กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 910.4 เดินทางอย่างเสรี
นักพรตน้อยกอดไม้กวาดไว้ในอ้อมอก เงียบงันไปเนิ่นนาน รู้สึกเพียงว่าเรื่องเล่าของนักพรตผู้นี้ช่างมีสีสันน่าสนใจ ไม่มีบัณฑิตกับปีศาจจิ้งจอก แล้วก็ไม่มีเจินเหรินขึ้นปะรำพิธีไปขับไล่เสนียดความชั่วร้าย ก็แค่ว่าออกจะประหลาดไปสักหน่อย ฟังดูแล้วไม่เลว แต่เขาก็ตัดใจเอาไปเล่าให้พวกศิษย์พี่ศิษย์น้องฟังไม่ได้จริงๆ เพราะถึงอย่างไรตนก็ต้องจ่ายเงินตั้งสามอีแปะเชียวนะ สุดท้ายนักพรตน้อยก็ทอดถอนใจอย่างอดไม่อยู่ “ท่านนักพรตมาจากไหนหรือ?”
ลู่เฉินยิ้มพลางโบกมือ “บอกตามตรง ข้าเก่งด้านดูลายมือมาก อาโหย่ว มา แบมือมา ข้าจะช่วยดูดวงให้เจ้า”
นักพรตน้อยเกิดระแวดระวังขึ้นมาทันที นี่คือคิดจะปล่อยสายเบ็ดยาวเพื่อตกปลาตัวใหญ่ สืบสาวราวเรื่องกันแล้วคือคิดจะหลอกเอาเงินจากข้าหรือ?
ลู่เฉินบ่น “ไม่เก็บเงิน!”
นักพรตน้อยถาม “พอท่านดูว่าลายมือไม่ดีก็จะเก็บเงินเพิ่ม เป็นการจ่ายเงินฟาดเคราะห์ใช่หรือไม่?”
ลู่เฉินสูดลมหายใจดังเฮือก สายเต๋าบ้านตนมีอัจฉริยะแบบนี้ได้อย่างไรกัน
วันหน้าติดตามตนไปตั้งแผงดูดวงก็ถือเป็นวัตถุดิบที่ดีชิ้นหนึ่งเลยนะ
นักพรตน้อยลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ยังมีสีหน้าหม่นหมอง กัดริมฝีปาก วางไม้กวาดลง เอ่ยอำลาท่านนักพรตด้วยการก้มหัวคารวะตามขนบลัทธิเต๋า จากนั้นค้อมเอวลง มือทั้งสองหยิบที่ตักผงเอาใบไม้ร่วงไปเทยังจุดที่ห่างไปไกล
ลู่เฉินถอนหายใจ
เดิมทีเด็กน้อยอยากถามแซ่ของตน เพียงแต่ว่าคำพูดมารออยู่ที่ริมฝีปากแล้ว สุดท้ายก็ยังรู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นนั้น
รอกระทั่งเด็กน้อยเทใบไม้ร่วงในที่ตักผงเสร็จ หันหน้าไปมอง นักพรตหนุ่มที่นั่งอยู่บนราวรั้วก็ไม่อยู่แล้ว
ลู่เฉินแอบมาถึงที่ธรณีประตูของตำหนักใหญ่ในอารามเต๋า ทั้งกวักมือทั้งโบกมือให้กับเจ้าอารามผู้เฒ่าที่สวมชุดคลุมเต๋ามอซอซึ่งกำลังนำพาเด็กทั้งกลุ่มท่องหนังสืออยู่ นักพรตเฒ่าเห็นเขาครั้งแรกก็แค่ยิ้มบางๆ พลางส่ายหน้า ท่องหนังสือต่อไป แต่พอหันมาเห็นเป็นครั้งที่สองว่านักพรตหนุ่มแปลกหน้ายังคงโบกมือแรงๆ อยู่ตรงธรณีประตู