กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 913.5 ถามกระบี่เช่นนี้
นอกจากนี้กังวลว่าจะถูกถามกระบี่ ตัดขาดเส้นทางการเงิน พื้นที่ฮวงจุ้ยมงคลบางแห่งที่อาณาบริเวณดีที่สุดและเหมาะแก่การฝึกตนที่สุดต่างก็ถูกสำนักฉงหลินนำไปมอบให้กับเซียนซือเฒ่าบางส่วนเปล่าๆ ดังนั้นบนภูเขาจึงมักจะมีเทพเซียนผู้เฒ่าหลายคนที่ไปนั่งพิทักษ์จวนแห่งต่างๆ เป็นประจำ แค่ว่าระหว่างการฝึกตน บางทีอาจจะสิบปี หรืออย่างมากสุดยี่สิบปี พวกเขาแค่ต้องคอยช่วยสกัดขวางการถามกระบี่ที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีลางบอกเหตุก็พอ
โหลวเหมี่ยวแห่งสำนักฉงหลิน หยวนหลิงเตี้ยนแห่งยอดเขาจื่อเสวียน หยวนยางแห่งศาลเอ้อหลาง ขอบเขตหยกดิบทั้งสามคนนี้ของอุตรกุรุทวีป สามารถต่อสู้กับเซียนเหรินแห่งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางได้อย่างสบายๆ
นี่คือเรื่องที่ ‘คนทั้งทวีปเห็นพ้องต้องกัน’
ว่ากันว่าแรกเริ่มสุดเป็นเจียงซ่างเจินที่เสนอมา เพียงไม่นานก็แพร่ไปทั่วทั้งอุตรกุรุทวีป หาได้ยากที่เจ้าโจรสุนัขเจียงจะพูดภาษาคน
หลิวจิ่งหลงเอ่ย “เรื่องของการถามกระบี่ คนไม่ต้องมาก จื้อชิง เซียนกระบี่หรง บวกกับข้าก็พอแล้ว พวกเจ้าที่เหลือก็อยู่ที่ท่าเรือถงเฉียนของสำนักฉงหลินนี่แล้วกัน ไม่ต้องติดตามข้าขึ้นเขา”
ป๋ายโส่วกลอกตามองบน “รังเกียจที่พวกเราขอบเขตต่ำจะเป็นตัวถ่วงก็พูดมาตามตรงเถอะ”
หลิ่วจื้อชิงเริ่มดื่มเหล้ากับหรงช่างแล้ว หลิวจิ่งหลงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น คงเป็นเพราะดูแคลนความสามารถในการดื่มของพวกเขาสองคนกระมัง
ถึงอย่างไรความสามารถในการดื่มของเจ้าสำนักหลิวก็ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง อย่าว่าแต่อุตรกุรุทวีปในทุกวันนี้เลย ต่อให้เป็นที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ใครบ้างที่ไม่รู้เรื่องนี้
สำหรับเรื่องนี้หลิ่วจื้อชิงแห่งตำหนักจินอู ลี่ไฉ่แห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิง ผู้เฒ่าหวังฟู่ซู่ และยังมีสวีซิ่งจิ่วแห่งนครเหนือเมฆ ทุกคนล้วนมีส่วน ล้วนมีคุณความชอบ
ส่วนตัวการสำคัญผู้นั้น ทุกวันนี้ยังง่วนอยู่กับการก่อตั้งสำนักที่ใบถงทวีปอยู่เลยนะ
เฉินหลี่ลังเลอยู่เล็กน้อย
หลิวจิ่งหลงยิ้มถาม “เฉินหลี่ มีข้อเสนออะไรหรือ?”
