กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 908.6 มหานทียิ่งใหญ่ไพศาล
แน่นอนว่าเหลียงส่วงต้องรู้ดีว่าซิ่วหู่ตัวจริงมีทักษะด้านหมากล้อมเป็นเช่นไร
การที่หยอกล้อหลงกงในวันนี้ หรือก่อนหน้านั้นตอนที่พูดคุยกับพวกจางหลิวจู้และไต้หยวนที่หอเติงหมี ก็เป็นแค่กับแกล้มเรียกน้ำย่อยสองจานเท่านั้น ชุยตงซานก็แค่ใช้กระบวนท่าประหลาดที่ค่อนข้างนอกรีตนอกรอย เน้นในเรื่องการสับขาหลอก ไม่ถือว่าเป็นฝีมือเทพเซียนที่แท้จริงอะไรด้วยซ้ำ
ในที่สุดเหลียงส่วงก็ถามคำถามที่ตัวเองสงสัยที่สุด “เหตุใดถึงยอมมาเป็นลูกศิษย์ของคนอื่น ทั้งยังเป็นอย่างจริงใจขนาดนี้”
ในความเป็นจริงแล้ว ‘เหลียงส่วง’ เจินเหรินผู้เฒ่าที่อยู่ในอารามจีชุ่ยผู้นี้ยังคงมีความต่างกับเหลียงส่วงเทียนซือที่อยู่ในเมืองหลวงแคว้นเหลียงอยู่บ้าง ไม่เหมือนกับการปล่อยจิตหยินออกเดินทางไกลของผู้ฝึกตนทั่วไป พูดง่ายๆ ก็คือฝ่ายหลังนั้นใหญ่กว่าและสูงกว่าฝ่ายแรก ในข้อนี้เหมือนกับราชครูชุยฉานกับชุยตงซาน
ชุยตงซานเอ่ยอย่างเฉยเมย “บางคำพูดต้องเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันจึงจะรู้ ไยเทียนซือต้องถามให้มากความ”
หลงกงและหม่าเซวียนเวยต่างก็เป็นนักพรตหญิงของลัทธิเต๋า จึงไม่เข้าใจถึงความลี้ลับในคำพูดประโยคนี้ของชุยตงซาน เนื่องจากมันเกี่ยวพันไปถึงกวีบทหนึ่งของลัทธิพุทธ
นกกระเรียนเดียวดายกลางเมฆา ผืนฟ้าแห่งใดมิอาจโบยบิน
เหลียงส่วงส่ายหน้ากล่าว “ไม่ถูกสิ มันตรงกันข้ามกับสิ่งที่เจ้าพูดพอดี”
ชุยตงซานยิ้มเอ่ย “ตรงกันข้ามจริงหรือ? ไม่สู้เทียนซือลองคิดดูอีกที?”
การที่เปลี่ยนคำเรียกขานใหม่ แน่นอนว่าเพราะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเหลียงส่วงที่เป็นจิตหยินตรงหน้านี้ก็แค่ช่วยถามแทนร่างจริงเท่านั้น
เหลียงส่วงพยักหน้า “ก็จริงนะ”
ความหมายนอกเหนือจากคำพูดของชุยตงซานไม่ได้ลึกล้ำนัก ยิ่งไม่ใช่การเสแสร้งแกล้งทำให้ลี้ลับอะไร ก็หนีไม่พ้นเป็นการพูดถึงหลักการที่ตื้นเขินข้อหนึ่ง
ตนเลือกอิสระอย่างหนึ่งที่มีจำกัด ไยจะไม่ใช่อิสระใหญ่อีกอย่างหนึ่ง?
เหลียงส่วงถามอีกว่า “ถ้าอย่างนั้นผินเต้าจะเข้าใจว่า แท้จริงแล้วเจ้าสามารถเลือกอิสระเสรีที่บริสุทธิ์เต็มที่ได้ทุกเมื่อ ได้หรือไม่?”
