กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 911.3 หวนกลับมาที่เดิมเหมือนได้เปิดอ่านตำรา
เซอเยว่ส่ายหน้าโดยตรง หากเจ้ากับอิ่นกวานนิสัยเหมือนกัน พวกเราสองคนก็ไม่มีทางกินเป็ดผัดหน่อไม้แห้งหม้อเดียวกันได้หรอก
“นับแต่เด็กเฉินผิงอันก็มีจิตใจละเอียดอ่อน ไม่ชอบพูดมาก ส่วนข้า กลับเป็นคนตรงไปตรงมา คิดอะไรก็พูดออกมาอย่างนั้น ไม่ว่าจะน่าฟังหรือไม่น่าฟัง ข้าก็ไม่สนใจ พูดไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน ปีนั้นทั้งสองฝ่ายได้รู้จักกันแล้ว แรกเริ่มที่ข้าอยู่กับเฉินผิงอัน อันที่จริงก็รู้สึกว่าไม่สนุกเอาเสียเลย รู้สึกว่าไอ้หมอนี่น่าเบื่อ ข้าเป็นคนที่ชอบเล่นสนุก มักจะต่อยตีกับคนวัยเดียวกันเป็นประจำ ดูเหมือนว่าทำแบบนี้ถึงจะดูใกล้ชิดสนิทสนมกัน เป็นแบบนี้ความสัมพันธ์ถึงจะดีขึ้น แน่นอนว่าจะระวังตอนออกแรงด้วย เวลานั้นเฉินผิงอันโดนตีไปไม่น้อย แต่ก็แค่คิดว่าข้าล้อเล่นกับเขาจึงไม่โกรธ ต่อมาวันหนึ่งข้าถูกเพื่อนบ้านคนหนึ่งถีบจากด้านหลัง แน่นอนว่าอีกฝ่ายก็ล้อเล่นเหมือนกัน แต่ข้ากลับโกรธจนไฟโทสะลุกท่วมสามจั้ง แล้วก็เพราะกำลังอารมณ์ไม่ดี จึงต่อยกับเขาอย่างรุนแรงไปรอบหนึ่ง ภายหลังเป็นเฉินผิงอันที่หายาสมุนไพรมาให้ ข้าจึงคล้ายจะเข้าใจเรื่องหนึ่งในฉับพลัน ข้าคนนี้ มีปัญหาในการวางตัวอยู่ร่วมกับคนอื่น บางทีชั่วชีวิตนี้คงยากที่จะมีสหายที่แท้จริงแล้ว เอาเป็นว่าหลังจากนั้นข้าก็ใช้หมัดใช้เท้ากับคนอื่นน้อยมาก แต่เฉินผิงอันก็ยังมักจะติดตามอยู่ด้านหลังข้าบ่อยๆ ขึ้นเขาลงห้วยไปด้วยกัน ข้าสอนให้เขาทำสารพัดอย่าง นานวันเข้าก็กลายเป็นความเคยชิน ดูเหมือนว่าก็ได้กลายเป็นเพื่อนกันแล้ว”
“ตอนเด็กๆ มักจะเล่นแลกหมัดกับคนอื่น ดูว่าใครจะทนเจ็บไม่ได้ก่อนกัน จนกว่าอีกฝ่ายจะยอมแพ้ถึงจะหยุด ข้ามักจะเป็นคนที่ชนะเสมอ แต่เฉินผิงอันไม่เคยเล่นแบบนี้ ภายหลังด้านหลังเขามีเจ้าขี้มูกยืดน้อยติดตามมา เขากลับชอบเล่นกับข้า เด็กตัวใหญ่เท่าก้น ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เล่นไปร้องไห้ไป ยืนกรานไม่ยอมแพ้ เฉินผิงอันต้องพูดปลอบอยู่นานถึงจะโน้มน้าวให้เจ้าขี้มูกยืดน้อยเลิกเล่นได้ แล้วก็บอกข้าว่าอย่าเล่นแบบนี้กับเจ้าขี้มูกยืดน้อยอีก เด็กตัวใหญ่เพียงเท่านั้น กำลังอยู่ในช่วงตัวยืด ย่อมทนรับการถูกตีไม่ได้”
ไม่รู้ว่าเหตุใด ไม่ว่าเฉินผิงอันในทุกวันนี้เป็นอย่างไร วันหน้าเฉินผิงอันก็จะยังเป็นคนแบบนี้เสมอ