นักพรตเฒ่าก็ขมวดคิ้วน้อยๆ สายตาบอกเป็นนัยให้รู้ว่าตอนนี้ตนยังไม่ว่าง รอกระทั่งเห็นเป็นครั้งที่สาม เจ้าอารามผู้เฒ่าที่เป็นถึงเจ้าอารามแห่งหนึ่งก็ลุกขึ้นยืนอย่างโมโห ก้าวยาวๆ ไปที่หน้าประตู เตรียมจะสั่งสอนอีกฝ่าย คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะใช้มือหนึ่งจับชายแขนเสื้อ มือหนึ่งจับมือของตนแล้วตบเบาๆ
เจ้าอารามผู้เฒ่าไม่ต้องก้มหน้า แค่ลองชั่งน้ำหนักดูก็รู้ เฮ้อ คือวัตถุสีทองสีขาวของล่างภูเขา ช่างเถิดๆ เพียงแต่ว่ามันออกจะเบาไปสักหน่อย
นักพรตหนุ่มควัก ‘เหรียญทองแดง’ ออกมาอีกหนึ่งกำมือ ยัดใส่มือเจ้าอารามผู้เฒ่าต่ออีกครั้ง ฝ่ายหลังก้มหน้าลงเล็กน้อย หลุบตาลงต่ำแล้วดวงตาก็พลันเป็นประกาย หืม?
ถึงกับเป็นเงินเกล็ดหิมะบนภูเขาสามเหรียญ?!
เจ้าอารามผู้เฒ่ารออยู่พักหนึ่ง เห็นว่าอีกฝ่ายไม่คลำชายแขนเสื้อแล้วก็กำหมัดเบาๆ บิดหมุนข้อมือเก็บเหรียญใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ไม่ต้องมีบทสนทนา ลากอีกฝ่ายเดินไปยังทิศไกล ถามโดยตรงว่า “สหายรู้ได้อย่างไรว่า ‘อารามชิวหาว’ ของผินเต้ามีหนังสือรับรองส่วนตัวเหลืออยู่? กฎระเบียบของที่นี่ สหายเข้าใจหรือไม่?”
ความนัยในคำพูดก็คือ ถึงอย่างไรหนังสือรับรองส่วนตัวของอารามก็ไม่อาจเทียบกับหนังสือรับรองทางการของสำนักได้ ทุกวันนี้ราชสำนักต้าหลีควบคุมเข้มงวด การมอบโองการกันเป็นการส่วนตัว ในอนาคตเอาไปใช้ตั้งแผงข้างทางพอจะทำได้ แต่ยากจะเดินเข้าบ้านธรณีประตูสูง พูดง่ายๆ ก็คือคิดจะหลอกเอาเงินจากจักรพรรดิอัครเสนาบดีหรือชนชั้นสูงก็ยากแล้ว
นักพรตหนุ่มยิ้มอย่างรู้กัน “ไม่เข้าใจจะมาได้หรือ? ข้าแค่จะเอาไปโอ้อวดกับพวกคนที่ไม่เข้าใจเท่านั้นแหละ”
เจ้าอารามผู้เฒ่าทอดถอนใจ ยื่นสองนิ้วทำท่าขยี้เบาๆ “สหายเข้าใจกฎระเบียบแต่กลับไม่เข้าใจราคาตลาดนะ ต้องเพิ่มเงิน”
เจ้าอารามผู้เฒ่ากดเสียงลงต่ำอีกครั้ง “ตกลงกันไว้ก่อนว่า ไม่มีการคืนเงิน!”
ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “หากต้องเพิ่มเงินก็ช่างเถิด ข้าแค่มาปูทางให้กับอาโหย่วเท่านั้น”
นักพรตเฒ่าอึ้งตะลึง “เจ้าคือบิดาที่พลัดพรากจากกันไปนานหลายปีของอาโหย่วหรือ?”