ชุยตงซานกลับย้อนถาม “หากวันหนึ่งเจ้าจำเป็นต้องเล่นหมากล้อมพร้อมกับชุยฉาน เจิ้งจวีจง ฉีจิ้งชุน อู๋ซวงเจี้ยงในเวลาเดียวกัน เจ้าจะเลือกอย่างไร?”
เหลียงส่วงยิ้มเอ่ย “ไม่นั่งลง ไม่คีบเม็ดหมาก ไม่ประลอง”
ชุยตงซานแบมือสองข้าง “นี่ก็คือคำตอบแล้วไม่ใช่หรือ”
เหลียงซ่วงหรี่ตาถาม “ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งน่าสนใจแล้ว ในเมื่อเจ้ายอมอยู่ในการควบคุม แล้วคนที่ทำให้เจ้ายินดีอยู่ในการควบคุมล่ะ ใครควรจะเป็นคนมาควบคุม?”
ชุยตงซานกระตุกมุมปาก
ตาเฒ่าผู้นี้ยังเอาแต่คิดพะวงถึงเรื่องนี้ไม่ยอมวางจริงๆ เสียด้วย สภาพจิตใจพอๆ กับโจวจื่อเลยทีเดียว
เหลียงส่วงไม่ได้ยอมแพ้ละทิ้งคำตอบเพียงเพราะเหตุนี้ ยังคงรอฟังประโยคถัดไปอยู่เงียบๆ
ชุยตงซานเงียบไม่ตอบ
นี่น่ารำคาญมากแล้วนะ ตนเป็นเซียนเหรินที่แขนขาเล็กบาง เผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง ทำตัวแข็งกระด้างไม่ได้จริงๆ
ชุยตงซานพลันคิดถึงเจ้าตะพาบเฒ่าผู้นั้นเป็นครั้งแรก
ก่อนที่เขาจะถอนหายใจ เอ่ยเนิบช้าว่า “อาจารย์ของข้าบอกว่า ทำเรื่องที่น่าสนใจ แน่นอนว่าน่าสนใจมาก แต่กลับไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องมีความหมาย แต่หากทำเรื่องที่มีความหมาย จะต้องน่าสนใจแน่นอน”
เหลียงส่วงนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง “หลักการเหตุผลข้อนี้ไม่ธรรมดาเลย”
ชุยตงซานทอดถอนใจ เอ่ยว่า “บางคำพูดต้องเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันจึงจะรู้ ไยเทียนซือต้องถามให้มากความ”
เหลียงส่วนถอนหายใจเฮือก ในที่สุดดวงจิตเมล็ดงาของร่างจริงของตนก็ถอยออกไปจากทะเลสาบหัวใจของจิตหยินอย่างสมบูรณ์ “เจ้ารำคาญ ข้าก็รำคาญ ไม่เสียแรงที่อยู่บนเส้นทางเดียวกัน”
หม่าเซวียนเวยเหลือบตามองราชครูหญิงราชวงศ์สกุลอวี๋ ยังดีๆ นางก็ฟังไม่เข้าใจเหมือนักน
ชุยตงซานยื่นฝ่ามือมาป้องข้างปาก “เหลียงเทียนซือ เหลียงเทียนซือ ดูจากท่าทางแล้วจิตหยินของท่านน่าจะก่อกบฏ ต้องควบคุมเขาสักหน่อยนะ!”
เหลียงส่วงคร้านจะพูดจาเหลวไหลกับเจ้าหมอนี่ ลุกขึ้นยืน เอ่ยว่า “สหายหม่านเยว่ ให้เวลาเจ้าเก็บข้าวของครึ่งชั่วยาม ผินเต้าจะไปรอเจ้าที่ท่าเรือเจียวอิน”
ชุยตงซานพลันตะโกนเรียกเจินเหรินผู้เฒ่าเอาไว้ “เหลียงส่วง ข้าอยากจะขอของสิ่งหนึ่งจากเจ้าแทนอาจารย์”
เหลียงส่วงถามอย่างสงสัย “ของอะไร?”
