กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 909.4 คนเฝ้าประตู
บอกว่าช่วงปลายฤดูหนาวก่อนจะมีการจัดงานพิธีเฉลิมฉลอง เรือข้ามฟากเฟิงยวนจะข้ามทวีปเดินทางขึ้นเหนือมาถึงลำน้ำจี้ตู๋ จะมาจอดเทียบท่าที่ท่าเรือใกล้กับหน่วยฉงเสวียนราชวงศ์ต้ายวน รบกวนเจ้าสำนักหลิวขยับเท้ามาขึ้นเรือเดินทางลงใต้ ไม่ต้องจ่ายเงินค่าเรือโดยสารให้เสียเปล่าอีก ถือโอกาสเตือนหลิวจิ่งหลงมาในจดหมายด้วยว่า หากยินดีก็สามารถจับมือพาเทพธิดาหลูสุ้ยของภูเขาสุ่ยจิ่งเดินทางมาเที่ยวเยือนภูเขาเซียนตูทางทิศใต้ด้วยกันได้
หลิวจิ่งหลงพกเทียบเชิญฉบับนั้นขี่กระบี่เดินทางมาที่ยอดเขาเพียนหราน
ป๋ายโส่วถามหยั่งเชิง “คนแซ่หลิว พวกเราไม่ไปได้หรือไม่?”
ป๋ายโส่วเพิ่งจะกลับมาจากการไปเที่ยวเยือนแคว้นอวิ๋นเยี่ยน พาผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ของยอดเขาอื่นไปด้วยหลายคน ผู้ฝึกกระบี่หกคนต่างก็อายุไม่มาก พากันไปฝึกประสบการณ์ที่แคว้นอวิ๋นเยี่ยนและภูเขาสายน้ำรอบด้าน
เพราะถึงอย่างไรป๋ายโส่วในทุกวันนี้ ไม่ว่าจะสถานะบนทำเนียบหรือขอบเขตวิถีกระบี่ก็ถือว่าเป็นผู้อาวุโสในสำนักและผู้ปกป้องมรรคาจริงแท้แน่นอนคนหนึ่งแล้ว
รอกระทั่งผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์กลุ่มนี้กลับคืนมายังภูเขาอย่างปลอดภัย ทางฝั่งของศาลบรรพจารย์สำนักกระบี่ไท่ฮุยมีคำวิจารณ์ที่ไม่ต่ำต่อเจ้ายอดเขาเพียนหรานที่เป็นโอสถทองหนุ่มผู้นี้ ความคิดจิตใจละเอียดรอบคอบ ทำอะไรรัดกุมหนักแน่น มีประสบการณ์โชกโชนในยุทธภพ
ตอนที่อยู่แคว้นอวิ๋นเยี่ยน ป๋ายโส่วไม่ได้ปะทะกับชุยกงจ้วงผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าโดยตรง เค่อชิงอันดับหนึ่งของยอดเขาหย่างอวิ่นสำนักสั่วอวิ๋นผู้นี้ ทุกวันนี้ทำตัวดีขึ้นมากแล้ว เปลี่ยนนิสัยใจคอจนเกือบจะกลายมาเป็นคนดีมีเมตตา อีกทั้งยังสั่งห้ามพวกศิษย์ลูกศิษย์หลานไม่ให้ทำอะไรบุ่มบ่ามวู่วาม ไม่อย่างนั้นชุยกงจ้วงจะออกหน้าทำความสะอาดสำนักด้วยตัวเอง เป็นเหตุให้ชื่อเสียงของพรรคในยุทธภพเพิ่มสูงขึ้นอย่างพรวดพราด
เหน็ดเหนื่อยเดินทางลงภูเขาไปแล้วรอบหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าพอกลับมาที่ยอดเขาเพียนหราน ป๋ายโส่วจะได้ยินข่าวดีและข่าวร้ายใหญ่เทียมฟ้าเช่นนี้ พลันนั้นความรู้สึกของเขาจึงปะปนกันไปทั้งดีใจและเศร้าใจ