ลู่เฉินหัวเราะหึหึ “เจ้าอารามลองเดาดูสิ”
นักพรตเฒ่ายังไม่ยอมปล่อยเจ้าคนที่มือเติบหลอกง่ายผู้นี้ไป เอ่ยโน้มน้าวต่ออีกว่า “สหายเจ้าก็น่าจะเข้าใจ อารามแห่งนี้ของผินเต้ามีขนาดเล็ก แต่รายชื่อลู่เซิงของทุกๆ สิบปีกลับไม่มีทางหนีไปไหนได้ นี่คือกฎที่ฉีเทียนจวินของพวกเราตั้งไว้นานแล้ว ถึงอย่างไรอาโหย่วก็อายุยังน้อย ในอารามยังมีศิษย์พี่กับอาจารย์อาอีกกลุ่มใหญ่ ต้องรอปีไหนถึงจะวนมาถึงคราวของเขาได้? ทางฝั่งของศาลบรรพจารย์มีการทดสอบที่เข้มงวดมากเลยล่ะ ก็ไม่ใช่ว่าใครไปแล้วก็จะต้องได้ทำพิธีรับโองการ หากคนที่แนะนำไปไม่ผ่านการรับโองการ อีกสิบปีถัดมาก็จะเสียสิทธิ์นั้นไปแล้ว แต่ว่าในอารามชิวหาวแห่งนี้ล้วนมีแต่คนกันเอง ผู้ฝึกบำเพ็ญตนไม่ดูที่นิสัยใจคอว่าดีหรือร้ายแล้วจะต้องดูที่อะไร บรรพจารย์ได้ตั้งกฎเอาไว้ข้อหนึ่งบอกว่า ‘หากว่ามีคนที่คุณธรรมความดีเหนือเกินกว่าผู้ใด ผู้ที่ตบะสูงโดดเด่นก็จะสามารถแหกกฎมอบหนังสือรับรองให้ได้’ หากจะว่ากันจริงๆ อารามชิวหาวของพวกเรานั้นสามารถมอบโองการให้กันเองได้ แม้ว่าจะไม่ได้ล้ำค่าเท่าศาลบรรพจารย์ของสำนักก็จริง แต่สถานะลู่เซิงก็เป็นของจริงเหมือนกัน ถึงเวลานั้นบนศีรษะสวมกวานดอกบัว แล้วจะไม่ใช่นักพรตเจินเหรินได้อย่างไร? สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ว่าผินเต้าพูดเอาเองส่งเดช สหายเจ้าคิดว่าอย่างไร?”
เจ้าอารามผู้เฒ่าเห็นว่านักพรตหนุ่มพยักหน้าอืมๆๆ แต่กลับไม่ยอมควักเงิน เขาก็ให้ร้อนใจนัก
ลู่เฉินมองเจ้าอารามผู้เฒ่าที่ชุดคลุมเต๋าถูกซักจนเริ่มซีดขาว แล้วก็มองไปยังความคิดจิตใจของเขาที่อยากจะทาทองทับให้เทวรูปของบรรพจารย์ดีๆ สักชั้น ตำหนักบรรพจารย์ก็ต้องซ่อมใหม่หมด ทำอย่างไรมีหน้ามีตาก็จะทำอย่างนั้น วันหน้าจะได้เอาไปโอ้อวดกับอารามทั้งหลายที่เป็นเพื่อนบ้านกัน ในอนาคตตอนที่จุดธูปกราบไหว้บรรพจารย์บ้านตนเอวก็จะได้ยืดตรงขึ้นได้หลายส่วน…ความคิดทั้งหลายนี้ของเขาทำเอาลู่เฉินไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ไม่ว่าจะอย่างไร แม้อารามจะยากจนไปบ้าง แต่ขนบธรรมเนียมกลับไม่เลว
ลู่เฉินตบไหล่ของนักพรตเฒ่า ยิ้มเอ่ย “เอาล่ะๆ เลิกโอดครวญว่ายากจนกับข้าสักทีเถอะ ทำเอาบรรพจารย์อย่างข้าได้ฟังแล้วน้ำตาจะไหล วันหน้าเดี๋ยวข้าจะไปบอกฉีเจินสักคำ ให้เขาจัดงานพิธีรับโองการขึ้นมาโดยเฉพาะ มอบสถานะลู่เซิงที่จริงแท้แน่นอนให้กับอาโหย่ว…”
ได้ยินนักพรตหนุ่มพูดจาระยำไร้ความยำเกรง เจ้าอารามผู้เฒ่าก็โมโหจนยกหมัดต่อยลงบนหน้าอกของอีกฝ่าย “หุบปาก!”
