กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 908.2 มหานทียิ่งใหญ่ไพศาล
ก่อกำเนิดเฒ่ามีชาติกำเนิดจากผู้ฝึกตนอิสระ ชีวิตนี้จึงดูแคลนเซียนดินทำเนียบที่ชอบฉกฉวยผลประโยชน์พวกนี้เป็นที่สุด ยกตัวอย่างเช่นเกาซูเหวินที่เป็นเจ้าประมุขพรรคชิงจ้วน จางหลิวจู้ก็ค่อนข้างจะไม่ถูกชะตาอย่างมาก
ไต้หยวนหัวเราะหึหึ “หากว่าสามารถแต่งเข้าต้าเฉวียนได้จริง เป็นสามีภรรยากับฮ่องเต้หญิงคนนั้น คอยประคับประคองมังกรอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ได้กดทับมังกรอยู่ทุกค่ำคืน ก็ช่างเป็นวาสนาที่ทำให้คนอิจฉาจริงๆ”
คำพูดสัปดนกับสุรารสเลิศเหมือนไม้กวาดที่ปัดเป่าความทุกข์ เมื่อจางหลิวจู้ยกจอกเหล้าขึ้น ไต้หยวนก็ยกจอกเหล้าของตัวเองชนกระทบกับอีกฝ่ายเบาๆ ทันที ต่างคนต่างกระดกดื่มจนหมด
ไต้หยวนถามเสียงเบา “ครั้งนี้พี่จางมาเยี่ยมเยือนเมืองลั่วจิง เพราะคิดจะใช้สถานะของเค่อชิงอันดับหนึ่งแห่งเสี่ยวหลงชิวมาปรึกษากับฮ่องเต้ผู้เฒ่า หรือว่า?”
จางหลิวจู้คลี่ยิ้มมีเลศนัย ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ได้รับคำไหว้วานจากคนอื่นให้มาคุยเรื่องการค้ากับเจ้า น้องไต้ ขอให้ข้าได้อุบไว้ก่อนเถอะ ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องดีใหญ่เทียมฟ้าที่ได้รับโชคดีหลังจากเคราะห์ร้าย เจ้าจงดื่มเหล้าอย่างวางใจได้เลย”
พอไต้หยวนได้ยินคำว่า ‘ได้รับโชคหลังเคราะห์ร้าย’ ก็คล้ายได้กินยาสงบใจเข้าไปหนึ่งเม็ด แล้วก็ไม่รีบร้อนถามหาต้นสายปลายเหตุจริงๆ แค่ยุให้จางอันดับหนึ่งดื่มเหล้าไม่หยุด ต่างคนต่างเล่าเรื่องสิ่งที่ตัวเองได้พบเจอช่วงล่าสุดของใบถงทวีปให้อีกฝ่ายฟัง
จางหลิวจู้ถามถึงสถานการณ์ช่วงที่ผ่านมาของพรรคชิงจ้วนคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนา นอกจากเรื่องที่เกี่ยวกับความลับบนภูเขาบางอย่างที่ไม่พูดถึงแล้ว ไต้หยวนกลับบอกทุกเรื่องที่รู้ให้อีกฝ่ายฟังจนหมดสิ้นไม่มีปิดบัง หากว่าจางหลิวจู้ยังเป็นผู้ฝึกตนอิสระ ไต้หยวนหรือจะกล้าแสดงความจริงใจเช่นนี้ แต่ในเมื่อทุกวันนี้จางหลิวจู้ ‘เปลี่ยนจากอธรรมเข้าสู่สายธรรมะ’ กลายมาเป็นเค่อชิงอันดับหนึ่งของเสี่ยวหลงชิวแล้ว ย่อมไม่กลับไปทำกิจการเดิมอีก ไม่อย่างนั้นจางหลิวจู้ก็มีแต่ได้ไม่คุ้มเสีย ไต้หยวนจึงไม่ต้องมีอะไรให้กริ่งเกรงมากนัก
เพียงแต่ว่าไต้หยวนก็สงสัยอยู่เหมือนกัน จางหลิวจู้ดูจะสนใจเรื่องรายรับของบ่อไข่มุกมรกตและตลาดภูเขาหยกขาว อีกทั้งยังถามอย่างละเอียดมากด้วย หรือว่าวันนี้เฉวียนชิงชิวผู้คุมกฎของเสี่ยวหลงชิวคนนั้นต้องการให้จางหลิวจู้มาสืบข่าวจากตน คิดจะเป็นพันธมิตรกับพรรคชิงจ้วน ยกตัวอย่างเช่นรวบรวมเรือข้ามฟากตระกูลเซียนทั้งหลายของภูเขาสองลูกให้มาทำการค้าร่วมกัน?
