กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 908.5 มหานทียิ่งใหญ่ไพศาล
ชุยตงซานหัวเราะหึหึ ลุกขึ้นยืน เดินมานั่งยองอยู่ข้างกายนักพรตหญิง จ้องมองอยู่พักหนึ่งก็ยกฝ่ามือขึ้นตบหน้าผากของอีกฝ่ายเบาๆ ตบจนวิญญาณของอีกฝ่ายลอยออกมาจากร่าง จากนั้นลุกขึ้นยืน ใช้สองนิ้วคีบ ‘เสื้อผ้า’ ของดวงวิญญาณที่หมดสติไปเช่นเดียวกัน สะบัดหนึ่งทีแล้วปาดหนึ่งครั้ง ผลักจิตวิญญาณกลับเข้าไปในเนื้อหนังมังสา หลงเหลือเพียงแค่ช่องโพรงลมปราณแต่ละแห่งในฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ที่เป็นเหมือนดวงดาวกระจัดกระจายลอยอยู่กลางอากาศ
ชุยตงซานสาวเท้าเดินเนิบช้า เรียกแสงกระบี่สีทองเส้นหนึ่งออกมา วาดเป็นพื้นที่ต้องห้ามบ่อสายฟ้าปราณกระบี่ เดี๋ยวๆ ชุยตงซานก็เอียงศีรษะ เดี๋ยวๆ ก็เขย่งปลายเท้า มองประเมินสภาพจิตใจของนักพรตหญิงผู้นี้อย่างละเอียด สุดท้ายค้นพบตราผนึกลับหนึ่งที่หันอวี้ซู่ตั้งใจจัดวางไว้ใน ‘จวน’ แห่งหนึ่ง ชุยตงซานพลันงอนิ้วทั้งห้าเป็นตะขอ พริบตานั้นเขาก็กระชากดึงเอา ‘ธารดวงดาวเล็กบาง’ ที่เกิดจากตัวอักษรสีทองร้อยเรียงกันเส้นหนึ่งออกมา แทบจะเวลาเดียวกันนั้นอีกมือหนึ่งก็ทำการ ‘คัดลอก’ ตัวอักษรสีทองเส้นหนึ่งที่แทบจะเหมือนกันทุกประการเติมเต็มร่องโหว่บนผืนนาหัวใจให้กับนักพรตหญิง
จากนั้นชุยตงซานก็ยกฝ่ามือตบนักพรตหญิงหนักๆ ให้ตื่น เอ่ยเตือนด้วยสีหน้าจริงจังว่า “พี่เหลียงยอมทุ่มพละกำลังมหาศาลโดยไม่เสียดายถึงจะช่วยคลี่คลายภัยแฝงใหญ่เทียมฟ้าให้เจ้าได้ มัวอึ้งอยู่ทำไม ยังไม่รีบขอบคุณเจินเหรินอีกหรือ?”
นักพรตหญิงที่แก้มปวดแสบปวดร้อนนิดๆ ไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุ แต่ก็รีบลุกขึ้นเดินถอยหลังไปหลายก้าว ก้มหัวคารวะตามขนบลัทธิเต๋าต่อเจินเหรินผู้เฒ่า เอ่ยอย่างซาบซึ้งใจว่า “ขอบพระคุณเทียนซือที่ช่วยชีวิต”
หม่าเซวียนเวยที่ดื่มน้ำชาเงียบๆ มาตั้งแต่ต้นจนจบตัดสินใจได้แล้วว่าวันหน้าตนต้องอยู่ให้ห่างเด็กหนุ่มชุดขาวผู้นี้มากหน่อย ไกลหน่อย ทางที่ดีที่สุดคือทั้งสองฝ่ายอย่าได้เจอหน้ากันอีกแล้ว
คิดดูแล้วอาจารย์ของเจ้าหมอนี่ก็คงไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไรกระมัง? ไม่อย่างนั้นจะสอนลูกศิษย์ที่เป็นแบบนี้ออกมาได้หรือ?
