กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 907.4 เสริมตำแหน่งขาด
ครั้งนี้เหลียงส่วงเทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ออกจากบ้านได้เปลี่ยนมาสวมชุดคลุมเต๋าเรียบง่ายไม่สะดุดตา คนนอกอาศัยแค่ชุดคลุมและกวานเต๋าย่อมมองสายสืบทอดของเขาไม่ออก
ลูกศิษย์หญิงที่อยู่ข้างกาย สองมือกำเป็นหมัดหลวมๆ อยู่ด้านหน้า ทำมือเป็นท่าเหมือนประคองกระถางธูป และในความเป็นจริงแล้วก็มีธูปหอมอยู่ก้านหนึ่งจริงๆ นี่คือการบ้านลัทธิเต๋าที่เหลียงส่วงคิดค้นขึ้นมาด้วยตัวเอง ความหมายก็คือหนึ่งก้านธูปถ้ำสถิตเปิดอ้า แต่เจินเหรินผู้เฒ่าได้ช่วยลูกศิษย์ร่ายเวทอำพรางตาเอาไว้
นักพรตหญิงค่อนข้างอยากรู้อยากเห็นต่อการมาเยือนเมืองลั่วจิงครั้งนี้ นางกวาดตามองไปรอบด้าน แม้นางจะแบ่งสมาธิไปสนใจเรื่องอื่น แต่กลับไม่ถ่วงรั้งการฝึกตนของตัวเอง เจินเหรินผู้เฒ่าเองก็ไม่ได้บังคับลูกศิษย์
ครั้งนี้อาจารย์ออกมาท่องเที่ยวข้างนอก บอกว่าต้องการไปพบลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่งของสหายเก่า มาจากยอดเขาพาตี้ของอุตรกุรุทวีป
สำหรับเรื่องบนภูเขา นางไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย รู้เพียงว่าอุตรกุรุทวีปคือหนึ่งในเก้าทวีปของไพศาล อยู่ทางเหนือของทางเหนือของใบถงทวีป
มาเมืองลั่วจิงครั้งนี้ก็แค่ผ่านทางมา อีกทั้งระหว่างทางยังได้เจอกับเด็กหนุ่มที่เล่นหมากล้อมได้เก่งกาจอย่างมาก แซ่ชุยนามตงซาน
อีกฝ่ายบอกว่าตัวเองมาเป็นแขกที่เมืองลั่วจิงครั้งนี้เพราะได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ต้องการมาหาสหายบนภูเขาที่คุณธรรมชื่อเสียงสูงส่งสองคนเพื่อรำลึกความหลังกัน
เหลียงส่วงไม่ได้บอกอะไรแก่ลูกศิษย์มากนัก อันที่จริงออกจากแคว้นเหลียงมาครั้งนี้เป็นชุยตงซานที่เชื้อเชิญเขา บอกว่าราชวงศ์สกุลอวี๋มีคุณความชอบเล็กๆ น้อยๆ อยู่อย่างหนึ่งที่รอให้เจินเหรินผู้เฒ่าไปเก็บมา
เจินเหรินผู้เฒ่าได้แต่ทอดถอนใจ ชะตาแคว้นใหญ่กว่าชะตาคน ชะตาฟ้าใหญ่กว่าชะตาแคว้น
อย่าเห็นว่าเมืองลั่วจิงเจริญรุ่งเรือง รถม้าผู้คนสัญจรกันขวักไขว่ มีภาพบรรยากาศของความสงบสุขรุ่งโรจน์ อันที่จริงจิตใจคนประดุจผีร้าย เละเทะไม่เหลือชิ้นดี ล้วนเป็นโรคร้ายที่สงครามใหญ่ครั้งนั้นทิ้งไว้ พูดถึงแค่ขุนนางของ ‘ราชวงศ์ก่อน’ ที่โชคดีมีชีวิตรอดมาได้ ในอดีตครอบครัวของพวกเขา ใครบ้างที่ไม่เคยทำเรื่องสกปรกโสมมยากจะบอกกล่าวแก่ผู้อื่น หรือแม้กระทั่งสร้างโศกนาฎกรรมที่ทำให้คนทนมองไม่ได้บ้าง? มารยาทพิธีการเสื่อมโทรม ศีลธรรมพังทลาย เมืองหลวงที่เหลียงส่วงอยู่ในเวลานี้อันที่จริงไม่ได้มีกลิ่นอายสกปรกชั่วร้ายมากนัก