กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 912.1 ผู้ที่มาคือใคร
นครบินทะยาน
วันนี้กิจการร้านเหล้าไม่เลว มีลูกค้ามาเยือนติดๆ กันสองกลุ่ม พวกกลุ่มชายโสดที่มีฟ่านต้าเช่อกับหวังซินสุ่ยเป็นหนึ่งในนั้นเพิ่งจะนั่งลงก็มีกลุ่มของสตรีหลายคนที่มีซือถูหลงชิวและหลัวเจินอี้เป็นหนึ่งในนั้นตามมา
ไม่ต้องให้ตัวแทนเถ้าแก่อย่างเจิ้งต้าเฟิงทิ้งสายตา พวกฟ่านต้าเช่อก็เป็นฝ่ายยกที่นั่งโต๊ะสุดท้ายให้กับฝ่ายหลังด้วยตัวเอง ขยับไปนั่งยองดื่มเหล้าข้างทางกันแต่โดยดี หมายจะรอฟังเรื่องเล่าที่เกี่ยวกับเทพเซียนตีกันบนเตียงจากพี่น้องต้าเฟิงบ้านตน
คิดไม่ถึงว่าเจิ้งต้าเฟิงจะวิ่งตุปัดตุเป๋ไปนั่งที่โต๊ะตัวนั้นแล้ว
ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองเฒ่าคนหนึ่งที่อยู่ข้างทางทอดถอนใจ ชายโสดอายุไม่น้อยผู้นี้ เหล้าชามหนึ่งสามารถดื่มได้นานเป็นครึ่งๆ วัน ทุกครั้งที่ฟังเรื่องเล่าจากเจิ้งต้าเฟิง เหล้าชามหนึ่งอย่างน้อยต้องเหลือเกินครึ่งชาม คอยเงี่ยหูตั้งใจฟังตัวแทนเถ้าแก่
พอถึงช่วงสุดท้ายผู้เฒ่ายังทอดถอนใจด้วยประโยคติดปากบอกว่า คิดไม่ถึงว่าข้าผู้อาวุโสครองตัวบริสุทธิ์ผุดผ่องมาทั้งชีวิต กลิ่นอายเที่ยงธรรมเต็มร่าง ถึงกับต้องมาได้ยินเรื่องพวกนี้
หลังจากเจิ้งต้าเฟิงทรุดตัวลงนั่งริมขอบของม้านั่งยาว ผู้ฝึกกระบี่หญิงคนหนึ่งก็รีบลุกขึ้นยืน ขยับไปนั่งเบียดบนม้านั่งตัวหนึ่งกับสหายสองคนพอดี
เจิ้งต้าเฟิงจึงยกก้นขึ้นไถลไปตามมานั่งยาวเงียบๆ อืม อุ่นจังเลย ยังไม่ทันได้ดื่มเหล้า ในใจของพี่ใหญ่ต้าเฟิงก็อุ่นซ่านเสียแล้ว
สตรีผู้นั้นเห็นภาพนี้คิ้วกิ่งหลิวก็ตั้งชัน เพียงแต่นึกขึ้นได้ว่าด่าไปก็ไม่มีประโยชน์ ไม่แน่ว่ามีแต่จะทำให้เขาพูดจาประหลาดไร้แก่นสารหนักข้อยิ่งกว่าเดิม นางจึงยกชามเหล้าขึ้นกระดกดื่มเหล้าเงียบๆ ไปคำใหญ่
คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเจิ้งต้าเฟิงก็คือผู้ฝึกกระบี่หญิงสายอิ่นกวานคฤหาสน์หลบร้อน หลัวเจินอี้
ใบหน้า รูปร่าง บุคลิก ขอบเขตวิถีกระบี่ของสตรี ล้วนดีเยี่ยมจนไม่มีอะไรให้พูดแล้ว
มองซ้ายมองขวา มองด้านหน้ามองด้านหลัง ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็สบายหูสบายตาไปเสียหมด
หลัวเจินอี้ในสายตาของชายหนุ่มแห่งนครบินทะยานทุกวันนี้ก็น่าจะเป็นเหมือนซ่งไฉ่อวิ๋น โจวเฉิงในสายตาและในใจของผู้เฒ่าแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ในอดีตกระมัง
เจิ้งต้าเฟิงตัวแทนเถ้าแก่ผู้นี้ ปีนั้นตอนที่เพิ่งมารับหน้าที่ดูแลร้านเหล้าได้ไม่นาน อาศัยแค่สามเรื่องก็สามารถหยัดยืนอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้อย่างมั่นคง
