กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 908.1 มหานทียิ่งใหญ่ไพศาล
เมืองลั่วจิง ราชวงศ์สกุลอวี๋
ไต้หยวนผู้ฝึกตนโอสถทองที่มาจากพรรคชิงจ้วนเพิ่งจะกลับออกมาจากในวังหลวง ระหว่างนี้รถม้าได้เคลื่อนผ่านอารามจีชุ่ยที่โอ่อ่าโอฬาร ผู้ถวายงานโอสถทองของราชวงศ์สกุลอวี๋ท่านนี้ไม่เคยคิดจะตีสนิทกับราชครูหญิงที่เป็นโฉมงามล่มเมืองอะไร ขอบเขตของตนไม่เพียงพอ หากเคาะประตูไปขอเยี่ยมเยือน อาจไม่ถึงขั้นต้องกินน้ำแกงประตูปิด แต่แค่ไปดื่มชา มองอีกฝ่ายได้แค่ทีสองทีจะไปมีความหมายอะไร แล้วนับประสาอะไรกับที่ตบะของหลวี่ปี้หลงก็ลึกล้ำ อีกทั้งประวัติความเป็นมาไม่แน่ชัด ไต้หยวนจึงไม่กล้าไม่ควบคุมสายตาตัวเอง
ปล่อยม่านรถม้าลง ไต้หยวนถอนหายใจ ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงได้เริ่มคิดถึงสหายสุ่ยเซียนแห่งเสี่ยวหลงชิวผู้นั้นขึ้นมาบ้างแล้ว
เพียงแต่ไต้หยวนกลับไม่สังเกตเห็นว่ามีเด็กหนุ่มชุดขาวในมือถือไม้เท้าไผ่เขียวคนหนึ่งนอนอยู่บนหลังคารถม้ามาโดยตลอด เขายกขาไขว่ห้างคล้ายกำลังปกป้องมรรคาให้กับไต้หยวนอย่างไรอย่างนั้น
ผู้ถวายงานเชื้อพระวงศ์ราชวงศ์สกุลอวี๋มีการแบ่งวงในกับวงนอก นี่ก็เทียบเท่าได้กับเค่อชิงที่ได้รับการบันทึกชื่อกับไม่ได้บันทึกชื่อของจวนตระกูลเซียน
และไต้หยวนก็เป็นหนึ่งในผู้ถวายงานวงใน ลำดับขั้นไม่ได้อยู่ช่วงต้นๆ แต่ภูเขาบ้านตนมีบรรพจารย์ที่ดี เกาเหวินซูคือผู้ถวายงานอันดับรองของราชวงศ์ เป็นรองแค่เจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้นที่เวทคาถาลี้ลับมหัศจรรย์เท่านั้น
ในภูเขามีโอสถทองสองคน อยู่ในใบถงทวีปที่ทุกวันนี้ลมและน้ำเจือจางซบเซา ไม่พูดว่าเดินกร่างได้ แต่เดินอาดๆ กลับยังพอทำได้
เพราะเป็นช่วงสิ้นปีจึงมีหิมะใหญ่เท่าขนห่านตกลงมา ว่ากันว่าในพื้นที่มีชาวบ้านยากจนที่ต้องหนาวตายเพราะเสื้อผ้าไม่มีจะสวมใส่อยู่ไม่น้อย ฮ่องเต้จึงเริ่มง่วนอยู่กับการออกพระราชโองการกล่าวโทษตัวเองอีกครั้ง
พรรคบ้านตนในอดีตเคยมีภูเขาที่เป็นที่พึ่งแห่งหนึ่ง คือตระกูลโหวของนครมังกรเฒ่าแจกันสมบัติทวีป
ส่วนวิญญูชน ‘ผู้เที่ยงตรง’ ของทะเลสาบกวานหูที่มาจากตระกูลโหว เนื่องจากคุณความชอบการทางสู้รบบนสนามรบของนครมังกรเฒ่าเกริกก้อง ทุกวันนี้จึงได้เลื่อนขั้นเป็นรองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาอู่ซีที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของใบถงทวีปแล้ว
ไต้หยวนที่ไปเยือนซากปรักของภูเขาไท่ผิง ไม่เพียงแต่กลับมามือเปล่า ยังต้องมอบหมึกนักพรตเต๋าสนใต้ดวงจันทร์ออกไปชิ้นหนึ่งถึงจะถือว่าโชคดีเก็บชีวิตน้อยๆ กลับมาได้