วิญญาณพยาบาทเร่ร่อนที่อยู่ที่นี่ไม่ยอมไปไหนสู้เมืองผีเมืองใดของราชวงศ์ต้าหยวนเก่าไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่กลิ่นอายสกปรกที่พุ่งมาปะทะใบหน้านั้นกลับทำให้เจินเหรินผู้เฒ่าที่เป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานรู้สึกจนใจอย่างยิ่ง มีเพียงเสียงถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เหลียงส่วงคิดว่าต่อให้เขามารับหน้าที่เป็นช่างซ่อมปะชุนจิตใจคนของราชวงศ์สกุลอวี๋แห่งนี้ คนสามรุ่น อย่างน้อยที่สุดเวลาหกสิบปี หรือกระทั่งภายในร้อยปี ก็อย่าหวังว่าจะฟื้นคืนสภาพจิตใจคนอย่างช่วงก่อนเกิดสงครามมาได้อย่างแท้จริง
คนหนุ่มที่เป็นคนต่างแซ่เหมือนกันผู้นั้น เขาทำได้อย่างไร?
ถึงอย่างไรก็ยังต้องอยู่ที่ใบถงทวีปอีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นก็ตั้งตารอดูกันไปแล้วกัน
ระหว่างวังหลวงกับราชอุทานในเขตพระนครมีอารามเต๋าเก่าแก่ที่มีประวัติความเป็นมายาวนานอยู่แห่งหนึ่ง กระเบื้องแก้วใสสีเขียวมรกตเป็นช่างเผาเครื่องปั้นของวังหลวงสร้างขึ้นมา มีชือว่าอารามจีชุ่ย
เจินเหรินผู้เฒ่าส่งเทียบให้กับนักพรตผู้มีหน้าที่ต้อนรับแขกของอาราม สถานะที่ระบุไว้บนเอกสารผ่านด่านคือเหลียงหาวนักพรตแห่งแคว้นเหลียง ฉายา ‘ส่วงเจิน’ ลูกศิษย์หม่าเซวียนฮุย ตอนนี้ยังไม่มีฉายา
นักพรตผู้รับรองแขกของอารามจีชุ่ยไม่ได้ความรู้ตื้นเขินเหมือนมือปราบที่เฝ้าประตูเมือง รู้ว่าเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้นเหลียงในทุกวันนี้ก็คือเหลียงหาว
แต่เกินครึ่งคงคิดจะมารีดไถอารามจีชุ่ยบ้านตนเป็นแน่
เพียงแต่ว่าสหายนักพรตในใต้หล้าล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน นักพรตที่ออกเดินทางไปทั่วสารทิศจะไม่เหมือนกับเซียนซือทำเนียบทั่วไป ส่วนใหญ่มักจะมาพักค้างแรมอยู่ที่อารามเต๋าในท้องถิ่น
จะดีจะชั่วก็เป็นถึงเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้นคนหนึ่ง นักพรตผู้รับรองแขกจึงแจ้งให้เจ้าอารามบ้านตน หรือก็คือราชครูหญิงของราชวงศ์สกุลอวี๋ในทุกวันนี้ทราบทันที
นักพรตหญิงหน้าตางดงามคนหนึ่งที่มองดูเหมือนอายุประมาณสามสิบปี สวมกวานไท่เจินบนศีรษะ เท้าสวมรองเท้าเซียนสีขาวรากบัวลายใบบัวเขียว มือประคองถือแส้ปัดฝุ่น
ตอนที่ก้าวเดินกลิ่นธูปหอมจะโชยมาเป็นระลอก ข้างกายมีกลิ่นอายของดอกกล้วยไม้และดอกกุ้ยฮวาโอบล้อม เป็นกลิ่นหอมจรุงที่ทำให้จิตใจคนปลอดโปร่งโล่งสบาย
ก็คือเจ้าอารามของอารามจีชุ่ย ทุกวันนี้คือราชครูของราชวงศ์สกุลอวี๋ หลวี่ปี้หลง ฉายา ‘หม่านเยว่’
เจ้าอารามหญิงที่มีสถานะสูงศักดิ์เป็นถึงราชครูของราชสำนักผู้นี้ บุคลิกสง่างาม มองปราดๆ หากไม่เป็นเพราะชุดคลุมเต๋าที่บอกตัวตนของนางอย่างชัดเจน นางก็คงเหมือนเหนียงเนียงที่เป็นมารดาของใต้หล้ามากกว่า นางยิ้มถามว่า “ไม่ทราบว่าสหายส่วงเจินมาเยี่ยมเยือน มีอะไรจะชี้แนะหรือ?”