ในสายตาของหลิวเสี้ยนหยาง ดูเหมือนจะเห็นเขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มตรอกหนีผิงตัวผอมดำ ดวงตาใสกระจ่างคนนั้นอยู่เสมอ ไม่ว่าทำอะไรก็มีสีหน้าจริงจัง เวลาพูดกับคนอื่นก็จะต้องมองตาอีกฝ่าย มีเพียงตอนที่คิดเรื่องในใจเท่านั้นถึงจะเม้มปาก ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ถามไปก็ไม่บอก ราวกับว่าทั่วทั้งบ้านเกิด คนที่ใช้ชีวิตไปวันๆ ก็ใช้ชีวิตไปวันๆ คนที่มีหวังก็คาดฝันถึงอนาคต คนที่ไม่มีเงินก็อยากหาเงิน มีเพียงเด็กหนุ่มรองเท้าสานที่เงียบขรึมพูดน้อยเท่านั้นที่คล้ายเดินถอยหลังอยู่เพียงลำพัง
หลิวเสี้ยนหยางพูดอย่างสะท้อนใจ “ไม่ว่าจะอย่างไร พวกเราสามคนต่างก็เติบใหญ่แล้ว”
ในอดีตที่เพิ่งผ่านไปไม่นาน น้ำในลำธารเริ่มตื้นเขิน น้ำในบ่อเริ่มเยียบเย็น ต้นไหวแก่ยิ่งกว่าเดิม โซ่เหล็กเกิดสนิม เมฆใหญ่คล้อยลงต่ำ ใบท้อของปีนั้นไม่เห็นดอกท้อ
ทว่าทุกวันนี้ หิมะที่ทับถมหลอมละลาย น้ำแข็งคลายจากภูเขาเขียว เสียงน้ำแข็งตกหล่น นกน้อยใต้ใบไม้ เป็นอีกปีที่ดอกท้อเบ่งบาน บอกว่าปีนั้นวสันต์ฤดูงดงามที่สุด
……
ท่ามกลางม่านราตรี คนผู้หนึ่งเข้ามาในศาลเทพอัคคีของเมืองสุยเจี้ย
คนผู้นี้เข้ามาที่ตำหนักหลักของศาลเทพอัคคีที่ผ่านการซ่อมแซมจนเหมือนใหม่แล้วก็ไม่กล้าส่งเสียงดังปลุกให้คนเฝ้าศาลที่นอนกรนเสียงดังสนั่นฟ้าตื่น เขาฉีกยันต์รอยหิมะบนร่างออก ป้องกันไม่ให้เสมียนโลกมืดของศาลเทพอภิบาลเมืองสัมผัสได้ถึงร่องรอย แต่ในฝ่ามือของบุรุษยังคงกำแกนไม้ท้อที่ปีนั้นผู้อาวุโสเฉินมอบไว้ให้แน่น หันหน้าไปทางเทวรูปดินปั้นลงสี กุมหมัดเอ่ยว่า “ตู้อวี๋แห่งตำหนักขวานผีคารวะท่านเทพ รบกวนท่านแล้ว ข้าขอพักสักครู่แล้วจะจากไปทันที”
หลายปีมานี้ตู้อวี๋ออกท่องยุทธภพ นอกจากจะเลื่อนจากขอบเขตถ้ำสถิตขั้นสูงสุดในปีนั้นกลายมาเป็นขอบเขตชมมหาสมุทรแล้ว ยังเรียนวิชายันต์สองบทเป็นแล้ว ปีนั้นผู้อาวุโสคนดีมอบกระดาษให้เขาสองแผ่น ด้านบนแยกกันบันทึกเคล็ดลับการวาดยันต์ปราณหยางส่องไฟและยันต์ทำลายสิ่งกีดขวางภูเขาสายน้ำ
แน่นอนว่าตู้อวี๋ย่อมมีคุณสมบัติในการเรียนสายยันต์ ไม่อย่างนั้นปีนั้นก็คงไม่อาจสอนยันต์รอยหิมะและยันต์แบกศิลาที่เป็น ‘วิชาความรู้ของวงศ์ตระกูลบนภูเขา’ ให้กับผู้อาวุโสเซียนกระบี่ที่เรียกตัวเองว่าเฉินคนดีได้
มองออกว่ายันต์เซียนสองบทนี้ไม่เหมือนกับยันต์ขุนเขาสายน้ำที่เอามาใช้ป้องกันผีบังตา
ชายฉกรรจ์เคราดกคนหนึ่งเผยร่างจริงออกมาจากเทวรูปในศาล พลิ้วกายลงบนพื้น ยิ้มถาม “เจอเรื่องอะไรอีกแล้วหรือ?”
