กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 909.1 คนเฝ้าประตู
บริเวณทางเลียบมหาสมุทรตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป ชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งเดินเล่นที่ร้านเข้ากรอบตำราและภาพอักษรไปแล้วก็มาที่ร้านเหล้าที่อยู่ติดกัน เลือกโต๊ะตัวหนึ่งที่อยู่ติดกำแพง บุรุษสั่งเหล้าเหมาไฉมาหนึ่งจิน กับแกล้มจานเล็กๆ อีกสองสามจาน สตรีสั่งบ๊วยแห้งอบเกลือมาจานหนึ่ง
บุรุษเงยหน้ามองบทกลอนที่อยู่บนผนังซึ่งผู้มีความรู้ในหมู่บ้านเป็นคนเขียน สตรีกวาดตามอง หยิบบ๊วยเปรี้ยวขึ้นมาเม็ดหนึ่ง ใส่ปากเคี้ยว เปรี้ยวจริงๆ
บุรุษหยิบตำราเล่มหนึ่งออกมาจากหีบหนังสือ วางลงบนโต๊ะ ยกเหล้าขึ้นดื่มพลางใช้มือพลิกเปิดตำรานรลักษณ์ศาสตร์เล่มหนึ่งไปด้วย
เขาชอบอ่านหนังสือเบ็ดเตล็ด เวลาปกติแม้แต่ศาสตร์ของการดูฮวงจุ้ยจากทิศทางลม ศาสตร์การทำนายโชคหรือเคราะห์จากการดูนกบิน หรือศาสตร์การทำนายจุดอ่อนของศัตรู ล้วนเคยศึกษามาก่อน พูดให้ไพเราะก็คือมีทักษะมากมายไม่ทับตัวตาย ออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก มีวิชาความรู้เพิ่มมาวิชาหนึ่งก็มีชามข้าวเพิ่มมาหนึ่งใบ
คิ้วของสตรีเหมือนขุนเขาเขียวขจีคดเคี้ยว ยามที่มีเรื่องในใจ ดวงตาเรียวยาวคลอประกายน้ำก็จะคล้ายเมฆหมอกบดบังภูเขา
นางคล้ายจะมีเรื่องในใจจึงขมวดคิ้วมุ่นมิคลาย อดไม่ไหวใช้เสียงในใจถามว่า “อวี๋ลู่ เจ้าคิดว่าข้าสามารถปฏิเสธข้อเรียกร้องของเขาได้หรือไม่?”
ก่อนหน้านี้มีคนส่งจดหมายฉบับหนึ่งมาให้นาง บอกว่าคิดจะรับนางเป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อ ไม่ถือว่าเป็นลูกศิษย์ในสำนักอย่างแท้จริง อีกทั้งรอให้ในอนาคตนางได้เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบน คิดจะเปลี่ยนสำนักหรือก่อตั้งสำนักขึ้นมาด้วยตัวเองก็ล้วนไม่เป็นปัญหา แต่ยิ่งอีกฝ่ายพูดง่ายเช่นนี้นางก็ยิ่งรู้สึกไม่มั่นใจ เป็นเพราะปีนั้นระหว่างที่เดินทางไกล นางถูกเจ้าคนที่ความคิดจิตใจยากจะคาดเดารังแกจนเกิดเป็นเงามืดในใจแล้ว
อวี๋ลู่เอ่ย “อันที่จริงข้ากลับคิดว่าเป็นเรื่องดี”
เดิมทีก็เป็นเรื่องที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะมิอาจปฏิเสธได้ คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์ เพียงแต่ว่าอวี๋ลู่ไม่ได้พูดประโยคนี้ออกไป หลีกเลี่ยงไม่ให้เซี่ยเซี่ยรู้สึกกลุ้มใจยิ่งกว่าเดิม