ไม่ถึงครึ่งก้านธูป จางหลิวจู้ก็หยุดคำพูด หันหน้าไปมองอีกทาง ดวงตาสว่างวาบทันใด
ผู้ฝึกตนหญิงทำเนียบสองคนที่ยังไม่รู้ว่ามาจากพรรคไหน คนหนึ่งผอมคนหนึ่งอวบ ต่างคนต่างมีความงามกันคนละแบบ
ฝ่ายแรกรูปโฉมโดดเด่น ใบหน้ารูปแตง เดินเยื้องย่างกรีดกราย เอวบางคอดกิ่ว จนก่อกำเนิดผู้เฒ่ากังวลใจว่าจับแล้วจะหักหรือไม่
ส่วนฝ่ายหลังกลับยิ่งทำให้ก่อกำเนิดเฒ่าหวั่นไหวได้มากกว่า มิอาจเคลื่อนสายตาไปทางไหนได้เลย
หากใช้คำพูดของเจียงซ่างเจินชาติสุนัขผู้นั้นมาบรรยาย ก็คือนางเดินมาทางข้าคล้ายภูเขาใหญ่สองลูกพุ่งเข้าชนข้า
ก่อกำเนิดเฒ่าทอดถอนใจอยู่ในใจไม่หยุด หากว่ามีการเข่นฆ่าบนเตียงกันขึ้นมา ข้าผู้อาวุโสย่อมพ่ายแพ้อย่างมิต้องสงสัย
บุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำมากมายพวกนั้นไม่ได้ดูมาอย่างเสียเปล่า ไต้หยวนรู้รสนิยมของผู้อาวุโสก่อกำเนิดท่านนี้มานานมากแล้ว จึงกวักมือให้ผู้ฝึกตนหญิงร่างผอมบางมานั่งข้างกายตน เทพธิดาทำเนียบอีกคนที่เรือนกายอวบอิ่มมองไปที่จางหลิวจู้ตั้งแต่แรก สีหน้านางเป็นปกติ แต่ในใจกลับโอดครวญไม่หยุด ไต้วงในผู้นี้ เหตุใดวันนี้ถึงได้เรียกตาเฒ่านี่มาดื่มเหล้าด้วยนะ ช่างทำให้ตนลำบากใจแล้วจริงๆ
ทว่าพอคิดถึงภูมิหลังของไต้หยวน นางก็ได้แต่คลี่ยิ้มอย่างฝืดฝืน
เหลือบตามองมือที่ถือจอกสุราของผู้ฝึกตนเฒ่า ยังดี ไม่เหมือนฝ่ามือที่แห้งเหี่ยวเหมือนตีนไก่ของคนแก่ที่เป็นมนุษย์ธรรมดาล่างภูเขาสักเท่าไร ยังแผ่ประกายแสงขาวนวลดุจหยกออกมาให้เห็นอยู่บ้าง นี่ทำให้ในใจผู้ฝึกตนหญิงตกตะลึงอยู่หลายส่วน คงไม่ได้เป็นเทพเซียนพสุธาที่มี ‘กิ่งทองใบหยก’ ในร่างหรอกนะ?