ตู้อวี๋ยิ้มฝืดเฝื่อน อีกฝ่ายพูดตรงเผงเลย
ก่อนจะมาที่ศาลเมืองสุยเจี้ยแห่งนี้ ตู้อวี๋เคยแอบไปเยือนทะเลสาบชางอวิ๋นรอบหนึ่ง ไปหาอินโหวหูจวิน
อีกฝ่ายไม่ได้ซ้ำเติมเขา หลังจากฟังเรื่องที่ตู้อวี๋ประสบพบเจอมา อินโหวก็แค่บอกว่าทะเลสาบชางอวิ๋นเล็กๆ แห่งนี้ไม่มีทางปกป้องเขาตู้อวี๋ได้แน่นอน ต้องรีบหาหนทางอย่างอื่นแล้ว
หูจวินท่านนั้นนับว่ายังมีคุณธรรมมีน้ำใจ ยังถามเขาว่าต้องการเงินค่าเดินทางสำหรับการวิ่งเต้นทำเรื่องต่างๆ หรือไม่
“ศาลบ้านข้าเล็ก อาจรับรองแขกได้ไม่ดีพอ”
ชายฉกรรจ์โบกมือ บังคับม้านั่งยาวที่เรียงกันอยู่สองแถวตรงมุมห้องมา โยนเหล้ากาหนึ่งให้ตู้อวี๋ “ไหนลองว่ามาสิ ไปทำผิดเรื่องอะไรมา ตบะน้อยนิดแค่นี้ของข้า เรื่องจะขอให้ช่วยต้องไม่มีทางช่วยได้แน่นอน แต่เลี้ยงเหล้าเจ้า ฟังเจ้าระบายความทุกข์กลับไม่มีปัญหา”
ตู้อวี๋หนีหัวซุกหัวซุนมาตลอดทาง เหน็ดเหนื่อยหมดเรี่ยวแรงทั้งยังอกสั่นขวัญผวา เวลานี้นั่งแปะอยู่บนม้านั่งยาว ยกมือรับกาเหล้าเอาไว้ แหงนหน้ากระดกดื่มอึกหนึ่งแรงๆ “อันที่จริงข้าไม่ควรมาที่นี่ หากไม่ระวังอาจเดือดร้อนให้ท่านเทพมีเรื่องกับผู้บังคับบัญชา ภายหลังอาจมีเซียนซือมาสอบสวนถึงที่ ท่านเทพบอกไปตามตรงได้เลยว่าตู้อวี๋มาที่นี่จริง ไม่ต้องช่วยปิดบังให้ข้า ส่วนเรื่องที่ว่าข้าไปทำอะไรไว้คงไม่เล่าแล้ว สามารถได้มาพักหายใจหายคออยู่ที่ศาลเทพอัคคีแห่งนี้ก็ถือว่าเป็นความโชคดีอย่างใหญ่หลวงแล้ว”
ชายฉกรรจ์หัวเราะ ไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ ถามว่า “หรือไม่ข้าให้คนเฝ้าศาลทำกับแกล้มสองสามจานมาดื่มกับเหล้าดีไหม? ด้านหลังศาลยังมีห้องครัวอยู่ห้องหนึ่ง หากรังเกียจว่าฝีมือการทำอาหารของคนเฝ้าศาลบ้านข้าไม่ได้ความ ข้าสามารถให้เขาไปหาซื้ออาหารมื้อดึกจากในเมืองสุยเจี้ยมาให้ได้ ข้ารู้จักร้านอาหารดีๆ อยู่หลายร้าน ฝีมือไม่เลว ราคาถูกทั้งยังมีคุณภาพ…”
ตู้อวี๋โบกมือเป็นพัลวัน “เรื่องมากหนึ่งเรื่องไม่สู้เรื่องลดน้อยลงหนึ่งเรื่อง แค่ดื่มเหล้าก็พอแล้ว”
มองผู้ฝึกตนที่ดูเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางทั้งยังอ่อนล้าหมดเรี่ยวแรงตรงหน้า ชายฉกรรจ์เคราดกก็ลูบหนวดยิ้ม “เป็นถึงนายท่านเทพเซียนขอบเขตชมมหาสมุทรแล้ว ยังมีสภาพกระเซอะกระเซิงแบบนี้อีกหรือ?”