กับจางหลิวจู้ก่อกำเนิดเฒ่าเค่อชิงอันดับหนึ่งของเสี่ยวหลงชิว ก่อนหน้านี้ได้ดูบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำร่วมกันมาหลายต่อหลายครั้ง ถือว่าไม่ได้ดูอย่างเสียเปล่าจริงๆ มีทุกข์ต้องร่วมกันต้าน
ทางฝั่งของบรรพจารย์เกาและฮ่องเต้ผู้เฒ่าสกุลอวี๋ ไต้หยวนย่อมมีคำกล่าวและวิธีการที่จะหลอกอีกฝ่ายให้ผ่านพ้นไป เกาเหวินซูพูดเสียไพเราะว่ากลัวจะทิ้งโรคร้ายอะไรเอาไว้ จึงทำการตรวจสอบบาดแผลของไต้หยวนอย่างละเอียด แต่ก็ไม่ค้นพบอะไร ฮ่องเต้ผู้เฒ่ากลับเป็นคนมีคุณธรรม บอกให้ขันทีไปหยิบอาวุธวิเศษบนภูเขาที่ยังนับว่าหาได้ยากชิ้นหนึ่งจากท้องพระคลัง นำมาประทานให้กับไต้หยวน คงจะมีความหมายทำนองว่าไม่มีคุณความชอบก็มีคุณความเหนื่อยยากกระมัง
อดีตฮ่องเต้ของราชวงศ์สกุลอวี๋ หรือก็คือบุตรอนุภรรยาของโอรสสวรรค์ในทุกวันนี้ ปีนั้นท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวายที่ศีลธรรมจารีตล่มสลาย เรียกตัวเองว่าเอ๋อหวงตี้กับเผ่าปีศาจ ผลคือกลับถูกคนบั่นหัว
ส่วนนักฆ่าคนนั้น สรุปแล้วลอบเข้ามาในเมืองหลวงที่การป้องกันเข้มงวดได้อย่างไร ทั้งยังแฝงเข้ามาในพระราชวังได้อย่างไร สุดท้ายตัดหัวของฮ่องเต้สำเร็จได้อย่างไร ที่กระโจมทัพของเปลี่ยวร้างก็ยังถือว่าเป็นคดีที่ปิดไม่ลงคดีหนึ่ง
ถึงอย่างไรโศกนาฎกรรมนี้ ปีนั้นก็ได้ถูกกระโจมทัพของเปลี่ยวร้างปิดข่าวแน่นสนิท รอกระทั่งศึกใหญ่ปิดฉากลงแล้ว สกุลอวี๋ได้กอบกู้ชะตาแคว้นกลับคืนมา เล่าลือกันว่ามีนางกำนัลเก่าแก่คนหนึ่งหลุดปากแพร่งพรายความลับ บอกว่าเป็นวิญญาณของฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นสกุลอวี๋ที่ช่วงชิงใต้หล้าจากการทำสงครามมาเอาชีวิต คืนนั้นเมฆดำบดบังดวงจันทร์ สายลมเย็นเยือกลอยโชยมาเป็นระลอก พัดให้ต้นไม้ดอกไม้ล้มเอนลงนับไม่ถ้วน ได้ยินเพียงเสียงกีบม้าดังสนั่น เห็นว่าฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นนั่งอยู่บนหลังม้าสูง มือถือหอกยาว หนึ่งคนหนึ่งม้าทะยานเข้าไปในวังหลวง หนึ่งหอกจ้วงแทงออกไปแล้วก็ยังไม่สาแก่ใจ แทงซ้ำอีกหนึ่งที ฟันหลานอกตัญญูผู้นั้นให้ขาดออกเป็นสามท่อนทั้งคนทั้งผ้าห่ม…
สรุปก็คือยิ่งเล่าลือก็ยิ่งพิลึกพิลั่นขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นทุกครั้งที่ไต้หยวนเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้จึงมักจะรู้สึกเสียวสันหลังวาบอยู่เสมอ รู้สึกว่ามันไม่ใช่สถานที่ที่สมควรอยู่นาน
ไต้หยวนคือเทพเซียนบนภูเขาที่ฝึกตนประสบความสำเร็จ แน่นอนว่าเขาต้องไม่กลัวผี แต่เขากลัวตาย
ครั้งนี้เข้าวังมา ไต้หยวนได้รับคำสั่งจากบรรพจารย์เกาว่าต้องเชิญให้รัชทายาทและชายารัชทายาทหวนกลับมาเยือนสถานที่เดิมให้จงได้
