตนมากกว่าจริงๆ ต่อให้จะอายุน้อยแค่ไหน หลี่ไหวก็ยังรู้สึกว่าแบบนี้ไม่ค่อยดี
สตรีออกเรือนแล้วรู้สึกสงสัยเล็กน้อย หันหน้าไปคุยกับบุรุษของตน นักพรตหนุ่มแซ่ลู่คนนั้นคงไม่ใช่นักต้มตุ๋นหรอกกระมัง?
หลี่เอ้อยิ้มกว้าง ถึงอย่างไรก็ไม่ได้หลอกเอาเงินไป จะเป็นนักต้มตุ๋นหรือไม่สำคัญตรงไหน
สตรีออกเรือนแล้วเช็ดหางตา เข้าใจแล้ว นักพรตหนุ่มที่ได้ยินมาว่าชอบพูดปากหวานชอบแอบลูบมือของสตรีเป็นประจำผู้นั้น คงเห็นแก่ความงามของตน เลยคิดจะปล่อยสายเอ็นยาวรอตกปลาตัวใหญ่อย่างอ้อมๆ กระมัง สตรีทั้งรู้สึกลำพองใจ แต่ปากกลับไม่ยอมละเว้นคน ด่าว่าเขาเป็นพวกบ้ากามที่ไม่รู้จักเรียนรู้เรื่องดีๆ ในเมื่ออ่านออกเขียนได้ ทำไมไม่ไปเป็นนักบัญชีให้กับบ้านคนมีเงินที่ถนนฝูลู่กันเล่า
หลี่เอ้อแค่ก้มหน้าก้มตากินข้าว ไม่เอ่ยต่อคำ ยังคงเป็นน้ำเต้าตันที่เอากระบองฟาดลงไปก็ผายลมออกมาไม่ได้อยู่เหมือนเดิม
สตรีไม่ได้มีความคิดที่ไม่ดี ต่อให้บุรุษของตนจะไม่ได้เรื่องแค่ไหน แต่แต่งกับไก่ตามไก่ แต่งกับหมาตามหมา หลักการเหตุผลน้อยนิดแค่นี้ หากว่ายังรักษาไว้ไม่อยู่ คงถูกพวกเพื่อนบ้านและสตรีปากมากเอามาพูดเหน็บแนมให้เจ็บใจ นางก็แค่คิดว่าจะสามารถเป็นแม่สื่อให้กับเด็กสาวคนหนึ่งจากบ้านเดิมของตัวเองได้หรือไม่
อีกอย่างหลี่เอ้อก็แค่ถูกคนอื่นรังเกียจว่าหาเงินไม่เก่ง แต่นางไม่รังเกียจนี่นา
สตรีจึงแอบไปดูที่แผงดูดวง มองดูแล้วอายุยังน้อย เนื้ออ่อนผิวบาง เอาเถอะ แค่มองก็รู้ว่าไม่ได้ความ บนร่างไม่มีกล้ามเนื้อเลยสักนิด จะทำไร่ทำนาไหวหรือ? ประเด็นสำคัญคือยากจน ได้ยินมาว่าตลอดทั้งปีได้แต่ไปอาศัยอยู่ข้างร้านขายของงานมงคลในตรอกห่างไกล ดูเหมือนว่าเพื่อนบ้านก็คือร้านขายซาลาเปาของเหมาต้าเหนียง
ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ถึงขั้นมาตั้งแผงลอยเดินได้ประทังชีวิต สตรีบ้านใดแต่งให้กับเขา วันเวลายังอีกยาวนาน จะมีชีวิตที่ดีได้หรือ? ช่างเถิด อย่าได้ทำร้ายแม่นางของบ้านเดิมคนนั้นเลย
หลี่ไหวพานักพรตเนิ่นไปยังทิศตะวันออกสุดของเมืองเล็ก บ้านดินเหลืองตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวตรงนั้น ที่นี่ก็คือที่พักของเจิ้งต้าเฟิง
อันที่จริงนับแต่เด็กมาหลี่ไหวก็สนิทกับเจิ้งต้าเฟิงมาก เจิ้งต้าเฟิงมักจะแบกเด็กชายที่สวมกางเกงเปิดก้นเดินเตร็ดเตร่ไปทั่ว ตอนนั้นหลี่ไหวก็ทั้งฉี่ทั้งอึรดเขาไปไม่น้อย
ตอนที่เจิ้งต้าเฟิงอยู่บ้านเกิด ชีวิตของเขาผ่านไปวันๆ ถึงอย่างไรปะๆ ชุนๆ ก็ผ่านไปได้อีกปีแล้ว มีเงินก็ซื้อเหล้า ไม่มีเงินก็ไปขอเหล้าคนอื่นดื่ม แล้วยังชอบเล่นพนัน แต่ฝีมือเล่นพนันกลับย่ำแย่ จะมีสตรีดีๆ ที่ไหนมาถูกใจคนเสเพลเอ้อระเหยลอยชายอย่างเขา
ทุกวันนี้ท่านอาเจิ้งไม่อยู่บ้านแล้ว แต่กลอนคู่กลอนปีใหม่กลับไม่ขาดเลยสักอย่าง แล้วก็เก็บกวาดสะอาดสะอ้านจนไม่เหมือนสถานที่ที่ไม่มีคนอยู่อาศัยมานานหลายปี