ชุยตงซานนั่งกลับลงไปที่เดิม “หลงกง เจ้าออกเดินทางได้แล้ว ไปรายงานสถานการณ์ให้ทางสำนักศึกษาเทียนมู่เข้าใจด้วยตัวเอง”
หลงกงถามอย่างขลาดๆ “รองเจ้าขุนเขาเวินไม่ไปกับข้าหรือเจ้าคะ?”
ชุยตงซานทำหน้าเหลอหรา “รองเจ้าขุนเขาเวินสำนักศึกษาเทียนมู่? ข้าไม่ใช่เวินอวี้สักหน่อย”
หลงกงเหมือนตกอยู่ท่ามกลางเมฆหมอก เข้าใจผิดคิดว่าตัวเองหูฝาดไป จึงยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “รองเจ้าขุนเขาเวินอย่าได้ล้อข้าเล่นเลย”
ชุยตงซานตีหน้าเคร่งเอ่ย “ข้าคือตงซานนะ”
เหลียงส่วงถาม “สรุปว่าจะจัดการอย่างไร?”
ชุยตงซานนวดคลึงปลายคาง “ทางฝั่งของสำนักศึกษาเทียนมู่ย่อมต้องตัดสินใจได้เอง แต่หลงกงนั้นถือว่าไปมอบตัวด้วยตัวเอง หากยอมเล่าเรื่องสกปรกในสำนักว่านเหยาและของหันอวี้ซู่ให้ฟังมากอีกหน่อย ตามกฎดั้งเดิมของศาลบุ๋นก็พอจะลดโทษลงได้บ้าง ไม่ถึงขั้นจับขังจนตาย หากโชคดีไม่แน่ว่านางอาจจะได้ไปทำความดีชดใช้ความผิดที่สนามรบของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ส่วนจะโชคดีหรือโชคร้ายก็ต้องดูท่าทีของเวินอวี้แห่งสำนักศึกษาเทียนมู่และโจวมี่เจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาอู่ซีแล้ว ถึงอย่างไรข้าก็ได้ยินมาว่าเวินอวี้ผู้นี้ไม่ได้นิสัยดีกว่าโจวมี่สักเท่าไร ก็แค่ว่าโจวมี่แสดงออกอย่างเปิดเผย เล่าลือกันว่าเวินอวี้ผู้นี้กระดูกแข็งมาก ทั้งยังเป็นคนที่มีความคิดละเอียดอ่อนรอบคอบ ตอนอยู่บนสนามรบของทักษินาตยทวีปเคยหลอกให้เผ่าปีศาจขอบเขตเซียนเหรินตนหนึ่งที่เป็นคนคุมกระโจมทัพตายทั้งเป็น หากพูดกันถึงแค่คุณความชอบในการสู้รบ ไม่พูดถึงคุณสมบัติอะไร เวินอวี้ก็สามารถรับหน้าที่เป็นเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาเทียนมู่ได้โดยตรงเลย”
ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางปล่อยตัวโจวมี่แห่งสำนักศึกษาอวี๋ฝูออกจากสวนกงเต๋อ ให้มารับตำแหน่งเท่ากันโดยทำหน้าที่เป็นเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาที่ใบถงทวีป หากใช้คำกล่าวของโจวอันดับหนึ่งบ้านตนก็คือ นี่เรียกว่าศาลบุ๋นเริ่มปล่อยสุนัขออกไปกัดคนแล้ว
ชัดเจนว่าต้องการให้ภูเขาจวนเซียนทางทิศใต้ของใบถงทวีปทำตัวดีๆ หน่อย เพราะถึงอย่างไรบัณฑิตผู้นี้ปีนั้นก่อนจะไปรับหน้าที่เป็นเจ้าขุนเขา อาจารย์ของเขาก็เคยมอบคำว่า ‘ระงับโทสะ’ ให้มาก่อน อีกทั้งตอนยังเป็นเจ้าขุนเขาแห่งสำนักศึกษาที่อยู่ในอุตรกุรุทวีปซึ่งมี ‘ขนบธรรมเนียมเรียบง่ายบริสุทธิ์’ ก็ยังจะต้องไปหาถึงถิ่นแล้วลงมือต่อยตีคนด้วยตัวเอง ถ้าอย่างนั้นบุคคลที่เป็นเช่นนี้มาเป็นผู้ดูแลหลักของสำนักศึกษาอู่ซีใบถงทวีป เดิมทีก็เป็นการข่มขวัญอย่างหนึ่งอยู่แล้ว