เห็นชุยตงซานยิ้มเจ้าเล่ห์ เหลียงส่วงก็รีบล้อมคอกเมื่อวัวหาย “บอกไว้ก่อนนะว่า ผินเต้าขึ้นชื่อว่าชายแขนเสื้อสองข้างมีแต่ลมเย็น หากต้องการสมบัติพิทักษ์ภูเขาจำพวกอาวุธเซียน ของนอกกายประเภทนี้ ข้าไม่มีเด็ดขาด อย่างมากสุดก็ได้แต่ช่วยอาจารย์เจ้าไปขอยืมมาจากเสี่ยวจ้าว สามร้อยห้าร้อยปีไม่คืนให้ก็ไม่ได้เป็นปัญหามากนัก”
ในฐานะเทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ จะให้ผินเต้าทำแต่งานโดยไม่ได้รับเงินเดือนจากจวนเทียนซือของพวกเจ้าก็ไม่ได้กระมัง
ชุยตงซานถูมือ “เทพเซียนผู้เฒ่าเหลียงเชี่ยวชาญเรื่องการมองลมปราณที่สุด จะต้องเข้าใจโชคชะตาขุนเขาสายน้ำในหนึ่งทวีปได้ดีเหมือนลายมือตัวเองแน่นอน”
หลังจากที่เจินเหรินผู้เฒ่าพาหม่าเซวีนเวยออกจากอารามจีชุ่ย ชุยตงซานมองไปที่ ‘หลวี่ปี้หลง’ สองที พลันทิ้งตัวนอนหงายลงพื้น สองมือสอดรองใต้ท้ายทอยต่างหมอน เอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “เร็วเข้า รีบเปลี่ยนชุดคลุมอาคมกับรองเท้าซะ ขณะเดียวกันก็เล่าเรื่องวงในของเชื้อพระวงศ์สกุลอวี๋ ราชสำนักและวงการขุนนางขุนเขาสายน้ำให้มากหน่อย รู้อะไรก็พูดมาอย่างนั้น อย่ากลัวว่าจะเป็นเรื่องจุกจิกยิบย่อย เวทลับวิชาคาถาบางอย่างของสำนักว่านเหยา หากสอนให้ตัวเองได้ก็รีบถ่ายทอดวิชาความรู้ออกมาให้หมดหน้าตัก ขี้เหนียวกับใครก็อย่าได้ขี้เหนียวกับตัวเอง”
หลงกงถอดรองเท้าออกเงียบๆ สวมชุดคลุมเต๋าธรรมดาลงบนร่างก่อน จากนั้นค่อยดึงชายชุดคลุมอาคม กระตุกเบาๆ ก็ดึงชุดคลุมอาคม ‘เฟิ่งจ่าว’ ที่ทางสำนักมอบให้ออกมาส่งมอบให้กับ ‘หลวี่ปี้หลง’ ที่ในมือถือแส้ปัดฝุ่น
หลวี่ปี้หลงผู้นั้นเปลี่ยนมาสวมชุดคลุมอาคม สวมรองเท้า สะบัดแส้ปัดฝุ่นเปลี่ยนแขนข้างที่ถือ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ขอบคุณสหายหลงกง”
ในใจหลงกงรู้สึกแปลกประหลาดสุดขีด
พลันได้ยินคนผู้นั้นเริ่มท่องสองคำว่า ‘ชุยฉาน’ อีกครั้ง หลงกงก็เหมือนถูกหมัดหนักๆ ต่อยลงมา ร่วงลงไปนอนกองกับพื้น ใบหน้าเผือดสี เหงื่อเปียกซึมชุดคลุม
ต่อมาชุยตงซานก็ลุกขึ้นยืน ไปนั่งอยู่บนขั้นบันไดนอกประตู หลงกงที่อยู่ในห้องเล่าเรื่องลับทั้งหลายให้หลวี่ปี้หลงฟังอย่างกล้าๆ กลัวๆ ชุยตงซานฟังอย่างใจลอย
จู่ๆ ก็ใช้หมัดทุบฝ่ามือ รู้แล้ว เพิ่งจะคิดถึงถ้อยคำจริงใจประโยคหนึ่งที่มาจากใจจริง วันหน้าจะกลับไปเล่าให้อาจารย์ฟังสักหน่อย
ลมฟ้ายิ่งใหญ่ไพศาล ใจข้ายิ่งใหญ่โอฬาร เชื่อมพันภูเขาชักนำหมื่นสายน้ำ ฟ้าคำรณก้องคำรามในสถานที่ไร้เสียง
ชุยตงซานใช้สองมือเท้าคาง
พูดถึงแค่พันธมิตรใบท้อของใบถงทวีป ราชวงศ์ต้าเฉวียน เรือนอวิ๋นฉ่าวผูซาน เสี่ยวหลงชิว ตอนนี้เป็นอย่างไรกันบ้าง?
