กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 908.8 มหานทียิ่งใหญ่ไพศาล
เจ้าอ้วนโคลงศีรษะ เอ่ยอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “ไม่คิดถึงเรื่องพวกนี้แล้ว ทุกวันนี้ก็ดีมากแล้ว ติดตามอยู่ข้างกายเจ้าจงขุย ขอบเขตถดถอยก็ส่วนขอบเขตถดถอย อัดอั้นก็ส่วนอัดอั้น ถึงอย่างไรก็ยังดีกว่า…”
พูดมาถึงตรงนี้ เจ้าอ้วนก็เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะเริ่มตีอกชกตัวคร่ำครวญขึ้นมาอีกครั้ง “คิดไปคิดมา เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนแล้วไม่เห็นจะดีกว่ากันเลยสักนิด”
จงขุยปิดหน้าตำราเบาๆ หันหน้าไปมองดวงจันทร์ที่อยู่ตรงขอบฟ้า พึมพำว่า “คำพูดเป็นสิ่งที่ประหลาดอย่างมาก เป็นหนึ่งคำกับหนึ่งคำ หนึ่งประโยคกับหนึ่งประโยคร้อยเรียงต่อกัน”
“แต่ก็เหมือนการปั้นตุ๊กตาหิมะอยู่ข้างกระถางไฟ”
“คัมภีร์พุทธกล่าวไว้ว่า ผู้ที่มีใจเมตตา ผืนนาหัวใจไม่มีหญ้าแห่งความไร้สติเติบโต ทุกหนทุกแห่งย่อมมีแต่ดอกไม้แห่งปัญญาเบ่งบาน”
“ในเมื่อเราได้ร่างกายมนุษย์มาแล้ว พระธรรมก็เคยได้ยินแล้ว ก็ต้องตั้งใจฝึกตนให้ดี ไม่ต้องสนใจเรื่องที่ผ่านไปแล้ว”
เจ้าอ้วนเงยหน้าขึ้นมองสีหน้าของจงขุย ก่อนจะก้มหน้าลงขยับเขี่ยถ่านในกระถางอีกครั้ง
จงขุยตบไหล่เจ้าอ้วน พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “อวี่จิ่น พวกเราเป็นผีก็จริง แต่อย่าได้ปล่อยให้มีผีแฝงอยู่ในใจ”
เจ้าอ้วนเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง แสยะปากยิ้ม “รู้แล้ว หากเห็นผีเหมือนเห็นคน ก็สามารถเห็นคนเหมือนเห็นพุทธองค์ เป็นเหตุให้การเห็นแจ้งความคิดจิตใจของตัวเอง เห็นจิตใจก็คือเห็นพุทธองค์”
จงขุยถลึงตากล่าว “ก็เข้าใจหลักการเหตุผลดีนี่นะ!”
คนทั้งสองเงียบกันไปพักใหญ่ ก่อนจะที่จงขุยจะเอ่ยว่า “ข้าสามารถช่วยเจ้าเก็บทรัพย์สมบัติกลับคืนมาได้ห้าส่วน”
เจ้าอ้วนกอดขาจงขุยทันที “ผู้มีพระคุณของข้า!”
ผลคือถูกจงขุยผลักหัวออกแรงๆ อย่างรังเกียจ
เจ้าอ้วนยกมือทำท่าเช็ดน้ำตา “จงขุย บอกจริงๆ นะ เจ้าเป็นผู้ช่วยอันดับหนึ่งให้กับกว่าเหริน คิดจะรับตำแหน่งร้อยขุนนางบุ๋นบู๊ก็มากพอเหลือแหล่เลยล่ะ! ปีนั้นหากกว่าเหรินมีเจ้าคอยช่วยเหลือ อย่าว่าแต่เก็บขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีปมาไว้ในกระเป๋าเลย แม้แต่เกราะทองทวีปที่อยู่ใกล้กันก็ต้องถูกกว่าเหรินชิงเอามาครองได้ด้วย”
คำพูดผายลมทำนองนี้ฟังจนหูฉ่ำหูแฉะแล้ว จงขุยแค่รู้สึกสงสัยใคร่รู้จึงถามว่า “แค่ช่วยทวงกลับมาให้เจ้าห้าส่วน เจ้าก็ต้องดีใจขนาดนี้เชียวหรือ? ผีสิงเจ้าหรืออย่างไร?”