นอกจากนี้ก็คือศาลบุ๋นยังให้คำเตือนด้วยความหวังดีต่อสำนักกุยหยกที่มีคุณูปการทางการสู้รบเกริกก้องว่า อย่าได้ทำอะไรเกินกว่าเหตุ อย่ายื่นมือไปทางเหนือยาวเกินไป แค่พอสมควรก็พอแล้ว สรุปก็คืออย่าได้เอาอย่างสำนักใบถงในปีนั้นที่คิดว่าจวนเซียนทั่วทวีปล้วนอยู่ใต้อาณัติของตัวเอง
ส่วนรองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาเทียนมู่อย่างเวินอวี้ ทุกวันนี้หากอิงตามข้อกำหนดของศาลบุ๋น เจ็ดสิบสองสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อล้วนต้องมีตำแหน่งหนึ่งหลักสองรอง โดยทั่วไปแล้วรองเจ้าขุนเขาสองท่าน คนหนึ่งดูแลเรื่องการศึกษาวิชาความรู้ ค่อนข้างไปในเชิงทฤษฎีนโยบาย รับผิดชอบดูแลเรื่องวัฒนธรรมการศึกษา อีกคนหนึ่งดูแลกิจธุระทั่วไป ไม่ว่าเรื่องน้อยใหญ่ล้วนดูแลจัดการทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้ากรมพิธีการล่างภูเขาของใต้หล้าไพศาลในอนาคตทุกคนล้วนจะต้องมีชาติกำเนิดมาจากสำนักศึกษา ทุกวันนี้เวินอวี้ก็คือรองเจ้าขุนเขาที่ดูแลกิจธุระยิบย่อยต่างๆ นี่จึงเป็นเหตุให้เรื่องราวบนภูเขา เขาเวินอวี้สามารถเข้าไปยุ่ง ในอาณาเขตการปกครองของสำนักศึกษา แคว้นต่างๆ ล่างภูเขาเขาก็ยิ่งควบคุมจัดการได้
หลงกงทำท่าเหมือนบิดาตาย มองไปทางเจินเหรินผู้เฒ่าเพื่อขอความช่วยเหลืออีกครั้ง
นางหรือจะกล้าไปลงสนามรบเข่นฆ่าที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง นางยอมถูกจับขังในสำนักศึกษาดีกว่า นางเคยเห็นภาพที่กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจของเปลี่ยวร้างบุกกรูขึ้นมาเหมือนน้ำขึ้นอยู่ไกลๆ ทำให้นางตกใจจนอกสั่นขวัญหายไปนานแล้ว
นครแต่ละแห่งที่มิอาจขยับเขยื้อนได้เหมือนกับคนที่นอนอยู่บนพื้นรอความตาย ถูกฝูงมดรุมกัดแทะ พริบตาเดียวก็เหลือเพียงโครงกระดูกขาวโพลนกองหนึ่ง
ชุยตงซานเอ่ย “สตรีผู้นี้จิตใจไม่มั่นคง ไม่แน่ว่าเดินไปได้ครึ่งทางก็อาจแข้งขาอ่อน พยายามหลบหนี ดังนั้นต้องรบกวนให้พี่เหลียงคุ้มกันนางไปส่งด้วย”
เหลียงส่วงพยักหน้า “ถึงอย่างไรก็ผ่านทางอยู่แล้ว ผินเต้าจะได้ไปพบลูกศิษย์คนนั้นของฮว่อหลงเจินเหรินพอดี อยากรู้นักว่าเขาจะเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนถึงเพียงใด”
ปีนั้นอันที่จริงจางซานเฟิงนักพรตหนุ่มของยอดเขาพาตี้เกือบจะได้เป็นเทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์อยู่แล้ว หากไม่เป็นเพราะสงครามใหญ่กำลังจะปะทุ จวนเทียนซือต้องการ ‘นักสู้’ ผู้หนึ่งที่เอามาใช้งานได้เลย นอกจากนี้เสี่ยวจ้าวก็ไม่อยากจะดึงหญ้าเร่งให้เติบโต จึงปฏิเสธข้อเสนอของฮว่อหลงเจินเหรินที่จะให้ลูกศิษย์ ‘รับสืบทอดบรรดาศักดิ์’ เป็นเทียนซือต่างแซ่ไป
เหลียงส่วงถามชวนคุย “แล้วอารามจีชุ่ยแห่งนี้ และยังมีทางฝั่งของราชวงศ์สกุลอวี๋ เจ้าต้องการคำอธิบายอีกหรือไม่?”
ชุยตงซานเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “คำอธิบายกะผายลมอะไรเล่า หากไม่เป็นเพราะข้าเห็นว่ารัชทายาทยังพอเป็นโล้เป็นพายอยู่บ้าง แน่นอนว่าไม่ถือเป็นจักรพรรดิผู้ปรีชาวีรบุรุษผู้องอาจอะไร แต่ก็ไม่ถึงขั้นเป็นทรราช สรุปก็คือให้เขาขึ้นเป็นฮ่องเต้สกุลอวี๋ก็มากพอเหลือแหล่”
เหลียงส่วงหัวเราะ “นี่ไม่ใช่ลักษณะนิสัยของซิ่วหู่เลย”
ชุยตงซานสะอึกอึ้งอย่างหาได้ยาก “ไม่รู้เลยว่าพี่เหลียงกำลังชมคนหรือด่าคนกันแน่”
เหลียงส่วงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อย่ามัวเก็บงำอำพรางอยู่เลย ไม่สู้ให้ผินเต้าได้เปิดโลกทัศน์สักหน่อย?”
ชุยตงซานลุกขึ้นยืน สะบัดเอาหุ่นกระเบื้องที่มีชีวิตชีวาเสมือนจริงตนหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อสีขาวหิมะ ถึงกับมีรูปร่างหน้าตาเหมือนหลงกง ราวกับว่าแกะสลักออกมาจากพิมพ์เดียวกัน
หม่าเซวียนเวยมองแล้วมองอีก หากไม่เป็นเพราะราชครูหญิงสองคนคนหนึ่งนั่งคนหนึ่งยืน นางก็คงมิอาจแยกแยะตัวจริงตัวปลอมได้
ชุยตงซานดึงจิตวิญญาณของผีสาวตนหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ยกมือทำท่าประคองไว้บนฝ่ามือ เอ่ยเบาๆ ประโยคหนึ่งว่า “เจ้าไปได้” วิญญาณก็ไปสิงอยู่ในร่างคนกระเบื้องที่หลับตา ชุยตงซานประกบสองนิ้วดันไว้ตรงหว่างคิ้วของคนกระเบื้อง ประหนึ่งพระพุทธรูปที่ถูกเบิกเนตร แต้มนัยน์ตามังกร
ครู่หนึ่งต่อมาคนกระเบื้องก็ลืมตาขึ้น ยอบกายคารวะ ถึงกับมีน้ำเสียงที่คล้ายคลึงกับหลงกงมาก ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่บุคลิกเย็นชาส่วนนั้นก็ยังเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน “บ่าวหลงกง ฉายาหม่านเยว่ เจ้าอารามจีชุ่ย คารวะนายท่าน”
ชุยตงซานยื่นมือคว้าจับ เอาแส้ปัดฝุ่นที่หลงกงวางไว้บนโต๊ะมาถือไว้ในมือ โยนให้กับ ‘หลงกง’ ที่อยู่ตรงหน้า ฝ่ายหลังใช้มือประคองถือแส้ปัดฝุ่น เอาวางไว้บนแขนข้างหนึ่ง ก้มหัวคารวะตามขนบลัทธิเต๋า “บ่าวขอบคุณนายท่านที่มอบสมบัติหนักให้”