เจินเหรินผู้เฒ่ายกเท้าขึ้น หัวเราะฮ่าๆ “ผินเต้าสามารถก้าวข้ามธรณีประตูสูงของอารามจีชุ่ยได้ โชคดีที่สหายหม่านเยว่เป็นคนพูดง่าย”
เจ้าบ้านและแขก ทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้นเหมือนกันพอดี
เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับราชวงศ์สกุลอวี๋ที่อาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลแล้ว แคว้นเหลียงก็ถือว่าเป็นแค่แคว้นเล็กคับแคบที่ไม่สะดุดตาแห่งหนึ่งเท่านั้น
หลวี่ปี้หลงยิ้มรับ โอ้โห ฟังจากน้ำเสียงนี่ ออกจะแปลกแปร่งชอบกล คงไม่ใช่ว่าผู้มาเยือนมีเจตนาไม่ดีหรอกนะ? ไม่ค่อยเหมือนว่าจะมาผูกความสัมพันธ์กับอารามจีชุ่ยเลย
เจินเหรินผู้เฒ่าส่ายหน้าจุ๊ปาก “เดิมทีเจ้าก็เป็นคนดี ไยถึงได้ทำตัวเป็นโจรเสียเล่า”
หลวี่ปี้หลงสีหน้าเป็นปกติ สะบัดแส้ปัดฝุ่นเปลี่ยนมือที่ใช้พาดวาง ยิ้มเอ่ยว่า “ไยสหายถึงได้กล่าวเช่นนี้?”
เจินเหรินผู้เฒ่าทอดถอนใจ “ฝึกตนอย่างสันโดษ หยินหยางโชควาสนา จักรวาลกว้างใหญ่ แม้จะไม่ต้องอยู่ในกฎเกณฑ์ แต่ในเมื่อเจ้าและข้าต่างก็อยู่ท่ามกลางฝุ่นโลกีย์ ต้องขัดเกลาจิตแห่งมรรคา ถ้าอย่างนั้นก็ควรต้องพิถีพิถันในคำว่าไร้กฎเกณฑ์ก็ไร้ระเบียบกันหน่อยแล้ว”
หลวี่ปี้หลงหลุดหัวเราะพรืด พูดจาวางโตไม่ละอายเช่นนี้ แค่เปิดปากก็พูดถึงมหามรรคา เจ้าเป็นแค่นักพรตของแคว้นเหลียงคนหนึ่ง พูดจาใหญ่โตถึงเพียงนี้ มาผิดที่มาหาคนผิดแล้วหรือไม่
เจินเหรินผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “ทุกวันนี้ผินเต้าก็แค่แขวนชื่อไว้ที่จวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ ขอข้าวกินไปวันๆ ไม่ต้องกังวลว่าผินเต้าจะมีที่พึ่งเป็นภูผาใหญ่ขยับเขยื้อนมิได้ หรือมีการสืบทอดที่ชวนให้คนตกใจอะไรหรอก วันนี้มาเยือนอารามจีชุ่ยเมืองลั่วจิงก็แค่ต้องการคำกล่าวหนึ่งจากสหายหม่านเยว่ แล้วก็จะถามเรื่องเรื่องหนึ่งจากเจ้า”
หลี่ปี้หลงไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แสร้งทำเป็นเล่นผีหลอกเจ้าก็ไม่รู้จักหาข้ออ้างดีๆ บ้างเลย นางเริ่มรู้สึกรำคาญแล้ว สะบัดแส้ปัดฝุ่นเตรียมจะส่งแขกแล้ว
หากว่ามาขอเงินเทพเซียนจากอารามจีชุ่ย หรือขอให้ตนช่วยหาผู้แสวงบุญรายใหญ่ในลั่วจิง ถ้าอย่างนั้นก็ไล่ไปเสียดีกว่า