หลี่ไหวรู้สาเหตุ ต้องเป็นเพราะท่านอาเจิ้งทิ้งกุญแจเอาไว้ให้กับผู้ดูแลน้อยหน่วนซู่ของภูเขาลั่วพั่วแน่นอน
คิดถึงเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูก็ไพล่คิดไปถึงเฉินผิงอัน หลี่ไหวหัวเราะ สองมือสอดรองไว้ใต้ท้ายทอย เดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อย ระหว่างทางที่จะไปกินเกี๊ยวน้ำของต่งสุ่ยจิ่งก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ทำไมถึงยังไม่เป็นเซียนกระบี่ใหญ่เสียทีนะ ไม่ค่อยเข้าท่าแล้ว”
……
เมืองหลวงต้าหลี ตรอกเล็กเส้นหนึ่ง
หลินโส่วอีกลับมาถึงที่บ้านก็มาหาบิดา
หลินโส่วอีมายังห้องที่อยู่ด้านข้างแล้วยืนอยู่หน้าประตู
บิดานั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงเตา บนโต๊ะน้ำชาวางเหล้าไว้หนึ่งกา ชามเหล้าหนึ่งใบ กับแกล้มเล็กๆ อีกสองสามจาน ไม่ต้องใช้ตะเกียบด้วยซ้ำ เขากินดื่มกับตัวเองเพียงลำพัง
บุรุษที่จอนผมสองข้างเป็นสีดอกเลาเหลือบตามองมาที่หน้าประตู ถือชามเหล้าไว้ด้วยมือเดียว เอ่ยด้วยสีหน้าเฉยเมยว่า “มีธุระหรือ?”
หลินโส่วอีพยักหน้า “มีธุระ!”
ดูจากท่าทางของบุรุษแล้ว หากว่าลูกชายคนนี้ไม่มีธุระก็คงจะไม่ให้เขาเข้ามาในห้อง อีกทั้งหากไม่ใช่เรื่องใหญ่ ยืนพูดอยู่ตรงหน้าประตูจบก็จากไปได้แล้ว
หากมีคนนอกอยู่ด้วยแล้วเห็นภาพนี้เข้า คงจะถลึงตากว้างจับจ้องวนเวียนอยู่ในชามเหล้าแน่นอน
ให้กำเนิด ‘บุตรกิเลน’ อย่างหลินโส่วอี ต่อให้เจ้าจะเป็นตระกูลสูงศักดิ์แซ่สกุลเสาค้ำยันแคว้น ก็ยังต้องบูชาเขาไว้ให้ดีๆ ไม่ใช่หรือ?
บิดาของหลินโส่วอีคือขุนนางผู้ช่วยที่ไม่โดดเด่นของที่ว่าการผู้ตรวจการถ้ำสวรรค์หลีจูในอดีต คอยดูแลพวกขุนนางชั้นผู้น้อยทั้งหลาย อีกทั้งยังให้การช่วยเหลือผู้ตรวจการถึงสามรุ่นอย่างซ่งอวี้จาง อ๋องเจ้าเมืองซ่งจ่างจิ้ง เฉาเกิงซิน เพียงแต่ว่าชาวบ้านในเมืองเล็กของปีนั้น ทั้งเด็กและคนแก่ต่างก็ไม่มีความรู้เกี่ยวกับวงการขุนนางเลยแม้แต่น้อย ถึงขั้นแยกไม่ออกด้วยซ้ำว่าขุนนางใหญ่กับขุนนางชั้นผู้น้อยต่างกันอย่างไร บวกกับที่ขุนนางของจวนผู้ตรวจการมักจะไปคบค้าสมาคมกับพวกเตาเผามังกร อุปกรณ์การเผาเครื่องปั้นอยู่ตลอดทั้งปี จึงแทบจะไม่ได้ไปมาหาสู่กับชาวบ้านธรรมดาทั่วไป
ทว่าอาจารย์ลุงชุยฉานเคยแพร่งพรายความลับสวรรค์อย่างหนึ่งให้หลินโส่วอีรู้ บอกว่าชื่อนี้ของตนเป็นบิดาที่เปิดปากขอให้อาจารย์ลุงช่วยตั้งให้
ขุนนางชั้นผู้น้อยในที่ว่าการผู้ตรวจการคนหนึ่งสามารถขอให้ราชครูต้าหลีตั้งชื่อให้บุตรชายได้เลยหรือ?
คนโง่ก็ยังรู้ว่าเรื่องนี้ต้องไม่สมเหตุสมผลแน่นอน
แล้วนับประสาอะไรกับที่หลินโส่วอีที่ฉลาดเกินวัยมาตั้งแต่เด็กก็ไม่รู้สึกว่าบิดาเป็นแค่ขุนนางตัวเล็กๆ ในที่ว่าการผู้ตรวจการเท่านั้น
บุรุษถาม “ต้องให้ข้าเดินเท้าเปล่าวิ่งไปที่หน้าประตูใหญ่ ต้อนรับให้เจ้าเข้ามาในนี้ด้วยหรือไม่?”