เพราะถึงอย่างไรคนที่ส่งจดหมายมาก็คือชุยตงซาน
เซี่ยเซี่ยเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “เจ้าคิด?! ถ้าอย่างนั้นทำไมเจ้าถึงไม่ไปเป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของเขาเสียเลยล่ะ”
อวี๋ลู่เพียงยิ้มรับ ตนเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่ง ชุยตงซานจะสอนอะไรได้
แล้วนับประสาอะไรกับที่ตนก็มีความสัมพันธ์ส่วนนั้นกับเฉินผิงอันอยู่ ชุยตงซานย่อมไม่กล้าจะเอาเปรียบเขา
เซี่ยเซี่ยก็รู้ว่าตนเอาโทสะไประบายใส่อวี๋ลู่เช่นนี้ช่างไร้เหตุผล จึงยกชามเหล้าขึ้น ถือเป็นการขออภัย
อวี๋ลู่อธิบายอย่างอดทน “ทุกวันนี้สถานะมีการเปลี่ยนแปลง อีกเดี๋ยวชุยตงซานก็จะได้เป็นเจ้าสำนักของสำนักหนึ่งแล้ว วันหน้าอยู่ร่วมกับเจ้า เขาก็มีแต่จะสำรวมมากกว่าเดิม อีกทั้งชุยตงซานยังขอบเขตสูง สมบัติอาคมก็มีมาก หากไม่พูดถึงนิสัยประหลาดของเขา ให้เขาเป็นผู้ถ่ายทอดมรรคา ไม่ว่าสำหรับเซียนดินคนใดก็ล้วนเป็นเรื่องดีที่แม้แต่ฝันก็ยังมิกล้าฝันถึง”
เซี่ยเซี่ยยังคงเป็นกังวลมิคลาย
‘ปกติ’ ‘ทั่วไป’ ‘ตามหลักแล้ว’ คำกล่าวพวกนี้ หากเอาไปใช้กับห่านขาวใหญ่ล้วนไม่ได้ผลเลยสักนิด
อวี๋ลู่กลั้นขำ พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “หากเจ้าวางหน้าไม่ลงก็ไม่เป็นไร วันหน้าไปถึงภูเขาเซียนตู ข้าจะหาโอกาสช่วยคุยกับเฉินผิงอันเป็นการส่วนตัวแทนเจ้าสักหน่อย ต่อให้เจ้าไม่เชื่อใจชุยตงซานก็น่าจะเชื่อใจเฉินผิงอัน ถูกไหม? คาดว่าไม่ต้องให้ข้าพูดจาอย่างชัดเจนอะไร เฉินผิงอันก็จะไปช่วยพูดกับชุยตงซานให้เอง ต่อให้ชุยตงซานจะไร้ขื่อไร้แปแค่ไหนก็ไม่กล้าไม่ฟังคำสั่งสอนจากอาจารย์เขาหรอก”
เซี่ยเซี่ยพอจะวางใจได้บ้างเล็กน้อย ถอนหายใจ “หวังว่าจะเป็นเช่นนี้”
นางอิจฉาอวี๋ลู่จากใจจริง ยามพูดถึงห่านขาวใหญ่ก็กล้าเรียกชื่ออีกฝ่ายตรงๆ แต่นางกลับทำเช่นนั้นไม่ได้เลย
แรกเริ่มนึกว่าชุยตงซานรับหน้าที่เป็นเจ้าสำนักของสำนักเบื้องล่าง จะต้องอยู่กันคนละทวีป ห่างไกลกันสุดขอบฟ้าแล้ว ดังนั้นพอได้รับจดหมายฉบับนั้น ช่วงที่ผ่านมาเซี่ยเซี่ยจึงอกสั่นขวัญผวาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ขนาดเรื่องการฝึกตนก็ยังต้องละวางไว้ มิอาจรวบรวมสมาธิได้เลย