ราชวงศ์สกุลอวี๋ในทุกวันนี้ เสาค้ำยันแคว้นมีอยู่สามฝ่าย อารามจีชุ่ยแห่งลั่วจิง หลวี่ปี้หลงเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้น มรรคกถาลึกล้ำจนมิอาจคาดเดา
และยังมีหวงซานโซ่วแม่ทัพใหญ่ที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลคนหนึ่ง คนผู้นี้มีชาติกำเนิดยากจน มีจุดเริ่มต้นต่ำต้อย วัยเด็กหนุ่มก็เริ่มเป็นทหาร ทุกวันนี้เพิ่งจะอายุสี่สิบปีก็สร้างคุณูปการมากมายจนไม่อาจแต่งตั้งตำแหน่งให้สูงกว่านี้ได้อีกแล้ว และคนเพียงผู้เดียวของราชวงศ์สกุลอวี๋ที่พอจะเอามาออกหน้าออกตาได้ก็คือแม่ทัพใหญ่ท่านนี้ที่ปีนั้นถูกมองเป็น ‘คนดื้อด้าน’ ที่เอาไข่กระทบหิน เพราะปีนั้นหวงซานโซ่วไม่ได้ติดตามพวกฮ่องเต้เฒ่าหนีลี้ภัยไป ‘แปรพระราชฐาน’ อยู่ในพื้นที่ลับของพรรคชิงจ้วน แต่ได้รวบรวมกองทัพม้าฝีมือดีกองหนึ่งไล่ตระเวนหาไปทั่วขุนเขาสายน้ำเก่า เข่นฆ่ากับเผ่าปีศาจแห่งเปลี่ยวร้างอยู่หลายครั้ง แม้ว่าจะบาดเจ็บล้มตายกันไปมาก แต่กองทัพทหารม้ากองนี้ก็ไม่เคยแตกพ่าย
‘คนผู้นี้คือหินหยกในหลุมส้วมของราชวงศ์สกุลอวี๋’
นี่คือคำพูดที่รองเจ้าขุนเขาคนใหม่ของสำนักศึกษาเทียนมู่ป่าวประกาศออกมาอย่างชัดเจน ไม่ปิดบังความดูแคลนที่เขามีต่อทั้งราชวงศ์สกุลอวี๋ รวมไปถึงการมองสูงให้ค่าที่เขามีให้กับแม่ทัพบู๊ผู้นั้นโดยเฉพาะ
สุดท้ายจึงเป็นพรรคชิงจ้วนของไต้หยวนแล้ว
เป็นเหตุให้เมื่อนางได้ยินว่าผู้อาวุโสมีฉายาสุ่ยเซียน ถึงกับเป็นเค่อชิงอันดับหนึ่งของเสี่ยวหลงชิวที่ได้ยินชื่อเสียงมานานแต่ยังไม่เคยเห็นหน้าผู้นั้น แล้วยังเป็นเทพเซียนผู้เฒ่าก่อกำเนิดคนหนึ่ง เรือนกายของนางก็อ่อนยวบลงหลายส่วน เนื้อหนังที่อวบตึง ขณะที่นั่งคุกเข่าดื่มสุราคารวะ ต้นขาข้างหนึ่งแนบติดไปโดนก่อกำเนิดผู้เฒ่าคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนา
สตรีสวมชุดคลุมอาคมที่ทำจากผ้าแพร ทั้งยังอยู่ในท่าคุกเข่า จึงเป็นเหตุให้เกิดส่วนเว้าส่วนโค้งกระชับตึงแน่น ความรู้สึกเย็นน้อยๆ จากจุดที่แตะต้องสัมผัสกันกลับทำให้จิตใจของก่อกำเนิดผู้เฒ่าร้อนเร่า
ดื่มสุราคารวะกันไปสามรอบ เริ่มเมากรึ่มๆ ไต้หยวนก็เกี่ยวเอวของผู้ฝึกตนหญิงข้างกายมากอด ส่วนเทพธิดาที่อยู่ข้างกายจางหลิวจู้ได้เข้ามาอยู่ในอ้อมอกของเทพเซียนผู้เฒ่านานแล้ว เรียกขานเขาคำแล้วคำเล่าว่าพี่ใหญ่จาง
