กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 907.3 เสริมตำแหน่งขาด
หลินโส่วอีถึงได้เดินข้ามธรณีประตูเข้าไป นั่งหมิ่นๆ ลงบนขอบเตียงเตา เพียงแต่ไม่ได้ถอดรองเท้านั่งขัดสมาธิอย่างบิดา
กังวลว่าจะได้ยินถ้อยคำร้ายกาจชวนให้เจ็บปวดใจอีก
หลินโส่วอีถาม “เรื่องของบิดาเฉินผิงอัน ปีนั้นสรุปแล้วท่านได้เข้าร่วมด้วยหรือไม่?”
บุรุษกระตุกมุมปาก ยกชามเหล้าขึ้นจิบเหล้าหนึ่งคำ “ปีกกล้าขาแข็งแล้ว ไม่เสียแรงที่เป็นเทพเซียนบนภูเขา บินไปบินมาไม่เดินบนพื้น คำพูดคำจาจึงวางโต เขาเรียกว่าอะไรแล้วนะ กินแสงเรืองรองดื่มน้ำค้าง? หรือว่าอยู่ข้างนอกไปนับใครเป็นบิดามา ถึงได้สอนวิถีแห่งการทำตัวเป็นบุตรเช่นนี้ให้เจ้า?”
หลังจากที่บุรุษออกจากที่ว่าการผู้ตรวจการงานเตาเผาก็ออกจากบ้านเกิดมารับหน้าที่ในกองชิงลี่ฝ่ายรถม้าของกรมกลาโหมเมืองหลวงต้าหลี เพียงแต่ว่าทำหน้าที่อยู่ในที่ว่าการใต้อาณัติของฝ่ายรถม้าแห่งหนึ่ง เป็นขุนนางขั้นเจ็ด แล้วยังเป็นชั้น ‘โท’ ด้วย เนื่องจากไม่ได้เป็นขุนนางจากการสอบเคอจวี่ ดังนั้นจึงถือเป็นขุนนางน้ำขุ่น บวกกับที่เขาเองก็ไม่ใช่คนในพื้นที่ของเมืองหลวง ทุกวันนี้อายุก็มากแล้ว อย่าว่าแต่เป็นหลางกวานเลย แม้แต่ตัดคำว่า ‘โท’ ออกก็ยังยากแล้ว หลายปีมานี้พอจะถือว่าเป็นคนที่ดูแลสถานรายงานข่าวซึ่งเป็นที่ทำการน้ำใสแห่งหนึ่งได้อย่างถูไถ และนี่ยังเป็นเพราะคนที่เป็นหัวหน้าเป็นลูกหลานชนชั้นสูงที่ไม่ค่อยสนใจเรื่องอะไร เวลาเจอกับบุรุษก็มักจะเรียกเขาคำแล้วคำเล่าว่าเหล่าหลิน จุดพักม้าแต่ละแห่งส่งฎีกามายังเมืองหลวง เมื่อฮ่องเต้ตรวจสอบแล้ว กรมกลาโหมก็จะส่งไปยังสถานที่ต่างๆ ซึ่งต้องผ่านที่ว่าการที่ไม่สะดุดตาแห่งนี้ นอกจากนี้รายงานข่าวจากเมืองหลวงที่ส่งไปยังสถานที่ต่างๆ ก็ล้วนอยู่ในการดูแลของที่ว่าการนี้ คิดดูแล้วสหายร่วมงานในที่ว่าการคงมิอาจจินตนาการได้เลยว่าหลินเจิ้งเฉิงน้ำเต้าตันคนนี้จะกลายเป็นบิดาของหลินโส่วอีที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปสองเมืองหลวงได้
หลินโส่วอีกลัวบิดาของเขามาตั้งแต่เด็กแล้ว
อันที่จริงตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็ไม่ได้ดีขึ้นสักเท่าไร
ออกจากบ้านเกิดนานหลายปี ออกเดินทางไกลไปขอศึกษาต่อ ฝึกตนอย่างยากลำบาก ดูเหมือนว่าก็เพื่อพิสูจน์เรื่องหนึ่งให้บุรุษเห็น