ตู้อวี๋ยิ้มเจื่อน “ดื่มเหล้าแล้วก็คิดว่าจะไปเสี่ยงดวงที่อื่นเสียหน่อย หากไม่ได้จริงๆ ก็คงได้แต่วิ่งไปหลบภัยที่แจกันสมบัติทวีปแล้ว”
ชายฉกรรจ์เคราดกพยักหน้า “ดูท่าจะเป็นเรื่องยุ่งยากไม่น้อย”
ตู้อวี๋คิดว่าจะรักษาม้าตายดั่งม้าเป็น หลังจากพักหายใจหายคอที่นี่แล้ว คืนนี้หลังออกไปจากเมืองสุยเจี้ยก็จะไปเยือนทะเลสาบกระบี่ฝูผิงโดยตรง!
หากเจ้าคนที่ชื่อว่าโจวเฝย ทั้งยังใช้จ่ายอย่างมือเติบผู้นั้นคือเจียงซ่างเจินที่ทำให้เซียนกระบี่ลี่คิดถึงพะวงหาได้ตลอดจริงๆ ล่ะ?
ปีนั้นช่วยเฝ้าบ้านให้กับผู้อาวุโสเฉิน รับผิดชอบดูแลเด็กในห่อผ้าอ้อม มีคนปีนกำแพงเข้ามา พูดจาไม่น่าเชื่อถือ แนะนำตัวเองหนึ่งประโยค แต่กลับพูดอ้อมไปอ้อมมาว่า ‘เจียงจากเซิงเจียงที่แปลว่าขิง ซ่างจากฉงซ่างที่แปลว่าเลื่อมใส และเจินจากเจินเจี่ยที่แปลว่าจริงเท็จ’
ตอนนั้นตู้อวี๋ด่ากลับไปประโยคหนึ่งว่า ‘ข้าคือท่านปู่ของเจ้าเจียงซ่างเจิน’
เพียงแต่ว่าจุดเดียวที่คล้ายคลึงกับเจียงซ่างเจินก็คือ…มีเงิน! ปีนั้นของขวัญพบหน้าที่มอบให้ตู้อวี๋ แค่ลงมือก็คือเม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหารสีทองชิ้นหนึ่ง
ถึงกับเป็นเสื้อเกราะจินอูที่มูลค่าควรเมืองอีกทั้งบนภูเขายังมีแต่ราคาทว่าไร้คลาด
หากว่าเป็นเจียงซ่างเจินผู้นั้นจริงๆ ล่ะ?