ภูเขาบ้านตนมีถ้ำสวรรค์หยกขาวอยู่แห่งหนึ่ง ชมหิมะที่ภูเขาหยกขาว คือทัศนียภาพอันงดงามที่มีชื่อเสียงมายาวนานของใบถงทวีป
อันที่จริงไต้หยวนรู้ดีอยู่แก่ใจว่าฮ่องเต้ผู้เฒ่าใกล้จะไม่ไหวเต็มทีแล้ว อย่างมากสุดก็ทนอยู่ได้อีกแค่ครึ่งปีก็ต้องขี่นกกระเรียนท่องแดนสุขาวดีแล้ว แน่นอนว่าหากอยู่ที่ล่างภูเขาก็ต้องเรียกว่าสวรรคต
ต่อให้หลวี่ปี้หลงเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้นจะเชี่ยวชาญด้านการหลอมยามากแค่ไหน คาดว่าก็คงไม่มีเรี่ยวแรงที่จะพลิกสถานการณ์อันเลวร้ายให้ดีขึ้นได้ ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่อาจต่ออายุขัยให้กับฮ่องเต้ได้
ทางฝั่งของตระกูลโหวแห่งนครมังกรเฒ่า มีคนที่เป็นผู้มีสิทธิ์ตัดสินใจอยู่คนหนึ่ง ทุกวันนี้อยู่ที่ภูเขาบ้านตน รอคอยฮ่องเต้พระองค์ใหม่และฮองเฮาของราชวงศ์สกุลอวี๋ในอนาคต
แต่การที่พรรคชิงจ้วนระดมกำลังใหญ่โตเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ไต้หยวนที่มายังเมืองลั่วจิง แม้แต่บรรพจารย์เกาเหวินซูก็ยังเดินทางมาด้วย นี่ยังเป็นเพราะที่ภูเขามีกองกำลังที่ร้ายกาจยิ่งกว่าตระกูลโหว ไม่ได้มีแค่เงินหรืออำนาจเท่านั้น ว่ากันว่าแม้แต่อาวุธกึ่งเซียนก็ยังมีอยู่หลายชิ้น อีกทั้งยังแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับสกุลเจียงอวิ๋นหลิน ก็คือฝูหนันหัวแห่งตระกูลฝูของนครมังกรเฒ่า คนผู้นี้เดินทางข้ามทวีปลงใต้มาเยือนพรรคชิงจ้วน
ไต้หยวนหยิบกล่องผ้าแพรลายมังกรสีเหลืองอร่ามใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ แค่มองก็รู้ว่าสร้างจากสำนักงานสร้างพระราชวัง เปิดกล่องออกแล้ว ด้านในก็คือก้อนหมึกหลากสีก้อนหนึ่งที่ฮ่องเต้เฒ่าประทานให้ก่อนหน้านี้ วาดเป็นรูปห้ามหาบรรพต สามารถมองเป็นสมบัติที่ใช้ป้องกันคล้ายคลึงกับยันต์ได้ ใช้จิตวิญญาณที่แท้จริงของห้ามหาบรรพต ยังสามารถเข้ายาได้โดยตรง เนื่องจากเป็นของที่ใช้ครั้งเดียวทิ้งจึงยังไม่ได้เลื่อนสู่ระดับขั้นของสมบัติอาคม ไต้หยวนใช้นิ้วลูบก้อนหมึกด้วยความกังวลใจ บังเอิญเหลือเกิน เป็นก้อนหมึกอีกแล้ว นี่ทำให้ผู้ถวายงานวงในท่านนี้อดนึกไปถึงเซียนกระบี่ชุดเขียวที่ปรากฎตัวที่ภูเขาไท่ผิงคนนั้นอย่างห้ามไม่ได้ จะดึงให้มาเป็นพวก จะฆ่าหรือจะแกง จะดีจะชั่วก็ช่วยบอกกล่าวกันให้ชัดเจน ถึงอย่างไรก็ดีกว่าให้เขาต้องอกสั่นขวัญผวาอย่างในเวลานี้