รูปโฉมที่คิ้วเข้มตาโต สง่างามหล่อเหลาดุจต้นไม้หยกรับลม พฤติกรรมการพนันที่ดีเยี่ยมบนโต๊ะสุรา บวกกับการจัดอันดับสองฉบับที่เขาเคาะออกมา ทุกๆ สองสามปีจะเลือกเทพธิดาใหญ่สิบคน ตัวอ่อนสาวงามสิบคน กวาดเรียบไม่มีเหลือ
ทุกๆ สองสามปีจะมีการประเมินทีหนึ่ง หลัวเจินอี้ล้วนติดสามอันดับแรกของสิบเทพธิดาใหญ่ทุกครั้ง
ส่วนต่งปู้เต๋อที่วันนี้ไม่ได้มาดื่มเหล้า ติดอันดับอยู่สองครั้ง ลำดับรายชื่อขึ้นลงไม่แน่นอน ความต่างค่อนข้างมาก ครั้งแรกรายชื่ออยู่รั้งท้าย ครั้งที่สองกลับพุ่งเข้าสามอันดับแรก
แต่การประเมินครั้งถัดไปที่กำลังจะออกจากเตาร้อนๆ แม่นางต่งได้ถูกเจิ้งต้าเฟิงเลือกเป็นการภายในให้เป็นอันดับหนึ่งของรายชื่อแล้ว
ช่วยไม่ได้นี่นะ ก่อนที่กวอจู๋จิ่วจะออกไปจากใต้หล้าห้าสีได้แอบเอาเงินเทพเซียนก้อนหนึ่งมาให้เขา บอกว่าครั้งนี้แม่นางแก่บางคนต้องอยู่อันดับหนึ่งเท่านั้น ไม่อย่างนั้นจะขายไม่ออกจริงๆ แล้ว
แม่นางน้อยยังมีมาดของจอมยุทธหญิงที่ทำเรื่องดีไม่ทิ้งนาม กำชับตัวแทนเถ้าแก่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าห้ามบอกใครเด็ดขาดว่าเป็นความชอบของนาง หากแม่นางแก่ถามขึ้นมาจริงๆ ก็บอกไปว่าเป็นเติ้งเหลียงเติ้งอันดับหนึ่งที่ควักเงินจ่าย
ซือถูหลงชิวถาม “ได้ยินอิ่นกวานเล่าว่าแจกันสมบัติทวีปของพวกเจ้ามีสถานที่แห่งหนึ่งชื่อว่าภูเขาเยี่ยนตั้ง ทัศนียภาพงดงามมาก? แล้วยังได้กลายเป็นภูเขาทายาทอะไรอีกด้วย?”
เมื่อก่อนนางกับสหายรักสองคนเคยขอตราประทับสามชิ้นมาจากเฉินผิงอัน ตราประทับชิ้นที่เป็นของนางมีความเกี่ยวข้องกับสถานที่ท่องเที่ยวของต้าหลงชิวที่มีชื่อว่าภูเขาเยี่ยนตั้ง
เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้ารับ “ทัศนียภาพงดงามมากจริงๆ หากมีโอกาสต้องไปดูให้ได้ คราวหน้าพี่ต้าเฟิงจะช่วยนำทางให้ แม่นางซือถูเจ้าไม่รู้อะไร ใต้หล้าไพศาลมีบัณฑิตอยู่เยอะมาก คนที่จริงจังซื่อสัตย์อย่างพี่ต้าเฟิงน่ะมีน้อยยิ่ง”
ซือถูหลงชิวคือลูกอนุภรรยาของตระกูลซือถูบนถนนไท่เซี่ยง ก่อนสงครามใหญ่เป็นแค่ผู้ฝึกกระบี่คอขวดชมมหาสมุทร ฝ่าทะลุขอบเขตอยู่ในนครบินทะยานแห่งนี้ ภายหลังระหว่างที่ออกไปหาประสบการณ์ในใต้หล้าห้าสีก็ได้เลื่อนขั้นเป็นโอสถทอง
นางเป็นสหายรักที่พูดคุยกันได้ทุกเรื่องของต่งปู้เต๋อ ในบรรดาคนรุ่นเยาว์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ซือถูหลงชิวไม่ถือว่าเป็นคนมีพรสวรรค์อะไร แต่เป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้ดีมาก