ใครบ้างไม่รู้ว่าผู้สูงศักดิ์หวงจื่อของจวนเทียนซือลงจากภูเขามา นอกจากจะต้องสะพายกระบี่ไม้ท้อแล้ว รูปแบบของชุดคลุมเต๋าก็มีข้อพิถีพิถันอย่างมากเช่นกัน ต่อให้ไม่สวมชุดคลุมเต๋าม่วงเหลือง ก็ต้องเป็นการแต่งกายที่แค่มองก็รู้ได้ ไม่เคยจงใจปิดบังสถานะระบบเต๋าของตน ในประวัติศาสตร์ไม่ใช่ว่าไม่มีผู้ฝึกตนที่ไม่กลัวตายไม่ยอมเชื่อถือ ยืนกรานจะงัดข้อกับเทียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์ที่ลงจากภูเขามาจำกัดปีศาจปราบมารให้ได้ ถึงขั้นที่ว่ามีเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์จำนวนไม่น้อยที่ต้องไปตายอยู่ต่างบ้านต่างเมือง แต่เพียงไม่นานก็จะต้องมีเทียนซือคนใหม่ของจวนเทียนซือมาซักไซ้สืบสาวราวเรื่องให้ถึงที่สุดโดยไม่สนราคาที่ต้องจ่าย ดังนั้นภายหลังไม่ว่าจะเป็นภูตผีปีศาจหรือผู้ฝึกตนอิสระที่กระทำการกำเริบเสิบสาน ขอแค่เจอกับนักพรตของจวนเทียนซือที่ลงจากภูเขามาหาประสบการณ์ หากหลบเลี่ยงได้ก็จะต้องหลบเลี่ยง หนีได้เป็นหนี
เหลียงส่วงคลายตราผนึกออกเล็กน้อย กลิ่นอายเต๋าโชติช่วง ปราณเซียนล่องลอย พริบตานั้นไอมังกรของเมืองหลวงก็ถูกสยบกำราบให้กลายเป็นเหมือนงูดินตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งในชั่วพริบตา จำต้องนอนหมอบอยู่กับพื้นตัวสั่นเทา เจินเหรินผู้เฒ่าเอ่ยเย้ยหยันตัวเองว่า “เป็นเทียนซือต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์เหมือนกัน ดูท่าผินเต้าน่าจะยังชื่อเสียงไม่ยิ่งใหญ่เท่าสหายฮว่อหลงสินะ”
หลวี่ปี้หลงคล้ายถูกฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ สีหน้าซีดขาว ถามเสียงสั่น “เทียนซือใหญ่เหลียง ปีนั้นปี้หลงก็แค่พาเชื้อพระวงศ์สกุลอวี๋หลบภัยไปด้วยกัน โทษทัณฑ์ไม่หนักหนาถึงขั้นสมควรตาย”
เจินเหรินผู้เฒ่าคลี่ยิ้มมีเลศนัย “อ้อ? เจ้าเป็นคนตัดสินหรือ ผินเต้าบอกว่าเวทอสนีบทหนึ่งก็ตบโจวมี่ให้ตายได้ แล้วทำไมโจวมี่ถึงไม่ตายเสียล่ะ”
หลวี่ปี้หลงตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ในเมื่อเป็นเทียนซือใหญ่ต่างแซ่คนหนึ่งของภูเขามังกรพยัคฆ์ที่มาเยือนตำหนักจีชุ่ยด้วยตัวเอง เรื่องนี้ย่อมไม่มีทางจบลงด้วยดีได้แน่นอน จึงพยายามฝืนทำจิตแห่งมรรคาให้มั่นคง เอ่ยด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว “แล้วนับประสาอะไรกับที่ต่อให้ข้ามีความผิด ก็ไม่ถึงคราวที่นักพรตของจวนเทียนซือจะเป็นคนมาตัดสิน สุดท้ายควรจะจัดการข้าเช่นไรก็เป็นเรื่องของสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อ จำเป็นต้องมอบให้ศาลบุ๋นเป็นผู้ตัดสินใจ!”