บนภูเขาของทั้งทวีปต่างก็พูดกันว่าลี่ไฉ่เซียนกระบี่หญิงแห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิงกับเจียงซ่างเจินไม่ใช่คู่รักแต่ก็เป็นยิ่งกว่าคู่รัก ปัญหาตอนนี้ก็อยู่ที่ว่าต่อให้ตนมีชีวิตรอดไปจนถึงทะเลสาบกระบี่ฝูผิงได้จริง แล้วจะพบหน้าเซียนกระบี่ลี่ได้อย่างไร นี่ก็เป็นปัญหาที่ใหญ่เทียมฟ้าอีกข้อหนึ่ง
ชายฉกรรจ์เคราดกยิ้มเอ่ย “มาหาข้าก่อน ถือว่ามาหาถูกคนแล้ว”
ตู้อวี๋มึนงงไม่เข้าใจ
ชายฉกรรจ์แกว่งกาเหล้า พูดอย่างสุขุมเยือกเย็นว่า “ก่อนหน้านี้เซียนกระบี่เฉินมาที่นี่ คล้ายกับจะคาดเดาได้ว่าต้องมีเรื่องอย่างวันนี้เกิดขึ้น อืม จะพูดแบบนี้ก็ไม่ได้ ถือว่าเป็นการวางแผนอย่างรอบคอบรัดกุมของเซียนกระบี่เฉินมากกว่า เขาบอกให้ข้าช่วยนำความมาบอกต่อเจ้า”
พอได้ยินว่าเป็นผู้อาวุโสคนดี ตู้อวี๋ก็มีชีวิตชีวาในฉับพลัน สบายใจขึ้นได้หลายส่วน
ต่อให้ไม่อาจคลี่คลายสถานการณ์ฉุกเฉินที่เหมือนไฟลามขนคิ้วตอนนี้ได้ ทว่าในช่วงเวลาที่ตกอับยากลำบากที่สุดในชีวิต ตู้อวี๋ได้ยินคนอื่นพูดถึงผู้อาวุโสคนดีแค่ไม่กี่คำก็เหมือนได้ดื่มน้ำเย็นสดชื่นกระบวยหนึ่งที่มีคนยื่นส่งมาให้ตอนกำลังกระหายน้ำ
ชายฉกรรจ์ยิ้มเอ่ย “เขาบอกแล้วว่า ขอแค่เป็นเรื่องที่เจ้ามีเหตุผล ทำให้เจ้าถามใจแล้วไม่ละอาย ก็ให้เจ้าไปที่ตำหนักจินอูซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลนัก ไปขอความช่วยเหลือจากเซียนกระบี่หลิ่วจื้อชิง หากรู้สึกว่าเวทกระบี่ของหลิ่วจื้อชิงไม่สูงมากพอ ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดคนหนึ่งยังคงไม่สามารถคลี่คลายปัญหาให้ได้ ก็ไปหาหลิวจิ่งหลงเจ้าสำนักกระบี่ไท่ฮุย”
“หากว่าเป็นปัญหาที่ใหญ่มาก ทำให้เจ้ารู้สึกว่าแม้แต่หลิวจิ่งหลงก็ไม่สามารถจัดการได้ ก็ให้เจ้าตรงไปที่ยอดเขาพาตี้ ไปหาฮว่อหลงเจินเหริน”
“ไม่ว่าไปหาใคร ก็ให้บอกไปว่าเจ้าชื่อตู้อวี๋ คือสหายในยุทธภพที่รู้จักกับเฉินคนดีในเมืองสุยเจี้ย จะต้องได้ดื่มเหล้าแน่นอน”
“นี่เป็นแค่วิธีแรก หากสถานการณ์เร่งด่วนอันตราย ก็ยังมีวิธีกอดขาพระเมื่อจวนตัวอีกวิธีหนึ่ง เจ้าสามารถหาคนที่อยู่ใกล้เคียง ยกตัวอย่างเช่นหากอยู่ทิศใต้สุดของทวีปให้ไปสำนักพีหมาที่ชายหาดโครงกระดูก ไปหาจู๋เฉวียนแห่งภูเขามู่อีหรือไม่ก็พวกเหวยอวี่ซง ตู้เหวินซือ ไม่ว่าจะไปหาใครก็ได้ทั้งนั้น อยู่ที่ภาคกลางของทวีปให้ไปหาเสิ่นหลินหลิงหยวนกงแห่งลำน้ำจี้ตู๋ หรือไม่ก็หลงถิงโหวหลี่หยวน นอกจากนี้ยังมีเสิ่นเจิ้นเจ๋อแห่งนครเหนือเมฆ ทางตะวันออกเฉียงใต้มีพวกถังซี ซ่งหลันเฉียวแห่งสวนน้ำค้างวสันต์ ซุนชิง อู่ชวินแห่งจวนไฉ่เชวี่ย ล้วนไปหาได้ทั้งหมด หากไม่ได้เร่งร้อนมากเป็นพิเศษ อีกทั้งไม่อาจเดินทางไกลได้ก็ส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปยังภูเขาลูกใดก็ได้ เพียงแต่จำไว้ว่าเรื่องของคนที่ส่งจดหมายต้องจัดการให้ดี หาคนมาสวมรอยแทนซะ หลีกเลี่ยงไม่ให้จดหมายลับถูกทิ้งไว้ กลายเป็นถ่วงเวลาเรื่องสำคัญเสียเปล่า”
“เซียนกระบี่เฉินยังเอ่ยอีกว่า การที่ไม่ได้ทิ้งจดหมายบอกเรื่องพวกนี้ไว้ให้เจ้าที่ตำหนักขวานผี เพราะกังวลว่าจะทำให้ความใจกล้ายามท่องยุทธภพของเจ้าขยายใหญ่ขึ้น กลับกลายเป็นว่าจะไม่ดีต่อตัวเจ้า ให้เจ้าเดินท่องยุทธภพด้วยความกล้าเล็กๆ น้อยๆ พยายามไม่หาเรื่องใส่ตัวเหมือนยามปกติก็ดีมากแล้ว ดังนั้นช่วงสุดท้ายที่เซียนกระบี่เฉินดื่มเหล้าก็ได้ยิ้มเอ่ยกับข้าว่า หวังว่าข้าจะไม่มีโอกาสพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า แต่หากว่ามีวันนี้จริงๆ เหมือนอย่างวันนี้ที่ข้าได้พบเจ้าตู้อวี๋ ก็ให้บอกเจ้าว่าไม่ต้องกลัวจะเกิดเรื่อง ออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอกให้อาศัยเพื่อนฝูง ถึงอย่างไรเพื่อนของเขาก็คือเพื่อนของเจ้าตู้อวี๋ด้วย”
มองเจ้าโง่ที่อึ้งงันเป็นไก่ไม้ไปแล้ว ชายฉกรรจ์เคราดกก็หัวเราะร่า “อึ้งไปเลยล่ะสิ? ก็ปกตินะ ข้าเองก็รู้สึกว่าเซียนกระบี่เฉินพูดล้อเล่นอยู่เหมือนกัน”
หากจะบอกว่ารู้จักเซียนกระบี่หลิ่วแห่งตำหนักจินอู เจ้าสำนักหลิวแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุย ยังพอจะเชื่อได้บ้าง
แต่หากจะบอกว่าไปเยือนยอดเขาพาตี้แค่บอกชื่อก็สามารถทำให้ฮว่อหลงเจินเหรินช่วยเหลือได้แล้ว เขากลับไม่เชื่อจริงๆ
คิดว่าตัวเองเป็นเทียนซือใหญ่แห่งภูเขามังกรพยัคฆ์หรืออย่างไร?
หรือว่าเป็นนายท่านเหวินเซิ่งที่ปีนั้นสกัดขวางผู้ฝึกกระบี่ของอุตรกุรุทวีปที่จะข้ามมหาสมุทร?
หรือว่าเจ้าหนูเจ้าสนิทกับจ้าวเทียนซือ สนิทกับเหวินเซิ่งอย่างมาก?
แต่ลูกผู้ชายอยู่บนโต๊ะสุรา ทั้งยังเป็นเซียนกระบี่หนุ่มคนหนึ่ง ดื่มเหล้าเข้าปาก พูดจาวางโต คุยโวสักเล็กน้อย ก็ไม่ได้ผิดกฎหมายอะไร
ตู้อวี๋กลืนน้ำลาย ถามว่า “สรุปแล้วผู้อาวุโสคนดี ชื่อแซ่อะไรกันแน่?”