ปีนั้นคนทั้งกลุ่มเดินทางไกลไปที่สำนักศึกษาซานหยาต้าสุยด้วยกัน อวี๋ลู่เลื่อนเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองได้อย่างรวดเร็ว แต่เวลาผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้แล้วเขากลับยังเป็นแค่ขอบเขตจำแลงขนนกที่เดินทางไกลได้
ต่อให้อวี๋ลู่จะเป็นคนใจใหญ่แค่ไหน ไม่มีใจคิดเอาชนะคะคานมากเท่าไร ก็ยังอดรู้สึกละอายใจอยู่บ้างไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรเวลาสามสิบปีเต็มๆ ขอบเขตในการเรียนวรยุทธของอวี๋ลู่ก็เลื่อนแค่ขั้นเดียวเท่านั้น
คุณสมบัติฐานกระดูก พรสวรรค์ในการฝึกตนของอวี๋ลู่ อันที่จริงล้วนดีเยี่ยม นี่ก็คือโรคแฝงที่ทิ้งไว้หลังจากผู้ฝึกยุทธเลือกเดินทางลัด เป็นเหตุให้คอขวดขอบเขตเดินทางไกลของอวี๋ลู่ฝ่าไปได้ยากมาก
ย้อนกลับมามองเซี่ยเซี่ย ภายหลังเมื่อถูกชุยตงซานดึงเอาตะปูกักมังกรออกไปหมด การฝึกตนของเซี่ยเซี่ยก็ราบรื่นอย่างยิ่ง ทุกวันนี้คือเซียนดินโอสถทองที่คอขวดคลายตัวได้มากแล้ว
คนหนึ่งคือรัชทายาทแคว้นล่มสลายของราชวงศ์สกุลหลู คนหนึ่งคือสตรีผู้เป็นลูกรักแห่งสวรรค์ที่จวนเซียนผู้นำบนภูเขาของราชวงศ์สกุลหลูฝากความหวังไว้ให้มาก
หลายปีมานี้อวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยคนร่วมบ้านเกิดและสหายร่วมห้องเรียนสองคนคล้ายว่าจะจับคู่เดินทางไกลด้วยกันอยู่ตลอด ไม่อาจพูดได้ว่าตัวติดกันเป็นเงา แต่ก็ถือว่าอยู่ร่วมกันตลอดเวลา
เพียงแต่ว่าทั้งสองฝ่ายกลับไม่มีความรู้สึกฉันท์ชายหญิงอะไรต่อกัน
เซี่ยเซี่ยถาม “ปีนั้นทำอะไรบุ่มบ่าม รู้สึกเสียใจทีหลังไหม?”
“แน่นอนว่าต้องเสียใจ ทำเอาข้าไม่มีความมั่นใจพอที่จะถามหมัดกับเฉินผิงอันเลย หากเปลี่ยนเป็นเจ้า เจ้าจะไม่โมโหหรือ? ข้าเองก็ถือว่าใจใหญ่มากพอแล้ว ไม่ใช่คนยึดติดดึงดัน ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ใช่แค่เสียใจภายหลังเท่านั้น ยังต้องเสียใจจนไส้เขียวด้วย ทุกวันจะต้องรู้สึกอับอายขายขี้หน้า ไม่แน่ว่าทุกวันนี้อาจกลายเป็นผีขี้เหล้าคนหนึ่งแล้วก็ได้”
อวี๋ลู่จิบเหล้าหนึ่งอึก เปิดหนังสือไปหนึ่งหน้า ยิ้มกล่าว “เพียงแต่ว่าเสียใจก็ส่วนเสียใจ เรื่องที่ควรทำก็ยังต้องทำ ต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้ ข้าก็จะยังเลือกแบบเดิม จะยังทำอะไรตามอารมณ์ แล้วก็จะยังเสียใจภายหลังอยู่เหมือนเดิม”