ภูเขาลั่วพั่วของพี่น้องเฉินบ้านตนเลื่อนเป็นสำนักได้ไม่นานเท่าไร กีบม้าก็ควบตะบึงไปข้างหน้าไม่หยุดนิ่ง คว้าเอาสำนักเบื้องล่างที่ตั้งอยู่ทิศใต้สุดของใบถงทวีปมาได้อีก แน่นอนว่าถือเป็นเรื่องดีที่ดียิ่งกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
แต่ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าทุกวันนี้อย่าว่าแต่ให้ป๋ายโส่วเผชิญหน้ากับคนผู้นั้นเลย แค่คิดถึงนาง เขาก็กลัดกลุ้มแล้ว
คราวก่อนใครบางคนมาเป็นแขกที่ยอดเขาเพียนหราน ผลคือประหนึ่งหายนะที่หล่นมาจากฟ้า เจอหมัดของอีกฝ่ายเข้าไปทีเดียว เขาก็ล้มผลึ่งลงไปชักกระตุกอยู่กับพื้นทันที
คราวก่อนหน้านั้นอีก ก็ยังเป็นที่ยอดเขาเพียนหรานถิ่นของตน ใครบางคนแค่ผ่านทางมา หนึ่งหมัดปล่อยออกไป เจ้าแห่งยอดเขาผู้ยิ่งใหญ่ ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าสำนัก กลับนอนชักอยู่บนพื้น ราวกับผู้ฝึกยุทธที่กำลังฝึกเดินนิ่ง
คราวก่อนก่อนหน้านั้น คือที่ภูเขาลั่วพั่ว
เรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสาม!
หากจะบอกว่าเอาสิ่งที่ประสบพบเจอมาเป็นบทเรียน ถ้าอย่างนั้นป๋ายโส่วในวันนี้ก็ต้องเรียกว่าเป็นคนที่ฉลาดเลิศล้ำแล้ว
ป๋ายโส่วถึงขั้นยังเคยไปหาเทพเซียนผู้เฒ่าลัทธิเต๋าที่เชี่ยวชาญการทำนายดวงชะตาเป็นการส่วนตัว ขอให้เขาช่วยทำนายชะตาให้ว่าชะตาแปดอักษรของตนกับคนผู้นั้นขัดแย้งกันหรือไม่
ตอนนั้นเทพเซียนผู้เฒ่าถือชะตาเกิดของคนทั้งสองด้วยความมึนงง พูดแค่ว่าก็ไม่มีอะไรนะ ไม่ว่าใครก็ไม่ขัดกับใคร สุดท้ายยังไม่ลืมเอ่ยถ้อยคำไพเราะให้ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของเจ้าสำนักหลิวฟังด้วยว่า ชะตาแปดอักษรของเจ้ายอดเขาป๋ายแข็งมากจริงๆ
หลิวจิ่งหลงก็คร้านจะเอ่ยเตือนป๋ายโส่ว ตามคำกล่าวของเฉินผิงอัน เผยเฉียนไม่รู้ชะตาแปดอักษรของตัวเองด้วยซ้ำ แม้แต่ชื่อก็ยังเป็นชื่อปลอม เป็นเผยเฉียนที่ตั้งขึ้นมาเองในภายหลัง
เพียงแต่ว่าเรื่องแบบนี้ เฉินผิงอันสามารถพูดกับหลิวจิ่งหลงได้ แต่หลิวจิ่งหลงกลับไม่สะดวกจะแพร่งพรายความลับแก่ป๋ายโส่ว
หลิวจิ่งหลิงยิ้มย้อนถาม “เจ้าคิดว่าไงล่ะ?”