ส่วนอารามจินติ่งแห่งนั้น หลูอิงผู้ถวายงานอันดับหนึ่ง ทุกวันนี้เจออาจารย์ของตนแล้วเป็นอย่างไร?
สำนักศึกษาสามแห่งในหนึ่งทวีป ต้าฝู เทียนมู่ อู่ซี
เฉิงหลงโจวเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาต้าฝู นักปราชญ์หยางผู่ หวังไจ่รองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาอู่ซี เวินอวี้รองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาเทียนมู่
เหนือใต้ของหนึ่งทวีป สำนักที่ใหญ่ที่สุดสองแห่ง สำนักกุยหยก สำนักใบถง
โจวอันดับหนึ่งแห่งสำนักกุยหยกและพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา หวังซือจื่อผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดของสำนักใบถง
ห่างไปไกลหน่อยก็มีสุ่ยจวินแห่งทะเลบูรพาคนใหม่ หวังจูมังกรที่แท้จริง
ห่างออกไปอีกนิด หลี่เย่โหวสุ่ยจวินแห่งทะเลทักษิณ
ภูเขาต่อให้ไม่สูง แต่เมื่อมีเซียนก็มีชื่อเสียง สายน้ำต่อให้ไม่ลึก เมื่อมีมังกรก็ศักดิ์สิทธิ์ได้
มีตำหนักพยัคฆ์เขียวแห่งภูเขาชิงจิ้ง ลู่ยงเจ้าตำหนัก และยังมีฉิวเฒ่าแห่งแม่น้ำชื่อหลิน ฉิวตู๋ ปลาแบกภูเขาของท่าเรือเฮยเซี่ยน อวี๋ฟู่ซาน...
ลำคลองหลินเหอยาวหมื่นลี้ของภาคกลาง สำนักกระบี่ชิงผิงจะสร้างท่าเรือส่วนตัวแห่งหนึ่งขึ้นมา
นอกจากนี้ก็มาพูดถึงราชวงศ์ล่างภูเขาแต่ละแห่งของใบถงทวีปในอนาคต ราชวงศ์สกุลอวี๋ที่กำลังจะมีฮ่องเต้พระองค์ใหม่ บวกกับสกุลเหยาต้าเฉวียนที่กองกำลังแคว้นรุ่งโรจน์เป็นหนึ่งในทวีป ราชวงศ์ต้ายวนที่เป็นเพื่อนบ้านของสำนักกระบี่ชิงผิง ราชวงศ์ต้าฉงที่มีรองเจ้ากรมหนุ่มเป็นกุนซืออยู่เบื้องหลังซึ่งจางหลิวจู้กำลังจะไปหา…
พูดถึงแค่ริมลำคลองเหอหลินก็มีคนวางแผนก่อตั้งแคว้น แซ่ของแคว้นคือตู๋กู
อาจารย์ยังเป็นเค่อชิงอันดับหนึ่งของภูเขาไท่ผิง และเป็นเค่อชิงที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของสกุลหลิวธวัลทวีป
คิดจะปะชุนซ่อมแซมภูเขาสายน้ำของใบถงทวีปนี้
อันดับแรกก็คือการรวบรวมปราณวิญญาณฟ้าดินให้มั่นคง ยกตัวอย่างเช่นผู้ฝึกตนของฝ่ายต่างๆ ทำการกวาดค้นภูเขาอย่างกำเริบเสิบสาน สังหารผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจเปลี่ยวร้างที่อยู่ในพื้นที่
หรือยกตัวอย่างเช่นบริเวณใกล้เคียงกับร้านหมั้นหมายริมแม่น้ำชื่อหลินที่เจินเหรินผู้เฒ่าเหลียงส่วงสังหารผีขอบเขตหยกดิบซึ่งสิงอยู่ในร่างของเซวียไหว