มีบิดาอย่างท่านหรือไม่ มีครอบครัวนี้อยู่หรือไม่ ข้าหลินโส่วอีก็ยังมีอนาคตสดใสได้
ท่านแม่ลำเอียง รักแต่น้องชาย ท่านพ่อเย็นชา ไม่เคยสนใจเรื่องใด
แต่พออยู่กับหลินโส่วเย่ผู้เป็นน้องชาย ต่อให้จะไม่มีใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ก็ดีกว่ายามอยู่กับหลินโส่วอีที่หากไม่เปิดปากพูดเลยก็คือพอเปิดปากก็เอ่ยแต่ถ้อยคำเหน็บแนมไม่น่าฟัง
ดังนั้นวันเวลาตอนที่เป็นเด็ก จนกระทั่งถึงช่วงที่ต้องออกจากบ้านเกิดเดินทางไกล หลินโส่วอีจึงเป็นคนที่พ่อไม่รักแม่ไม่เอ็นดูอย่างแท้จริง
เด็กหนุ่มเคยเสียใจอย่างสุดแสน
เป็นเหตุให้ปีนั้นตอนที่ไปขอศึกษาต่อที่ต้าสุย เด็กหนุ่มหน้าตาคมคายหมดจดพูดน้อยเปิดใจกับเฉินผิงอันเป็นครั้งแรก จึงเอ่ยประโยคที่ว่า ‘ใต้หล้านี่ไม่ใช่ว่าทุกคนที่เป็นพ่อแม่จะเหมือนพ่อแม่ของเจ้าทั้งหมด’
แต่หลินโส่วอีในวันนี้กลับไม่เหมือนวันวานแล้ว
หลินโส่วอีเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “หากไม่เป็นเพราะข้า ในเรื่องของการสืบหาความจริงเรื่องเครื่องกระเบื้องแห่งชะตาชีวิตปริแตก เฉินผิงอันก็ไม่มีทางจงใจอ้อมไปทางอื่น จงใจเว้นตระกูลหลินของพวกเราไป ถึงขั้นที่ว่าคราวก่อนเฉินผิงอันมาถึงเมืองหลวงแล้วยังแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไร ท่านพ่อ วันนี้ท่านต้องบอกข้ามาให้ชัดเจน เพราะข้าเองก็ต้องมีคำอธิบายที่ชัดเจนให้กับสหายเหมือนกัน!”
บุรุษมองบุตรชายคนนี้
หลินโส่วอีสีหน้าเคร่งขรึม สายตาเด็ดเดี่ยว จ้องบิดาเขม็งอยู่อย่างนั้น
นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
บุรุษไม่ได้มีไฟโทสะ เขาพยักหน้า “ในที่สุดก็พอจะมีท่าทีของบุรุษที่พกไอ้จ้อนมาบ้างแล้ว ไม่อย่างนั้นข้าก็นึกว่าตัวเองให้กำเนิดบุตรสาวมาโดยตลอด ยังต้องกลุ้มใจเรื่องสินเดิมอีก”
หลินโส่วเหวอไปเล็กน้อย
นี่ถือว่าเป็นคำชมอย่างหนึ่งได้หรือไม่?
บุรุษผงกปลายคางชี้ไป
หลินโส่วอียังคงไม่เข้าใจ
บุรุษถาม “เจ้าก็ดื่มเหล้าเป็นไม่ใช่หรือ? ยังเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตก่อกำเนิดคนหนึ่งด้วย ทุกวันนี้บนร่างไม่มีวัตถุฟางชุ่นเอาไว้เก็บของจุกจิกอย่างพวกกาเหล้าจอกเหล้าบ้างเลยหรือไร?”