ไม่เหมือนกับพิธีเปิดยอดเขาของโอสถทองในพรรคทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นงานเฉลิมฉลองพิธีก่อตั้งสำนักเบื้องล่างแห่งใดในใต้หล้าไพศาลก็ถือว่าเป็นงานฉลองยิ่งใหญ่ที่พันปีก็ยากจะพานพบ
ตามกฎที่กลายเป็นความเคยชินของบนภูเขา ขอแค่ไม่ใช่พรรคศัตรูคู่อาฆาต ในอาณาเขตของหนึ่งแคว้น ต่อให้ตัวคนไม่มาร่วมงาน ตามหลักแล้วก็ต้องส่งของขวัญแสดงความยินดีมาให้ชิ้นหนึ่ง
เพราะถึงอย่างไรในอาณาเขตของหนึ่งแคว้น อยู่ดีๆ ก็มีตระกูลเซียนอักษรจงแห่งหนึ่งเพิ่มมา ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นเรื่องที่เป็นหน้าเป็นตาของผู้ฝึกตนในทวีปนั้นๆ
โชคชะตาบู๊ในทวีปมีมากหรือน้อย ตรงไปตรงมาอย่างมาก สามารถดูจากจำนวนของผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางได้เลย หลักการเดียวกัน รากฐานของหนึ่งทวีปตื้นหรือลึก ส่วนใหญ่ก็มักจะดูที่จำนวนของสำนักอักษรจง
ดังนั้นก็เหมือนอย่างสำนักพีหมาชายหาดโครงกระดูก ต่อให้ปีนั้นอุตรกุรุทวีปจะไม่ต้อนรับคนที่มาจากต่างถิ่นกลุ่มนี้แค่ไหน แต่ก็เท่ากับว่าสำนักพีหมาได้หยัดยืนอย่างมั่นคงแล้ว จัดงานเฉลิมฉลองอย่างเป็นทางการ กองกำลังตระกูลเซียนส่วนใหญ่ล้วนฝืนใจส่งของขวัญแสดงความยินดีมาให้ ก็แค่ว่าของขวัญไม่ได้ล้ำค่าอะไรมากมาย ในบรรดานั้นมีตระกูลเซียนบางแห่งที่จงใจส่งเงินเกล็ดหิมะมาให้แค่ไม่กี่เหรียญด้วยซ้ำ
กฎข้อนั้นก็ต้องรักษาเอาไว้เช่นกัน ของขวัญเบาน้ำใจหนักนี่นะ หากว่าสำนักพีหมารังเกียจว่าเงินน้อยเกินไปก็แสดงว่าพวกเขาไม่ใจกว้างมากพอ
เพียงแต่ว่ารอกระทั่งฮว่อหลงเจินเหรินแห่งยอดเขาพาตี้เผยกายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เป็นฝ่ายไปเยือนภูเขามู่อีด้วยตัวเอง ไม่เพียงแต่ร่วมงานพิธี เจินเหรินผู้เฒ่ายังมอบของขวัญหนักที่มีระดับขั้นเป็นสมบัติอาคมให้ชิ้นหนึ่งด้วย
จวนเซียนทั้งหลายที่ ‘ขี้หลงขี้ลืม’ จึงรีบส่งของขวัญร่วมยินดีที่มาถึงอย่างเชื่องช้าชดเชยไปให้ทันที
เจินเหรินผู้เฒ่าที่ขึ้นชื่อว่าชายแขนเสื้อสองข้างมีลมเย็นยอมควักกระเป๋าเงินอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน คนอื่นๆ ก็ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะไม่จ่ายเงินมอบของขวัญให้