ลู่เฉินขยับไปด้านข้างหลบหมัดนั้นมาได้ ไม่ได้รู้สึกว่าถูกต่อยแล้วเสียหน้า แต่เป็นเพราะกังวลว่าหากหมัดนี้โดนตัวเขาจริงๆ จะไม่ดีต่อเจ้าอารามผู้เฒ่า ลู่เฉินยื่นมือข้างหนึ่งออกมา ยิ้มหน้าทะเล้นเอ่ยว่า “แค่นี้ก็เจรจาไม่สำเร็จแล้วหรือ? เอาเงินคืนข้ามา!”
เจ้าอารามผู้เฒ่าหน้าเขียว ถอนหายใจ ทำท่าจะควักเอาเงินที่เข้ามาอยู่ในกระเป๋าแล้วออกมา แต่ปากกลับเอ่ยว่า “สหายขี้เหนียวจริงๆ”
ลู่เฉินยิ้มบางๆ “อ้อ?”
นาทีถัดมา เจ้าอารามผู้เฒ่าก็ต้องขยี้ตาแรงๆ
นักพรตหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า บนศีรษะสวมกวานดอกบัว
และกวานดอกบัวนั้น ไม่ว่าจะเป็นนักพรตตัวจริงหรือนักพรตตัวปลอมก็ไม่มีทางกล้าทำความผิดมหันต์เช่นนี้เด็ดขาด ใครจะกล้าปลอมแปลงกวานเต๋านี้ขึ้นมาโดยพลการ ยิ่งไม่กล้าสวมกวานนี้บนศีรษะตัวเองเดินโอ้อวดไปทั่ว
แล้วนับประสาอะไรกับที่อารามชิวหาวยังอยู่ในอาณาเขตของสำนักโองการเทพ
เป็นเหตุให้นาทีถัดมา น้ำตาร้อนๆ เอ่อคลอดวงตาของเจ้าอารามผู้เฒ่า เขาซาบซึ้งใจอย่างถึงที่สุด ถอยหลังไปหลายก้าว คุกเข่าลงพื้นเสียงดังตุ้บ แล้วก็เริ่มโขกศีรษะให้กับบรรพจารย์บ้านตน นักพรตเฒ่าริมฝีปากสั่นระริก พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว ทรุดตัวหมอบอยู่กับพื้น น้ำตาอาบเต็มใบหน้า ถึงกับทนไม่ไหวส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญดังลั่น
หลายปีที่ผ่านมานี้ นับตั้งแต่ตนที่โง่เขลาคุณสมบัติย่ำแย่ได้มาเป็นเจ้าอารามคนปัจจุบัน จากนั้นผลักดันกันมาตลอดทาง เจ้าอารามแต่ละรุ่น ดูเหมือนว่าการฝึกตนตลอดชีวิตก็ฝึกได้แค่คำว่ายากจนตัวโตๆ ออกมาเท่านั้น ชีวิตช่างยากลำบากเหลือเกิน
ลู่เฉินทรุดตัวลงนั่งยอง ตบไหล่ของนักพรตเฒ่า ยากจนจนมีแต่กระดูกคลำไม่เจอเนื้อหนังแล้ว ยิ้มเอ่ยปลอบใจเสียงเบาว่า “รู้แล้วๆ ทุกคนต่างก็ไม่ง่ายเลย”