หากอีกฝ่ายแค่อาศัยเวทกระบี่มาจัดการตัวเอง อย่างมากไต้หยวนก็แค่บากหน้าไปฟ้องสำนักศึกษา ไม่ว่าจะไปหาสำนักศึกษาเทียนมู่หรือสำนักศึกษาต้าฝู ไม่ว่าอย่างไรก็สามารถขอยันต์คุ้มกันกายแผ่นหนึ่งมาให้ตัวเองได้ คิดดูแล้วเซียนกระบี่ท่านนั้นก็คงไม่ยินดีสังหารโอสถทองที่ไร้ความแค้นต่อกัน แล้วต้องจ่ายราคาเป็นการถูกสำนักศึกษาหรือไม่ก็ศาลบุ๋นของแผ่นดินกลางกักตัวเอาไว้ ดังนั้นไต้หยวนกลัวก็แต่ว่าเซียนกระบี่ที่บอกว่าตัวเองคือเค่อชิงจากสำนักกุยหยกจะเล่นสกปรกกับตนโดยไม่สนใจมาดของเซียนกระบี่แม้แต่น้อย
เพราะถึงอย่างไรก็เป็นผู้ฝึกตนบนภูเขาคนหนึ่งที่สามารถเรียกตัวเองเป็นพี่เป็นน้องกับเจียงซ่างเจินได้ จะเป็นวิญญูชนที่ทำอะไรตามกฎเกณฑ์ เป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมาได้หรือ?
แล้วนับประสาอะไรกับที่อีกฝ่ายยังพูดแล้วว่า ไม่แน่ว่าวันใดอาจไปเยี่ยมเยือนตนที่พรรคชิงเจวี้ยนก็เป็นได้
เจ้าก็มาสิ เปิดเผยตัวตนให้คนรู้กันไปเลย หรือไม่อย่างนั้นก็ถามกระบี่กับค่ายกลใหญ่พิทักษ์ภูเขาของพรรคชิงจ้วนเหมือนนักพรตหญิงหวงถิงไปเลย
ไต้หยวนเสียใจจนไส้เขียวแล้ว ถอนหายใจพลางพึมพำว่า “ไม่ควรไปลุยน้ำขุ่นที่ภูเขาไท่ผิงเลยจริงๆ หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ข้าก็ยินดีตีขาตัวเองให้หัก แต่ก็ต้องอยู่บนภูเขาให้ได้”
แม้จะบอกว่าชื่อเสียงสายของสกุลอวี๋ฉาวโฉ่ระบือไปทั่วทุกหัวถนนอย่างสิ้นเชิงแล้ว แต่ถึงอย่างไรรากฐานของราชวงศ์สกุลอวี๋ก็ยังอยู่ หลังจากที่กอบกู้ชะตาแคว้น อาณาเขตไม่ลดกลับยังเพิ่มมากขึ้น ทุกวันนี้ใบถงทวีปได้ทำการประเมินแคว้นที่แข็งแกร่งสิบแห่งใหญ่เหมือนยายหวังขายแตง (ประโยคเต็มคือยายหวังขายแตง ขายเองชมเอง) ออกมา ราชวงศ์สกุลอวี๋ก็ติดอันดับนั้นด้วย อีกทั้งลำดับชื่อยังไม่ต่ำ อยู่ระดับกลางๆ ดังนั้นเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊คนสำคัญ แต่ละคนเหมือนได้ฉีดเลือดไก่ ป่าวประกาศว่าจะพยายามเลื่อนจากอันดับห้าไปยังอันดับสามภายในสิบปี
ทุกวันนี้แคว้นแข็งแกร่งที่อยู่อันดับสูงเป็นระดับสามก็คือราชวงศ์ต้าฉงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพวกไม่เคร่งครัดประเพณีทั้งยังสง่างาม ได้ยินว่ารองเจ้ากรมโยธาที่อายุน้อยๆ ท่านหนึ่งกลับตัวกลับใจแล้ว คุณชายเสเพลในอดีตกลายมาเป็นขุนนางที่ดีได้จริงๆ
คนที่คว้าอันดับหนึ่งไปครอง แน่นอนว่าต้องเป็นสกุลเหยาต้าเฉวียนอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว
ขุนนางบุ๋นบู๊สกุลอวี๋ แน่นอนว่าต้องหวังว่าลำดับรายชื่อที่ดีที่สุดก็คือเป็นรองแค่ราชวงศ์ต้าเฉวียน ไต้หยวนเอ่ยนินทาในใจไม่หยุด ยังไม่ต้องพูดว่าจะทำได้หรือไม่
ต่อให้อยู่อันดับที่สองจริงๆ แล้วอย่างไร ลำดับรายชื่ออยู่ติดกับสกุลเหยาต้าเฉวียน ราชวงศ์สกุลอวี๋ของพวกเราก็จะเหมือนบุรุษคนหนึ่งที่ได้อยู่ติดแนบก้นของฮ่องเต้หญิงสกุลเหยาที่งามล่มบ้านล่มเมืองผู้นั้นแล้วหรือ?
