กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 914.1 กลอนคู่ประตูมังกร
ยามเช้าตรู่ เฉินผิงอันยื่นมือไปกุมป้ายหยกอิ่นกวานเอาไว้แน่น หดย่อพื้นที่ เดินก้าวเดียวก็มาถึงขั้นบันไดนอกคฤหาสน์หลบร้อน ไม่เหมือนกับคฤหาสน์หลบร้อนในเวลาปกติที่ประตูใหญ่จะปิดสนิทตั้งแต่เช้ายันเย็น นี่ค่อนข้างมีความหมายคล้ายกับเป็นที่ว่าการแห่งหนึ่งแล้ว
ไม่เหมือนกับนครใต้อาณัติเหล่านั้น ที่แห่งนี้ไม่มีผู้ฝึกตนที่ทำหน้าที่เฝ้าประตู หากมีธุระมาหาถึงที่ก็ไม่เป็นไร เพียงแต่อย่าได้เดินเที่ยวเล่นส่งเดชไปทั่วก็พอ มีธุระก็ว่ามา พูดจบก็กลับไปซะ รวดเร็วฉับไว
คิดอยากจะให้ผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานเอาสุรามาต้อนรับ ฝันไปเถิด
คฤหาสน์หลบร้อนในอดีต นอกจากเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสแล้ว ต่อให้เป็นเฉินซีกับฉีถิงจี้ก็ไม่อาจเดินข้ามประตูใหญ่เข้าไปได้
เมื่อนครบินทะยานหล่นลงพื้น ก่อนที่หนิงเหยาจะมารับตำแหน่งอิ่นกวาน นางก็ไม่เคยเหยียบย่างมาที่คฤหาสน์หลบร้อน
เช้าตรู่ขนาดนี้ฟ่านต้าเช่อก็มากวาดลานบ้านแล้ว ไหล่ถูกคนตบเบาๆ พร้อมเสียงเรียกกลั้วหัวเราะ “ต้าเช่ออ่า”
ฟ่านต้าเช่อได้ยินเสียงเรียกที่คุ้นเคยก็เกือบจะน้ำตาไหลอยู่รอมร่อ รีบหันหน้ามาเอ่ยเรียก “ใต้เท้าอิ่นกวาน”
เฉินผิงอันตบแขนของฟ่านต้าเช่อเบาๆ เอ่ยว่า “พวกเราเดินไปคุยกันไป”
อันที่จริงสถานการณ์คร่าวๆ ของสายอิ่นกวานในทุกวันนี้ ก่อนหน้านั้นหนิงเหยาได้เล่าให้ฟังแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าฟ่านต้าเช่อเล่าได้ละเอียดกว่า เฉินผิงอันจึงรับฟังอย่างตั้งใจ
ผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์กลุ่มแรกห้าคนที่เข้ามาอยู่คฤหาสน์หลบร้อนล้วนเป็นตัวอ่อนเซียนกระบี่ที่คุณสมบัติดีเยี่ยม ต่อให้ทุกวันนี้พวกเขาจะยังไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง แต่ก่อนที่พวกเขาจะกลายมาเป็นผู้ฝึกกระบี่ของสายอิ่นกวาน ต่างก็ได้ครอบครองเก้าอี้หนึ่งตัวในศาลบรรพจารย์ของนครบินทะยานแล้ว ผ่านไปแค่ไม่กี่ปี เด็กหนุ่มเด็กสาวกลุ่มนี้ก็ทยอยกันกลายมาเป็นสายอิ่นกวานอย่างเป็นทางการ
ทำเนียบหยกทองของนครบินทะยานในทุกวันนี้ นอกจากอาจารย์ผู้สืบทอดของผู้ฝึกตนแต่ละคนแล้ว สามารถแบ่งออกเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์ ผู้ฝึกตนสามสายซึ่งมีสิงกวานเป็นหนึ่งในนั้น รวมไปถึงกองกำลังใต้อาณัติของสี่นครแปดภูเขาสิบสองสถานที่ ยกตัวอย่างเช่นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งเติ้งเหลียงได้ครอบครองภูเขาจื่อฝู่ ก็เท่ากับว่าผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนนี้มีคุณสมบัติที่จะบุกเบิกยอดเขาก่อตั้งจวนแล้ว สามารถสืบทอดระบบสายของตัวเองได้ แน่นอนว่าผู้ฝึกตนคนหนึ่งสามารถมีสถานะหลายอย่างในเวลาเดียวกัน
ตามหลังผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์ห้าคน คฤหาสน์หลบร้อนก็รับสมาชิกมาอีกกลุ่มหนึ่ง ยังคงเป็นเด็กหนุ่มเด็กสาวที่คุณสมบัติไม่เลวเหมือนเดิม
แต่พวกเขายังได้แค่ถือว่าเป็นตัวสำรองเท่านั้น ยังต้องรอทดสอบตามเกณฑ์อีกสามถึงห้าปี นี่คือกฎข้อหนึ่งที่ปีนั้นหลินจวินปี้กับซ่งเกาหยวนร่วมมือกันตั้งไว้ คล้ายคลึงกับจิ้นซื่อที่เข้าสอบในวงการขุนนางโลกมนุษย์ล่างภูเขา จะต้อง ‘เดินไปตาม’ ที่ว่าการแห่งต่างๆ ถือเป็นการฝึกประสบการณ์ก่อนจะได้เข้ารับตำแหน่งที่ว่างอยู่อย่างเป็นทางการ แต่ไม่ใช่ว่าตัวสำรองทุกคนจะสามารถกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานได้อย่างแท้จริง ผู้ฝึกกระบี่บางส่วนที่สุดท้ายแล้วมิอาจเป็นสมาชิกได้อย่างเป็นทางการ น้ำดีไม่ไหลเข้านาคนนอก พวกเขาจึงต้องไปอยู่นครปี้สู่ ทำงานภายใต้การดูแลของต่งปู้เต๋อและสวีหนิง
เฉินผิงอันพยักหน้า “ในเรื่องนี้ สายอิ่นกวานตกเป็นที่ต้องสงสัยว่าคัดเฉพาะส่วนที่ดีที่สุดไปจริงๆ นั่นแหละ”
ฟ่านต้าเช่อยิ้มกล่าว “ใต้เท้าอิ่นกวาน นครบินทะยานไม่มีใครกล้าแย่งกับพวกเรา อีกอย่างสำหรับผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยพวกนั้นแล้ว การได้กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานของพวกเรา แน่นอนว่าต้องเป็นตัวเลือกแรกอย่างไม่ต้องสงสัย หากไม่เป็นเพราะธรณีประตูของพวกเราสูงเกินไป ผู้ฝึกกระบี่ของคฤหาสน์หลบร้อนในทุกวันนี้ อย่างน้อยต้องมีคนมากกว่านี้หนึ่งเท่าตัว!”
เฉินผิงอันถามคำถามยาวเหยียดติดต่อกัน “ด้านนอกไม่มีคำนินทาอะไรบ้างเลยหรือ? มีใครที่ชี้ไม้ชี้มือใส่การลงมือของผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานพวกเราหรือไม่? คฤหาสน์หลบร้อนไม่มีเจ้าพวกคนที่ช่วยพูดทวงความเป็นธรรม เปิดสมุดบัญชีขึ้นมาโดยเฉพาะบ้างเลยหรือ?”
ฟ่านต้าเช่อยิ้มเขินอาย “คำซุบซิบนินทาก็มีบ้าง เพียงแต่ไม่มากนัก พวกเราจึงไม่ได้ถือสา”
เฉินผิงอันตบไหล่ของฟ่านต้าเช่อ “ต้าเช่ออ่า พวกเจ้ายังคงเป็นคนซื่อกันอยู่เหมือนเดิม”
ผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานในเวลานี้ หลักๆ แล้วรับผิดชอบสามเรื่อง ตรวจตรา รวบรวมรายงานข่าว อบรมปลูกฝังนักรบเดนตาย มีอำนาจเต็มที่ในการดูแลกิจธุระน้อยใหญ่ในนครปี้สู่
ผู้ฝึกกระบี่ที่วันนี้อยู่ในคฤหาสน์หลบร้อน อันที่จริงมีไม่ถึงครึ่งหนึ่ง
หลัวเจินอี้กับฟ่านต้าเช่อ หลายปีมานี้คอยดูแลกิจธุระทั่วไปของคฤหาสน์หลบร้อนอยู่ตลอด