หากว่ากันถึงระดับความหลงใหลในทรัพย์สินเงินทอง เจ้าอ้วนผู้นี้สามารถทัดเทียมกับเฉินผิงอันได้เลย ถึงขั้นที่ว่ายังมากกว่าด้วยซ้ำ
เพราะถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็แค่ชอบหาเงิน ความใจกว้างด้านการใช้เงินก็เป็นอันดับหนึ่งเหมือนกัน แต่เจ้าอ้วนผู้นี้กลับขี้เหนียวจนทำให้คนโมโหจนขนหัวตั้งชัน
อวี่จิ่นให้คำตอบประหลาดที่อยู่นอกเหนือจากการคาดการณ์ “ต้องดีกับเจ้าโง่บางคนสักหน่อย”
จงขุยยิ้มกล่าว “ทำไมถึงพูดเช่นนี้?”
อวี่จิ่นหัวเราะหึหึ “ลางสังหรณ์”
……
สำนักศึกษาเทียนมู่
ในห้องหนังสือขนาดเล็ก วิญญูชนสำนักศึกษาคนหนึ่งกำลังอ่านคดีลับคดีหนึ่งของสำนักศึกษา คือเรื่องที่ภูเขาเซียนตูกำลังจะก่อตั้งสำนัก ตั้งชื่อให้ว่าสำนักกระบี่ชิงผิง คือสำนักเบื้องล่างของภูเขาลั่วพั่วแห่งแจกันสมบัติทวีป
ชุยตงซานเจ้าสำนักคนแรก นอกจากนี้ยังมีจ้งชิวที่มาจากพื้นที่มงคลดอกบัวของใบถงทวีป ส่วนผู้คุมกฎชุยเหวยและผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสำนักเบื้องล่างอย่างหมี่อวี้ ล้วนเป็นผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ นอกจากคนเหล่านี้ที่ต้องมีการลงบันทึกแล้ว สมาชิกคนอื่นๆ ของสำนักเบื้องล่างก็ไม่จำเป็นต้องรายงานให้ทางสำนักศึกษาทราบอีก
เขาลุกขึ้นยืน ยิ้มเอ่ย “แขกที่หาได้ยาก”
หน้าประตูมีแขกมาเยี่ยมเยือน คือรองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาอู่ซี วิญญูชนหวังไจ่
แม้ว่าทุกวันนี้สหายรักสองคนที่นิสัยเข้ากันได้ดีอย่างเวินอวี้และหวังไจ่ต่างก็รับหน้าที่เป็นรองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษา แต่อันที่จริงนับตั้งแต่หวังไจ่กลับจากกำแพงเมืองปราณกระบี่มายังบ้านเกิด เวลาผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้แล้ว วันนี้พวกเขาเพิ่งจะได้พบกันเป็นครั้งที่สอง
หวังไจ่มองห้องหนังสือที่เบียดเสียดยัดเยียด “ยังเป็นเหมือนเดิมจริงๆ”
ในห้องหนังสือนอกจากตำราแล้วก็คือตำรา ชั้นวางหนังสือมีหนังสือวางเต็มนานแล้ว บนพื้นก็มีภูเขาหนังสือลูกเล็กทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ เพียงแต่ว่า ‘ตรงตีนเขา’ จะต้องวางแม่พิมพ์ไม้ไว้ชิ้นหนึ่ง
แขวนกรอบป้ายเขียนด้วยอักษรเป็นคำว่า ‘มิอาจมีสติเพียงลำพัง’
นอกจากนี้ยังมีเทียบอักษรอัดเข้ากรอบแขวนไว้บนผนังอีกชิ้นหนึ่ง เป็นเนื้อหาที่คัดมาจากบทกวีบทหนึ่ง
‘ห้องข้าเล็ก แต่เงาของเจียวและมังกร (เปรียบเปรยถึงกิ่งก้านต้นสน) ด้านนอกแทรกซอนอยู่ท่ามกลางเสียงสายลมสายฝน’
ลายมือจริง!