ไม่อย่างนั้นอาจถูกเจินเหรินผู้เฒ่าคิดถึงคำนึงหาเอาได้
ป๋ายโส่วยังไม่ถอดใจ เอ่ยว่า “แค่มอบของขวัญไปให้ก็พอแล้ว เฉินผิงอันไม่ถือสาหรอก หากไม่ได้จริงๆ ข้าก็ไม่ไปแล้ว วันหน้าเจ้าเจอเฉินผิงอันก็บอกเขาให้หน่อยว่าช่วงนี้ข้าต้องปิดด่าน”
หลิวจิ่งหลงยิ้มเอ่ย “ขอแค่เจ้าไม่เป็นฝ่ายไปหาเรื่องเผยเฉียนก่อน แล้วจะต้องเป็นวัวสันหลังหวะทำไม นางไม่มีทางมาประลองฝีมือหมัดเท้ากับเจ้าโดยไร้ต้นสายปลายเหตุเสียหน่อย”
เห็นว่าป๋ายโส่วยังลังเล หลิวจิ่งหลงก็ไม่อยากจะทำให้ลูกศิษย์รู้สึกลำบากใจ จึงเอ่ยอย่างเข้าอกเข้าใจเป็นอย่างดี “หากไม่อยากไปจริงๆ ก็ช่างเถิด ตั้งใจฝึกกระบี่อยู่ที่ยอดเขาเพียนหรานให้ดีก็พอ ทางฝั่งของเฉินผิงอัน ข้าจะช่วยอธิบายให้เอง”
นอกจากเทียบเชิญแล้ว เฉินผิงอันยังมีจดหมายลับอีกฉบับหนึ่งที่ส่งมาให้หลิวจิ่งหลง ในจดหมายพูดถึงเมืองหลวงต้าหลี บอกว่ามีอาจารย์ค่ายกลหญิงคนหนึ่งนามว่าหันโจ้วจิ่น บ้านเกิดของนางคือพื้นที่มงคลชิงถานของสำนักโองการเทพ คือสมาชิกหนึ่งในผู้ฝึกตนสายแผนภูมิดินของต้าหลีในทุกวันนี้ และยังมีสถานะที่อำพรางไว้อีกอย่างคือเป็นเค่อชิงของตระกูลเยี่ยนจื่อจ้าวแห่งต้าหลี หันโจ้วจิ่นได้ครอบครองโชควาสนาอย่างหนึ่งจากซากปรักจวนเซียน ประวัติความเป็นมาไม่ธรรมดา อีกทั้งนางยังมีคุณสมบัติในการเรียนสายยันต์ที่ไม่เลว จึงขอให้ระหว่างที่หลิวจิ่งหลงเดินทางลงใต้ แวะไปหยุดอยู่ที่เมืองหลวงของต้าหลี ช่วยชี้แนะวิชาค่ายกลบางอย่างให้กับหันโจ้วจิ่นด้วย
ป๋ายโส่วกัดฟันพูด “ไปก็ไป! ถึงอย่างไรข้าผู้อาวุโสก็ยังไม่เคยไปใบถงทวีปมาก่อน”
หลิวจิ่งหลงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ทางฝั่งของศาลบรรพจารย์ได้แอบบอกเรื่องหนึ่งอย่างเป็นนัยๆ แก่ข้า ต้องการให้ถามเจ้ายอดเขาอย่างเจ้าว่าคิดจะรับลูกศิษย์เมื่อไหร่ จะได้ช่วยแตกกิ่งก้านสาขาให้กับยอดเขาเพียนหราน”
อันที่จริงทางฝั่งศาลบรรพจารย์ของสำนักกระบี่ไท่ฮุยมีการบอกเป็นนัยที่ใหญ่ยิ่งกว่านั้น ยังถามเจ้ายอดเขาด้วยว่ามีตัวเลือกคู่บำเพ็ญตนที่ตรงใจแล้วหรือยัง
ป๋ายโส่วอึ้งตะลึงไปพักใหญ่ รู้สึกเพียงว่าได้ยินเรื่องตลกใหญ่เทียมฟ้า แยกเขี้ยวเอ่ยว่า “รับลูกศิษย์? ข้าน่ะหรือ?”