เพียงแต่ว่าออกจากบ้านครั้งนี้ จางหลิวจู้ไม่ได้มาเพื่อท่องเที่ยวภูเขาสายน้ำ ดื่มสุราเคล้านารีอะไร วันนี้ได้มาร่ำสุราใต้ซุ้มองุ่น อย่างมากสุดก็ได้แค่ถือว่าอาศัยงานส่วนรวมหาผลประโยชน์ใส่ตัว แอบอู้จากงานที่รัดตัวเท่านั้น ไม่อย่างนั้นจางหลิวจู้คงถือจอกเหล้าไว้ในมือ ส่วนอีกมือหนึ่งก็คงยื่นไปคลำหาของในเทือกเขาเนื้อนวลขาวกระจ่างนานแล้ว
ที่แท้คืนนั้นก่อนที่เซียนกระบี่เฉินจะออกไปจากสวนป่าได้มากำชับจางหลิวจู้เป็นการส่วนตัว พูดจาอย่างเกรงอกเกรงใจว่าอยากจะขอรบกวนให้สหายสุ่ยเซียนช่วยไปเยือนราชวงศ์สกุลอวี๋ให้สักครั้ง ไปพูดคุยรำลึกความหลังกับไต้หยวนผู้ถวายงานวงใน ช่วยบอกกล่าวเขาสักคำ บอกไปว่าเขากับพรรคชิงจ้วนยังคงไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ ต่อกัน แต่สำหรับไต้หยวนที่เป็นผู้ถวายงานฝ่ายในของสกุลอวี๋กลับไม่ตีก็ไม่ได้รู้จักกัน ดังนั้นต่อจากนี้เขาจึงอยากดูว่าจะมีโอกาสที่จะช่วยไต้หยวนให้พัฒนารุดหน้าไปอีกขั้นในวงการขุนนางขุนเขาสายน้ำของราชวงศ์สกุลอวี๋หรือไม่
บอกตามตรง จางหลิวจู้เริ่มอิจฉาในสถานะผู้ถวายงานวงในของไต้หยวนบ้างแล้ว ไม่เหมือนกับตนที่เป็นแค่เค่อชิงอันดับหนึ่งที่ได้แต่กินน้ำแกงจืดชืดอยู่ในเสี่ยวหลงชิวเท่านั้น
เป็นเหตุให้ระหว่างที่เดินทางมายังเมืองลั่วจิง จางหลิวจู้ก็เริ่มเกิดความคิดโลดแล่นว่าจะสามารถปรึกษากับเจ้าขุนเขาของเสี่ยวหลงชิวคนถัดไปได้หรือไม่ว่าให้ตนคว้าสถานะที่คล้ายคลึงกับ ‘ราชครู’ มาจากราชวงศ์ล่างภูเขาบางแห่งที่กอบกู้แคว้นสำเร็จ? ยกตัวอย่างเช่นในสิบแคว้นของใบถงทวีปที่ถูกคัดเลือกมาทุกวันนี้ เลือกราชวงศ์ใหญ่ที่ยังขาดพลังการสู้รบขั้นสูงสุดชั่วคราวมาสักแห่ง ก็เหมือนอย่างราชวงศ์ต้าฉงที่รอคอยการฟื้นฟูที่ดูเหมือนว่าทุกวันนี้ตำแหน่งของราชครูยังคงถูกปล่อยว่างไว้? ไต้หยวนก็แค่โอสถทองคนหนึ่ง แต่ตนกลับเป็นก่อกำเนิดจริงแท้แน่นอน หากทำสำเร็จจะไม่ยอดเยี่ยมไปเลยหรอกหรือ?
ถึงเวลานั้นตนเป็นราชครูคนใหม่ของราชวงศ์ต้าฉง ทั้งยังมีเซียนกระบี่เฉินคอยเป็นภูเขาหนุนหลังให้ ขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีป ใครจะยังกล้าดูแคลนข้าจางหลิวจู้? รู้สึกว่าข้ามีชาติกำเนิดไม่เที่ยงตรงอีก?
เซียนกระบี่ผู้หนึ่งที่เซียนเหรินของแผ่นดินกลางก็ยังให้ความเคารพนับถือ ทั้งยังยอมลงให้สามส่วน
ขาใหญ่ๆ นี้ ข้าจะกอดไว้ให้แน่นเลยเชียว!