หลินโส่วอีกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “ข้าไม่เคยมีวัตถุฟางชุ่นติดตัว”
บุรุษไม่สะทกสะท้าน แต่กลับถามว่า “ถ้าอย่างนั้นจะให้ข้าที่เป็นลูกชายช่วยเจ้าที่เป็นบิดาหยิบจอกเหล้าหรือว่าชามเหล้าดีล่ะ? เจ้าบอกมาสิ ถึงเวลานั้นข้าจะได้ไม่หยิบผิด ทำให้บิดาไม่พอใจ”
หลินโส่วอีสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที ลุกขึ้นยืนเงียบๆ ออกจากห้องไปหยิบชามเหล้าใบหนึ่งจากข้างนอกมาด้วยฝีเท้าเร่งร้อน
บุรุษคนนี้ หากไม่พูดไม่จาเลย พอเปิดปากก็ชอบพูดจาทิ่มแทงใจคนอื่น เป็นแบบนี้มาโดยตลอด
ในบ้านมีสาวใช้อยู่สองสามคน แต่ล้วนเป็นพวกต้นขาใหญ่สะโพกกลม อีกทั้งยังเป็นท่านแม่ที่ใช้งานได้ ส่วนท่านพ่อ ไม่ว่าจะเป็นงานเล็กหรืองานใหญ่ก็ล้วนต้องทำด้วยตัวเอง ไม่เคยให้สาวใช้หรือบ่าวคนใดมาคอยปรนนิบัติ
หลินโส่วอีกลับมาถึงห้องก็รินเหล้าให้ตัวเองหนึ่งชาม ไม่ได้รินจนเต็ม เขายกชามเหล้าขึ้นด้วยสองมือ กระดกดื่มรวดเดียวหมดเงียบๆ
บุรุษหยกชามเหล้าขึ้นจิบเหล้าหนึ่งคำ หยิบถั่วลิสงโรยเกลือมาหนึ่งเม็ด โยนเข้าปากเบาๆ แล้วเคี้ยว เอ่ยเนิบช้าว่า “หากเจ้าบอกว่าเป็นสหายกับเฉินผิงอัน ถ้าอย่างนั้นข้ากับบิดาของเฉินผิงอันก็ถือว่าเป็นสหายกันเหมือนกัน อืม ไม่ควรพูดว่าถือไม่ถืออะไร ต้องบอกว่าใช่แล้ว”
หลินโส่วอีพยักหน้า
บิดาของเฉินผิงอันคือช่างในเตาเผามังกรแห่งหนึ่ง ฝีมือดีเยี่ยม ทั้งยังเป็นคนมีคุณธรรม เป็นคนซื่อสัตย์ที่ไม่เคยทำความชั่ว เดิมทีหากไม่เกิดเรื่องไม่คาดฝัน ผ่านไปอีกแค่ไม่กี่ปีก็จะได้เป็นอาจารย์หัวหน้าช่างของเตาเผามังกรแล้ว
ส่วนบิดาของหลินโส่วอีก็รับผิดชอบคอยดูแลงานเตาเผา ดูแลเครื่องปั้นสำเร็จรูปที่เผาเสร็จแล้ว ตรวจสอบระดับขั้นของเครื่องปั้น เนื่องจากในอดีตผู้ตรวจการซ่งอวี้จางคือขุนนางที่ขยันขันแข็งชอบวิ่งไปที่เตาเผาทุกวันเป็นที่สุด ดังนั้นบิดาของหลินโส่วอีจึงต้องออกไปข้างนอกพร้อมกับหัวหน้าด้วย จึงมักจะได้พูดคุยกับพวกช่างเตาเผาบ่อยๆ
หลินเจิ้งเฉิงเอ่ยเนิบช้า “บุรุษสองคน นอกจากคุยเรื่องงานเตาเผาที่เป็นการเป็นงานน่าเบื่อแล้วยังจะคุยเรื่องอะไรกันได้อีก รอให้ต่างคนต่างมีลูกชาย ดื่มเหล้าด้วยกันก็ได้แค่พูดคุยเรื่องสัพเพเหระในครอบครัวตัวเองแล้ว”
“อันที่จริงเคยพูดกันไว้นานแล้วว่า หากครอบครัวของข้าและของเขามีบุตรชายหนึ่งคนบุตรสาวหนึ่งคนพอดี จะหมั้นหมายให้เด็กๆ เอาไว้ก่อน แต่ไม่บังเอิญเลย พวกเราต่างก็ได้ลูกชาย หมดลุ้นแล้ว”
หลินโส่วอีถามอย่างสงสัย “ท่านอาเฉินก็ดื่มเหล้าด้วยหรือ?”