ปีนั้นติดตามบรรพจารย์เกาเข้าร่วมพันธมิตรใบท้อ เขาได้ยินข่าวลือเล็กๆ ที่น่าเชื่อถืออย่างหนึ่ง บอกว่าฮ่องเต้หญิงต้าเฉวียนที่งามเย้ายวนเป็นหนึ่งในทวีปไม่มีใครเทียมผู้นั้น ช่วงเวลาที่นางเป็นสาวงดงามที่สุด ระหว่างทางที่เดินทางเข้าเมืองหลวง เคยมอบกายใจฝากทั้งชีวิตให้กับบุรุษต่างถิ่นคนหนึ่งใต้แสงจันทร์เบื้องหน้าบุปผานานแล้ว
ยังบอกด้วยว่าแท้จริงแล้วคนผู้นั้นมีชาติกำเนิดยากจน ไม่ใช่ผู้ฝึกตนด้วยซ้ำ อาศัยการพูดคำหวานโอ้โลม ถึงได้หลอกเอาเรือนกายของฮ่องเต้หญิงในอนาคตมาได้
ไต้หยวนนั่งอยู่ในห้องโดยสารรถม้า จุ๊ปากไม่หยุด มารดามันเถอะ ข้าผู้อาวุโสอิจฉาแทบตายแล้ว
ไม่รู้ว่าเป็นเจ้าลูกกระต่ายน้อยที่มีควันเขียวผุดออกจากหลุมศพบรรพบุรุษคนใดที่มีวาสนาด้านสาวงามเช่นนี้?!
อย่าให้ข้าผู้อาวุโสได้เห็นเขานะ ไม่อย่างนั้นจะปล่อยมรรคกถากระแทกออกไป เล็งไปที่เป้าของเจ้าหมอนั่นเป็นพิเศษ หึหึ จะให้เจ้าเด็กนั่นเข้าวังไปทำงานโดยตรงเลย
รถม้าจอดลง ในเมืองหลวงไต้หยวนมีบ้านพักที่ฮ่องเต้ประทานให้อยู่หลังหนึ่ง เจ้าของคนก่อนคือรองเจ้ากรมพิธีการ โลกภายนอกเล่าลือกันว่าเขาอายุมากแล้ว ได้รับความตกใจจึงไปตายอยู่ในพรรคชิงจ้วน แต่แท้จริงแล้วเขากลับเป็นม้าแก่ที่อยู่ในคอก แต่ปณิธานอยู่ไกลพันลี้ ตอนที่ ‘ควบม้าตะลุยลงสู่สนามรบทีเดียวสองตัว’ ไม่ทันระวังหัวใจวายตาย
ไต้หยวนเดินลงจากรถม้าพลันรู้สึกตกตะลึงระคนยินดี เห็นผู้ฝึกตนที่บรรลุมรรคาคนหนึ่งซึ่งเปี่ยมไปด้วยมาดแห่งเซียนยืนอยู่นอกประตู คิดถึงอะไรก็ได้อย่างนั้น ดูท่าช่วงนี้ตนจะโชคไม่เลว แบบนี้ถือว่าเมื่อเรื่องร้ายมาถึงที่สุดเรื่องดีจะเกิดขึ้นได้หรือไม่?
ด้วยมิอาจควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ ไต้หยวนจึงไม่มัวพูดจาโอภาปราศรัยอะไรอีก ก้าวเดินเร็วๆ มุ่งไปข้างหน้า ยื่นมือไปจับมือของก่อกำเนิดเฒ่า “พี่จาง!”
ก่อกำเนิดเฒ่าก็มีสีหน้าซาบซึ้งใจเช่นเดียวกัน สะบัดแขน เอ่ยเสียงทุ้มหนัก “น้องไต้!”