ดื่มสุราเคล้านารีอย่างจืดจางกันไปรอบหนึ่ง แม้ว่าไต้หยวนจะประหลาดใจอย่างมาก แต่ก็ยังทำตามคำเตือนเสียงในใจของจางหลิวจู้ ทั้งสองฝ่ายได้เข้าเรื่องกันเสียที ต้องให้สาวงามทั้งสองจากไปเสียก่อน ไม่ต้องให้พวกนางมาดื่มเหล้าเป็นเพื่อนชั่วคราว
สตรีร่างอวบอิ่มคล่องแคล่วว่าง่ายจริงดังคาด ไม่มีท่าทีตอแยให้รำคาญใจ แค่ใช้เสียงในใจสอบถามอย่างคนที่เข้าใจคนอื่นเป็นอย่างดีว่าต้องการให้พวกนางไปรอดื่มเหล้าครั้งถัดไปที่จวนของไต้วงในหรือไม่
ไต้หยวนได้รับเสียงในใจจากจางหลิวจู้จึงยิ้มตอบตกลงกับนาง
รอกระทั่งผู้ฝึกตนหญิงทำเนียบสองคนจากไปไกลแล้ว จางหลิวจู้ก็พลันสลายกลิ่นสุราที่อบอวลอยู่เต็มร่าง สายตาแจ่มกระจ่างผิดปกติ คล้ายเปลี่ยนมาเป็นคนใหม่ ใช้พลังอำนาจบีบคั้นของผู้อาวุโสก่อกำเนิดเอ่ยเสียงในใจว่า “ไต้หยวน เรื่องที่ข้าจะพูดกับเจ้าต่อไปนี้ เจ้าห้ามแพร่งพรายให้ใครรู้แม้แต่คำเดียว ไม่ว่าจะเป็นเกาซูเหวินบรรพจารย์ของเจ้าหรือราชวงศ์สกุลอวี๋ การพูดคุยกันในวันนี้ ฟ้ารู้ดินรู้มีแต่เจ้าและข้าที่รู้”
ในใต้หล้าไพศาล อย่าได้ดูแคลนผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขาคนใดก็ตามที่ปีนมาถึงขอบเขตของก่อกำเนิดอย่างยากลำบาก นี่คือหลักการทั่วไป
ไต้หยวนเห็นท่าทางผิดปกติของจางหลิวจู้ก็รู้หนักเบาได้ทันที รีบเก็บรอยยิ้มและคำพูดสัพยอกกลับมา นั่งตัวตรงอย่างสำรวม ใช้เสียงในใจเอ่ยอย่างเคารพนอบน้อม “จางอันดับหนึ่งโปรดพูด ผู้เยาว์ล้างหูรอฟังอยู่”
จางหลิวจู้จึงเอ่ยประโยคที่เซียนกระบี่เฉินได้ฝากฝังเขามา ไต้หยวนฟังอย่างตั้งใจ ไม่กล้าปล่อยให้ตกหล่นไปแม้แต่คำเดียว เพียงแต่ว่าพอฟังจบ นอกจากจะปลาบปลื้มแล้วยังอดเป็นกังวลไม่ได้ด้วย พริบตานั้นพลันเกิดการคาดเดา นี่ถือเป็นขนมเปี๊ยะที่หล่นลงมาจากฟ้า คือเส้นทางขุนเขาสายน้ำที่เก็บมาได้เปล่าๆ หรือไม่? ใต้หล้ามีเรื่องดีๆ แบบนี้จริงหรือ? เซียนกระบี่ที่ลงมืออำมหิต จิตใจลึกล้ำไปด้วยกลอุบาย อาศัยอะไรถึงได้มาโปรดปรานตน? อีกฝ่ายไม่ได้ละโมบในกิจการบรรพบุรุษที่อุดมสมบูรณ์ของพรรคชิงจ้วนอย่างอ้อมจริงๆ หรือ? มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า อันที่จริงจางหลิวจู้พูดคุยกับเซียนกระบี่ท่านนั้นเป็นการส่วนตัวนานแล้ว ภายนอกจึงไม่ช่วงชิง แต่จะมาแย่งในทางลับ? ไม่ใช่ว่าตนยุ่งหน้ายุ่งหลัง ถึงท้ายที่สุดไม่เพียงแต่กลายเป็นว่าสิ่งที่ทำมาสูญเปล่า ยังต้องกลายเป็นคนที่มีโทษมหันต์กินบนเรือนขี้รดบนหลังคาของพรรคชิงจ้วนด้วย?