ปีนั้นเซี่ยเซี่ยที่กลายมาเป็นนักโทษอาญาพลัดถิ่น คนที่นางรังเกียจที่สุดถึงขั้นไม่ใช่สตรีออกเรือนแล้วของต้าหลี แล้วก็ไม่ใช่ชุยตงซานที่รับนางเป็นสาวใช้ แต่เป็นรัชทายาทที่ไม่เคยเจ็บปวดต่อการที่แคว้นล่มสลายผู้นี้ ถึงขั้นเรียกได้ว่าเกลียดแค้นชิงชังเลยด้วยซ้ำ
นี่จึงเป็นเหตุให้นับตั้งแต่ที่บ้านบรรพบุรุษสกุลหยวนของตรอกเอ้อหลางไปจนถึงการเดินทางไกลไปยังต้าสุย เซี่ยเซี่ยจึงเคียดแค้นรัชทายาทที่นิสัยเอื่อยเฉื่อย ขนาดฟ้าถล่มลงมาก็ยังมีสีหน้าไม่ยี่หระผู้นี้อย่างถึงที่สุด
จนกระทั่งไปถึงสำนักศึกษาซานหยาต้าสุย เนื่องจากมรสุมครั้งนั้นของหลี่ไหว อวี๋ลู่ยอมอาศัยโชคชะตาบู๊ของแคว้นส่วนหนึ่งที่เหลืออยู่ พร้อมกับใช้เวทลับบางอย่างใช้ทางลัดเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตร่างทอง เล่นงานจนนักปราชญ์หนุ่มคนนั้นถูกหามออกไปจากสำนักศึกษา
ทางเลือกที่ดีที่สุดคืออวี๋ลู่อาศัยความสามารถของตัวเองก้าวเดินอย่างมั่นคงจนเลื่อนเป็นขอบเขตร่างทองและขอบเขตเดินทางไกล ขอบเขตแปดเลื่อนเป็นขอบเขตเก้า หรือไม่ก็ในช่วงเวลาที่อยู่ขอบเขตยอดเขากำลังจะฝ่าไปยังขอบเขตปลายทาง ตอนที่ต้องฝ่าคอขวดใหญ่เทียมฟ้าบางอย่างค่อยอาศัยโชคชะตาบู๊ส่วนนั้นมาเป็นอิฐเคาะประตู พาดบันไดไปบนฟ้า ขยับรุดหน้าไปอีกขั้น
ด้วยเหตุนี้เซี่ยเซี่ยจึงเปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่ออวี๋ลู่ แม้เขาจะยังไม่สนใจอะไรอยู่เหมือนเดิม แต่ก็พอจะถือว่ามีความรับผิดชอบอยู่บ้าง ใช่ว่าจะไม่มีดีอะไรสักอย่าง
เพียงแต่รอกระทั่งอวี๋ลู่ไม่ทำอะไรเป็นการเป็นงานอยู่ในสำนักศึกษา วันๆ เอาแต่ไปนั่งตกปลาริมทะเสลาบ สนิทสนมกับเกาเซวียนองค์ชายของต้าสุย เซี่ยเซี่ยก็เริ่มรำคาญเขาอีกครั้ง
ทุกวันนี้อวี๋ลู่ยังคงชอบตกปลาอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ว่าปลาที่ตกมาได้มักจะปล่อยไป ตอนที่อยู่ริมลำคลองหรือริมแม่น้ำจึงมักจะเจอคนบนเส้นทางเดียวกันพร้อมกับเซี่ยเซี่ยเป็นประจำ ต่อให้อวี๋ลู่ไม่ถือคันเบ็ดไว้ในมือก็ยังนั่งมองอยู่ด้านข้างได้เป็นครึ่งๆ วัน บอกว่าตัวเองคือคนตกปลาที่ชอบมองคนอื่นตกปลา
อวี๋ลู่ยิ้มกล่าว “จะว่าไปแล้วพื้นฐานขอบเขตเดินทางไกลที่ปูอย่างยากลำบากมาสิบกว่าปีก็ไม่ถือว่าแย่แล้ว”
เซี่ยเซี่ยยิ้มตาหยี “ไม่พูดถึงว่าเอาไปเปรียบเทียบกับเฉาสือและเฉินผิงอัน เปรียบเทียบกับเผยเฉียนล่ะเป็นอย่างไร?”