ผลคือเมื่อหลายปีก่อนอยู่ดีๆ นางก็ได้ฉายาอย่างหนึ่งมา เป็นฉายาที่ค่อนข้างยาว บอกว่านางคือ ‘รายงานขุนเขาสายน้ำที่เดินได้ฉบับหนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่’
ฉายานี้ของนางแพร่ไปทั่วนครบินทะยานอย่างรวดเร็ว ว่ากันว่าแรกเริ่มสุดไม่ทันระวังหลุดมาจากคฤหาสน์หลบร้อน
อันที่จริงเป็นใต้เท้าอิ่นกวานที่ปีนั้นเผลอหลุดปากโดยไม่ได้ตั้งใจ เจ้าพวกลูกสมุนที่ขึ้นชื่อทั้งหลายของคฤหาสน์หลบร้อนพากันทอดถอนใจชื่นชม ตบโต๊ะร้องว่าดี ไปๆ มาๆ จึงเริ่มค่อยๆ แพร่ออกมา
บวกกับที่ในคฤหาสน์หลบร้อนยังมีต่งปู้เต๋ออยู่ด้วย เรื่องนี้จะเป็นความลับได้หรือ?
กวอจู๋จิ่วที่เป็นลูกศิษย์ อาจารย์ไม่อยู่นครบินทะยาน แน่นอนว่านางจึงต้องเป็นคนรับกรรมแทน
ในเมื่อมีข้อพิถีพิถันที่ว่าหนี้ของบิดาบุตรใช้คืนให้ ถ้าอย่างนั้นหนี้ของอาจารย์ลูกศิษย์ใช้คืนก็ยิ่งเป็นกฎที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน ในยุทธภพจะมีบุญคุณความแค้นอะไรที่คุยกันไม่ได้ คลายปมไม่ออก แน่จริงก็มาหาเรื่องข้าเลยสิ!
ดังนั้นจุดจบของกวอจู๋จิ่วก็คือตึงๆๆ
เจิ้งต้าเฟิงพลันถามว่า “แม่นางซือถู เจ้าคิดว่าพี่ต้าเฟิงเป็นคนอย่างไร?”
ซือถูหลงชิวเหลือบตามองชายฉกรรจ์ ก่อนตอบว่า “ไม่รู้ว่าจะใช้งานได้หรือไม่ แต่ที่รู้ๆ คือหน้าตาใช้ไม่ได้เลย”
แม่นางที่เป็นแบบนี้ นครบินทะยานที่เป็นเช่นนี้ จะให้เจิ้งต้าเฟิงไม่ชื่นชอบได้อย่างไร?
ไม่ต่างจากบ้านเกิดของตนเลยสักนิด
เจิ้งต้าเฟิงชูชามเหล้าขึ้น “สาวงามพูดจามักจะเชื่อถือไม่ได้ ต้องฟังเป็นความหมายตรงกันข้าม”
หลัวเจินอี้เหยียบเท้าสหายเบาๆ อยู่ใต้โต๊ะ
สตรีที่มีชื่อว่ากวานเหมยตวัดค้อนใส่สหาย ก่อนจะยิ้มถามเจิ้งต้าเฟิงว่า “ตัวแทนเถ้าแก่ หนิงเหยากลับจากใต้หล้าไพศาลมา ไม่ได้เอาข่าวอะไรกลับมาด้วยหรือ? ยกตัวอย่างเช่นพวกหลินจวินปี้กลับบ้านเกิดไปแล้ว ทุกวันนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
ระหว่างที่เดินทางมา หลัวเจินอี้ให้นางช่วยถามเจิ้งต้าเฟิงเรื่องหนึ่ง บอกว่านางอยากรู้ว่าผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นกลุ่มของคฤหาสน์หลบร้อน ทุกวันนี้เป็นอย่างไรกันบ้างแล้ว
กวานเหมยมีความประทับใจที่ดีมากต่อเจิ้งต้าเฟิง พูดจาตลกขบขัน อีกทั้งยังนิสัยดี ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไรเขาก็ไม่โกรธ แม้ว่าคำพูดสัปดนจะมากไปสักหน่อย ขอแค่เจอสตรีรูปร่างดี ดวงตาก็ราวกับเปล่งประกาย ทว่าตัวแทนเถ้าแก่ร้านเหล้าขนาดเล็กแห่งนี้ไม่เคยมือไม้ไม่อยู่สุขเลย
เจิ้งต้าเฟิงนวดคลึงปลายคาง ทำสีหน้าลำบากใจ เรียกว่าตัวแทนเถ้าแก่ออกจะห่างเหินกันไปแล้ว เจ็บปวดใจจนพูดไม่ออกเลย