เหลียงส่วงเก็บปราณเต๋าส่วนนั้นมา หัวเราะหึหึ คล้ายกับยอมรับคำกล่าวนี้ เปลี่ยนเรื่องถามว่า “‘เอ๋อหวงตี้’ (เปรียบเปรยถึงคนที่แปรพักตร์สวามิภักดิ์กับต่างแคว้น กลายเป็นหุ่นเชิดทางการเมือง) ที่นับสัตว์เดรัจฉานเป็นบรรพบุรุษอย่างยินยอมพร้อมใจผู้นั้น ปีนั้นตายอยู่ในวังได้อย่างไร?”
หลวี่ปี้หลงเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “ดูเหมือนว่าจะถูกนักฆ่าหญิงคนหนึ่งแฝงตัวเข้าไปในห้องแล้วบั่นคอ จากนั้นเอาไปโยนไว้บนบัลลังก์มังกร คนผู้นี้ไปมาอย่างไร้ร่องรอย แม้กระทั่งกองทัพของเปลี่ยวร้างก็ยังหาเบาะแสไม่พบ เรื่องจบลงอย่างค้างคา วังหลวงได้แต่เพิ่มการป้องกันให้เข้มงวดมากขึ้น”
เหลียงส่วงลูบหนวดยิ้ม “ช่างเป็นการกระทำที่คุ้นเคยยิ่งนัก”
นักฆ่าที่ชื่อเสียงไม่โดดเด่นประเภทนี้ มีแค่เพียงบนภูเขาเท่านั้นที่จะถูกขนานนามว่าผู้ชำระล้างความอยุติธรรม
พอจะแบ่งออกได้เป็นสองสาย แยกตามการลงมือตอนกลางวันกับกลางคืน นักฆ่าประเภทหนึ่งชอบฆ่าคนกลางตลาดกลางวันแสกๆ
ยกตัวอย่างเช่นสตรีที่ถือว่าเป็นคนบ้านเดียวกันกับป๋ายเหย่ครึ่งตัวซึ่งถือว่าเป็นบุคคลที่โดดเด่นที่สุดในสายนี้
อีกประเภทหนึ่งคือเก็บตัวตอนกลางวันออกล่าตอนกลางคืน ชอบใช้อาวุธลับในการสังหารจำพวกกริช กระบี่อ่อนและลูกดอกที่ซ่อนอยู่ในชายแขนเสื้อ ใช้อาวุธได้อย่างชำนาญยิ่ง แน่นอนว่าล้วนเป็นอาวุธอาคมที่ผ่านการหล่อหลอมของบนภูเขา
หลิวเถาจือ นอกจากนี้ก็ยังมีพวกเซียนดินอย่างอิงเถาชิงอี ซีซานเจี้ยนอิ่นที่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้ชื่อแซ่ซึ่งต่างก็อยู่ในกลุ่มคนประเภทนี้
ทั้งสองฝ่ายต่างก็ถูกยอดฝีมือหมายตาในคุณสมบัติตั้งแต่อายุยังน้อย พาตัวขึ้นเขาไปฝึกตน น้อยสุดก็สิบปี นานสุดคือหกสิบปีก็ได้ลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์แล้ว ชอบตัดกระดาษมาทำยันต์ม้าและลา ทำอะไรเฉียบขาดว่องไว ส่วนใหญ่มักจะช่วยทวงความเป็นธรรมแทนชาวบ้าน ช่วยหนุนหลังให้คนอ่อนแอ ยกตัวอย่างเช่นฮ่องเต้หรือขุนนางที่คุณธรรมไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง ขุนนางโกงกินที่ขูดรีดเลือดเนื้อของประชาชน ผู้ฝึกตนอิสระที่อำมหิตแต่ไม่อยู่เป็นที่เป็นทาง ผู้ฝึกตนทำเนียบที่จิตใจชั่วร้ายแต่กลับลงมืออย่างลึกลับอำพราง ล้วนอยู่ในรายการของคนที่ต้องถูกฆ่าทั้งสิ้น