เฉินหลี่ยิ้มอย่างเขินอาย “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอพูดสักสองสามประโยคแล้วกัน”
เฉินหลี่โบกชายแขนเสื้อ ไอน้ำแผ่อวลขมุกขมัว สุดท้ายก็มีภาพแผนที่อาณาเขตของสำนักฉงหลินปรากฏขึ้นมา เขาชี้ไปที่กึ่งกลางภูเขาของภูเขาบรรพบุรุษ “เจ้าสำนักหลิว ข้ามีการคาดเดาอย่างหนึ่ง ภูเขาบรรพบุรุษของสำนักฉงหลินลูกนี้ นับตั้งแต่ศาลาเฉวียนหย่งที่ตั้งอยู่กึ่งกลางภูเขาเป็นต้นไป ข้าคิดว่าน่าจะเป็นค่ายกลลวงตาแห่งหนึ่ง เส้นทางงูขาวที่อยู่ใกล้กับศาลบรรพจารย์เส้นนี้ก็คือค่ายกลขุนเขาสายน้ำอีกแห่งหนึ่ง เป็นเหตุให้การถามกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นในแต่ละรุ่น มองดูเหมือนสามารถฝ่าตราผนึกขุนเขาสายน้ำไปได้ ทว่าต่อให้แสงกระบี่หล่นลงบนศาลบรรพจารย์ได้สำเร็จ สุดท้ายหนึ่งกระบี่ปั่นทำลายศาลบรรพจารย์ แต่แท้จริงแล้วกลับตกลงบนความว่างเปล่าทั้งสิ้น”
“สำนักฉงหลินถึงได้มีคำกล่าวที่ว่า ‘ค่ายกลกระดาษเปียก ศาลบรรพจารย์น้ำไหล’ อย่างไรล่ะ ส่วนใหญ่ไม่ถึงสองเดือน สำนักฉงหลินก็สามารถสร้างศาลบรรพจารย์ขึ้นมาได้ใหม่ ตามความเห็นข้า ไม่ใช่เป็นเพราะสำนักฉงหลินมีมาดของคนรวย ฝีมือเชี่ยวชาญอะไรอย่างที่โลกภายนอกเล่าลือกัน แน่นอนว่าสำนักฉงหลินต้องไม่ขาดเงินส่วนนี้ ทำได้น่ะได้อยู่ แต่การทำเช่นนี้ไม่สอดคล้องกับนิสัยใจคอของผู้ฝึกตนสำนักฉงหลินเลย ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้มากว่าศาลบรรพจารย์ในสายตาคนนอกก็คือเวทอำพรางตาที่สูงส่งอย่างหนึ่ง ร่างจริงคือสถานที่ประกอบพิธีกรรมในเปลือกหอย เป็นเหตุให้สิ่งที่ถูกแสงกระบี่ทำลายไปเป็นแค่เปลือกที่ว่างเปล่าเท่านั้น”
“ดังนั้นการถามกระบี่ของพวกเจ้าสำนักหลิว หากแค่ต้องการหน้าตา อย่างมากก็แค่ทำเหมือนในอดีต ไปยืนอยู่บนยอดเขาใกล้เคียงแล้วปล่อยกระบี่ไปทางภูเขาบรรพบุรุษสำนักฉงหลิน ส่งกระบี่ไกลๆ สักสี่ห้าที ก็ถือว่าทำให้สำนักฉงหลินขายหน้าหมดสิ้นได้แล้ว แต่หากอยากถามกระบี่ให้ได้ประโยชน์จริง ไม่เพียงแต่ต้องขึ้นเขา เดินผ่านศาลาเฉวียนหย่ง ยังต้องระวังตราผนึกขุนเขาสายน้ำ หลังจากนั้นเดินไปบนเส้นทางงูขาว ก็คือหลักการเดียวกัน เหมือนอย่างที่อาจารย์ของข้าบอกไว้ แฝงตัวเข้าไปใกล้กับศาลบรรพจารย์ หากจะทำให้ได้ถึงระดับที่ผีไม่รู้เทพไม่เห็น อันที่จริงก็ยากมาก”