นี่เป็นแค่สถานที่อ่านหนังสือที่เวินอวี้ไว้ใช้พักผ่อนชั่วคราวเท่านั้น ไม่ใช่สถานที่สำหรับจัดการกิจธุระของสำนักศึกษา โดยทั่วไปแล้วเวินอวี้เองก็จะไม่รับรองแขกที่นี่ โชคดีที่ในห้องหนังสือจะต้องมีเก้าอี้ว่างตัวหนึ่งอยู่เสมอ เพียงแต่บนเก้าอี้ก็วางตำราไว้ปึกใหญ่ เวินอวี้ไม่มีการตระหนักรู้ด้านการรับรองแขก หวังไจ่จึงได้แต่ลงมือด้วยตัวเอง ย้ายภูเขาหนังสือลูกเล็กนั่นออกไปแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ รองเจ้าขุนเขาที่ท่าทางเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางถอนหายใจยาวเหยียด “ตลอดทางมานี้เดินทางราบรื่น แต่กลับเหนื่อยกายเหนื่อยใจยิ่ง”
เวินอวี้รู้ว่าเหตุใดหวังไจ่ถึงได้ไม่นั่งเรือข้ามฟาก แม้จะบอกว่าสำนักศึกษาอู่ซีอยู่ทางทิศใต้ของทวีป แต่เรื่องราวมากมายไม่มีการแบ่งเส้นเขตแดนอย่างชัดเจน สำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อไม่ใช่ภูเขาตระกูลเซียนพวกนั้นจึงไม่ได้ตกเป็นที่ต้องสงสัยว่าจะแย่งชิงอาณาเขตอะไร
เวินอวี้เอ่ยสัพยอก “พี่หมิงฉี การประชุมในศาลบุ๋นก่อนหน้านี้มีหน้ามีตามากเลยนะ อิจฉา อิจฉา”
หวังไจ่ นามหมิงฉี
หวังไจ่ยิ้มเอ่ย “หากเปลี่ยนเป็นเจ้าคงไม่มีทางกล้าไปดื่มเหล้าที่ร้านแน่”
อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ อันที่จริงหวังไจ่มักจะไปที่คฤหาสน์หลบร้อนบ่อยๆ เพียงแต่ว่าใต้เท้าอิ่นกวานในเวลานั้นยังเป็นเซียวสวิ้น นอกจากเซียนกระบี่สองท่านอย่างลั่วซานและจู๋อานแล้วก็มักจะได้เจอกับผังหยวนจี้บ่อยๆ
เนื่องจากหวังไจ่ไม่เพียงแต่เคยไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ด้วยโอกาสประเหมาะยังได้กลายเป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของสำนักศึกษาเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้าไพศาลที่ได้ทิ้งป้ายสงบสุขปลอดภัยแผ่นหนึ่งเอาไว้ด้วย
ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง นอกจากประโยคว่า ‘ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความใจกว้าง ปฏิบัติต่อตัวเองด้วยความเข้มงวด ใช้เหตุผลสยบผู้คน ใช้คุณธรรมพันธนาการตน ใต้หล้าสงบสุข ไร้เรื่องราวใดอย่างแท้จริง’
ช่วงท้ายหวังไจ่ยังเพิ่มตัวอักษรบรรจงขนาดเล็กเท่าหัวแมลงวันลงไปอีกบรรทัดหนึ่ง ‘ประพฤติตนมีเมตตากรุณา ขอแค่ยินดีทำ ความเมตตากรุณาก็จะมาสู่ตน หวังให้ผู้ที่ยินดีทำเช่นนี้ ไร้ความกลัดกลุ้มทุกข์ใจ’
ไม่ใช่ว่าหวังไจ่เขียนได้ดีมากเพียงใด แต่เป็นเพราะในสายตาของสำนักศึกษาสถานศึกษาและสำนักต่างๆ ของไพศาล การดำรงอยู่ของป้ายสงบสุขปลอดภัยแผ่นนี้ของหวังไจ่พิเศษมากเกินไป
เป็นข้อยกเว้น