อวี๋ลู่เอ่ยอย่างอ่อนใจ “ถ้าอย่างนั้นเอาข้าไปเปรียบเทียบกับเฉินผิงอันยังดีเสียกว่า”
เผยเฉียนช่วงชิงโชคชะตาบู๊จากความ ‘แข็งแกร่งที่สุด’ ได้ตั้งกี่ขอบเขต?
ช่างเป็นเรื่องที่ยากจะจินตนาการได้ถึงจริงๆ ปีนั้นว่าเจ้าตัวขี้เกียจที่เจ้าเล่ห์แสนกล จะตั้งใจเรียนวิชาหมัดอย่างจริงจัง ทั้งยังเรียนได้ดีถึงเพียงนี้
อยู่ดีๆ เซี่ยเซี่ยก็ถามขึ้นมาว่า “เจ้าไม่เคยคิดจะหาวิธีไปฝึกตนบนภูเขาบ้างหรือ? ได้ยินมาว่าที่ใบถงทวีปมีเรือนอวิ๋นฉ่าวภูเขาผูซานที่มีวิชาลับเฉพาะ สามารถทำให้ผู้ฝึกยุทธควบฝึกคาถาเซียนได้ เจ้าลองไปเสี่ยงโชคก็ดีนะ ถึงอย่างไรหลายปีมานี้พวกเราก็เดินทางไปทั่วแจกันสมบัติทวีป ไปเที่ยวเยือนใบถงทวีปก็ดีเหมือนกัน”
อวี๋ลู่หลุดหัวเราะพรืด เงียบไปพักหนึ่งก็ส่ายหน้า “ข้าไม่เคยอยากจะเป็นเทพเซียนอะไร”
เรือนด้านหลังร้านเหล้ามีคนเลิกม่านไผ่เขียวขึ้นเบาๆ แล้วปล่อยลงแรงๆ เซี่ยเซี่ยปรายตามองแวบหนึ่ง ที่แท้ก็มีดรุณีน้อยคนหนึ่งยืนอยู่หลังม่าน สายตาแฝงอารมณ์ความรู้สึกจับจ้องมองใครบางคน
โอ้โห เคลื่อนไหวไม่เบา แม่นางน้อยทำไมเจ้าไม่กระชากม่านไม้ไผ่ลงมาทั้งหมดเลยเล่า อวี๋ลู่จะได้ได้ยินชัดกว่านี้?
เซี่ยเซี่ยถาม “เจ้าจะไปเป็นแขกที่บ้านของแม่นางเหมา เทพธิดามู่เมื่อไหร่?”