นักพรตเฒ่าร้องไห้ด้วยความเสียใจอย่างแท้จริง เนิ่นนานกว่าจะนึกขึ้นได้ว่าคนที่นั่งยองอยู่ข้างกายตนคือบรรพจารย์บ้านตน คือเจ้าลัทธิแห่งป๋ายอวี้จิง รีบเช็ดน้ำตา กำลังจะลุกขึ้น แต่เงยหน้าก็เห็นว่าบรรพจารย์นั่งลงบนพื้นแล้ว เจ้าอารามผู้เฒ่าจึงหดคอห่อไหล่นั่งลงบนพื้นข้างกันอย่างกล้าๆ กลัวๆ
ลู่เฉินถึงได้ลุกขึ้นยืน ยิ้มกล่าว “ไปแล้วๆ จำไว้ว่ารอให้ฉีเจินกลับมาจากใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เจ้าก็ไปบอกกับฉีเจินว่า ทุกวันนี้อาโหย่วคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของข้าแล้ว ให้เขาตัดสินใจเอาเองว่าจะทำอย่างไร”
เจ้าอารามผู้เฒ่าพยักหน้ารับอย่างแรง ตาพร่าลายไปหนึ่งทีก็ไม่เห็นร่องรอยของบรรพจารย์บ้านตนแล้ว
ลู่เฉินเดินทางไกลข้ามทวีป ผ่านมหาสมุทรใหญ่ที่คั่นกลางระหว่างสองทวีปก็ก้มหน้าลง
ปลาแย่งชิงกันลงน้ำ คนแย่งชิงกันพิสูจน์มรรคา
หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล ดูเหมือนว่าจะเคยได้ยินการถามตอบกับหูตัวเองมาก่อน
อาจารย์บอกว่า หากมรรคาก้าวเดินไม่ได้ก็ออกเรือท่องมหาสมุทร
ลูกศิษย์ตอบ มีเพียงการอ่านตำราเท่านั้นจึงจะถือว่าเป็นการเล่าเรียนอย่างนั้นหรือ
ลู่เฉินเงยหน้ามองม่านฟ้า พลันเพิ่มความเร็วในการทะยานร่าง หยุดชะงักฝีเท้า ทิ้งกายลงดิ่งตรงไปมองขุนเขาสายน้ำ
มาถึงนอกศาลบรรพจารย์ภูเขามู่อีสำนักพีหมา ลู่เฉินแค่ทำการแปลงโฉมเล็กๆ น้อยๆ
เพียงไม่นานก็มีบรรพจารย์หลายคนพากันมาที่นี่ เหวยอวี่ซงประหลาดใจอย่างมาก ถามเสียงเบา “ไม่ทราบว่าเจินเหรินมาเยือน...”
ลู่เฉินกระแอมหนึ่งที พูดเข้าประเด็นโดยตรง “สมบัติอาคมแสดงการร่วมยินดีที่ผินเต้ามอบให้ในปีนั้น?”
บรรพจารย์ทั้งหลายหันมามองหน้ากัน เหวยอวี่ซงเป็นคนแรกที่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ คำรามอย่างเดือดดาล “ฟันเขา!”
มารดามันเถอะ ถึงกับปลอมตัวเป็นฮว่อหลงเจินเหรินมาทำตัวเร้นลับซับซ้อนอยู่ที่ภูเขามู่อีเชียวรึ?!