กวานเหมยรีบโน้มตัวไปด้านหน้า รินเหล้าชามหนึ่งให้เจิ้งต้าเฟิง พูดจาออดอ้อนว่า “พี่ต้าเฟิง บอกหน่อยเถอะ ถือว่าข้าขอร้องท่านล่ะ”
เจิ้งต้าเฟิงใช้สองมือรับชามเหล้ามา ยืดคอยาวมองไปในคอเสื้อให้แน่ชัด ปากเอ่ยว่า “น้องกวานเหมย หากเจ้าพูดแบบนี้ พี่ต้าเฟิงจะเสียใจแล้วนะ ขอร้องไม่ขอร้องอะไรกัน อยู่กับพี่ต้าเฟิงของเจ้ายังต้องขอร้องด้วยหรือ?”
กวานเหมยจงใจค้างอยู่ในท่ารินเหล้า ไม่รีบร้อนถอยกลับไปนั่ง นางเขย่าไหล่ออดอ้อน “เล่าเถอะ”
เพื่อสหาย วันนี้เหล่าเหนียงถือว่าทุ่มสุดตัวแล้ว
โอ้โห ส่ายจนพี่ต้าเฟิงใจสั่นตาปวดเลยทีเดียว
เจิ้งต้าเฟิงเห็นว่าน้องสาวคนนั้นกลับไปนั่งที่แล้วก็เอ่ยว่า “หนิงเหยาไม่ได้พูดอะไรมาก เอาเป็นว่าต่างคนต่างกลับบ้านใครบ้านมัน ต่างคนต่างฝึกตนกันไป แต่ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กหลินจวินปี้จะไปเป็นราชครูของราชวงศ์เส้าหยวนแล้ว กลายเป็นราชครูที่อายุน้อยที่สุดในสิบราชสำนักใหญ่ของไพศาล บอกว่าชื่อเสียงเลื่องลือไปใต้หล้าก็ไม่เกินจริงแม้แต่น้อย เจ้าเด็กเฉากุ่นโชคดีไม่น้อย สำนักของเขาที่อยู่ในหลิวเสียทวีปไม่ได้ถูกไฟสงครามลามไปโดน จึงเตรียมจะก่อตั้งสำนักเบื้องล่างอยู่ที่ฝูเหยาทวีป ไม่แน่ว่าเฉากุ่นอาจจะแหกกฎคว้าตำแหน่งเจ้าสำนักมาครองก็ได้ ซ่งเกาหยวนกับเสวียนเซินโชคร้ายกว่าหน่อย คนหนึ่งสำนักอยู่ในฝูเหยาทวีป อีกคนหนึ่งอยู่ในเกราะทองทวีป ทุกวันนี้กำลังยุ่งอยู่กับการก่อสร้างสำนักกันกระมัง ส่วนจะซ่อมแซมของเก่าหรือว่าสร้างขึ้นมาใหม่ ข้าก็ไม่รู้แล้ว”
คฤหาสน์หลบร้อนรุ่นก่อน ผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวาน
ผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นมีเฉินผิงอัน หลินจวินปี้ เติ้งเหลียง เฉากุ่น เสวียนเซิน ซ่งเกาหยวน
ผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นมีโฉวเหมียว ผังหยวนจี้ ต่งปู้เต๋อ กวอจู๋จิ่ว กู้เจี้ยนหลง หวังซินสุ่ย สวีหนิง หลัวเจินอี้ ฉางไท่ชิง
ไม่ว่าจะเลือกใครมาสักคน ให้ถามกระบี่กับคนนอกก็ล้วนเป็นคนที่ทั้งต่อสู้ได้ แล้วก็ทั้งวางแผนเล่นงานคนอื่นได้ ขอแค่ขอบเขตของทั้งสองฝ่ายไม่ต่างกันมากเกิน ไม่พูดว่าคว้าชัยชนะได้อย่างมั่นคง แต่ต้องมีโอกาสชนะมากอย่างแน่นอน
ในสายตาของเจิ้งต้าเฟิง คฤหาสน์หลบร้อนในทุกวันนี้ คนรุ่นเยาว์สองกลุ่มที่กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานในภายหลัง เมื่อเทียบกับ ‘ผู้อาวุโส’ เหล่านี้แล้ว ยังด้อยกว่าไม่น้อย
กวานเหมยรออยู่นาน เห็นว่าเจิ้งต้าเฟิงเอาแต่ก้มหน้าก้มตาดื่มเหล้า นางก็ถามอย่างสงสัยว่า “แค่นี้หรือ?”