ด้วยโชควาสนานำพา พวกเขาสองคนจึงบังเอิญได้พบเจอกับหญิงสาวสองคนที่โดดเด่นอย่างถึงที่สุดในซากปรักสนามรบโบราณแห่งหนึ่งและที่ท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่ง
เซี่ยเซี่ยไม่ได้ตาบอด มองออกว่าคนทั้งสองต่างก็หลงรักอวี๋ลู่ตั้งแต่แรกเห็น
อวี๋ลู่ยิ้มกล่าว “ก็แค่คำพูดตามมารยาทที่เอ่ยไปตามเนื้อผ้า คล้ายคลึงกับคำว่ามีเวลาว่างแล้วค่อยมาเจอกันใหม่ คราวหน้าข้าเป็นคนจ่ายเอง จะเพิ่มอาหารอีกสักสองจานหรือไม่ ใครฟังแล้วคิดเป็นจริงเป็นจังก็คือคนโง่”
รู้สึกขบขันกับคำพูดของอวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ยจึงหัวเราะออกมา
สหายร่วมห้องเรียนในอดีต หลินโส่วอีคือนักปราชญ์ของสำนักศึกษา ทั้งยังเคยรับหน้าที่เป็นคนเฝ้าศาลของลำน้ำฉีตู้ด้วย
แม้แต่หลี่ไหวก็ยังเป็นนักปราชญ์แล้ว
ส่วนหลี่เป่าผิงที่ทุกวันนี้ศึกษาหาวิชาความรู้อยู่ในสำนักศึกษาบางแห่งของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ก็ได้กลายเป็นวิญญูชนที่ผู้อำนวยการสถานศึกษาสองคนทดสอบวิชาความรู้ด้วยตัวเอง คืออาจารย์หยิงคนหนึ่งที่สามารถถ่ายทอดวิชาความรู้ไขข้อข้องใจให้กับบัณฑิตลัทธิขงจื๊อของสำนักศึกษาได้แล้ว
เพียงแต่ว่าในประวัติศาสตร์ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างกลับไม่เคยมีสตรีที่รับหน้าที่เป็นเจ้าขุนเขาของเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาหรือไม่ก็รองผู้อำนวยการของสถานศึกษามาก่อน
อวี๋ลู่ปิดหนังสือ ถามว่า “พวกเราจะไปที่เจี้ยงโจวกันเมื่อไหร่?”
เจี้ยงโจวของต้าหลีในทุกวันนี้ก็คือสถานที่ตั้งพรรคแห่งนั้นของเซี่ยเซี่ย
เนื่องจากปีนั้นอาจารย์ของเซี่ยเซี่ยปฏิเสธการขอให้ยอมจำนนของราชสำนักต้าหลีอย่างเด็ดเดี่ยว เป็นเหตุให้พรรคต้องพินาศวอดวาย
เซี่ยเซี่ยหน้าซีดขาวเล็กน้อย
อวี๋ลู่เอ่ยเสียงเบาว่า “หากไม่ไปก็ข้ามผ่านมันไปไม่ได้”
เซี่ยเซี่ยก้มหน้าลง กัดริมฝีปาก สุดท้ายก็ยังส่ายหน้า
อวี๋ลู่ยิ้มเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องรีบร้อน”
อวี๋ลู่ก็ดีที่ตรงนี้ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ง่ายๆ สบายๆ สำหรับเขาไปเสียทั้งหมด
เซี่ยเซี่ยผ่อนลมหายใจโล่งอก พยักหน้าเอ่ย “ต้องไปแน่นอน”
ทั้งเหมือนให้คำสัญญากับอวี๋ลู่ แล้วก็เหมือนให้กำลังใจตัวเองด้วย”
อวี๋ลู่รวมเสียงให้เป็นเส้นเอ่ยว่า “เจ้าไม่อยากรู้เรื่องจดหมายที่ชุยตงซานส่งมาให้ข้าหรือ? หรือว่าเดาเนื้อหาที่อยู่ด้านในได้แล้ว?”
เซี่ยเซี่ยเงียบไม่ตอบ
อวี๋ลู่มีสีหน้าเศร้าใจอย่างที่หาได้ยาก พึมพำกับตัวเองว่า “สืบทอดชะตาแคว้นอยู่ต่างบ้านต่างเมือง จะสามารถกอบกู้แคว้นได้จริงหรือ?”
เซี่ยเซี่ยดื่มเหล้าในชามหมดรวดเดียว พูดด้วยสีหน้าสดชื่นแจ่มใส “ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?! ไปถึงใบถงทวีปก็เลือกสถานที่สักแห่งหนึ่ง อาณาเขตไม่ใหญ่ก็ไม่เป็นไร วางแผนอย่างละเอียดสักสิบยี่สิบปีก่อน รอให้ข้าเลื่อนเป็นขอบเขตก่อกำเนิด เจ้าก็ขึ้นครองราชย์ตั้งตัวเป็นจักรพรรดิ ข้าจะเป็นราชครู!”