หลิวจิ่งหลงยิ้มบางๆ พลางพยักหน้ารับ ไม่เสียแรงที่เป็นอิ่นกวานน้อยแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่
เฉินหลี่พูดถูกถึงเจ็ดแปดส่วน
ลำพังแค่อาศัยแผนที่ที่เอามาประติดประต่อกัน อนุมานได้ข้อสรุปเช่นนี้ก็ถือว่าหาได้ยากมากแล้ว
พอหันไปมองลูกศิษย์ใหญ่ของตนที่กำลังแอบดื่มเหล้า หลิวจิ่งหลงก็รู้สึกอ่อนใจเล็กน้อย ชอบดื่มเหล้าขนาดนี้ พอไปถึงภูเขาเซียนตูก็ควรจะเรียกใครบางคนเป็นพี่เป็นน้องแล้วดื่มร่วมกันดีๆ สักรอบ
เกาโย่วชิงตั้งใจฟังอย่างมาก แม้ว่าเฉินหลี่จะไม่เคยทำสีหน้าดีๆ ให้นางเห็น แต่ขอแค่ชินไปแล้วก็ดีเอง อาจารย์บอกแล้วว่าเฉินหลี่เป็นคนหน้าเย็นใจร้อน
ตู้อวี๋ฟังแล้วทอดถอนใจอย่างนับถือ เซียนกระบี่น้อยผู้นี้ มองดูแล้วอายุไม่มาก แต่ประสบการณ์ในยุทธภพกลับโชกโชนนัก
เฉินหลี่ถามหยั่งเชิง “เจ้าสำนักหลิว ข้าขอแอบถามกระบี่กับฟ่านเชี่ยวสักครั้งโดยที่ไม่บอกกล่าวชื่อแซ่ได้หรือไม่?”
หลิวจิ่งหลงพยักหน้า “หลังจากเจ้าถามกระบี่กับฟ่านเชี่ยวแล้ว ข้าสามารถทำให้ข่าวนี้ยังไม่แพร่ไปถึงสำนักฉงหลินในระยะเวลาอันใกล้ หากใช้คำพูดของคนบางคนก็คือเป็นกระบี่ที่จะถามหรือไม่ถามก็ได้…”
เฉินหลี่กระจ่างแจ้งอยู่ในใจทันใด ยิ้มเอ่ยต่อคำว่า “ผู้ฝึกกระบี่อย่างเราๆ ถามกระบี่ไปก่อนค่อยว่ากัน!”
หลิวจิ่งหลงเอ่ยเตือน “เงื่อนไขคือตีเสร็จแล้วต้องเผ่นหนีได้ ทางที่ดีที่สุดก็คือต้องไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ ใช่แล้ว อย่าฆ่าคน วันหน้ายังมีโอกาส”
เฉินหลี่เอ่ยเสียงทุ้มหนัก “เข้าใจแล้ว”
หลิวจิ่งหลงพลันยิ้มถาม “เฉินหลี่ หากข้าจำไม่ผิด นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าถามกระบี่ในใต้หล้าไพศาลกระมัง เลือกถามกระบี่กับฟ่านเชี่ยว ไม่รู้สึกแปลกๆ หรือ?”