ชุยตงซานเหล่ตามองหลงกงตัวจริง “มัวอึ้งอยู่ทำไม ยังไม่รีบปลดกวานไท่เจินบนหัวมอบให้กับสหายหม่านเยว่ผู้นี้อีก ส่วนรองเท้าเซียนสีขาวรากบัวลายใบบัวเขียวบนเท้าของเจ้า รวมถึงชุดคลุมอาคมที่ร่ายเวทอำพรางตา อีกเดี๋ยวก็ค่อยว่ากัน”
เหลียงส่วงเอ่ย “น่าเสียดาย ช่างโชคดี”
น่าเสียดายที่วิธีการที่ผิดต่อวิถีสวรรค์เช่นนี้ ต้นทุนสูงเกินไป ไม่เหมือนกับพวกอาวุธอย่างพวกเสื้อเกราะหรือเรือข้ามฟากตระกูลเซียนที่สามารถผลิตได้ทีละมากๆ โชคดีที่ได้รับการพันธนาการจากคอขวดนี้ จำนวนของคนกระเบื้องจึงมีจำกัด ไม่ถึงกับสร้างความวุ่นวายใหญ่หลวงให้กับใต้หล้า ตัดคำว่า ‘คน’ ทิ้งไปได้อย่างสิ้นเชิง
ผู้ฝึกตน คนไม่ใช่คน
แต่หากว่ายังมีคนกระเบื้องเช่นนี้อยู่ทั่วโลกมนุษย์ ผลลัพธ์ที่ตามมาย่อมเลวร้ายจนมิอาจคาดการณ์
หากไม่ทันระวังก็จะเดินซ้ำรอยเดิม ทำให้โลกมนุษย์กลายไปเป็นเหมือนสรวงสวรรค์บรรพกาลเมื่อหมื่นปีก่อน
หลงกงกับหม่าเซวียนเวยผู้เป็นลูกศิษย์ที่อยู่ข้างๆ ถูกเวทอำพรางตาของวิญญาณผีสาวทำให้เข้าใจผิดคิดว่าตัวของคนกระเบื้องไม่มีสติปัญญา แต่แท้จริงแล้วกลับไม่เป็นเช่นนั้น เหลียงส่วงต้องมองทะลุสิ่งกีดขวางหลายชั้นเข้าไปถึงจะมองเห็นสติปัญญาแท้จริงที่เปล่งประกายวิบวับไม่อยู่นิ่ง นั่นเหมือนคนที่สติปัญญาเปิดออก เพียงไม่นานก็แตกหน่อเติบโต พูดง่ายๆ ก็คือในห้องหนึ่งห้องมีเจ้านายอยู่สองคน อันที่จริงวิญญาณของผีสาวได้อยู่ควบคู่กับสติปัญญาของคนกระเบื้อง ในอนาคตทั้งสองฝ่ายจะแบ่งนายและบ่าวกันอย่างไรก็ต้องดูที่ความชื่นชอบของชุยตงซานเท่านั้น
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลหลุบตาลงมองโลกมนุษย์ เห็นสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนพื้นดินเป็นเพียงมดเล็กๆ ตัวหนึ่ง
มดตัวเล็กก็ได้แต่ก้มหน้ามองดินเท่านั้น เงยหน้ามองฟ้าถือเป็นความบังอาจกำเริบเสิบสาน?
เผ่ามนุษย์เคยเป็นเช่นนี้ แล้วคนกระเบื้องที่ทุกวันนี้มองดูเหมือนเปราะบางไม่เป็นโล้เป็นพายล่ะ?
อารมณ์ของเหลียงส่วงหนักอึ้ง เอ่ยเสียงทุ้มหนัก “โชคดีที่ยังมีคนที่สามารถควบคุมเจ้าได้ ไม่อย่างนั้นหากเปลี่ยนข้ามาเป็นคนดูแลศาลบุ๋นจะต้องจับเจ้าไปขังจนตายแน่”
ชุยตงวานยักไหล่ เอ่ยอย่างลำพองใจว่า “ขอแค่มีอาจารย์อยู่ ใครจะกล้ารังแกข้า?”