หวังซินสุ่ยกับฉางไท่ชิงรับผิดชอบรวบรวม คัดกรองและตรวจสอบรายงานข่าวประเภทต่างๆ ต่งปู้เต๋อคือเจ้านครปี้สู่ สวีหนิงคือรองเจ้านคร ทุกวันจะต้องมาขานชื่อตรงเวลา เรื่องของการอบรมปลูกฝังสายลับและนักรบพลีชีพก็ตกเป็นหน้าที่ของนครปี้สู่
กู้เจี้ยนหลงยังฝึกประสบการณ์อยู่ข้างนอก ในฐานะผู้ปกป้องมรรคาของสายอิ่นกวาน จึงต้องออกเดินทางฝึกประสบการณ์ร่วมกับสายสิงกวาน ต่างคนต่างพาผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์กลุ่มหนึ่งไปยังแดนบินห่างไกลที่มีป้ายศิลาตั้งไว้
ผู้ฝึกกระบี่ผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์นครบินทะยานห้าคนนั้น ทุกวันนี้ก็แยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง ต่างคนต่างมีหน้าที่เป็นของตัวเอง คอยฝึกประสบการณ์อยู่ด้านนอก
ด้านนอกประตูของห้องโถงใหญ่คฤหาสน์หลบร้อนมีกลอนคู่บทหนึ่งแขวนไว้ คือกลอนประตูมังกร (กลอนคู่ประเภทหนึ่งที่แต่ละด้านจะเขียนตัวอักษรสองบรรทัดหรือสองบรรทัดขึ้นไปเรียงกัน ทำให้ดูเหมือนตัวอักษร ‘门’ ที่แปลว่าประตู จึงมีชื่อว่ากลอนประตูมังกร) ที่ไม่ค่อยพบเห็นได้บ่อยนัก เขียนด้วยตัวอักษรที่ใช้แกะสลักลงบนป้ายศิลาซึ่งมีกลิ่นอายความเก่าแก่โบราณ
กวีนิพนธ์เฉิดฉายนานนับพันปี ขุนเขาสายน้ำจำแลงกลายเป็นปราณบริสุทธิ์ ภูเขาสูงน้ำลึกปราณกระบี่ยาว มีเพียงแสงกระบี่ของข้าที่เหมือนสายรุ้ง ใต้หล้าเปลี่ยวร้างก้มหัวกราบกรานหมื่นปี
นครเดียวดายสูงตระหง่าน ฟ้าดินตะวันจันทราจักรวาลกว้างใหญ่ ฟ้ากว้างดินไกลรสสุราพรั่งพร้อม ผู้ฝึกกระบี่ของบ้านเกิดข้ามากมายดุจก้อนเมฆ แบ่งผู้ฝึกกระบี่สองประเภทจากเก้าทวีปแห่งไพศาล
ฟ่านต้าเช่อยิ้มอย่างรู้ใจ
กลอนคู่บทนี้แน่นอนว่าต้องเป็นลายมือของใต้เท้าอิ่นกวานของพวกเรานั่นเอง
ว่ากันว่าปีนั้นช่วงปลายปีระหว่างที่พักรบ เซียนกระบี่โฉวเหมียวได้ขอให้อิ่นกวานเขียนกลอนคู่หนึ่งบท อิ่นกวานไม่ยอม บอกว่าตัวอักษรของตัวเองไม่ได้เรื่อง ผลคือแม้แต่ผู้พิทักษ์ใหญ่ทั้งสี่ซึ่งมีกวอจู๋จิ่วเป็นผู้นำก็ยังพากันจู่โจมเขา อิ่นกวานจึงได้แต่บอกเนื้อหา ให้โฉวเหมียวกับหลินจวินปี้เขียนแทน แยกกันเขียนกลอนด้านบนกับด้านล่าง ผลคือก็ยังไม่สำเร็จ สุดท้ายจึงมีกลอนที่คนแก่และเด็กทั่วทั้งนครบินทะยานล้วนรู้จักบทนี้เกิดขึ้น
ต่อให้เป็นผู้ฝึกกระบี่ในพื้นที่ที่มีความรู้สึกที่ไม่ดีต่ออิ่นกวานก็ยังหาข้อบกพร่องของกลอนคู่นี้ไม่เจอแม้แต่น้อย ได้แต่แข็งใจเอ่ยประโยคหนึ่งว่า เจ้าชาติสุนัขผู้นั้นไม่รู้จักอ่อนโยนอบอุ่นแบบนี้บ้าง มิน่าเล่าเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสถึงได้ให้เจ้าหมอนี่มาเป็นอิ่นกวาน