สมบัติอาคมชิ้นนั้น เมื่องานฉลองของสำนักสิ้นสุดลง เจ้าสำนักคนก่อนก็ไม่เพียงแต่คืนให้ฮว่อหลงเจินเหรินเป็นการส่วนตัวไปนานแล้ว ฟังจู๋เฉวียนเล่ารายละเอียดคร่าวๆ ว่าบิดาของนาง หรือก็คือเจ้าสำนักคนก่อนกับเจินเหรินผู้เฒ่า สองฝ่ายเจ้าผลักข้าดัน เกรงใจกันไปคำรบหนึ่ง เจินเหรินผู้เฒ่าถึงได้ลูบหนวดยิ้ม คนหนึ่งจะมอบให้ให้ได้ อีกคนก็ยืนกรานว่าจะไม่รับ คนหนึ่งตัดสินใจเด็ดขาด อีกคนหนึ่งกลับบอกว่าทำอย่างนี้ไม่เข้าท่า น่าจะเป็นภาพเหตุการณ์ประมาณว่าผู้อาวุโสมีเมตตา ผู้เยาว์รู้มารยาทรู้ธรรมเนียม สุดท้ายเจินเหรินผู้เฒ่าปฏิเสธไม่ได้จริงๆ จึงตบไหล่ของเจ้าสำนักบ้านตน สีหน้าฉายแววปลาบปลื้ม เจินเหรินผู้เฒ่าที่แบ่งส่วนแบ่งจากสำนักที่มาร่วมแสดงความยินดีได้ประมาณสามต่อเจ็ดส่วน เอ่ยคำพูดประโยคหนึ่งที่ไม่รู้ว่าควรคิดเป็นจริงเป็นจังหรือเป็นแค่คำพูดตามมารยาท ความหมายคร่าวๆ ก็คือเจินเหรินผู้เฒ่ารับรองว่าวันหน้าในเวลาหลายร้อยปี เวลาสิบกว่าวันของทุกๆ ปี สถานที่แห่งอื่นเขาจะไม่สนใจ แต่ถึงอย่างไรผู้ฝึกกระบี่ของทั้งทวีปก็ห้ามมาถามกระบี่ที่นี่
พูดง่ายๆ ก็น่าจะเป็นประโยคทำนองว่า ‘ข้าคุ้นเคยเส้นทางนี้ ศาลบรรพจารย์ภูเขามู่อีของพวกเจ้า ข้าคุมให้แล้ว’?
ลู่เฉินจึงรีบเผ่นเพื่อความปลอดภัย ไม่เสียแรงที่เป็นฮว่อหลงเจินเหริน
หนึ่งก้าวหดย่อพื้นที่มาถึงสำนักชิงเหลียงของสายเต๋าบ้านตัวเองโดยตรง
น่าเสียดายที่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนนั้น ทุกวันนี้ไม่อยู่ในภูเขา
หอเรือนแห่งหนึ่ง กำแพงสีขาวกระเบื้องแก้วใส ใต้ชายคาทั้งสี่มีกระดิ่งห้อยเอาไว้
นอกจากนี้ในภูเขาล้วนมีแต่กระท่อม ถือเป็นจวนของผู้ฝึกตนแล้ว
สำหรับตระกูลเซียนอักษรจงแห่งหนึ่ง ไม่ว่าอาณาเขตจะเล็กหรือใหญ่ หรือแม้แต่ภาพบรรยากาศของจวนแห่งนั้น เมื่อเทียบกันแล้วที่นี่ก็ออกจะมอซอโกโรโกโสไปสักหน่อย
โชคดีที่ในมือเฮ้อเสี่ยวเหลียงยังมีถ้ำสวรรค์เล็กอยู่แห่งหนึ่ง
ไม่อย่างนั้นตนที่เป็นอาจารย์และเป็นบรรพจารย์คงต้องน้ำตาอาบหน้าแล้ว
อันที่จริงแส้ปัดฝุ่นที่เฉินผิงอันได้ไปจากนครเซียนจาน เหมาะกับลูกศิษย์หญิงคนนี้ของตนที่สุดแล้ว
สาวงามชดช้อย ปลีกวิเวกอยู่ในภูเขา มือถือประคองแส้ปัดฝุ่น ส่งเสริมกันและกันให้เด่นชัด
เพียงแต่ว่าต่อให้ลู่เฉินกล้าเปิดปากร้องขอ ต่อให้ได้มา ก็ไม่กล้ามอบให้คนอื่นจริงๆ
ถึงเวลานั้นจะต้องถูกเฉินผิงอันตามมาไล่ฟัน แล้วก็คงไม่เหลือพื้นที่ให้ปรึกษาพูดคุยกันอีกแล้ว
ตรงหน้ามีแสงกระบี่เส้นหนึ่งเปล่งวาบ ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายคน มีความหมายของการบอกเตือนมากกว่า
ลู่เฉินเซสะดุด ปากสบถด่า “เจ้าศิษย์หลานตัวดี บังอาจหลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชน!”
ผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นรีบเก็บกระบี่บิน ร่างจึงโงนเงน เกือบจะชนเข้ากับกระบี่บินของตัวเอง หากไม่เป็นเพราะเก็บกระบี่กลับมาเร็วก็คงทำให้นางเปลี่ยนจากขู่คนเป็นฆ่าคนแล้ว
สตรีตวาดดัง “สหายบุกเข้ามาในสำนักชิงเหลียง ไม่รู้ถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาหรือ?”
เห็นเพียงว่านักพรตหนุ่มตบศีรษะตัวเองหนึ่งทีก็มีกวานดอกบัวรูปลักษณ์ธรรมดาชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้นมา เอ่ยอย่างรีบร้อนว่า “คนกันเอง คือคนกันเอง!”
สตรีอึ้งตะลึง “สหายคือ?”
ลู่เฉินกลับยิ้มตอบไม่ตรงคำถาม “ดูท่าเจ้าสำนักเฮ้อของพวกเจ้าจะให้ความสำคัญและรักเอ็นดูเจ้าที่สุดสินะ”
นักพรตหญิงผู้นี้มีฉายาว่ากานจี๋ คือครึ่งหนึ่งของกานจวี๋ (กานจวี๋แปลว่าส้ม เป็นการแยกตัวอักษร กานจี๋ภาษาจีนคือ甘吉 ส่วนกานจวี๋ภาษาจีนคือ 柑桔 ซึ่งจะเห็นว่าในคำว่ากานจวี๋มีอักษร กาน 甘 และอักษรจี๋ 吉 ผสมอยู่ ลู่เฉินถึงได้บอกว่าเป็นครึ่งหนึ่ง) พอดีสินะ?
นางกลอกตามองบน
พูดตรงกันข้ามแล้วกระมัง? ชอบพูดจาแทงใจคนนักใช่ไหม?
อาจารย์ลำเอียงที่สุดแล้ว ตนคือคนที่ไม่เป็นที่รักที่สุดแล้ว
ศิษย์พี่หญิงสองคน ปีนั้นของขวัญพบหน้าที่อาจารย์มอบให้เมื่อกราบไหว้อยู่ในสำนักของอาจารย์แบ่งออกเป็นกวางเจ็ดสีตัวหนึ่งกับวัตถุจื่อชื่อชิ้นหนึ่ง พอมาถึงนาง ดีนัก แค่ส้มไม่กี่ลูกเท่านั้น แล้วก็เป็นส้มที่ธรรมดาที่สุดในตลาดล่างภูเขาจริงๆ …
แรกเริ่มนางยังรู้สึกว่าอาจารย์มีความหมายลึกซึ้งอย่างอื่นหรือไม่ อันที่จริงมันอาจจะเป็นยาวิเศษอะไรก็ได้ รอกระทั่งนางเคี้ยวช้าๆ แล้วกลืน กินหมดแล้ว ไม่มีความลี้ลับอะไรจริงๆ มีเพียงการปฏิบัติหนึ่งเดียวที่แตกต่างจากคนอื่น ก็คือทุกครั้งที่อาจารย์ออกจากสำนักลงจากภูเขาไปหาประสบการณ์ ตอนที่กลับมามักจะเอาส้มหลายผลมาฝากนางเสมอ
ลู่เฉินหันหน้าไปมองมุมหนึ่ง ยิ้มเอ่ย “โชควาสนาใหญ่เทียมฟ้า แม้แต่ข้าที่เป็นศิษย์น้องของเขาก็ยังอิจฉาเลยนะ”