เฉินหลี่ส่ายหน้า “มีอะไรให้ต้องรู้สึกแปลกล่ะ ขอแค่ขอบเขตข้าไม่สูงกว่าอีกฝ่าย ถามกระบี่กับใครก็คือถามกระบี่ไม่ใช่หรือ”
ใต้เท้าอิ่นกวานของพวกเรายังสวมชุดกระโปรงของสตรีไปเข่นฆ่าในสนามรบได้เลย เรือนกายอรชนอ้อนแอ้น กรีดนิ้วกรุยกราย ยามตวาดเสียงยังหวานแหลม ไม่เห็นเขาจะรู้สึกแปลกบ้างเลย
พอคิดถึงเรื่องนี้ เฉินหลี่ก็รู้สึกว่าใต้เท้าอิ่นกวานช่างสมกับเป็นภูเขาสูงที่ต้องให้คนแหงนหน้ามองจริงๆ ชั่วชีวิตนี้ยากที่เขาจะไล่ทัน หวังเพียงว่าระหว่างทางที่เดินขึ้นเขาตนจะพอมองเห็นแผ่นหลังชุดเขียวของใต้เท้าอิ่นกวานอย่างเลือนรางบ้างก็พอ
เฉินหลี่พลันหลับตาหลง เรียกกระบี่บินออกมา เพียงแต่ว่าแค่ให้มันว่ายวนอยู่ในช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตที่ใกล้เคียงแห่งหนึ่งเท่านั้น ดวงจิตเมล็ดงาของเฉินหลี่จมจ่อมอยู่ภายใน
ครู่หนึ่งต่อมา เฉินหลี่ลืมตาขึ้น การถามกระบี่เสร็จสิ้น
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ‘อู้เม่ย’ ยามตื่นคืออู้ (ตื่นนอน) ยามฝันคือเม่ย (นอนหลับ)
เฉินหลี่ไม่ได้ลงมืออำมหิตทิ่มร่างของฟ่านเชี่ยวให้เป็นรูสี่ห้ารู เพราะการหลอมกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนี้ของเขาอยู่ไกลเกินกว่าจะเรียกได้ว่า ‘สำเร็จ’ อีกมากนัก
คืนหนึ่งหลังจากนั้น ฟ่านเชี่ยวก็ถูกถามกระบี่อีกรอบ
ล้วนเป็นเหมือนกันคือแค่ตาพร่าไปทีเดียวก็มีผู้ฝึกกระบี่ที่ทั้งใบหน้าและเรือนกายล้วนล่องลอย อยู่ดีๆ ก็มาโผล่ตรงหน้าตนอย่างไม่มีลางบอกกล่าว จากนั้นแทงกระบี่ใส่เขาสองสามทีโดยทีฟ่านเชี่ยวไม่เหลือเรี่ยวแรงให้เอาคืน
ส่วนผู้ปกป้องมรรคาที่เป็นก่อกำเนิดเฒ่าคนนั้นก็ถึงกับมองไม่เห็นผู้ฝึกกระบี่คนนั้นเลยแม้แต่น้อย
ไม่พูดถึงฟ่านเชี่ยว แม้กระทั่งก่อกำเนิดเฒ่าก็ยังตกใจจนขวัญแทบกระเจิง
สรุปแล้วเป็นเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนคนใดที่เป็นศัตรูกับสำนักฉงหลินกันแน่ ถึงได้เป็นเหมือนวิญญาณร้ายตามติดคอยตามตอแยผู้เยาว์โอสถทองคนหนึ่งอย่างไม่ยอมเลิกราเช่นนี้?!