แม้จะบอกว่าติดตามคนแซ่หลิวมาอยู่บนภูเขาได้หลายปีแล้ว แต่ป๋ายโส่วกลับมีความรู้สึกเหมือนว่าข้าเพิ่งจะเริ่มฝึกกระบี่ อาจถูกใครบางคนถามหมัดจนล้มลงไปกองกับพื้นได้ทุกเมื่อ นี่จึงเป็นเหตุให้เขาไม่มีความตระหนักรู้ของเซียนดินที่สามารถรับลูกศิษย์ผู้สืบทอดได้แล้วเลยสักนิด
ในความเป็นจริงแล้ว เซียนดินทุกคนบนภูเขาที่ได้เปิดยอดเขา เดิมทีก็เท่ากับว่าช่วยบุกเบิกสายแห่งการสืบทอดใหม่เอี่ยมสายหนึ่งให้กับศาลบรรพจารย์แล้ว
ป๋ายโส่วโบกมือ “อย่าเร่งสิ”
บนยอดเขาแห่งหนึ่ง อยู่เดียวดายเพียงลำพัง ไม่ได้รับลูกศิษย์ กลายเป็นเรื่องตลก แต่ว่าก็แค่ถูกหลิวจิ่งหลงหัวเราะเยาะคนเดียว หากรับลูกศิษย์มาแล้ว ความน่านับถือของคนเป็นอาจารย์ ยังต้องการอยู่อีกหรือไม่?
ทุกวันนี้ขอบเขตไม่เพียงพอ ยังไม่เคยมีผลชนะในการถามกระบี่ หรือว่าทุกๆ สามวันห้าวันจะต้องให้ลูกศิษย์ในสำนักตะโกนด้วยประโยคว่า ‘อาจารย์ถูกคนต่อยจนหมดสติไปแล้ว’ หรือไม่ก็ ‘เกิดเรื่องใหญ่แล้ว อาจารย์ลงไปนอนอยู่บนพื้นอีกแล้ว’?
ป๋ายโส่วนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ก็ถามว่า “ทางฝั่งของสำนักสั่วอวิ๋นเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
หลิวจิ่งหลงเอ่ย “อีกไม่นานยอดเขาหย่างอวิ๋นจะเป็นฝ่ายมาลงนามเป็นพันธมิตรกับพวกเรา”
ทุกวันนี้กองกำลังบนภูเขาที่เป็นพันธมิตรกับสำนักกระบี่ไท่ฮุยมีมากถึงสิบกว่าแห่ง นอกจากสวนน้ำค้างวสันต์ จวนไฉ่เชวี่ย นครเหนือเมฆที่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปแล้ว ยังมีจวนเซียนเก่าแก่ทางชายฝั่งมหาสมุทรตะวันตกซึ่งรวมเรือนเทพสายฟ้าเป็นหนึ่งในนั้นด้วย เรือนเทพสายฟ้าของภูเขาอิงเอ๋อร์ เมื่อหลายปีก่อนอยู่ดีๆ ก็โดนคนซ้อมอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แม้แต่กรอบป้ายอักษรทองตรงหน้าประตูภูเขาก็ยังถูกงัดคำว่า ‘เรือนเทพ’ ทิ้ง สุดท้ายถูกเจ้าโจรต่างถิ่นสองคนที่คล้ายจะถูกประตูหนีบหัวจับเอาไว้แล้วก็ปล่อยไปอีก
แน่นอนว่าหลิวจิ่งหลงและสำนักกระบี่ไท่ฮุยไม่มีความคิดที่จะเป็นผู้นำพันธมิตรบนภูเขาเพื่อออกคำสั่งให้แก่เหล่าผู้กล้าอะไร การลงนามสัญญาที่ค่อนข้างจะหละหลวมนี้ ส่วนใหญ่แล้วเพื่อให้สะดวกในการทำการค้าระหว่างกันมากกว่า พูดได้แค่ว่าคล้ายคลึงกับการแต่งงานสานความสัมพันธ์ของล่างภูเขา
ป๋ายโส่วยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ใช่ว่าสำนักกระบี่ไท่ฮุยของพวกเรามีบริวารหน้ารถม้าเพิ่มขึ้นมาอีกหรอกหรือ?”