ป้ายสงบสุขปลอดภัยสองแผ่นที่อยู่คู่กัน หวังไจ่จดจำได้อย่างชัดเจน
ป้ายหนึ่งในนั้นคือ ‘ความในใจ’ ของเซียนกระบี่จากเกราะทองทวีปคนหนึ่ง ‘เถ้าแก่รองผู้ไม่เคยหลอกหลวงใคร เฉินผิงอันผู้มีพฤติกรรมดื่มเหล้าเป็นเอกไร้ใครเทียม’
ป้ายอีกแผ่นหนึ่งคือ ‘สายเหวินเซิ่ง ความรู้ไม่ตื้นเขิน หนังหน้ายิ่งหนากว่า เถ้าแก่รองวันหน้ามาที่หลิวเสียทวีปของข้า จะเลี้ยงเหล้าดีๆ ที่แท้จริงให้แก่เจ้า’
คาดว่าสภาพการณ์ของคนผู้นี้ในเวลานั้นจะไม่ต่างจากหวังไจ่สักเท่าไร คือผู้ฝึกกระบี่แห่งไพศาลคนหนึ่งที่กำลังจะออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่กลับไปยังบ้านเกิด
หวังไจ่เหม่อลอยไปเล็กน้อย สีหน้าหม่นหมอง เวินอวี้เองก็ไม่ขัดจังหวะ รอกระทั่งหวังไจ่คืนสติกลับมา ก็มีใบหน้ายิ้มแย้มอีกครั้ง
อันที่จริงเมื่อครู่หวังไจ่อยากเอ่ยประโยคหนึ่งว่า เจ้าเวินอวี้คิดว่าป้ายสงบสุขพวกนั้นเขียนไว้ให้คนนอกอ่านหรือ?
ล้วนเป็นพวกผู้ฝึกกระบี่ที่พูดกับตัวเอง
ล้วนเป็นคำสั่งเสีย!
เพียงแต่คำพูดมาถึงริมฝีปาก หวังไจ่กลับต้องกลืนมันกลับลงท้องไป
ต่อให้จะเป็นสหายที่ดีที่สุดอย่างเวินอวี้ หวังไจ่ก็ไม่ยินดีจะคุยเรื่องพวกนี้ เขาแค่ยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าไม่รู้อะไร ตอนนั้นข้าต้องทำหน้าหนาเขียนป้ายสงบสุขปลอดภัยไปแผ่นหนึ่ง ต้องถูกคนพูดจาเหน็บแนมถากถางมากน้อยแค่ไหน ที่ร้านเหล้ามีคนเรียกข้าว่า ‘อริยะปราชญ์น้ำใส’ กับ ‘ใต้เท้าวิญญูชน’ แล้วยังถามข้าต่อหน้าด้วยว่าข้าใส่ยาพิษลงไปในเหล้าอีกหรือไม่ ยังมีคนแนะนำข้าว่าอย่าได้ทำร้ายเถ้าแก่รองอีกเลย บอกว่าต่อให้พฤติกรรมของเถ้าแก่รองจะย่ำแย่แค่ไหน เรื่องแบบนี้เขาก็ทำไม่ลงหรอก”
“แน่นอนว่าก็ถูกคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นหน้าม้าร้านเหล้าของเฉินผิงอันด้วยเหมือนกัน”
“แต่เรื่องพวกนี้ไม่นับเป็นอะไรได้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าประโยคที่ทำให้ข้ารู้สึกแย่ที่สุดคืออะไร?”
หวังไจ่เอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “คือผู้ฝึกกระบี่เฒ่าคนหนึ่งที่นั่งยองอยู่ข้างทาง ขอบเขตก่อกำเนิด เขาแกว่งชามเหล้า หันมาพูดกับข้าว่า ‘อย่างน้อยก็เป็นบัณฑิตที่พอจะถือว่ามีมโนธรรมหลงเหลืออยู่บ้าง’”
เพิ่งจะกดข่มอารมณ์ซับซ้อนเมื่อครู่ของตัวเองลงไปได้ เพราะประโยคนี้ของตัวเอง อารมณ์ของหวังไจ่ก็พลันหนักอึ้งขึ้นมาอีกครั้ง
สำนักศึกษาของพวกเรา ตั้งแต่ต้นจนจบ ล้วนเป็นคนนอกมาโดยตลอด
ถึงขั้นที่ว่าไม่เคยถูกกำแพงเมืองปราณกระบี่มองเป็นพันธมิตรด้วยซ้ำ
มีแค่บัณฑิตสองคนเท่านั้นที่เป็นข้อยกเว้น
ดังนั้นถึงได้มีคำกล่าวที่ว่า ‘ไกลมองอาเหลียง ใกล้มองอิ่นกวาน’
เป็นคำด่าหรือ?