เฉินผิงอันเดินข้ามธรณีประตูใหญ่ เข้าไปในห้องโถงใหญ่ที่เขาคุ้นเคยอย่างถึงที่สุด ตำแหน่งที่นั่งแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ยังคงมีโต๊ะน้ำชาเล็กๆ หนึ่งตัว เบาะรองนั่งหนึ่งใบ อย่างมากสุดก็แค่เปลี่ยนเจ้าของ บนโต๊ะน้ำชาคือสมบัติทั้งสี่ในห้องหนังสือ ตำราเอกสาร ล้วนวางไว้ตามแต่ที่เจ้าของโต๊ะชื่นชอบ
เฉินผิงอันไม่ได้นั่งลงตรงตำแหน่งประธาน แต่เลือกนั่งบนที่นั่งที่เคยเป็นของหลินจวินปี้
มองการจัดวางบนโต๊ะตัวนี้ น่าจะเป็นที่นั่งของกู้เจี้ยนหลง ตำรากระบี่สองเล่ม ตราประทับหลายชิ้น และยังมีของตกแต่งในห้องหนังสือที่ใช้คุณความชอบทางการสู้รบแลกมาจากคลังสมบัติของคฤหาสน์
หลัวเจินอี้ หวังซินสุ่ยและฉางไท่ชิงที่ได้ข่าวก็พากันมาหา คนรุ่นเยาว์ทั้งสามที่เป็นสมาชิกของคฤหาสน์หลบร้อนตั้งแต่ในอดีต ทุกวันนี้ต่างก็ถือว่าเป็น ‘คนเฒ่าคนแก่’ ของสายอิ่นกวานแล้ว
เห็นเงาร่างชุดเขียวนั้น หลัวเจินอี้ก็อึ้งตะลึงไป แต่ไม่นานสีหน้าของนางก็กลับคืนมาเป็นปกติ ใบหน้าประดับยิ้มน้อยๆ กุมหมัดเอ่ย “คารวะอิ่นกวาน”
หวังซินสุ่ยกับฉางไท่ชิงก็คลี่ยิ้มแล้วกุมหมัดคารวะ เรียกอิ่นกวานอย่างเป็นธรรมชาติ
ต่อให้หนิงเหยาจะอยู่ด้วย คาดว่าพวกเขาก็ยังคงเป็นเช่นนี้
เฉินผิงอันยิ้มโบกมือ “แค่คนว่างงานคนหนึ่งเท่านั้น”
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหวังซินสุ่ยหนึ่งในสี่ลูกสมุนใหญ่ในอดีตที่ถึงกับน้ำตาร้อนๆ เอ่อคลอ ฝีเท้าลื่นไถลขยับมานั่งอยู่ข้างกายใต้เท้าอิ่นกวานแล้วเริ่มถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ ผลคือถูกเฉินผิงอันใช้ฝ่ามือผลักเข้าที่หน้าผาก หวังซินสุ่ยจึงกลับไปนั่งที่ของตัวเอง
ฉางไท่ชิงเอ่ยถาม “ใต้เท้าอิ่นกวาน จะให้เรียกพวกต่งปู้เต๋อมาที่คฤหาสน์หลบร้อนหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มกล่าว “ไม่ต้อง”
พวกหลัวเจินอี้พากันนั่งลง บนโต๊ะของหลัวเจินอี้วางดอกล่าเหมยไว้หนึ่งกระถาง ตัดแต่งได้อย่างสวยงาม ข้างกันมีต้นชางผูหนึ่งกระถาง เป็นสีเขียวขจีราวกับจะคั้นน้ำได้
ผู้ฝึกกระบี่ที่ตอนนี้อยู่ต่อในคฤหาสน์หลบร้อนล้วนเป็นเด็กหนุ่มเด็กสาวอายุสิบกว่าปีแทบทั้งหมด บนใบหน้ายังมีความอ่อนเยาว์เผยให้เห็น
เวลานี้พวกเขามาเบียดออกันอยู่หน้าประตู เบิกตากว้างมองประเมินใต้เท้าอิ่นกวานในตำนานผู้นั้น
ตอนที่เฉินผิงอันยังเป็นเถ้าแก่รอง พวกเขาอายุยังน้อย เวลานั้นส่วนใหญ่คือผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตล่าง แน่นอนว่าไม่อาจไปดื่มเหล้าที่ร้านได้
หลังกลายเป็นอิ่นกวาน นอกจากเฉินผิงอันจะไปที่สนามรบแล้วก็อยู่แค่ในคฤหาสน์หลบร้อนไม่ออกไปไหน
แล้วนับประสาอะไรกับที่ทุกครั้งที่อิ่นกวานหนุ่มลงสนามรบก็มีลูกไม้สารพัดอย่าง ใครจะไปจำเขาได้?