ทุกวันนี้อาจารย์ไม่อยู่บนภูเขา เดินทางไกลไปเยือนธวัลทวีปแล้ว นางจึงใช้เสียงในใจบอกสหายร่วมสำนักว่าให้รีบมาที่นี่ จากนั้นก็มองตามสายตาของนักพรตหนุ่มไป กานจี๋มองเห็นราวรั้วที่อยู่ห่างไปไกล ในอดีตเคยมีอาจารย์หลี่ที่ถูกอาจารย์เชื้อเชิญให้มาที่ภูเขาด้วยตัวเอง ให้ช่วยถ่ายทอดวิชาไขความรู้ให้พวกเขา อีกทั้งปีนั้นก่อนที่อาจารย์หลี่จะลงจากภูเขายังปลูกดอกไม้บางอย่างกับมือตัวเอง มีต้นตีนตุ๊กแก ดอกจูงวัว (ดอกผักบุ้ง) และยังมีบัวหลวงที่อยู่ในอ่างเล็กๆ ใบหนึ่ง จะว่าไปแล้วก็แปลก ทั้งๆ ที่เป็นดอกบัวหลวงทั่วไป ไม่ใช่ดอกไม้ตระกูลเซียน แต่ทุกครั้งที่ถึงช่วงดอกไม้บาน ในอ่างน้ำใบเล็กๆ ที่น้ำใสจะมีริ้วกระเพื่อม ใบตั้งพ้นเหนือน้ำ กลีบดอกบัวซ้อนกันหลายชั้นเบ่งบาน
ลู่เฉินนั่งแปะลงไปในระเบียง ยื่นนิ้วออกมาส่ายเบาๆ กระดิ่งก็แกว่งไกวตามไปด้วย กรุ้งกริ้ง กรุ้งกริ้ง เสียงไพเราะเสนาะหู
ใจที่รักปลานั้นแตกต่างกันออกไป มีคนชอบตกปลากินปลา มีคนชอบแค่เลี้ยงปลาให้อาหารปลา
นอกจากนักพรตหญิงกานจี๋แล้ว ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าสำนักทุกคนที่อยู่ในภูเขาต่างก็เร่งรุดมาที่นี่
ลู่เฉินเท้าคางด้วยมือข้างเดียว เหม่อลอย พลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ก็ถามว่า “ได้ยินมาว่าป๋ายฉางเซียนกระบี่ใหญ่ที่อยู่ทางเหนือผู้นั้นเคยทิ้งประโยคห้าวเหิมไว้ให้กับเฮ้อเสี่ยวเหลียงหรือ?”
ดูเหมือนจะพูดว่าเฮ้อเสี่ยวเหลียงอย่าหวังว่าชีวิตนี้จะสามารถเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานอยู่ในอุตรกุรุทวีปได้
ลู่เฉินกำลังจะลุกขึ้นยืน และเวลานี้เองก็มองเห็นอย่างเลือนรางว่าตรงราวรั้ว คล้ายกับว่าเมื่อหลายปีก่อนศิษย์พี่ได้ยืนอยู่ตรงนั้น ส่ายหน้ายิ้มบางๆ มาให้ตน
อีกทั้งได้เอ่ยประโยคหนึ่งอย่างชัดเจนว่า กลับไปที่ป๋ายอวี้จิงแล้ว ระวังการถามกระบี่ครั้งหนึ่งในอนาคตให้ดี จะต้องปกป้องศิษย์พี่อวี๋โต้วของเจ้าและป๋ายอวี้จิงให้ดี