ใช่ แล้วก็ไม่ใช่
ไม่ใช่ว่ามองเป็นคนกันเองจริงๆ ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่เย่อหยิ่งถึงเพียงใด ทระนงตนมากเพียงใด จะใช้เหตุผลกับคนอื่นอย่างนั้นหรือ? จะเปลืองน้ำลายด่าคนอื่นอย่างนั้นหรือ?
พวกเขาไม่มีทางเสียเวลาพูดจาเหลวไหลกับผู้ฝึกตนของไพศาลแม้แต่ครึ่งคำ แค่ถามกระบี่ก็พอแล้ว
เวินอวี้เพียงแค่ฟังคำพูดของสหายรักเงียบๆ
หวังไจ่มองเห็นกระบอกไม้ไผ่ที่คุ้นตาอย่างถึงที่สุดบนโต๊ะ จึงเตรียมจะไปหยิบมา เวินอวี้รีบยื่นมือมากดกระบอกไม้ไผ่เอาไว้ เอ่ยเตือนว่า “ห้ามรบกวนเวลานอนกลางวัน”
ที่แท้ในกระบอกไม้ไผ่เขียวอันนี้ก็เลี้ยงวานรหมึกที่หายากตัวหนึ่งเอาไว้ ขนาดใหญ่เท่าแค่กำปั้น มันสามารถช่วยฝนหมึกให้กับเจ้าของได้จริงๆ อีกทั้งเกิดมาก็ชอบกินน้ำหมึกเป็นอาหาร เป็นเหตุให้ไม่ต้องล้างแท่นฝนหมึก
อริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อท่านสุดท้ายที่นั่งบัญชาการณ์กำแพงเมืองปราณกระบี่ มีชื่อว่าเย่เหล่าเหลียน
เขามีความสัมพันธ์เป็นทั้งอาจารย์เป็นทั้งสหายกับเวินอวี้ แต่ไม่ใช่อาจารย์และลูกศิษย์ในความหมายที่เข้มงวด
วานรหมึกในกระบอกไม้ไผ่กับเทียบอักษรลายมือจริงที่อยู่บนผนังก็เป็นเย่เหล่าเหลียนที่มอบให้เวินอวี้ก่อนจะออกไปจากใต้หล้าไพศาล
หวังไจ่ลุกขึ้นไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งมา ส่ายหน้าเอ่ยว่า “บอกกับเจ้ากี่รอบแล้วว่าเวลาอ่านหนังสืออย่าพับมุม”
เวินอวี้ยิ้มเอ่ยสัพยอก “หนังสือมีไว้ให้ตัวเองอ่าน การลงตราประทับตำราหรือให้ลูกให้หลานได้เก็บไว้เป็นสมบัติสืบทอดอะไรนั่น ข้าไม่ได้มีข้อพิถีพิถันไร้สาระอย่างครอบครัวชนชั้นสูงอย่างเจ้าเสียหน่อย”
พูดถึงแค่ชาติกำเนิดของคนทั้งสองก็ต่างกันราวฟ้ากับเหวแล้วจริงๆ
แต่สหายร่วมห้องทั้งสองกลับไม่เคยมีข้อห้ามในการพูดคุยกันเรื่องนี้
หวังไจ่เปิดไปได้หน้าหนึ่งก็ยกตำราขึ้น ชี้ไปยังตราประทับอันหนึ่งที่อยู่ด้านบน พอเห็นลายมือก็รู้ว่าเป็นตราประทับที่เวินอวี้แกะสลักด้วยตัวเอง “นี่คืออะไร?”