หลิวจิ่งหลงขมวดคิ้วน้อยๆ
ป๋ายโส่วรีบชูมือสองข้างขึ้นทันใด เป็นฝ่ายยอมรับผิด “ถือเสียว่าข้าผายลม!”
หลิวจิ่งหลงเอ่ยเตือนเสียงเบา “ต้องรู้ว่าการพูดผิดของผู้ฝึกกระบี่อย่างเราๆ ไม่ต่างจากการถามกระบี่บนใจคนครั้งหนึ่ง”
ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนหรือคนธรรมดาทั่วไป ในทะเลสาบหัวใจของทุกคน ก้นบึ้งของทะเลสาบจะมีก้อนหินหนักอึ้งอยู่ก้อนแล้วก้อนเล่า และก้อนหินทุกก้อนก็อาจจะมาจากถ้อยคำไร้เจตนาที่พูดอย่างง่ายๆ ไม่ใส่ใจของคนข้างกายบนเส้นทางชีวิต
ป๋ายโส่วอืมรับหนึ่งที “วันหน้าข้าจะระวัง”
หลิวจิ่งหลงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ลูกศิษย์คนนี้ของตน ขอแค่เป็นเรื่องที่เขาใส่ใจอย่างแท้จริง ก็ไม่ต้องให้อาจารย์อย่างตนพูดอะไรให้มากความเลยจริงๆ
ป๋ายโส่วที่เปลี่ยนจากเด็กหนุ่มมาเป็นชายหนุ่มโดยไม่ทันรู้ตัวยิ้มกว้าง “อาจารย์ ท่านวางใจเถอะ ในยอดเขาเพียนหราน นอกจากคำพูดที่ข้าพูดกับตัวเองแล้วก็ไม่มีโอกาสได้พูดอะไรอีก ส่วนตอนที่อยู่นอกภูเขา ข้าก็ไม่ค่อยจะพูดสักเท่าไร”
หลิวจิ่งหลงจึงเริ่มเตรียมการเรื่องการเดินทางลงใต้
อันที่จริงในสายตาของหลิวจิ่งหลง หนึ่งในค่ายกลที่ลี้ลับมหัศจรรย์ที่สุดในใต้หล้าก็คือถ้ำสวรรค์หลีจูที่เคยลอยอยู่กลางอากาศเหนือภาคเหนือของแจกันสมบัติทวีปมานานหลายปี
ฟ้าดินเล็กของผู้ฝึกตนถูกผู้คนยอมรับว่ามีอยู่สองประเภท ประเภทแรกคืออริยะของสามลัทธินั่งเฝ้าพิทักษ์สำนักศึกษา อารามเต๋าและวัด สามารถยกขอบเขตให้สูงขึ้นได้อีกระดับ ถึงขั้นที่ว่าสามารถทำให้ขอบเขตก่อกำเนิดก้าวข้ามปราการธรรมชาติกลายเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบ ในเวลาเดียวกันนั้นอริยะที่นั่งพิทักษ์อยู่ภายในยังสามารถทำให้ฟ้าดินเล็กกลายมาเป็นสถานที่ไร้อาคมที่ปราณวิญญาณบางเบาได้ ยึดครองฟ้าอำนวยดินอวยพรคนสามัคคี ผู้ฝึกตนจากภายนอกจะไม่อาจชักดึงปราณวิญญาณฟ้าดินมาใช้ได้แม้แต่เศษเสี้ยว เป็นเหตุให้ทุกครั้งที่ร่ายเวทคาถา ทุกครั้งที่เรียกสมบัติอาคมออกมาจะต้องเผาผลาญปราณวิญญาณในร่างกายตัวเอง ยิ่งพลานุภาพมากเท่าไรก็ยิ่งคล้ายการเปิดทางออก