ส่วนกระบี่บินแจ้งข่าวสองเล่มที่พรรคโม่หลงทยอยส่งไปให้สำนักฉงหลินนั้น ต่างก็ผลุบหายเข้ามาในชายแขนเสื้อของหลิวจิ่งหลงอย่างเงียบเชียบ จะส่งไปถึงภูเขาบรรพบุรุษของสำนักฉงหลินช้าสักหน่อย
หลังจากนั้นคนทั้งกลุ่มก็ออกเดินทางไปที่สำนักฉงหลิน
พวกเฉินหลี่อยู่ต่อที่ท่าเรือถงเฉียน
หลิวจิ่งหลงสามคนไปที่ภูเขาบรรพบุรุษสำนักฉงหลิน คนต่างถิ่นที่เดินทางมาท่องเที่ยว จำเป็นต้องหยุดเท้าอยู่ที่ศาลาเฉวียนหย่งที่ตั้งอยู่กึ่งกลางภูเขา
แต่อันที่จริงการเดินขึ้นเขาก็คือความรู้อย่างหนึ่ง
เนื่องจากหลิ่วจื้อชิงและหรงช่างต่างก็ค้นพบด้วยความตกตะลึงว่า ท่ามกลางขุนเขาสายน้ำขมุกขมัวที่การมองเห็นพร่าเลือน ราวกับว่ามีคนอีกสามคนเดินอยู่บนเส้นทางด้านข้าง พวกเขาทั้งสามคนยิ่งเดินก็ยิ่งห่างไกลจาก ‘ตัวเอง’
สำนักฉงหลินตัวดี ถึงกับแทบจะทุ่มเงินจนสร้างภูเขาบรรพบุรุษสองแห่งที่เป็นภาพมายาซึ่งใกล้เคียงกันอย่างถึงที่สุดขึ้นมาได้เลย
บนเส้นทางเทพขึ้นเขาของภูเขาบรรพบุรุษที่แท้จริง หลิวจิ่งหลงที่ถือยันต์อยู่ในมือเปิดทางให้ก่อน อีกทั้งทุกก้าวที่เดินล้วนต้องวาดยันต์ หลิ่วจื้อชิงและหรงช่างจึงคล้ายว่าเดินอยู่ท่ามกลางค่ายกลยันต์แห่งหนึ่ง
หลิวจิ่งหลงเพียงแค่หยุดเท้าอยู่ที่ศาลาเฉวียนหย่งและเส้นทางงูขาวแค่ครู่เดียว เพียงไม่นานก็พาคนทั้งสอง ‘เดินเล่น’ กันไปต่อ
เพียงครู่เดียวคนทั้งกลุ่มก็ไปถึงด้านนอกศาลบรรพจารย์แห่งนั้น
หรงช่างอดไม่ไหวใช้เสียงในใจสอบถาม “คือที่นี่หรือ?”
หลิวจิ่งหลงเปิดปากยิ้มเอ่ย “ไม่ต้องใช้เสียงในใจก็ได้ ผู้ฝึกตนของสำนักฉงหลินไม่ได้ยินหรอก”
หลิ่วจื้อชิงถามนอกเรื่อง “หลิวจิ่งหลง เจ้าบอกกับข้ามาตามตรง รับมือกับเซียนเหรินที่นอกเหนือจากผู้ฝึกกระบี่ เจ้าต้องออกกระบี่กี่ครั้ง?”
ผลคือหลิวจิ่งหลงยิ้มเอ่ย “บอกได้ยาก ไม่เคยตีกับเซียนเหรินมาก่อนเสียด้วย”
หลิ่วจื้อชิงสะอึกอึ้ง
หลิวจิ่งหลงเอ่ยว่า “การถามกระบี่ครั้งนี้ไม่เหมาะจะแหวกหญ้าให้งูตื่นสักเท่าไร เพราะครั้งหน้าที่เฉินผิงอันออกเดินทางท่องอุตรกุรุทวีปจะต้องมาเยือนสำนักฉงหลินด้วยตัวเองรอบหนึ่งแน่ เขามีเรื่องส่วนตัวให้ต้องพูดคุย ดังนั้นครั้งนี้พวกเราฟันศาลบรรพจารย์เสร็จแล้วก็ถอยทันที ไม่ถามกระบี่กับผู้ฝึกตนสำนักฉงหลินแล้ว”
หลิ่วจื้อชิงเอ่ยอย่างขันๆ ปนฉุน “ศาลบรรพจารย์ที่ตั้งอยู่ที่เดิมปล่อยให้พวกเราฟันเช่นนี้ พวกเราต่างอะไรกับคนตัดฟืนที่ผ่าฟืนกันล่ะ นี่ก็ถือว่าเป็นการถามกระบี่ด้วยหรือ?”
หลิวจิ่งหลงเอ่ยอย่างจนใจ “โทษข้ารึ?”