มรสุมที่ซากปรักของภูเขาไท่ผิงครานั้น ทั้งสองร่วมทุกข์ต้านภัยมาด้วยกัน โชคดีหนีเอาชีวิตรอดมาได้ เวลานี้เหตุการณ์นี้เรียกได้ว่าชวนให้คนซาบซึ้งใจจริงแท้ ไม่ด้อยไปกว่ายามที่คนบ้านเดียวกันได้พบเจอคนบ้านเดียวกัน ทั้งสองต่างก็น้ำตาเอ่อคลอ
อันที่จริงข้างกายคนทั้งสอง ห่างไปแค่ไม่กี่ก้าวก็มีเด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งใช้ไม้เท้าไม้ไผ่ยันพื้น อ้าปากหาวมองพี่น้องต่างแซ่สองคนรำลึกความหลังกันอยู่ตรงนั้น
ไต้หยวนเอ่ยเสียงเบา “พี่จาง หากพวกเราสองคนดื่มเหล้าที่จวนเพียงอย่างเดียวออกจะขาดรสชาติไปหน่อย ไม่สู้?”
ตามเหตุตามผลแล้ว ไต้หยวนควรจะแสดงน้ำใจของเจ้าบ้านอย่างเต็มที่ จางหลิวจู้เงียบงันไม่เอ่ยสิ่งใด มีท่าทีลังเลเล็กน้อย
ไต้หยวนเอ่ย “พี่จาง มาถึงเมืองลั่วจิงแห่งนี้ต้องเชื่อข้า ไป!”
ไต้หยวนจึงพาจางหลิวจู้กลับขึ้นไปนั่งบนรถม้าใหม่อีกครั้ง มุ่งหน้าไปยังโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนแห่งหนึ่งในเมือง มีชื่อว่าหอเติงหมี ในนี้ยังมีหอซานจ้าวที่เป็นหอสูงที่สุดในเมืองหลวง ความหมายก็คือตะวันจันทราและสาวงามล้วนคือที่สุดแห่งความงามของใต้หล้า คือสถานที่แห่งแรกที่เหล่าขุนนางและเซียนซือบนภูเขาเลือกจะจัดงานเลี้ยงสุรา มีแขกเนืองแน่นตลอดทั้งปี คิดจะขึ้นหอไปดื่มเหล้ากะทันหันอาศัยว่าในกระเป๋ามีเงิน กลับถูกกำหนดมาแล้วว่าทำไม่ได้แน่นอน อย่างน้อยที่สุดต้องจองล่วงหน้าก่อนหนึ่งเดือน ถึงอาจจะมีที่นั่ง เพียงแต่ว่าไต้หยวนคือลูกค้าเก่าของหอซานจ้าวแล้ว อีกทั้งยังเป็นผู้ถวายงานวงใน พรรคชิงจ้วนยังเป็นผู้นำของตระกูลเซียน ไม่ว่าจะไปตอนใดก็ล้วนมีเหล้าให้ดื่ม
นี่ยังต้องยกคุณความชอบให้กับ ‘เอ๋อหวงตี้’ ที่ตายไปอย่างฉับพลันผู้นั้น เมืองหลวงของราชวงศ์สกุลอวี๋ สิ่งปลูกสร้างแทบจะสมบูรณ์ไร้ความเสียหาย ไม่ถูกเผ่าปีศาจทำลาย
ระหว่างที่เดินทางมา ไต้หยวนได้ใช้นกกระดาษส่งข่าวสองตัวเรียกผู้ฝึกตนหญิงรุ่นเยาว์ที่มาจากพรรคอื่นให้มาหา พวกนางต่างก็เป็นคนคุ้นเคยของพรรคชิงจ้วนแล้ว เทพธิดาทั้งสองได้ส่วนแบ่งจากบ่อไข่มุกมรกตทุกปี อีกทั้งพรรคชิงจ้วนของไต้หยวนก็คือผู้ดูแลสถานที่สองแห่งในบรรดาสี่ทัศนียภาพใหญ่ นอกจากบ่อไข่มุกมรกตแล้วก็ยังมีต้นไม้ผูกกระบี่ เพียงแต่ว่าอย่างหลังก็แค่เอากระบี่ไปแขวนไว้บนต้นไม้ ไม่มีค่าน้ำร้อนน้ำชาอะไรให้ควานหา