หลินเจิ้งเฉิงพยักหน้า “ดื่มเหมือนกัน ดื่มได้ ก็แค่ว่าไม่ชอบดื่ม ดังนั้นทุกครั้งล้วนเป็นข้าที่ลากเขาให้ไปดื่มด้วยกัน อยู่ที่เตาเผามังกรยังนับว่าดี อย่างมากก็แค่ล้มหัวลงนอน แต่หากอยู่ในเมืองเล็ก เขากลับชอบทำตัวลับๆ ล่อๆ เหมือนโจร ปีนั้นข้าก็สงสัยนัก ไม่ใช่ว่าภรรยาเขาควบคุมอย่างเข้มงวดเสียหน่อย น้องสะใภ้ขึ้นชื่อว่านิสัยอบอุ่นอ่อนโยน ข้าจึงรู้สึกว่านางไม่น่าจะตำหนิอะไรเขา แต่ก็ไม่เคยมีโอกาสได้ถาม มักจะรู้สึกว่าในอนาคตย่อมมีโอกาสได้ถาม ผลคือจนถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่เข้าใจ”
“ตอนนั้นข้ากินเงินหลวง ตระกูลหลินของพวกเราเทียบกับแซ่ใหญ่ของถนนฝูลู่และตรอกเถาเย่ไม่ได้ แต่ก็ถือว่าพอมีอันจะกิน มีเงินมากกว่าเขาเยอะ แต่ขอแค่ดื่มเหล้ากัน ข้าเลี้ยงเขาหนึ่งมื้อ เขาก็จะต้องควักเงินเลี้ยงกลับหนึ่งมื้อ อีกทั้งยังไม่ได้จงใจซื้อเหล้าดีอะไรมากมาย แค่เป็นการแสดงน้ำใจอย่างหนึ่งเท่านั้น”
“คนซื่อ ไม่ใช่คนโง่ คนอยู่ในลู่ในทาง ไม่ใช่คนหัวทึบ เรื่องของการกะน้ำหนักเหมาะสม อาศัยแค่การอ่านตำราไม่ได้ ต่อให้ฝึกฝนตัวเองอยู่ในที่ว่าการก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะทำได้ ไม่ใช่ว่าเสียเปรียบมามากแล้วจะต้องแยกแยะความเหมาะสมได้เสมอไป”
“ตอนนั้นข้าบอกว่าบุตรชายของตัวเองฉลาด เป็นเด็กอัจฉริยะ แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิต ไม่แน่ว่าในอนาคตเมื่อเติบใหญ่อาจจะเป็นอาจารย์สอนหนังสือได้ไม่มีปัญหา เขาก็บอกว่าลูกชายตัวเองรู้ความ อีกทั้งไม่ว่าจะหน้าตาหรือนิสัยใจคอก็ล้วนเหมือนมารดาของเขา วันหน้าไปเรียนหนังสือกับเจ้า รู้จักตัวหนังสือมากแล้ว ในอนาคตจะทำงานเป็นช่างเผาเครื่องกระเบื้องหรือไม่ก็ต้องดูที่ความต้องการของลูกชายเขาเอง”
หลินโส่วอีฟังอย่างตั้งใจ
นอกจากบิดาจะพูดถึงเรื่องในอดีตที่ไม่เคยพูดถึงมาก่อนแล้ว
บิดายังคุยเล่นกับตนเป็นครั้งแรก และคำพูดก็ไม่ได้ไม่น่าฟังเหมือนอย่างเคย
หลินเจิ้งเฉิงวางชามเหล้าลงเบาๆ “มีคนแพร่งพรายความลับเรื่องเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตกับเขา”
บุรุษหรี่ตาลง “คนผู้นี้มีเจตนาชั่วร้าย ต้องจงใจบอกความจริงแค่ส่วนเดียวแน่นอน ไม่อย่างนั้นเรื่องที่เด็กทุกคนเกิดมาก็ได้ครอบครองเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิต สำหรับข้าแล้วไม่เห็นว่าเป็นเรื่องร้ายไปทั้งหมด ถึงขั้นที่ว่าหากพูดไม่น่าฟังสักหน่อย ปีนั้นภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น ขอแค่รักษาเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตเอาไว้ได้ มีคุณสมบัติในการฝึกตนอยู่บ้าง จึงจะมีโอกาสรอดชีวิต”