เจิ้งต้าเฟิงเงยหน้าขึ้น พูดด้วยสีหน้าเขินอาย “เรื่องบางอย่างไม่ใช่ว่าแค่ฝืนทำก็จะทำได้หรอกนะ ไม่ใช่บัณฑิตที่เขียนบทความที่แค่ทนสักหน่อย อดกลั้นสักหน่อยก็เขียนออกมาได้แล้ว”
กวานเหมยพลันคลางแคลงไม่แน่ใจ สรุปแล้วเขาอายเรื่องอะไรกันแน่?
น่าเสียดายที่ต่งปู้เต๋อซึ่งไม่เคยมีความเขินอายตั้งแต่เด็กไม่ได้อยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นนางที่เป็นผู้เชี่ยวชาญต้องรู้ความคิดของเจิ้งต้าเฟิงแน่นอน
พอสตรีกลุ่มของซือถูหลงชิวจากไป ร่างทั้งร่างของเจิ้งต้าเฟิงก็แห้งเหี่ยวลงทันที ในที่สุดก็ไม่ต้องจงใจเกร็งค้างท่วงทำนองที่มีเฉพาะของบุรุษบนร่างเอาไว้อีกแล้ว
ไม่อย่างนั้นแม่นางน้อยที่ยังไม่เคยก้าวสู่โลกกว้างกลุ่มนี้ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะต้านทานได้
สิ่งที่พวกนางต้านทานไม่ได้ก็คือหนี้รักกองใหญ่ ไม่สมควร ไม่มีความจำเป็น
เจิ้งต้าเฟิงรีบหันไปกวักมือเรียก “เร็วเข้าสิ แต่ละคนมั่วนั่งอึ้งอะไรกันอยู่ หากช้ากว่านี้ ม้านั่งก็จะเย็นแล้วนะ”
เจิ้งต้าเฟิงสลัดรองเท้าหุ้มแข้งออก นั่งขัดสมาธิบนม้านั่งยาว ถามว่า “ซินสุ่ย มีแม่นางคนไหนที่ทำให้เจ้าคิดถึงทุกค่ำเช้า ยามกลางคืนนอนพลิกไปพลิกมาบนเตียงบ้างหรือไม่?”
ชายโสดทั้งกลุ่มพากันวิ่งไปนั่งยึดตำแหน่ง หวังซินสุ่ยได้ยินแล้วก็ส่ายหน้า “ไม่มี”
เจิ้งต้าเฟิงโคลงศีรษะ “หากว่าเจ้าใช้ความคิดกับเรื่องของชายหญิงสักเล็กน้อย ก็คงไม่ถึงขั้นขลุกอยู่กับฟ่านต้าเช่อหรอก”
แน่นอนว่าหวังซินสุ่ยคือผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์อย่างสมชื่อคนหนึ่ง ปัญหาอย่างเดียวนั้นอยู่ที่ว่าความคิดของเขาเร็วเกินไป ลางสังหรณ์แม่นยำเกินไป เป็นเหตุให้ความเร็วในการส่งกระบี่ตามไม่ทัน สถานการณ์ที่ลี้ลับเช่นนี้ยากที่จะเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นได้
ดังนั้นหลายปีที่ผ่านมานี้หวังซินสุ่ยจึงชอบมาดื่มเหล้าดับทุกข์อยู่ที่นี่เป็นประจำ
ฟ่านต้าเช่อทำสีหน้าระอาใจ อยู่ดีๆ ดึงข้าไปเกี่ยวด้วยทำไม
เจิ้งต้าเฟิงจิบเหล้าหนึ่งอึก คีบกับแกล้มมาหนึ่งคำ เค็มไปหน่อยจริงๆ นั่นแหละ รีบกรอกเหล้าเข้าปากตามไปอีก หันหน้าไปถามว่า “ต้าเช่ออ่า ทุกวันนี้เดินอยู่บนถนน เห็นเด็กคนนั้นเรียกเจ้าว่าท่านอาฟ่าน รู้สึกเป็นอย่างไรบ้างเล่า?”