อักษรแปดตัวตรงด้านล่างตราประทับ ‘ภูเขาตำรามีเส้นทาง ท้องฟ้าสูงมองมหาสมุทร’
เวินอวี้มองแล้วก็ยิ้มเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าตัวเองไม่มีตราประทับส่วนตัว แค่บอกว่าตัวข้าผู้นี้ไม่หวังให้ลูกหลานเก็บไว้เป็นสมบัติสืบทอดประจำตระกูล สอนด้วยคำพูดไม่สู้สอนด้วยการปฏิบัติให้ดูเป็นแบบอย่าง หลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์ในตำราที่ผู้อาวุโสมอบให้กับลูกหลานมักจะสู้การใช้ชีวิตประจำวันของพวกผู้อาวุโสไม่ได้เสมอ”
หวังไจ่ถาม “ตราประทับชิ้นที่ข้ามอบให้เจ้าล่ะ?”
เวินอวี้หัวเราะหึหึ “ไม่ได้อยู่ที่นี่ วางไว้บนโต๊ะตัวที่ใช้จัดการงานหลวง จะดีจะชั่วก็เป็นพี่หมิงฉีที่ทำหน้าหนาไปขอมาให้ข้าอย่างยากลำบาก ข้าหรือจะกล้าละเลย”
ก่อนที่หวังไจ่จะออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้เคยขอตราประทับชิ้นหนึ่งจากเฉินผิงอันเพื่อนำมามอบให้กับสหายรักร่วมห้องเรียนบางคน
เนื่องจากในตำราตราประทับร้อยเซียนกระบี่ที่เฉินผิงอันเรียบเรียงขึ้น มีตราประทับหนึ่งในนั้นที่ตรงก้นเป็นคำว่า ‘ดวงตะวันส่องสว่างยามทิวา ดวงจันทราส่องสว่างยามราตรี’
เพราะในประโยคนี้มีอักษรคำว่า ‘อวี้’ ที่ตรงกับชื่อของสหายคนนั้นของหวังไจ่พอดี
และคนคนนั้นก็คือเวินอวี้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับหวังไจ่ในเวลานี้
เนื่องจากหวังไจ่เป็นฝ่ายเปิดปากร้องขอ ทั้งยังถามว่าสามารถเพิ่มเติมเนื้อหาเข้าไปได้หรือไม่ ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้เหนื่อยยากเลยแม้แต่น้อย เฉินผิงอันจึงเพิ่มอักษรริมขอบและลงชื่อไว้บนตราประทับชิ้นนั้นโดยเฉพาะ
อันที่จริงเนื่องจากตราประทับชิ้นนั้นมีเนื้อหาที่สุภาพนุ่มนวลเกินไป ตอนที่อยู่ในร้านขายผ้าแพรของเยี่ยนจั๋วจึงต้องกินฝุ่นอยู่นานหลายวัน เฉินผิงอันจึงแค่ต้องทำเรื่องเล็กๆ อย่างการบอกกล่าวกับเจ้าอ้วนเยี่ยน จากนั้นค่อยให้คนนำไปส่งที่ร้านเหล้า
เพียงแต่ว่าเวลานั้นเซียวสวิ้นยังไม่ได้ทรยศกำแพงเมืองปราณกระบี่ เฉินผิงอันยังไม่ได้เป็นใต้เท้าอิ่นกวาน ชื่อที่เขาลงเอาไว้จึงเป็นแค่สามคำว่า ‘เฉินผิงอัน’ อย่างเรียบง่ายเท่านั้น
แม้จะบอกว่าเป็นแค่การแสดงน้ำใจอย่างหนึ่ง มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าชั่วชีวิตนี้อาจจะไม่ได้พบหน้าเวินอวี้ แต่หากว่าเป็นเรื่องที่รับปากว่าจะทำแล้ว เฉินผิงอันก็ไม่มีทางทำอย่างขอไปทีเด็ดขาด เนื้อหาตรงริมขอบจึงแกะสลักด้วยตัวอักษรบรรจงแบบเล็กขนาดเท่าหัวแมลงวัน เป็นเนื้อหาของคัมภีร์ที่ยาวถึงแปดร้อยกว่าตัวอักษร