“ภายหลังงานศพสองงานของตรอกหนีผิง ข้าไม่ได้ปรากฏตัว เพราะไม่เหมาะสม เรื่องราวทั้งหลายนอกจากนี้ เจ้าไม่ต้องรู้ แต่ข้าเคยแอบไปสืบข่าวที่ร้านยาตระกูลหยางมาแล้ว เพียงแต่ว่ากฎเกณฑ์ของหยางเหล่าโถวที่เรือนด้านหลังเข้มงวด อะไรที่ข้าช่วยได้ ข้ารู้ดีว่าต้องทำเช่นไร ในเรื่องนี้ข้าเองก็มีความละอายใจ เพราะข้าที่เป็นสหายได้แต่มีใจแต่ไร้กำลังจริงๆ มิอาจดูแลลูกชายของเขาให้ดีได้”
บุรุษถอนหายใจ ใบหน้ายับยู่ ก่อนที่สีหน้าจะคลายออก พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ ดื่มเหล้าในชามจนหมด เตรียมจะไล่คนแล้ว
หลินโส่วอีกล่าว “ข้าเตรียมจะปิดด่านแล้ว”
“ขาดเงินหรือไม่?”
“ก่อนหน้านี้ขาดเงินอยู่หนึ่งร้อยเหรียญฝนธัญพืช”
“ถือเสียว่าข้าไม่ได้ถาม”
บุรุษเอ่ยทันทีว่า “ไม่ว่าจะขโมยหรือแย่งชิงมา ต้องการเงินก็อย่าไปหาข้าที่ที่ว่าการน้ำใส ที่กรมคลังก็อย่าไป มีการควบคุมเข้มงวด กรมพิธีการกลับพอจะมีเงินเก็บส่วนตัวไม่น้อยอยู่ก้อนหนึ่ง”
บุรุษพูดอย่างไม่ลำบากใจเลยแม้แต่น้อย
หลินโส่วอีฟังด้วยอาการปากอ้าตาค้าง
หลินเจิ้งเฉิงเหลือบตามองบุตรชาย เดิมนึกว่าเป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนหนึ่ง ปิดด่านเผาผลาญสมบัติวิเศษแห่งฟ้าดิน หักเป็นเงินเทพเซียน อย่างมากสุดก็แค่สี่ห้าสิบเหรียญเงินฝนธัญพืชเท่านั้น
คิดไม่ถึงว่าจะมาเจอกับเจ้าลูกล้างลูกผลาญที่ใช้เงินโดยไม่ส่งเสียงสักเอะเช่นนี้
ดูอย่างเฉินผิงอัน แล้วดูอย่างต่งสุ่ยจิ่งเข้าสิ มีใครบ้างที่ไม่ใช่นกนางแอ่นคาบดินโคลนมาทำรัง ทุกปีคอยเพิ่มทรัพย์สมบัติในบ้านตัวเอง ทำให้กำลังทรัพย์แน่นหนามั่นคง
มีเพียงตนเองที่ให้กำเนิดบุตรชายคนดี
หลินโส่วอีเอ่ยเสียงเบา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมท่านไม่บอกให้เร็วกว่านี้? ทำให้เขาต้องกังวลใจเปล่าๆ มาตั้งหลายปี คิดดูแล้วหลายปีมานี้ในใจเฉินผิงอันคงรู้สึกไม่ดีอย่างมาก”
บุรุษกระตุกมุมปาก “ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ถือว่าเป็นผู้อาวุโสของเฉินผิงอันครึ่งตัว เขาไม่มาหาข้า หรือจะให้ข้าเป็นฝ่ายไปหาเขาเอง? เจ้าเด็กนี่ไม่รู้จักมารยาท หรือข้าที่เป็นผู้อาวุโสก็ต้องหน้าไม่อายด้วย?”