ฟ่านต้าเช่อยิ้มเอ่ย “ไม่รู้สึกอะไร ดีมากเลย”
เจิ้งต้าเฟิงนวดคลึงปลายคาง ได้ยินว่าคฤหาสน์หลบร้อนในอดีต พวกผังหยวนจี้ หลินจวินปี้ เฉากุ่น แน่นอนว่ายังมีเซียนกระบี่ใหญ่หมี่ ต่างก็มีเนื้อหนังมังสาที่โดดเด่นเป็นอย่างยิ่ง
ไม่รู้ว่าจะมีมาดได้สักเจ็ดแปดส่วนของตนหรือไม่
หลังจากที่พวกฟ่านต้าเช่อจากไป ภายใต้แสงสายัณห์ โต๊ะว่างในร้านเหล้าเริ่มเพิ่มมากขึ้น เจิ้งต้าเฟิงจึงไปนอนฟุบคิดบัญชีอยู่ที่โต๊ะคิดเงิน
หลังจากที่เจิ้งต้าเฟิงรับร้านเหล้ามาดูแล อันที่จริงกิจการนับว่าใช้ได้ ได้เงินมาไม่น้อย ระดับความครึกครื้นในยามปกติก็ถือว่ามีเพียงหนึ่งเดียวในนครบินทะยาน
เพียงแต่ว่าเจ้าลูกกระต่ายน้อยสองคนอย่างเฝิงคังเล่อและเถาป่านมักจะรังเกียจว่ากิจการร้านเหล้าทุกวันนี้ไม่คึกคักเหมือนอดีต แตกต่างกันเยอะเกินไป
เจิ้งต้าเฟิงเองก็อัดอั้นมากเหมือนกัน ทุกวันนี้ตลอดทั้งนครบินทะยาน ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนมีอยู่แค่ไม่กี่คนเท่านั้น ก่อกำเนิดอายุน้อยก็ไม่ถือว่ามาก
นี่เรียกว่าสตรีต่อให้มีฝีมือแค่ไหน แต่หากไม่มีวัตถุดิบก็ปรุงอาหารเลิศรสออกมาไม่ได้ พวกเจ้าจะให้ข้าไปหาผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิด หยกดิบจากที่ไหนมานั่งยองดื่มเหล้าอยู่ข้างทางได้นักหนากัน?
ในร้านเหล้าล้วนมีแต่คนหน้าเก่า นอกจากเปลี่ยนเถ้าแก่แล้วก็ยังมีพวกชิวหล่ง หลิวเอ๋อ เฝิงคังเล่อ เถาป่านที่ยังอยู่ต่อ
เพียงแต่ว่าจางเจียเจินกับเจี่ยงชวี่ ได้ถูกเถ้าแก่รองพาไปอยู่ที่ใต้หล้าไพศาลแล้ว
อันที่จริงชิวหล่งกับหลิวเอ๋อถึงวัยที่ต้องพูดคุยเรื่องแต่งงานนานแล้ว แต่ถ่วงเวลามานานหลายปี ภายหลังชิวหล่งยอมฟังคำพูดของตัวแทนเถ้าแก่ เก็บความคิดที่อยู่ห่างไกลสุดขอบฟ้ากลับมา ไม่สู้ทะนุถนอมเห็นค่าคนที่อยู่ใกล้เคียง เมื่อปีก่อนคนทั้งสองจึงแต่งงานกันแล้ว ชิวหล่งสู่ขอหลิวเอ๋อร์ เจิ้งต้าเฟิงเป็นประธานในพิธี แน่นอนว่ายังเคยพาคนไปก่อกวนห้องหอนั่งฟังอยู่มุมกำแพงด้วย