เพียงแต่ว่าการลอบฆ่าประเภทนี้ง่ายที่จะถูกใต้หล้าไพศาลมองเป็นการชำระแค้นส่วนตัว ดังนั้นพวกผู้ฝึกตนบนยอดเขาจึงไม่ค่อยให้ความสนใจมาโดยตลอด
ส่วนเหลียงส่วงนั้นเป็นเพราะครั้งหนึ่งบังเอิญได้เห็นเรือนกายผ่ายผอมสองร่างในป่าเขารกร้างที่ปราณวิญญาณบางเบา ปากคาบกริชไต่ไปบนหน้าผา เรือนกายขยับเคลื่อนว่องไวราวกับลิง อีกทั้งยังดูเหมือนทั้งสองยังต้องคอยขัดขวางไม่ให้อีกฝ่ายไต่ขึ้นสูง แม่นางน้อยคนหนึ่งถูกสหายที่ปีนไต่หักกิ่งไม้กิ่งหนึ่งขว้างใส่เหมือนกระบี่บิน นางหลบไม่พ้นถูกกระแทกเข้าที่หัว หากไม่เป็นเพราะระหว่างที่หล่นลงมายื่นมือไปคว้าเถาวัลย์เส้นหนึ่งไว้ได้ ร่างก็คงร่วงจากหน้าผากระแทกพื้นตายไปแล้ว มือจับเถาวัลย์ อันตรายก็ยังอยู่รอบตัว ร่างปลิวไปตามสายลม ส่วนเด็กสาวที่มาด้วยกันก็ไม่ได้รีบร้อนปีนขึ้นสู่ที่สูง แต่หยิบก้อนหินก้อนแล้วก้อนเล่าออกมาจากถุงผ้าตรงเอวโยนใส่อีกฝ่าย
พวกนางต่างก็อายุประมาณสิบเอ็ดสิบสองปี หากจะบอกว่าขอบเขตผู้ฝึกตนของแม่นางน้อยทั้งสองไม่มีค่าพอให้พูดถึง เพิ่งจะเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตสี่ ยังไม่ได้เป็นขอบเขตถ้ำสถิต แต่สายตาของพวกนาง และกลิ่นอายที่มองความเป็นความตายเป็นเรื่องไม่นอกตัว ทำให้เจินเหรินผู้เฒ่าจดจำได้ขึ้นใจมาจนถึงทุกวันนี้
เหลียงส่วงจึงเริ่มสงสัยใคร่รู้ในการสืบทอดของเด็กทั้งสอง ถึงอย่างไรอยู่ที่ไหนก็ฝึกตนได้ทั้งนั้น เจินเหรินผู้เฒ่าจึงอำพรางเรือนกายไปซ่อนตัวอยู่ในภูเขาใกล้เคียง รออยู่หลายวัน ในที่สุดก็ได้เห็นผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งที่มีศาสตร์คงความเยาว์ ขอบเขตก่อกำเนิด ตอนนั้นข้างกายของนางยังพาเด็กหญิงอายุประมาณสิบขวบขึ้นเขามาด้วย ลูกศิษย์ที่รับมาใหม่ มองดูแล้วคล้ายจะหลอกเอามาจากครอบครัวตระกูลใหญ่ ภายหลังผู้ฝึกตนหญิงก่อกำเนิดก็พาเด็กสาวที่แย่งขึ้นไปบนยอดสูงสุดได้ก่อนไปเยือนเมืองแห่งหนึ่งที่ห่างไปหลายพันลี้ สุดท้ายเด็กสาวถือศีรษะที่มัดมวยผมขึ้นมามองสบตากับอีกฝ่ายเบาๆ
ตอนนั้นสายตาของเด็กสาวเย็นชา จิตแห่งมรรคานิ่งดุจบ่อน้ำโบราณไร้คลื่น