ดูเหมือนจางหลิวจู้จะคาดเดาความคิดที่สลับซับซ้อนของไต้หยวนได้ จึงคีบจอกเทพีบุปผาจำลองที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมา ใช้สองนิ้วคีบขึ้นมาก่อนเบาๆ แต่กลับกระแทกลงบนโต๊ะอย่างแรง ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “สุดท้ายเซียนกระบี่เฉินยังเอ่ยอีกสองประโยค บอกให้ข้านำความมาบอกต่อแก่น้องไต้ ประโยคแรกคือ อย่าได้ไม่ดื่มสุราคารวะ ดึงดันจะดื่มสุราลงทัณฑ์ ได้ผลประโยชน์ไปแล้วยังไม่พอใจ”
ใบหน้าของไต้หยวนเต็มไปด้วยรอยยิ้มขมขื่น เส้นเอ็นหัวใจบีบตึงแน่น
จางหลิวจู้หยุดชะงักไปครู่ก็เอ่ย ‘ประโยคที่สอง’ ต่ออีกว่า “เจอกับไต้หยวนแล้วก็ไม่ต้องปรึกษากับเขาว่าจะทำหรือไม่ แต่ควรสอนมือต่อมือให้เขารู้ว่าควรวางตัวเป็นคนอย่างไร”
ไต้หยวนดื่มเหล้าหมักเซียนหลงชิวไปหนึ่งกา เวลานี้ในท้องกลับเต็มไปด้วยน้ำรสขม ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี
พี่จางที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้เป็นพันธมิตรลงเรือโจรลำเดียวกับเซียนกระบี่ชุดเขียวคนนั้นจริงอย่างที่คิด
จางหลิวจู้กลับมามีรอยยิ้มดังเดิม เอ่ยเนิบช้าว่า “น้องไต้ อย่าคิดอะไรมาก เซียนกระบี่เฉินท่านนี้เป็นผู้ฝึกตนทำเนียบในสำนักอักษรจงแห่งหนึ่งของใบถงทวีปพวกเรา ไม่มีเหตุผล ยิ่งไม่มีความจำเป็นที่ต้องมาหลอกผู้ฝึกตนโอสถทองคนหนึ่ง สำนักศึกษาสามแห่งของใบถงทวีปก็ไม่ใช่เครื่องประดับด้วย”
อารมณ์ของไต้หยวนไม่เป็นสุข เงียบคิดไปพักหนึ่งก็เค้นรอยยิ้มส่งไป ถามหยั่งเชิงว่า “พี่จาง ช่วยบอกกับข้าอย่างตรงไปตรงมาได้หรือไม่ เซียนกระบี่คนนั้นไม่ได้ละโมบอยากได้กิจการของพรรคชิงจ้วน ไม่ได้ต้องการให้ข้าเป็นหนอนบ่อนไส้ทรยศสำนัก เฝ้าเองขโมยเองจริงๆ ใช่ไหม?”
จางหลิวจู้หลุดหัวเราะพรืด คร้านที่จะอธิบายกับไต้หยวนแม้แต่ครึ่งคำ เดิมทีสองฝ่ายก็เป็นแค่สหายที่ดื่มเหล้าเคล้านารีด้วยกันอยู่แล้ว ไต้หยวนไม่รู้จักดีชั่ว โง่เขลาถึงเพียงนี้ มิน่าเล่าถึงได้เป็นแค่โอสถทองบนทำเนียบที่ไม่มีหวังจะเป็นก่อกำเนิด หากเป็นผู้ฝึกตนอิสระเหมือนหมาเร่ร่อนล่างภูเขาที่คุ้ยหาอาหารกิน นิสัยนุ่มนิ่มไม่เด็ดขาด ไม่รู้จักเห็นแก่ส่วนรวมเช่นนี้ ป่านนี้คงตายไปนานแล้ว
จางหลิวจู้พลิกหมุนจอกเหล้าใบนั้น หันปากจอกคว่ำลง วางลงริมขอบโต๊ะ “ข้านำความมาบอกต่อตามที่ได้รับไหว้วานมาเสร็จสิ้นแล้ว จะฟังหรือไม่ก็เรื่องของเจ้า น้องไต้ ข้าที่เป็นพี่ชาย สุดท้ายนี้อยากจะขอเตือนเจ้าสักคำ เรื่องดีๆ อย่างการมอบเกียรติยศความร่ำรวยมาให้เปล่าๆ เช่นนี้ มัวแต่ห่วงหน้าพะวงหลัง ไม่รู้จักทะนุถนอมเห็นค่าให้ดี ผ่านหมู่บ้านนี้ไปก็ไม่มีร้านนี้อีกแล้ว มีแต่จะเสียใจภายหลังเท่านั้น”
ไต้หยวนกัดฟันพูด “ข้าจะทำ!”