อีกทั้งการไหลหายไปของปราณวิญญาณส่วนนี้จะย้อนกลับมาหล่อเลี้ยงฟ้าดินเล็ก คล้ายกับการ ‘ถวายเครื่องบรรณาการ’ สองฝ่ายที่ต่อกรกัน ฝ่ายหนึ่งเสียฝ่ายหนึ่งได้ เว้นเสียจากว่าขอบเขตแตกต่างกัน ไม่อย่างนั้นก็หมดหวังที่จะลุ้นแพ้ชนะ นอกจากนี้ก็คือผู้ฝึกตนใหญ่อาศัยค่ายกลสร้างฟ้าดินเล็กขึ้นมา สร้างสิ่งกีดขวางอำพรางตาไว้หลายชั้น ถ้ำสวรรค์หลีจูในอดีตไม่เพียงแต่ควบทั้งสองอย่าง ผู้ฝึกตนต่างถิ่นที่เหยียบย่างเข้าไปด้านในยังต้องเคารพกฎเกณฑ์บนมหามรรคาที่ลี้ลับมหัศจรรย์มากยิ่งกว่า ดังนั้นครั้งนี้ระหว่างที่เดินทางไปร่วมงานพิธีของสำนักเบื้องล่าง หลิวจิ่งหลงจึงวางแผนไว้ว่านอกจากจะไปหาหันโจ้วจิ่นที่เมืองหลวงแล้วยังต้องไปที่อาณาเขตของหลงโจวเก่า ดูว่าภายใต้เงื่อนไขที่ไม่ละเมิดกฎของต้าหลี จะสามารถอาศัยหินของภูเขาลูกอื่นมากลึงเป็นหยกของตัวเองได้หรือไม่ หรือจะพูดให้ถูกต้องก็คืออาศัยหยกของภูเขาลูกอื่นมากลึงหิน เกี่ยวกับเรื่องนี้ คราวก่อนที่เฉินผิงอันมาเป็นแขกที่สำนักบ้านตน หลิวจิ่งหลงก็เคยเตือนไว้แล้ว ดังนั้นครั้งนี้ในจดหมายลับที่เฉินผิงอันส่งมาให้จึงบอกกล่าวกับหลิวจิ่งหลงอย่างตรงไปตรงมาว่าเชิญตั้งใจศึกษาท่วงทำนองของค่ายกลที่เหลืออยู่ได้ตามสบาย เพราะเขาได้บอกกล่าวกับราชสำนักต้าหลีไว้ให้แล้ว
หลิวจิ่งหลงพลันได้รับจดหมายกระบี่บินฉบับหนึ่ง
มาจากหลิ่วจื้อชิงแห่งตำหนักจินอู
ป๋ายโส่วถามอย่างใคร่รู้ “ทำไมหรือ?”
“เซียนกระบี่หลิ่วจะนัดหมายคนผู้หนึ่งเพื่อถามกระบี่”
“ถามกับใคร?!”
ป๋ายโส่วใช้ความเร็วที่ฟ้าผ่าไม่ทันป้องหูหยิบปฏิทินเหลืองเล่มหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ พลิกเปิดพั่บๆ อยู่ครู่แล้วจ้องมองนิ่ง “อีกสามวันก็คือวันฤกษ์ดี!”
ปฏิทินเหลืองเก่าแก่ของอุตรกุรุทวีป คาดว่าทั่วทั้งใต้หล้าไพศาลคงมีแค่ฉบับนี้ฉบับเดียวแล้ว
ในหนึ่งปี ปฏิทินเหลืองของทวีปอื่นมักจะต้องมีวันเวลาส่วนหนึ่งที่เป็นวัน ‘เหมาะแก่การขุดดิน เหมาะแก่การแต่งงาน เหมาะแก่การออกเดินทางไกล’ เพียงแต่ว่าในอุตรกุรุทวีปกลับมีวันอยู่สิบกว่าวันที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ เพราะว่าเป็นวันที่ ‘เหมาะกับการถามกระบี่’