เพียงแต่ว่าในตราประทับร้อยเซียนกระบี่และตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่ต่างก็ไม่มีการบันทึกถึงเนื้อหาของอักษรริมขอบเอาไว้
เป็นแบบนี้จึงจะดี ไม่อย่างนั้นเวินอวี้คงอับอายแย่ เพราะถึงอย่างไรตนก็ไม่เหมือนสหายรักหวังไจ่ ไม่เคยไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่มาก่อน
หวังไจ่เก็บตำราเล่มนั้นลงไป หยิบตราประทับชิ้นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ วางลงบนโต๊ะเบาๆ ยิ้มเอ่ย “ตัดใจยอมมอบของรักชิ้นหนึ่งให้เจ้า พอจะถือว่าเป็นของขวัญแสดงความยินดีชิ้นหนึ่งได้กระมัง”
คือ ‘น้ำค้างแข็งลูกพลับสามร้อยลูก’ ที่เย่เหล่าเหลียนเคยเพ่งสายตาหยุดจ้องอยู่นานตอนที่เปิดอ่านตำราตราประทับ
เวินอวี้เอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ “ในกระเป๋าข้าฟีบแบนจนไม่ได้ยินเสียงเงินกระทบกัน ไม่มีของขวัญตอบแทนกลับคืนให้หรอกนะ”
หวังไจ่โบกมือ ถอนหายใจ “ใบถงทวีปในทุกวันนี้ก็คือเนื้อปลาบนเขียงดีๆ นี่เอง มีมังกรข้ามแม่น้ำอยู่ทั่วทุกหนแห่ง สักวันหนึ่งงูเจ้าถิ่นจะต้องทนไม่ได้ ถึงเวลานั้นก็จะต้องมีข้อพิพาททั้งในทางลับและทางแจ้งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง”
“ถ้าอย่างนั้นก็ฉวยโอกาสที่วันนั้นยังมาไม่ถึง รีบตั้งกฎไว้เสียแต่เนิ่นๆ”
เวินอวี้เอ่ยเนิบช้า “หลักการเหตุผลของสำนักศึกษาไม่จำเป็นต้องพูดจู้จี้ซ้ำไปซ้ำมา พูดแค่รอบเดียวก็พอแล้ว”
หวังไจ่ยิ้มกล่าว “เจ้าควรจะไปเป็นรองเจ้าขุนเขาที่สำนักศึกษาอู่ซี”
เวินอวี้ส่ายหน้า “เจ้าเหมาะกับสำนักศึกษาอู่ซีมากกว่า ก็เหมือนที่ข้าเหมาะจะอยู่สำนักศึกษาเทียนมู่มากกว่า”
หวังไจ่ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
รู้อยู่แล้วว่าเจ้าหมอนี่ย่อมไม่มีทางมอบของขวัญมาให้เปล่าๆ
เวินอวี้เอ่ยอย่างระอาใจ “เอาล่ะๆ หากอยู่ในกฎเกณฑ์ ถ้าช่วยได้ข้าต้องช่วยแน่นอน อีกอย่างวันหน้าใครต้องช่วยใครก็ยังไม่แน่”
หวังไจ่หัวเราะหึหึ “ข้าคนนี้ให้ความสำคัญกับคุณธรรมน้ำใจมากกว่าใครบ้างคน ภายนอกมิอาจช่วยได้ แต่ในทางลับจะหาโอกาสช่วยให้ได้อย่างแน่นอน”
เวินอวี้เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ข้าไม่เคยเจอกับเฉินผิงอันสักหน่อย เอาคุณธรรมน้ำใจตรงไหนมาพูด”
หวังไจ่เอ่ยข่มขู่ “เวินอวี้ คำพูดไม่น่าฟังเอามาพูดกันก่อน รองเจ้าขุนเขาสำนักเทียนมู่อย่างเจ้า หากว่าไม่มีน้ำใจให้ใครเสียเลย ถ้าอย่างนั้นความสัมพันธ์ฉันท์มิตรของพวกเราทั้งสองก็ต้องจืดจางลงแล้ว”
เวินอวี้ตีหน้าเคร่ง “เดิมทีการคบหากันของวิญญูชนก็จืดจางเหมือนน้ำเปล่าอยู่แล้ว”
หวังไจ่หรือจะไม่เข้าใจสหายคนนี้ อีกฝ่ายก็แค่แกล้งโง่ใส่ตนเท่านั้นเอง
——