หรงช่างหัวเราะเสียงดังลั่น เซียนกระบี่หลิ่วช่างหาเรื่องนัก ข้าอย่างไรก็ได้ จึงรีบเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาแล้วฟันไปบนศาลบรรพจารย์อุตลุด
หลิ่วจื้อชิงจึงได้แต่ปล่อยกระบี่ตามไป
หลิวจิ่งหลงกลับไม่ได้ส่งกระบี่ เพียงแค่เอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งยกขึ้น ใช้นิ้วจิ้มๆ ชี้ๆ ไป ทิ้งยันต์ไว้แผ่นหนึ่ง จากนั้นชี้ไปที่พื้นดิน สุดท้ายทิ้งยันต์สองแผ่นไว้พร้อมกับสองประโยค
เหนือศีรษะสามฉื่อมีเทพมองดูอยู่
วันหน้าจะกลับมาถามกระบี่อีกรอบ
จากนั้นผู้ฝึกกระบี่สามคนก็เดินกลับทางเดิม
ทิ้งไว้เพียงศาลบรรพจารย์ที่กลายเป็นซากปรักไปอย่างสิ้นเชิง
หลิวจิ่งหลงให้หลิ่วจื้อชิงกับหรงช่างหยุดเดินก่อน นาทีถัดมาก็ขยับเท้า พวกเขา ‘สามคน’ ก็ไปทับซ้อนกับเรือนกายที่ศาลาเฉวียนหย่งอีกครั้ง ผู้ฝึกตนจำนวนไม่น้อยต่างก็มารวมตัวกันชมทัศนียภาพอยู่ที่นี่
เสียงโครมดังหนึ่งที ชวนอกสั่นขวัญผวา พลานุภาพรุนแรงเหมือนฟ้าผ่ากัมปนาทอยู่ข้างหู เพียงแต่ว่าพวกผู้ฝึกตนที่กวาดตามองไปรอบด้านกลับไม่เข้าใจสิ่งใด เพราะศาลบรรพจารย์ของสำนักฉงหลินและยอดเขาทั้งหลายที่อยู่ใกล้เคียงไม่ได้มีความแตกต่างใดๆ ไปจากเดิม สรุปแล้วนี่เป็นความเคลื่อนไหวที่มาจากที่ใดกันแน่?
พวกหลิวจิ่งหลงสามคนปะปนอยู่ในกลุ่มคน เดินลงภูเขาไปอย่างสง่างาม
ยังอยู่ต่อที่ท่าเรือถงเฉวียนอีกสองวันถึงได้นั่งเรือโดยสารจากไปพร้อมกันอย่างเอ้อระเหย มุ่งหน้าไปที่ลำน้ำจี้ตู๋ที่ภาคกลาง ไปเดินเล่นในเมืองหลวงของราชวงศ์ต้าหยวนและถ้ำสวรรค์มังกรน้ำ แล้วถึงได้แยกย้ายกันไป
หลิวจิ่งหลงพาป๋ายโส่วผู้เป็นลูกศิษย์นั่งโดยสารเรือเฟิงยวน ตู้อวี๋กับซ่านเถิงติดตามพวกหรงช่างไปที่ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงก่อน หลิ่วจื้อชิงจะเดินทางท่องเที่ยวเลียบลำน้ำใหญ่เส้นนั้นไป
บนเรือข้ามฟาก ป๋ายโส่วสนิทคุ้นเคยกับป๋ายเสวียนดีอยู่แล้ว พูดคุยกันอย่างถูกคอ ยังต้องรวมถึงผู้ดูแลรองอย่างเจี่ยเฉิงด้วย
หลิวจิ่งหลงไปหาแม่นางน้อยไฉอู๋ตามคำกำชับบนจดหมายของเฉินผิงอัน หยิบยันต์ออกมาสองแผ่น วางลงบนโต๊ะ ให้ไฉอู๋เรียนวาดยันต์ด้วยตัวเอง
ไฉอู๋วาดอย่างเอาจริงเอาจัง แบบเป็นอย่างไรก็วาดไปตามนั้น
ป๋ายเสวียนที่มองดูอยู่หัวเราะฮ่าๆ