เหลียงส่วงยิ้มรับ
ชุยตงซานเปลี่ยนคำเรียกขานใหม่ หัวเราะหึหึเอ่ยว่า “เหล่าเหลียงอ่า ข้าคิดว่านะ รอให้หม่าเซวียนเวยผูกบุพเพสันนิวาสที่แคว้นเหลียงก็จะสามารถมาตั้งใจฝึกบำเพ็ญตนบนมหามรรคาที่อารามจีชุ่ยแห่งนี้ได้แล้ว วันหน้าสืบทอดตำแหน่งเจ้าอารามก็ยังได้ คนบ้านเดียวกันไม่พูดจาห่างเหิน หากมีผลประโยชน์อะไร ข้าจะต้องคว้าไว้ให้คนกันเองก่อนแน่นอน”
เหลียงส่วงขมวดคิ้วเอ่ย “เป็นความต้องการของเฉินผิงอันหรือ?”
ชุยตงซานตบโต๊ะน้ำชา เอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “พูดจาระยำไร้จิตสำนึกอะไรแบบนี้?!”
เหลียงส่วงหัวเราะหยัน “ขู่ข้ารึ?”
ชุยตงซานใช้ชายแขนเสื้อเช็ดโต๊ะน้ำชา “เรื่องบางอย่าง อาจารย์ไม่ยินดีจะทำ ดูแคลนที่จะทำ”
ในเมื่อพูดแค่ว่าไม่ยินดีกับดูแคลน นั่นก็แสดงว่าไม่ใช่ทำไม่ได้
เหลียงส่วงถามอย่างสงสัย “เฉินผิงอันต้องการเอาอย่างเจ้าชุยฉาน ใช้ทฤษฎีคุณความชอบและลาภยศมาซ่อมแซมปะชุนขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีปอย่างนั้นหรือ?”
ชุยตงซานส่ายหน้า “เป็นวิธีการที่ไม่ค่อยเหมือนกัน อาจารย์เชี่ยวชาญการนำมาปรับใช้ที่สุด จากนั้นค่อยบุกเบิกโฉมหน้าใหม่เป็นของตัวเอง”
ไม่รู้ว่าเหตุใด พอได้ยินคำว่าชุยฉาน หลงกงก็เริ่มปวดหัวราวหัวจะแตก ใช้สองมือกุมหัว เซียนดินก่อกำเนิดที่ฝึกตนประสบความสำเร็จคนหนึ่งถึงกับเหงื่อแตกพลั่กราวกับตากฝน
เห็นได้ชัดว่าชุยตงซานได้ถอนตราผนึกนั้นของนางออกไปจริงๆ เพียงแต่ว่าได้เพิ่มด่านบนขุนเขาสายน้ำด่านใหม่ให้กับหลงกง
ขอแค่นางมีความคิดที่เกี่ยวพันไปถึง ‘ชุยฉาน’ หรือไม่ก็ ‘ซิ่วหู่’ ก็จะมีสภาพอเนจอนาถที่จิตแห่งมรรคาไม่มั่นคงเช่นนี้
รอกระทั่งหลงกงทำจิตแห่งมรรคาให้มั่นคงได้อย่างยากลำบาก เด็กหนุ่มชุดขาวที่นางพอจะเดาตัวตนออกแล้วก็หัวเราะร่าเอ่ยขึ้นมาอีกว่า “ท่องตามข้า ชุยฉานคือเจ้าตะพาบเฒ่า ชุยฉานคือเจ้าตะพาบเฒ่า”
หลงกงที่น่าสงสาร คราวนี้นางถึงกับปวดหัวล้มผลึ่งลงไปกองกับพื้น นอนงอก่องอขิง ขาดก็แค่ไม่ได้กลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นเท่านั้น
เหลียงส่วงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นภาพนี้ ถามว่า “หากไม่มีเวลาหนึ่งถึงสองร้อยปีก็คงทำไม่สำเร็จกระมัง? เขามัววอกแวกสนใจเรื่องอื่นเช่นนี้ การฝึกตนของตัวเองจะทำอย่างไร?”