นอกจากนี้ก็คือการตาย การสละร่างของผู้ฝึกตนท้องถิ่นของใบถงทวีป ตบะและโชคชะตาของทั้งร่างหวนกลับคืนสู่ฟ้าดินทั้งหมด จวนเซียนทั่วไป โดยเฉพาะสำนักอักษรจงล้วนมีวิชาลับในการรั้งกลิ่นอายแห่งมรรคาที่บริสุทธิ์ส่วนนั้นเอาไว้
ยังมีแต่ละแคว้นล่างภูเขา จวนเซียนบนภูเขาที่จะต้องทำการซ่อมแซมและสร้างท่าเรือตระกูลเซียนขนานใหญ่ ขณะเดียวกันก็จะสามารถรวบรวมปราณวิญญาณของฟ้าดินมาไว้ในสถานที่หนึ่ง ไม่ให้มันกระจายหายไปไหน
การเลือกที่ตั้งของสำนักกระบี่ชิงผิง ชุยตงซานไม่ได้ทำลายแผนการการสร้างค่ายกลใหญ่พิทักษ์ภูเขาของอารามจินติ่งก็เพราะเหตุนี้ เจ้าอารามขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งที่พลังการต่อสู้เท่าเทียมกับเซียนเหริน ไม่ได้มีอิทธิพลอะไรมากนัก แต่ค่ายกลใหญ่เป่ยโต้วที่รวบรวมปรากฎการณ์ฟ้าดินของอารามจินติ่งกลับสามารถช่วยชดเชยปราณวิญญาณในปริมาณมหาศาลมิอาจประมาณการณ์ให้กับทิศเหนือของใบถงทวีปได้
สอง ปราณมังกร
แต่ละแคว้นพากันกอบกู้ฟื้นฟูแคว้น ยิ่งเป็นราชวงศ์ที่กองกำลังแข็งแกร่งเท่าไร ปราณมังกรก็ยิ่งเปี่ยมล้น นี่เป็นสิ่งที่หาได้ยากอย่างยิ่ง เนื่องจากถือเป็นการ ‘สร้างจากความว่างเปล่า’ ไม่จำเป็นต้องไปขอยืมวัตถุที่จับต้องได้จริงใดๆ จากฟ้าดิน
สาม โชคชะตาบุ๋นและโชคชะตาบู๊ของศาลบุ๋นบู๊แห่งต่างๆ ในหนึ่งทวีป โชคชะตาภูเขาที่เป็นหนึ่งในนั้น ยกตัวอย่างเช่นจักรพรรดิแต่งตั้งห้ามหาบรรพตขึ้นมาใหม่ จวนเซียนอักษรจงฝ่ายต่างๆ ย่อมต้องทุ่มเทเงินเทพเซียนปริมาณมหาศาลอย่างแน่นอน
สี่ ควันธูป ศาลเทพอภิบาลเมืองน้อยใหญ่ในอำเภอ เขตและจังหวัด หรือกระทั่งในเมืองหลวง สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำจำนวนมากที่ราชสำนักแต่งตั้ง หรือไม่ก็ศาลเถื่อนแต่ละแห่งที่ถือโอกาสได้เลื่อนขั้น ถูกรับเข้ามาอยู่ในทำเนียบหยกทองของราชสำนัก บ้างก็ชดเชยตำแหน่งที่ขาดของวิญญาณวีรบุรุษบุ๋นบู๊ การสร้างศาล การสร้างร่างทองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำ รับควันธูปจากโลกมนุษย์ไปนับแต่นั้น
ห้า เปลี่ยนปราณขุ่นมัวบนสนามรบโบราณให้กลายมาเป็นปราณใส รวมไปถึงอาณาเขตต่างๆ ที่กลายมาเป็นเมืองผี เปลี่ยนกลิ่นอายสกปรก กลิ่นอายชั่วร้ายให้กลายมาเป็นปราณวิญญาณสะอาด สามารถอาศัยการทำพิธีสะเดาะเคราะห์ขับไล่ความชั่วร้าย การทำบุญให้แก่ผู้ล่วงลับมาช่วยชักนำดวงวิญญาณได้
หก หรือข้อสุดท้าย คือสิ่งที่เป็นมายาล่องลอยที่สุด แต่กลับสำคัญที่สุด นั่นคือการซ่อมแซมจิตใจคน
และสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่อาจารย์คิดได้กระจ่างชัดนับตั้งแต่ที่เลือกที่ตั้งสำนักเบื้องล่างเป็นใบถงทวีปได้ไม่นานเท่าไร
เส้นสายที่บ้างก็ชัดเจนบ้างก็มืดมน ชื่อ อาณาเขต ภูมิลำเนาของคนสามร้อยกว่าคนในใบถงทวีป รวมไปถึงคนสองพันกว่าคนที่ออกมายืนเรียงรายข้างทาง ล้วนถูกอาจารย์จดจำไว้ได้อย่างขึ้นใจ บุคคลและเรื่องราว คนเป็นจุดเชื่อมต่อ เรื่องราวเป็นเส้นเชื่อมโยง สุดท้ายก็คล้ายกลายมาเป็นตาข่ายขนาดใหญ่ที่ถูกถักทอขึ้นได้สำเร็จ
เหลียงส่วงเจินเหรินผู้เฒ่าที่มาเป็นแขกในวันนี้ สิ่งที่ได้พบเห็น หรือกระทั่งสิ่งที่เขาคิดได้ ถูกกำหนดมาแล้วว่าเป็นแค่มุมเล็กๆ มุมหนึ่งในฟ้าดินจิตธรรมแห่งใบถงทวีปของอาจารย์เท่านั้น
แล้วนับประสาอะไรกับที่นี่ยังมีขีดจำกัดอยู่แค่ที่ใบถงทวีปเท่านั้น
แจกันสมบัติทวีป อุตรกุรุทวีปล่ะ ตลอดทั้งใต้หล้าไพศาลล่ะ?
ยังไม่ต้องพูดถึงอุตรกุรุทวีปแล้ว พูดถึงแค่สำนักกระบี่หลงเซี่ยงของทักษินาตยทวีป และยังมีสำนักอวี่หลงแห่งใหม่ที่ขุนเขาเขียวยังเหลืออยู่ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีฟืนเผาไฟ หอเซียนจิ่วเจินของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ต้าหลงชิวสำนักเบื้องบนของเสี่ยวหลงชิว ราชวงศ์เสวียนมี่ของอวี้พ่านสุ่ย ภูเขาชิงเสิน พื้นที่มงคลร้อยบุปผา สกุลเซี่ยมี่อวิ๋น ภูเขาจิ่วตูของเติ้งเหลียง…และยังมีพวกผู้ดูแลของเรือข้ามทวีปที่มักจะเยือนภูเขาห้อยหัวเป็นประจำ รวมไปถึงสำนักในทวีปต่างๆ ที่อยู่เบื้องหลังพวกเขา
อีกทั้งภายใต้การเชื้อเชิญที่ต้องเผาผลาญความสัมพันธ์ควันธูปอย่างไม่เสียดายของอาจารย์ หากไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นก็น่าจะมีผู้ฝึกกระบี่จำนวนหนึ่งของทวีปต่างๆ ในไพศาลเดินทางไปเยือนฝูเหยาทวีปอย่างลับๆ แล้ว อาจารย์จะไม่ยอมให้ผู้ฝึกตนที่ละโมบอยากได้สายแร่พวกนั้นไปซ้ำเติมภูเขาสายน้ำของฝูเหยาทวีปที่เสียหายมากพอแล้วเด็ดขาด หากต่างคนต่างอาศัยความสามารถในการหาเงินก็เป็นอีกเรื่อง แต่หากวีรบุรุษของแต่ละฝ่ายลงไม้ลงมือต่อยตีกันด้วยเหตุนี้ ต่อสู้กันจนฟ้าถล่มดินทลายอย่างไม่เสียดาย ถ้าอย่างนั้นก็ต้องถามเซียนกระบี่กลุ่มนั้นก่อนว่าจะตอบตกลงหรือไม่
หากซิ่วไฉเฒ่ารู้ว่าอาจารย์ของตนทำอะไรไปมากมายขนาดนี้ อีกทั้งภายในหกสิบปีในอนาคตก็มีแต่จะทำยิ่งกว่านี้
ซิ่วไฉเฒ่าจะไม่ขยุ้มหนวดไม่หยุด ไม่สงสารแย่หรอกหรือ?