ในยันต์ที่ส่งข่าวไป ไต้หยวนถามพวกนางว่าว่างหรือไม่ ให้มาจิบเหล้ากันที่หอเติงหมี นอกจากตนแล้วยังมีเพื่อนรักบนภูเขาอีกคน
ไต้หยวนเข้าไปในหอเติงหมี แต่กลับไม่ได้ตรงไปที่หอซานจ้าวที่อึกทึกจอแจที่สุด แต่ให้ผู้ฝึกตนหญิงที่สนิทสนมคุ้นเคยกันคนหนึ่งเป็นคนนำทาง พามายังสถานที่ดีๆ ที่เงียบสงบท่ามกลางความวุ่นวาย ให้ความเพลิดเพลินดั่งความงามของธรรมชาติ เห็นเพียงว่ากระท่อมสองหลังนั้นล้อมรอบด้วยรั้วไม้ไผ่ หน้าประตูก็คือสระน้ำกว้างหนึ่งไร่เต็มไปด้วยดอกบัว
ผู้ฝึกตนหญิงแต่งกายด้วยชุดรัดรูปพอดีตัว เอวบางส่ายไหวยามก้าวเดิน นางยิ้มหวานพลางคุยเล่นกับเซียนซือทั้งสองไปตลอดทาง
นั่งอยู่ใต้ซุ้มองุ่นกับจางหลิวจู้ เดิมทีไต้หยวนอยากจะให้ผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นไปเอาสุราที่ดีเยี่ยมที่สุดที่หอเติงหมีมาให้ แต่จางหลิวจู้บอกว่าไม่จำเป็นแล้ว เขาหยิบเหล้าหลงชิวสองกาออกมาจากชายแขนเสื้อ ผู้ฝึกตนหญิงที่เป็นผู้ดูแลคนนั้นรู้ถึงความชื่นชอบของไต้วงในดี สายตาของนางคลอประกายน้ำฉ่ำวาว ใช้สายตาสอบถามไต้หยวนว่าต้องการให้ตนจัดหาคณิกาของหอเติงหมีมาสักสองสามคนหรือไม่ ไต้หยวนยิ้มพลางโบกมือบอกว่าไม่ต้อง ก่อนที่ฝึกตนหญิงจะจากไปบอกว่าหากต้องการอะไรแค่เรียกนางก็พอ เห็นได้ชัดว่าขอแค่ไต้หยวนเปิดปาก ต่อให้จะต้องการให้นางดื่มเหล้าเป็นเพื่อนก็ยังได้
เห็นได้ชัดว่าเถาองุ่นต้นนั้นคือต้นไม้ตระกูลเซียน แม้จะเป็นช่วงสิ้นปีก็ยังใบเขียวขจี ออกผลเป็นพุ่มพวง
จางหลิวจู้รินเหล้าสองจอก จอกเหล้าบนโต๊ะคือจอกเทพีบุปผาจำลองที่ทำขึ้นอย่างประณีติ
ไต้หยวนจิบเหล้าหลงชิวหนึ่งอึก เอ่ยชื่นชมรสชาติของสุราไปรอบหนึ่งแล้วก็ฉวยโอกาสที่รอบข้างไร้ผู้คนถามเสียงเบาว่า “ได้ยินมาว่าลูกศิษย์ของนักพรตเป่าเจินแห่งอารามจินติ่ง ทุกวันนี้อยู่ในช่วงปิดด่าน มีหวังจะเลื่อนเป็นก่อกำเนิดหรือ? ยังมีข่าวลือเล็กๆ นั่นอีก บอกว่าเส้ายวนหรานได้รับสมบัติพิทักษ์ภูเขาชิ้นหนึ่งที่เจ้าอารามตู้มอบให้ ทั้งยังได้สัมผัสกลับกลิ่นอายมังกรของสกุลเหยาต้าเฉวียน เวลาสั้นๆ เพียงยี่สิบปีถึงได้ฝ่าทะลุขอบเขตอย่างราบรื่นไปตลอดทาง เพราะได้รับฟ้าอำนวยดินอวยพรคนสามัคคี”
จางหลิวจู้กึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “เซียนดินก่อกำเนิดคนหนึ่งที่อายุน้อยมากความสามารถเช่นนี้ ไม่เป็นเขยแต่งเข้าสกุลเหยาต้าเฉวียนไปประคับประคองมังกรก็ช่างน่าเสียดายจริงๆ”