ชายฉกรรจ์เคราดกรู้สึกจนคำพูดอยู่บ้าง เขาอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนจะชี้หน้าผู้ฝึกตนสำนักการทหารตรงหน้า พูดอย่างขันๆ ปนฉุน “ตู้อวี๋ เจ้านี่มันมีความสามารถจริงๆ”
อยู่ข้างกายเซียนกระบี่ผู้นั้นมานานขนาดนี้ แต่กลับยังเหมือนตนที่รู้แค่ว่าอีกฝ่ายแซ่เฉินเท่านั้น?
จะดีจะชั่วเจ้าตู้อวี๋ก็เคยร่วมทุกข์กับเซียนกระบี่หนุ่มมาอย่างแท้จริง
ปีนั้นนครสุยเจี้ยเกิดเรื่องอึกทึกครึกโครมรุนแรงขนาดนั้น ถึงกับแบกรับทัณฑ์สวรรค์เอาไว้ได้
ตู้อวี๋รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย ตนรู้อะไรไม่มากจริงๆ ผู้อาวุโสเซียนกระบี่ท่านนั้นยามออกท่องยุทธภพชอบเรียกตัวเองว่า ‘เฉินคนดี’
ในอดีตมีเด็กสาวคนหนึ่งชื่อว่าเจิ้งเฉียน กับลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งชื่อว่าหลี่ไหว ดูเหมือนพวกเขาจะเคยไปหาตนที่ตำหนักขวานผี แต่ว่าตอนนั้นตู้อวี๋ไม่อยู่บนภูเขา ภายหลังได้ยินว่ามีเรื่องนี้ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
ต่อมากลับมีหญิงสาวแซ่เดียวชื่อเดียวกันนี้ถามหมัดกับเฉาสือที่ราชวงศ์ต้าตวนแผ่นดินกลางติดต่อกันถึงสี่ครั้ง แน่นอนว่าตู้อวี๋ต้องได้ยินข่าวลือเล็กๆ บางอย่างในยุทธภพมา เพียงแต่ว่าเขาก็ไม่ได้คิดมาก ไม่อย่างนั้นจะให้ตู้อวี๋คิดมากได้อย่างไร?
จะให้คิดว่าเจิ้งเฉียนที่ถามหมัดกับเฉาสือก็คือเด็กสาวที่เคยเป็นฝ่ายมาหาตนก่อนน่ะหรือ?
ตู้อวี๋ดื่มเหล้าหมดหนึ่งกา ความกล้าพลันบังเกิด กุมหมัดขอตัวลาจากไป ชายฉกรรจ์เคราดกไม่ได้รั้งไว้ กุมหมัดยิ้มเอ่ย “เดินทางปลอดภัย จำไว้ว่ามีเวลาว่างก็มาดื่มเหล้ากันอีก จุดธูปสามดอกก็ได้แล้ว”
หลังออกมาจากเมืองสุยเจี้ยอย่างเงียบเชียบ ตู้อวี๋พยายามเลือกชานเมืองหรือไม่ก็ป่ารกร้างไร้ผู้คนเดินอ้อมภูเขาของพรรคต่างๆ และท่าเรือตระกูลเซียนทั้งหลาย ในที่สุดก็มาถึงหน้าประตูภูเขาตำหนักจินอู
ตู้อวี๋บากหน้าบอกกล่าวชื่อแซ่ออกไป “ตู้อวี๋แห่งตำหนักขวานผีมาขอพบเซียนกระบี่หลิ่ว”
ผู้ฝึกตนที่เป็นคนเฝ้าประตูกลับรู้จักตำหนักขวานผีและผู้ฝึกตนสำนักการทหารที่ชื่อตู้อวี๋นี้ เพราะถึงอย่างไรบิดามารดาของตู้อวี๋ก็คือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของคู่รักบนภูเขาแห่งแคว้นจินตั๋ว เพียงแต่ว่าก็แค่เคยได้ยินมาครั้งเดียวเท่านั้น