“อาจารย์ของข้าพอจะมีการประมาณการณ์อยู่บ้าง ก่อนที่ใต้หล้าห้าสีจะเปิดประตูใหม่อีกครั้งก็จะต้องมีเค้าโครงคร่าวๆ ได้บ้างแล้ว ตั้งแต่บนภูเขาไปจนถึงล่างภูเขา ตั้งแต่จิตแห่งมรรคาไปจนถึงใจคน อีกทั้งจะไม่ถ่วงเวลาการฝึกตนของอาจารย์เกินไปนัก”
“เร็วขนาดนี้เชียวหรือ?!”
“ไม่งั้นเจ้าคิดว่าต้องนานแค่ไหนล่ะ?”
เหลียงส่วงจมสู่ความเงียบงัน หยิบถ้วยชาก้นแคบใบนั้นขึ้นมา ดื่มน้ำชาหนึ่งคำ ใช้เสียงในใจถามว่า “จิตหยินนี้ของเจ้าจะ…?”
ชุยตงซานเบ้ปาก “ไม่มีเรื่องอะไรที่ปิดบังเหล่าเหลียงได้จริงๆ ข้าจะไปเอาสถานะลูกศิษย์ผู้สืบทอดมาจากเรือนอวิ๋นฉ่าวผูซานสักหน่อย แล้วก็ยังมีเรื่องเละเทะรอให้ข้าไปเก็บกวาดด้วย”
เหลียงส่วงถามอีก “แล้วจิตหยางกายนอกกายของเจ้า ตอนนี้อยู่ที่ใด?”
ชุยตงซานกะพริบตาปริบๆ “อยู่ที่ใต้หล้าห้าสี เมื่อไม่กี่วันก่อนเพิ่งจะหาสถานที่ฝึกตนของป๋ายเหย่พบ ถึงอย่างไรก็อยู่ว่างไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ข้าสามารถช่วยจัดการให้ได้”
เหลียงส่วงเอ่ยสัพยอก “จะไปก่อตั้งสำนักเบื้องล่างที่นั่นหรือ? จะไม่กลายเป็นวีรบุรุษที่มีความคิดเห็นคล้ายคลึงกันกับหันอวี้ซู่หรือไร?”
ขอแค่ชุยตงซานสร้างสำนักอีกแห่งหนึ่งขึ้นมาที่ใต้หล้าห้าสี ภูเขาลั่วพั่วของแจกันสมบัติทวีปก็จะสามารถเลื่อนขั้นจากสำนักเบื้องบนเป็น ‘สำนักดั้งเดิม’ ได้แล้ว ส่วนสำนักกระบี่ชิงผิงในใบถงทวีปก็จะเลื่อนเป็นสำนักเบื้องบนได้
สำหรับในเรื่องนี้ เป็นแนวทางที่ไม่ต่างจากแผนการของสำนักว่านเหยาสักเท่าใด
ชุยตงซานยื่นฝ่ามือออกมาแล้วกำมือเป็นหมัด ทุบลงตรงหัวใจเบาๆ เงยหน้ามองเพดานห้อง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าระทม “พอคิดถึงว่าตัวเองถึงกับมีความคิดเหมือนหันเซียนเหริน ข้าก็โมโหยิ่งนัก โมโหจนหัวใจเจ็บปวดรวดร้าวไปหมด”
ในที่สุดหม่าเซวียนเวยก็อดไม่ไหว ปลุกความกล้าเอ่ยกับเจินเหรินผู้เฒ่าเสียงเบาว่า “อาจารย์ ข้าไม่อยากมาฝึกตนที่อารามจีชุยเจ้าค่ะ”
เจินเหรินผู้เฒ่าพยักหน้ายิ้มเอ่ย “ตามใจเจ้า แต่เจ้าก็ไม่ต้องกลัวเจ้าหมอนี่ อาจารย์กับอาจารย์ของเขาคือสหายรักที่แค่พบหน้าก็เหมือนรู้จักกันมานาน อาศัยแค่ความสัมพันธ์ส่วนนี้ ชุยตงซานผู้นี้ก็ไม่กล้าทำอะไรเจ้าแล้วล่ะ”