ภาพนั้นทำให้เจินเหรินผู้เฒ่าอารมณ์ซับซ้อน หลังจากมาอย่างเงียบเชียบ เหลียงส่วงที่กลับมายังสถานที่ฝึกตนของตน มีครั้งหนึ่งเสี่ยวจ้าวแห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ขึ้นเขามาเยือน เจินเหรินผู้เฒ่านึกถึงการพบเจอครั้งนั้นจึงถามถึงเรื่องนี้ ผลคือเสี่ยวจ้าวก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลย จ้าวเทียนไล่ที่ออกมาจากสถานที่ฝึกตนของผู้อาวุโส กลับมายังภูเขามังกรพยัคฆ์ ผ่านไปนานหลายปีถึงได้ส่งยันต์ฉบับหนึ่งมา ถือว่าหาเบาะแสเส้นหนึ่งเจอได้คร่าวๆ แล้ว
อีกทั้งเสี่ยวจ้าวยังเดาว่านักฆ่าพวกนี้มองดูเหมือนหละหลวม ต่างคนต่างลงมือ ไม่มีการติดต่อระหว่างกัน แต่แท้จริงแล้วกลับมีประวัติความเป็นมา ส่วนข้อที่ว่าใครเป็นคนออกคำสั่ง ภูเขามังกรพยัคฆ์ยังต้องตรวจสอบอีกสักหน่อย
เหลียงส่วงยิ้มเอ่ย “ในเมื่อคุยธุระเสร็จแล้ว ก็จะขอชาจากอารามจีชุ่ยของพวกเจ้ามาดื่มสักถ้วย”
จิตใจของหลวี่ปี้หลงเหมือนขี้เถ้ามอด สีหน้าหม่นมอง พาเจินเหรินผู้เฒ่ากับนักพรตหญิงไปที่ห้องเดี่ยวห้องหนึ่งของอาราม ต่อให้วิญญาณจะหลุดลอยออกจากร่างแค่ไหนก็ยังต้องชงชาต้อนรับแขกแต่โดยดี
ผลคือเหลียงส่วงรับชามาก็เอ่ยขอบคุณ จิบชาหอมไปหนึ่งอึก พยักหน้ากล่าว “ชาดี เดินบนทางคับแคบหยุดเว้นที่ว่างให้คนอื่นได้เดิน ก็คือการเดินบนมหามรรคา ยามที่รสชาติเข้มข้นก็ลดให้อ่อนลงสามส่วนเพื่อให้คนชิม ก็คือรสชาติที่แท้จริง”
ก็เหมือนอย่างที่ชุยตงซานพูดระหว่างเดินทางมา หลวี่ปี้หลงแห่งอารามจีชุ่ยผู้นี้ก็แค่รักตัวกลัวตาย ยุยงให้ฮ่องเต้สกุลอวี๋หนีไปหลบภัย แต่กลับไม่เคยสมคบคิดกับเผ่าปีศาจ แต่นี่ก็ไม่ถ่วงรั้งการข่มขู่นางของตน ก็เหมือนอย่างที่หลวี่ปี้หลงพูดเอง หลังจากนี้จะจัดการนางอย่างไรก็เป็นเรื่องของสำนักศึกษาและศาลบุ๋นแล้ว
เหลียงส่วงมองไปยังต้นโบตั๋นเก่าแก่ที่ผ่านมาหลายยุคหลายสมัยในลานด้านนอก แม้จะอยู่ในช่วงปลายฤดูหนาวก็ยังออกดอกงามสะพรั่ง หากผ่านไปอีกร้อยกว่าปี คาดว่าน่าจะสามารถฟูมฟักภูตดอกไม้ตนหนึ่งได้แล้วกระมัง
เจินเหรินผู้เฒ่าดื่มชาเหมือนดื่มเหล้า กระดกดื่มหมดอย่างห้าวหาญ จากนั้นยื่นถ้วยชาที่อยู่ในมือออกไป “เติมให้เต็ม”
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดสายเหวินเซิ่งอย่างพวกเจ้า ดูเหมือนว่าทำเรื่องอะไรก็ชอบทำให้คนตกใจกลัวเช่นนี้เสมอสินะ?
ศิษย์พี่ค้ำยันแผ่นฟ้าที่กำลังจะถล่มลงมา ศิษย์น้องซ่อมแซมรูโหว่บนพื้นดิน