ตามขนบธรรมเนียมของเมืองเล็ก ในเดือนหนึ่งญาติมิตรจะแวะเวียนไปเยี่ยมเยือนกัน ใครที่มีลำดับอาวุโสสูง หรือใครที่อายุมากกว่าในบรรดาคนวัยเดียวกัน ใครไปเยี่ยมเยียนใคร ลำดับก่อนหลังห้ามมั่วซั่วเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะถูกคนหัวเราะเยาะเอาได้ คำพูดคุยเล่นที่มีเป็นกระบุงโกยมักจะเอามาพูดกันทุกปี เรื่องราวที่เกี่ยวกับ ‘มารยาท’ ซึ่งมองดูเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่นี้ หลายๆ ครั้งที่บ้านเกิดยังทำให้คนพูดคุยกันได้เพลิดเพลินยิ่งกว่าใครปีนกำแพงบ้านของหญิงหม้ายคนใด สตรีคนใดแอบเป็นชู้กับบุรุษคนไหนเสียอีก
แล้วนับประสาอะไรกับที่เรื่องแบบนี้ พูดตั้งแต่แรกก็จะเป็นเรื่องดีเสมอไปหรือ?
หลินโส่วอีรู้ว่าตัวเองควรไปได้แล้ว เขาอดกลั้นอยู่นาน สุดท้ายก็ได้แต่เรียกว่า “ท่านพ่อ”
บุรุษกระตุกมุมปากตามความเคยชิน หน้ายิ้มใจไม่ยิ้ม ร้องเหอะหนึ่งที ก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าที่เป็นบิดานึกว่าเลี้ยงบรรพบุรุษคนหนึ่งมาเสียอีก”
หลินโส่วอีได้แต่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เอ่ยลาบิดาหนึ่งคำ เดินลงจากเตียงเตา เดินไปถึงหน้าประตู บุรุษพลันเอ่ยว่า “ในเมื่อวันนี้ได้พูดคุยกันแล้ว รอเจ้าออกจากด่านก็ไปบอกเฉินผิงอันให้ชัดเจน”
หลินโส่วอีพยักหน้า
บุรุษมองหลินโส่วอี นี่มันตอไม้ไร้สติปัญญาโดยแท้ เห็นว่าลูกชายไม่เข้าใจความหมายของตนก็ได้แต่ตีหน้าเคร่งเอ่ยว่า “จำไว้ว่าบอกให้เขาแวะมาสวัสดีปีใหม่ที่นี่ด้วย”
หลินโส่วอีกลั้นขำ ตอบตกลงทันใด วันนี้ได้พูดคุยเปิดใจกับบิดาทำให้หลินโส่วอีรู้สึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก รู้สึกเพียงว่าโปร่งโล่งสบายไปทั้งร่าง
สุดท้ายบุรุษเอ่ยว่า “ในเมื่อพวกเจ้าสองคนต่างก็เป็นสหาย ทุกครั้งที่ถึงเทศกาลปีใหม่ก็ไม่ต้องพูดถึงของขวัญไม่ของขวัญอะไร เหมือนกับตอนที่อยู่บ้านเกิดนั่นแหละ แค่ไม่ขาดมารยาทก็ทำให้พอเป็นพิธีก็พอ อีกอย่างเงินที่ให้สหายยืมไป ทางที่ดีที่สุดคือคิดเสียว่าเป็นน้ำที่สาดออกไป อย่าคิดจะให้อีกฝ่ายใช้คืน”
หลินโส่วอีไร้คำพูดตอบโต้ จะให้ตนเอาหลักการเหตุผลข้อนี้ไปบอกต่อกับเฉินผิงอัน?
ขิงยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ดจริงเสียด้วย
บุรุษถาม “ยืนอึ้งเป็นเทพทวารบาลอยู่ทำไม หรือจะต้องให้ข้าส่งเจ้าออกจากประตู ต้องให้ข้าไปยืมเกี้ยวแปดคนหามมาให้ด้วยหรือไม่?”
พอหลินโส่วอีจากไป ชามเหล้าบนโต๊ะวางเปล่า บุรุษจึงรินเหล้าจนเต็มชาม พึมพำกับตัวเองว่า “ลูกชายข้าก็ไม่ได้แย่นะ”
……
หนึ่งคนแก่สองเด็กส่งมอบเอกสารผ่านด่าน เข้าเมืองหลวงราชวงศ์สกุลอวี๋ได้อย่างราบรื่น
เดินผ่านช่องประตูเมืองมา การมองเห็นก็พลันเปิดกว้าง เดินทางผ่านเส้นทางที่เจริญรุ่งเรืองช่วงหนึ่งของเมืองหลวง เด็กหนุ่มก็คารวะอำลานักพรตเฒ่าและนักพรตหญิงสาว ทั้งสองฝ่ายจากลากันตรงนี้
มือปราบที่ก่อนหน้านี้รับผิดชอบเฝ้าประตูเมืองอดไม่ไหวหันมามองเด็กหนุ่มชุดขาวที่ค่อยๆ จากไปไกล จุ๊ปากด้วยความประหลาดใจ ถึงกับโชคดีได้พบเจอเซียนซือที่มาจากนครมังกรเฒ่าของแจกันสมบัติทวีป หรือจะพูดให้ถูกต้องก็คือควรจะเรียกอีกฝ่ายว่าซ่างซือแล้ว ส่วนคำกล่าวว่า ‘ซ่างซือ’ นี้แพร่หลายจากทางราชสำนักมาได้อย่างไร ไม่มีหลักฐานให้สืบหาแล้ว เป็นคำกล่าวที่มีความรู้อย่างมาก เป็นทั้งคำเรียกย่อๆ ของ ‘เซียนซือบนภูเขา’ (บนภูเขาภาษาจีนคือซานซ่าง) ทั้งยังแสดงให้เห็นถึงความเคารพนับถืออย่างหนึ่ง
มือปราบที่สวมเสื้อเกราะพกดาบไม่รู้ว่าราชวงศ์แห่งอื่นของใบถงทวีปมีทัศนียภาพเช่นไร ถึงอย่างไรเมืองหลวงบ้านตน ผู้ฝึกตนของแจกันสมบัติทวีป โดยเฉพาะผู้ฝึกตนที่มาจากนครมังกรเฒ่าก็เป็นบุคคลที่สูงกว่าผู้อื่นระดับหนึ่งอย่างแท้จริง
ส่วนนักพรตอีกสองคนนั้น ไม่มีค่าพอให้พูดถึง มาจากแคว้นเหลียง ก็แค่สถานที่เล็กๆ ใหญ่เท่าก้น สระน้ำเล็กๆ แห่งหนึ่งไม่มีทางมีมังกรข้ามแม่น้ำปรากฏตัวได้