สิ่งที่ทำให้ไต้หยวนตัดสินใจได้อย่างแท้จริงยังเป็นเพราะได้ยินว่าเซียนกระบี่ผู้นั้นมาจากสำนักแห่งหนึ่งของใบถงทวีป
ขอแค่ไม่ใช่การค้าที่ต้องสุ่มเสี่ยง ไต้หยวนก็พอจะวางใจได้บ้างหลายส่วน ไม่อย่างนั้นไต้หยวนก็กังวลจริงๆ ว่าตัวเองจะมีจุดจบอนาถในนอกไม่ใช่คน อย่าว่าแต่ผู้ถวายงานวงในของราชวงศ์สกุลอวี๋เลย เกรงว่าแม้แต่สถานะทำเนียบศาลบรรพจารย์ก็คงจะรักษาไว้ไม่อยู่ ถึงเวลานั้นแผนการถูกเปิดโปง ถูกเกาซูเหวินจับได้ขึ้นมา ด้วยนิสัยและวิธีการของบรรพจารย์เกาท่านนี้แล้วย่อมไม่มีทางปล่อยให้ตนมีชีวิตรอดไปเป็นผู้ฝึกตนอิสระได้แน่นอน
จางหลิวจู้หัวเราะหึหึ สีหน้าเย่อหยิ่งลำพองใจ ไม่รู้จริงๆ ว่าเซียนกระบี่ใหญ่เฉินที่ดุจดั่งมังกรเทพออกจากทะเล ควบม้าเดินกลางอากาศผู้นั้นเห็นดีอะไรในตัวไต้หยวน เห็นๆ กันอยู่ว่าแม้แต่จะถือรองเท้าให้เซียนกระบี่เฉิน เขาก็ยังไม่คู่ควร
จางหลิวจู้พลิกหมุนจอกกลับมาอีกครั้ง ไต้หยวนรีบโน้มตัวมาด้านหน้า ยกจอกเหล้าช่วยรินเหล้าให้จนเต็มทันที จากนั้นค่อยรินให้ตัวเองหนึ่งจอก
จางหลิวจู้ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่พูดถึงคำพูดใหญ่โตเลื่อนลอยอะไรอีกแล้ว ถึงอย่างไรพวกเราสองพี่น้องก็เคยเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายด้วยกันมาก่อน ย่อมต้องร่วมแรงร่วมใจกัน ร่วมมือกันอย่างจริงใจ”
ไต้หยวนใช้สองมือประคองจอกเหล้า สายตาเด็ดเดี่ยว “พี่จาง ขอเอ่ยประโยคที่มาจากใจจริงสักคำ ข้าจะถือว่าเอาทั้งชีวิตและครอบครัวฝากไว้ในจอกเหล้าจอกนี้แล้ว”
เหนือซุ้มองุ่นพลันมีศีรษะหนึ่งโผล่ออกมามองไต้หยวน พูดทวงความเป็นธรรมว่า “พรรคชิงจ้วนของพวกเจ้านี่อย่างไรกันนะ ถึงกับเอาเทพเซียนผู้เฒ่าไต้มาใช้แทนวัวแทนม้า แบบนี้ไม่ย่ำยีทรัพยากรสวรรค์แย่หรอกหรือ?”
อย่าว่าแต่ไต้หยวนที่ตกใจสะดุ้งโหยง แม้แต่จางหลิวจู้ก็เกือบจะอดไม่ได้ ถึงกับจะเรียกสมบัติอาคมที่ใช้ป้องกันชิ้นหนึ่งออกมาโดยตรง จากนั้นค่อยตามมาด้วยวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่ใช้สำหรับโจมตี ส่วนจะทำให้น้องไต้ถูกลูกหลงเจ็บตัวไปด้วยหรือไม่ ก็ต้องอยู่ที่เจตนารมณ์ของสวรรค์แล้ว
ไต้หยวนเงยหน้ามองอย่างเหม่อลอย มองศีรษะที่ ‘ห้อยกลับหัว’ มาจากบนซุ้มองุ่นนั้น