นังหนูพืชพรรณผู้นี้วาดยันต์ผีอยู่หรือไร
หมี่ลี่น้อยนั่งอยู่ด้านข้าง ปรบมือให้ไฉอู๋เบาๆ
หลิวจิ่งหลงมองแสงศักดิ์สิทธิ์แก่นยันต์จุดนั้นก็กระจ่างอยู่ในใจ ยิ้มถามว่า “ไฉอู๋ อยากเรียนวาดยันต์หรือไม่? ขอแค่ไม่ถ่วงรั้งการฝึกตนหลัก มีทักษะติดตัวไว้มากก็ไม่ทับตัวตายหรอกนะ”
ไฉอู๋พยักหน้ารับ เอ่ยว่า “หากเจ้าสำนักหลิวยินดีสอน ข้าย่อมยินดีเรียน แต่คุณสมบัติการฝึกตนของข้าไม่ค่อยดีนะ”
หลิวจิ่งหลงอดไม่ไหวถามว่า “ทำไมถึงได้คิดว่าคุณสมบัติในการฝึกตนของตัวเองไม่ค่อยดีล่ะ?”
ไฉอู๋รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย จึงแค่ส่ายหน้า ไม่เอ่ยอะไร
เจ้าขุนเขาเฉินเคยสอนนางด้วยตัวเองสองครั้ง ต่อมาก็ไม่เคยมาหาตนอีก แค่ให้อาจารย์เสี่ยวโม่ช่วยสอนแทน
ก็ไม่ได้คิดอะไรมากหรอก ตนมากินเปล่าอยู่เปล่าบนเรือข้ามฟาก วันหนึ่งดื่มเหล้าหนึ่งจิน แล้วยังต้องเป็นเหล้าหมักตระกูลเซียนที่มีเพียงพวกนายท่านเทพเซียนบนภูเขาถึงจะดื่มได้ รสชาตินั้น เมื่อเทียบกับเหล้าชั้นเลวของร้านเหล้าล่างภูเขาก็ไม่เหมือนกับดื่มมีดอีก มันทิ้งรสชาติไว้ยาวนาน ดังนั้นเป็นคนจะไร้คุณธรรมเกินไปนักไม่ได้ ต้องเห็นแก่ความดีของเจ้าขุนเขาเฉินบ้าง
อีกอย่างอย่าเห็นว่าเวลาปกติผู้พิทักษ์โจวเลอะๆ เลือนๆ นางฉลาดจะตายไป ความจำดีมาก
ทั้งบนและล่าง ทั้งในและนอกภูเขาลั่วพั่ว ไม่ว่าอะไรผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาล้วนจำได้ ไม่ว่าอะไรก็รู้ไปหมด
ดังนั้นเรื่องที่โจวหมี่ลี่รู้ โดยทั่วไปแล้วก็คือเรื่องที่เจ้าขุนเขาเฉินรู้
เรือเฟิงยวนเดินทางลงใต้ข้ามมหาสมุทรไปตลอดทาง กำลังจะเข้าสู่เขตพื้นดินของแจกันสมบัติทวีป
ท่ามกลางม่านราตรีของวันนี้ หลิวจิ่งหลงยืนอยู่บนหัวเรือกับหมี่อวี้ หมี่ลี่น้อยก็ไม่ได้ออกลาดตระเวนยามค่ำคืนต่อ กังวลว่าจะไปรบกวนการคุยธุระสำคัญของอวี๋หมี่กับอาจารย์หลิวน่ะ
นางอยู่ในห้องของตัวเอง ฟุบตัวอยู่บนโต๊ะ กำลังนับนิ้วคำนวณวันเวลา เมื่อไหร่ถึงจะผ่านภูเขาลั่วพั่ว แล้วเมื่อไหร่ถึงจะไปถึงภูเขาเซียนตู
รอกระทั่งหมี่อวี้จากไปแล้ว หลิวจิ่งหลงยืนอยู่ข้างราวรั้วเพียงลำพัง นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ เฉินผิงอันย้ำซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในจดหมาย
ประเด็นสำคัญคือจดหมายลับฉบับนั้นยังร่ายตราผนึกเฉพาะที่หลิวจิ่งหลงสอนให้กับเฉินผิงอันด้วย บนจดหมาย ‘ฉบับที่สอง’ ได้เตือนหลิวจิ่งหลงว่าจะต้องแอบเลื่อนเป็นขอบเขตเซียนเหรินอย่างเงียบเชียบ อย่าได้ป่าวประกาศให้ภายนอกรับรู้ หากเป็นไปได้ ก็ไม่ต้องบอกใครในศาลบรรพจารย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องระวังเซียนกระบี่ป๋ายฉางที่อยู่ทางทิศเหนือผู้นั้น ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อใจผู้ฝึกกระบี่ของสำนักกระบี่ไท่ฮุย แต่ผู้พูดไร้ใจ คนฟังมีเจตนา กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นของหลิวจิ่งหลงพิเศษมากเกินไปจริงๆ ในอนาคตรอให้เจ้าปิดด่านครั้งถัดไป พยายามเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตบินทะยาน ข้าจะมาที่สำนักกระบี่ไท่ฮุย เจ้าเฝ้าด่านให้เจ้า…
หากว่าเจ้าเป็นผู้ฝึกกระบี่ในพื้นที่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ในบันทึกของคฤหาสน์หลบร้อน ต้องอยู่ในอันดับ ‘หนึ่งบน’ ได้แน่นอน!
ส่วนกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเฉินผิงอัน นกในกรงและจันทร์ในบ่อจึงจะเป็นหนึ่งล่างและหนึ่งกลาง
แน่นอนว่าระดับขั้นกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่สามารถยกอันดับขึ้นได้ ใช่ว่าจะอยู่นิ่งไม่เปลี่ยนแปลงตลอดไป
หลิวจิ่งหลงยิ้มอย่างเข้าใจ พึมพำกับตัวเองว่า “จู้จี้จุกจิกยิ่งกว่าข้าเสียอีก”
‘กฎเกณฑ์’ วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของกระบี่บินเขาเล่มนั้น
ก็เหมือนอย่างในตอนนี้ ทุกจุดที่สายตาของหลิวจิ่งหลงมองไปเห็นล้วนเป็นกฎเกณฑ์แห่งฟ้าดิน
ตอนที่เรือเฟิงยวนเคลื่อนผ่านอากาศเหนือตำหนักฉางชุน ระหว่างทางหลิวจิ่งหลงได้ขี่กระบี่ลงจากเรือไปอย่างเงียบเชียบ เขาจะต้องแวะไปที่เมืองหลวงต้าหลี ไปหาหันโจ้วจิ่นที่โรงเตี๊ยมตระกูลเซียนแห่งหนึ่ง พอเจอนางแล้วหลิวจิ่งหลงก็บอกกล่าวชื่อแซ่ของตัวเอง
ผลคือหันโจ้วจิ่วผู้นั้นทำในสิ่งที่เจ้าสำนักหลิวรับมือไม่ทัน
หลิวจิ่งหลงก็ได้แต่อธิบายกับนางซ้ำไปซ้ำมาว่า ข้าไม่ดื่มเหล้า
สุดท้ายกลับมาบนเรือข้ามฟากก็สังเกตเห็นว่าเซียนกระบี่หลิวที่หวนกลับขึ้นมาบนเฟิงยวนใหม่อีกครั้งแผ่กลิ่นอายสังหารท่วมท้น ทำท่าเหมือนจะถามกระบี่กับใครอย่างไรอย่างนั้น
——