สองสามีภรรยามีชีวิตที่สงบสุข คิดว่าจะหาเงินอีกเล็กน้อย สะสมทรัพย์สมบัติอีกสักหน่อยก็จะเปิดร้านเหล้าเป็นของตัวเอง แน่นอนว่าไม่ได้เปิดที่นครบินทะยาน แต่เลือกไปตั้งรกรากอยู่ที่หนึ่งในสี่นครใต้อาณัติที่ตั้งอยู่ชายแดน ความเป็นไปได้ที่ใหญ่ที่สุดน่าจะเป็นนครปี้สู่ (หลบร้อน) เพราะผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานคฤหาสน์หลบร้อนเป็นเจ้านคร ดังนั้นถือว่าเป็นคนบ้านเดียวกันครึ่งตัว หากร้านเหล้าเจอปัญหาอะไรจริงๆ ก็จะได้ให้การดูแลกันได้
ผู้ฝึกกระบี่ที่เพิ่งเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์หลบร้อนมักจะมาดื่มเหล้าที่นี่ นี่กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ยึดถือตามกันมาแล้ว เหมือนกับการกราบไหว้ภูเขาอย่างหนึ่ง
เด็กหนุ่มสองคนที่เมื่อก่อนช่วยทำงานจุกจิกอยู่ในร้านอย่างเฝิงคังเล่อและเถาป่าน ทุกวันนี้กลายเป็นเสี่ยวเอ้อของร้านอย่างเต็มตัวแล้ว
ร้านเหล้ายังคงมีเหล้าอยู่แค่สามชนิด เหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ที่ราคาถูก เหล้าภูเขาชิงเสินที่ราคาแพงหูฉี่ เหล้าทะเลสาบคนใบ้ที่ราวกับจะเผามีดได้ นอกจากนี้ก็มีผักดองหนึ่งจานและบะหมี่หยางชุนหนึ่งถ้วยที่ไม่คิดเงิน
ชามเหล้ายังคงใหญ่เหมือนในอดีต ม้านั่งยาวยังคงคับแคบเหมือนเดิม
เพียงแต่ว่าบนผนังร้านเหล้าที่เป็นคูหาสองห้องเรียงติดกัน แผ่นป้ายสงบสุขพวกนั้นยังคงอยู่ดังเดิม ไม่หายไปสักแผ่น แล้วก็ไม่เพิ่มมาแม้แต่แผ่นเดียว
เนื่องจากเจิ้งต้าเฟิงมาถึงนครบินทะยาน มาเป็นตัวแทนเถ้าแก่ หลังจากที่ร้านเหล้าได้เปิดทำการอีกครั้งก็ไม่มีธรรมเนียมที่ดื่มเหล้าแล้วให้เขียนป้ายสงบสุขแผ่นหนึ่งอีก
เหมือนการปิดผนึกภูเขา
ในเมื่อสงบสุขแล้วจริงๆ ก็ไม่ต้องเขียนป้ายสงบสุขอีกต่อไป
แรกเริ่มยังเคยมีคนอาละวาด มีทั้งลูกค้าเก่าและนักดื่มคนใหม่ เพียงแต่ว่าไม่มีประโยชน์ เจิ้งต้าเฟิงก้มหัวค้อมเอวยิ้มเอ่ยขออภัย ดื่มลงโทษตัวเองสามชาม แต่ป้ายสงบสุขนั้นไม่มีให้เขียนแล้ว
ยังดีหน้าม้าที่เถ้าแก่รองอบรมปลูกฝังไว้อย่างลับๆ ในอดีตมีเยอะ ส่วนใหญ่ล้วนช่วยเจิ้งต้าเฟิงพูด ไปๆ มาๆ เมื่อเจิ้งต้าเฟิงเองก็เป็นคนที่ชวนให้คนชื่นชอบ พวกลูกค้าก็เริ่มชินกันไปเอง ไม่หาเรื่องลำบากใจให้กับตัวแทนเถ้าแก่ที่เป็นคนต่างถิ่นและยังเป็นบัณฑิตเหมือนกันผู้นี้อีกแล้ว
ตัวแทนเถ้าแก่อ่านหนังสือมามากจริงๆ พูดถึงแค่เรื่องบางอย่างในตำรา เถ้าแก่รองก็เทียบไม่ได้เลยจริงๆ