แต่อาจารย์ของตน อย่างมากสุดก็แค่จะให้ซิ่วไฉเฒ่าได้ยินข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น
อาจารย์ของเขาก็เป็นลูกศิษย์ให้กับอาจารย์ของเขาเช่นนี้
เป็นอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็คอยเฝ้าหัวกำแพงเมืองอยู่อย่างนั้น สุดท้ายกลายมาเป็นผู้ฝึกกระบี่คนสุดท้ายที่ออกมาจากหัวกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่
เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของสายเหวินเซิ่ง จึงช่วยซ่อมแซมแก้ไขขุนเขาสายน้ำสามทวีปที่อาจารย์ผสานมรรคา ทุ่มเทเรี่ยวแรงเต็มที่ เสียสละอย่างไม่เสียดาย
ชุยตงซานลุกขึ้นยืน พ่นลมหายใจยาวเหยียด
มหานทียิ่งใหญ่ไพศาล
โอรสสวรรค์เลือกขุนนาง
……
ในเมืองผีที่อยู่ในอาณาเขตของราชวงศ์ต้ายวน ผู้ฝึกตนอิสระ ผู้ฝึกยุทธสิบกว่าคนที่มาแสวงหาความมั่งคั่งที่นี่ คาดว่าคงไม่มีใครคิดได้ว่าตัวเองจะต้องกลายมาเป็นแรงงานที่ต้องหาเงินอย่างยากลำบาก เรื่องที่ทำทุกวันก็คือเก็บกวาดซากศพในเมือง บุกเบิกโถงเก็บวิญญาณที่คล้ายคลึงกับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไว้หลายแห่ง ยังต้องพยายามแยกแยะตัวตนของศพพวกนั้น ต่อจากนี้ยังต้องช่วยนำศพไปฝัง ตั้งป้ายศิลาหน้าหลุมศพ เขียนชื่อแซ่ภูมิลำเนา ดังนั้นจึงต้องให้พวกเขาบากหน้าไปเป็นเสมียนที่กรมครัวเรือน หาหนังสือ ตรวจสอบเอกสารคดีความ ผู้ฝึกตนอิสระและผู้ฝึกยุทธพวกนี้ คาดว่าชั่วชีวิตที่ผ่านมาคงไม่เคยสัมผัสกับตำรามากขนาดนี้มาก่อน จากนั้นพากันมาอยู่ที่ศาลเทพอภิบาลเมืองผุพังแห่งหนึ่ง ให้คนหนุ่มที่ชื่อว่ากู่ชิวรับหน้าที่เป็นคนจดบันทึก ในซากปรักที่ลมเย็นยะเยือกพัดโชยมาเป็นระลอก แสงไฟสลัวราง พวกคนที่แต่เดิมมาเพื่อหาทรัพย์สินกลับต้องควบหน้าที่เป็น ‘กุ่ยชา’ ทุกคืนจะต้องคอยสอบถามวิญญาณหยินและพวกผีทั้งหลายเพื่อตรวจสอบสถานะของอีกฝ่าย