ฉู่โจวแห่งใหม่ อำเภอไหวหวง
หลี่ไหวพานักพรตเนิ่นเดินลอดทะลุตรอกต่างๆ ไปยังหน้าตรอกแห่งหนึ่งที่ตรอกค่อนข้างเล็กแคบตั้งอยู่ห่างไกล ไปหาต่งสุ่ยจิ่งที่นัดหมายว่าจะมาเจอกันที่นี่
ต่งสุ่ยจิ่งยังตั้งใจกลับบ้านเกิดเพื่อมาเจอหลี่ไหวโดยเฉพาะ
หลี่ไหวเอ่ยสัพยอก “ไม่ถ่วงรั้งการหาเงินก้อนใหญ่ของต่งครึ่งเมืองกระมัง?”
ต่งสุ่ยจิ่งยิ้มบางๆ “ไม่จำเป็นต้องคอยจับจ้องสมุดบัญชี ไม่ดีดลูกคิดด้วยตัวเองก็หาเงินได้เหมือนกัน”
ต่งสุ่ยจิ่งพาหลี่ไหวไปที่บ้านบรรพบุรุษของตัวเอง เข้าครัวทำอาหารด้วยตัวเอง ต้มเกี๊ยวน้ำสามชามยกขึ้นมาวางบนโต๊ะ
ในลานบ้าน ด้านข้างบ่อน้ำแห่งหนึ่งปลูกต้นหลิวไว้หนึ่งต้น
หลี่ไหวเองก็ได้แต่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ได้แต่เจ็บใจที่ตัวเองมีพี่สาวแค่คนเดียว
นักพรตเนิ่นมองปราดเดียวก็รู้ขอบเขตของต่งสุ่ยจิ่ง ไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อย ในอาณาเขตของถ้ำสวรรค์หลีจูเก่าแห่งนี้ ขอบเขตก่อกำเนิดที่อายุน้อยๆ คนหนึ่ง ไม่ใช่ขอบเขตบินทะยานเสียหน่อย มีอะไรให้ต้องตกอกตกใจกัน?
สหายของคุณชายบ้านตน ไม่มีความสามารถต่างหากที่เป็นเรื่องแปลก
หากเจอกับผู้ฝึกตนก่อกำเนิดเฒ่าที่มีอายุอยู่มาหลายร้อยปีกลางทาง คาดว่าน่าจะทำให้นักพรตเนิ่นตกตะลึงยิ่งกว่า ฝึกตนอย่างไรกัน เจ้าเศษสวะ!
ไม่แน่ว่าอาจจะต้องซักไซ้ต่อหน้า ไอ้หนู เจ้าไม่รู้สึกผิดต่อพื้นที่ฮวงจุ้ยมงคลอย่างบ้านเกิดนี่บ้างเลยหรือ?
ดูเหมือนต่งสุ่ยจิ่งก็เดาความคิดของผู้เฒ่าชุดเหลืองได้ จึงยิ้มเอ่ยว่า “ก็แค่ขอบเขตที่อาศัยเงินผลักดันมา ทำให้ผู้อาวุโสเถาถิงเห็นเรื่องตลกแล้ว”
นักพรตเนิ่นไม่ประหลาดใจที่อีกฝ่ายรู้ตัวตนเดิมของตัวเอง มีเงินก็จ้างผีให้โม่แป้งได้ ต่งครึ่งเมืองแห่งแจกันสมบัติทวีปมีทรัพย์สินมากมายอย่างที่มิอาจดูแคลน
นักพรตเนิ่นพูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “ไม่ต้องสนว่าจะได้ขอบเขตมาจากไหน ขอบเขตก็คือขอบเขต ในใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ใครกล้าหัวเราะเยาะเทพเจ้าแห่งโชคลาภหลิวของธวัลทวีปบ้างเล่า? ถึงคราวของเจ้าเสี่ยวต่งก็ต้องเป็นเหตุผลข้อเดียวกัน”