หากไม่เป็นเพราะลู่จือหลุดปากพูด ใครจะกล้าเชื่อว่า ‘สตรีแปลกหน้า’ ที่ทำให้ชายโสดหลายต่อหลายคนคิดถึงคำนึงหาผู้นั้นถึงกับเป็นเถ้าแก่รอง?!
นี่จึงเป็นเหตุให้ผู้ฝึกตนสายของเฉวียนฝู่ในทุกวันนี้มีสัจธรรมคำสอนที่เป็นคำพูดติดปากแพร่ออกไป ‘ไม่มีเหตุผลให้ไม่เก็บเงิน ไม่หาเงินจากของแตกๆ พังๆ เพียงเพราะหนังหน้าอันน้อยนิดจริงๆ’
แต่เด็กหนุ่มสองคนในกลุ่มนี้กลับเคยเห็นเถ้าแก่รองถามหมัดกับผู้ฝึกยุทธหญิงจากต่างถิ่นคนหนึ่งอยู่ไกลๆ เอาเป็นว่ารักหยกถนอมบุปผาหนึ่งหมัดก็ล้มคว่ำแล้วกัน
ส่วนความนัยที่มากกว่านั้น พวกเขาไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวจึงมองอะไรไม่ออก แต่ปีนั้นตอนอยู่บนถนนใหญ่เสียงไชโยโห่ร้องดังสนั่นฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเถ้าแก่รองถูกคนต่อยล้มคว่ำ ทุกคนที่ชมศึกและวางเดิมพันก็เหมือนถูกฉีดเลือดไก่เข้าไป เป่าปากดังขรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกวอจู๋จิ่วผู้นั้นที่ถึงกับตีฆ้องตีกลองไปบนหัวกำแพงตลอดทางด้วย
หลัวเจินอี้เหลือบตามองไปที่หน้าประตู “กลับไปทำงานของตัวเองกันเถอะ”
มองออกว่าหลัวเจินอี้ที่ทุกวันนี้เป็นผู้ฝึกกระบี่ในคฤหาสน์หลบร้อนซึ่งขอบเขตเป็นรองแค่หนิงเหยา อีกทั้งเวลาปกตินางยังเป็นคนจัดการเรื่องต่างๆ จึงมีบารมีอยู่มาก พวกเด็กหนุ่มเด็กสาวถึงได้แยกย้ายกันไปทันที ต่างคนต่างกลับไปจัดการธุระของตัวเองในห้องทำงาน เพียงแต่ว่าพวกผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์จากไปพร้อมกับความตื่นเต้นฮึกเหิม พากันวิพากษ์พิจารณ์ คฤหาสน์หลบร้อนในทุกวันนี้เป็นนกกระจอกที่แม้จะตัวเล็กแต่ก็มีอวัยวะครบถ้วน มีการก่อตั้งฝ่ายต่างๆ มากมายทั้งฝ่ายตรวจตรา ฝ่ายขจัดภัย หน่วยบัญชี ห้องเก็บเอกสารลับ คลังริบทรัพย์ แต่ส่วนใหญ่แล้ว ‘ที่ว่าการ’ แห่งหนึ่ง มักจะมีแค่ห้องห้องเดียว นอกจากฝ่ายตรวจตรา ฝ่ายขจัดภัยสองแห่งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแล้ว ในห้องที่ว่าการแห่งอื่นตอนนี้ล้วนมีคนอยู่แค่คนเดียว
ผู้ฝึกกระบี่เด็กหนุ่มคนหนึ่งกลับไปถึงห้องทำงาน เนื่องจากเป็นคนทำอะไรละเอียดรอบคอบ อีกทั้งยังมีชาติกำเนิดมาจากถนนอวี้ฮู่ อ่านหนังสือออกตั้งแต่เด็ก ดังนั้นทุกวันนี้เด็กหนุ่มจึงดูแลห้องเก็บเอกสาร ชั้นวางหนังสือในห้องวางแนบติดผนังทั้งสามด้าน หนังสือวางทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ สูงถึงเพดาน กระดาษและสมุดฉีกจำนวนมากนับพันเหน็บอยู่ตามตำราเล่มต่างๆ ล้วนเป็นลายมือเดียวกัน
หากจะบอกว่ากลอนคู่ที่หน้าห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์หลบร้อนเป็นลายมือที่เหมือนผีขี้เหล้าเมากรึ่มๆ เขียนขึ้น มองดูเหมือนโบราณเก่าแก่ แต่แท้จริงแล้วฉายประกายเฉียบคม เปี่ยมไปด้วยความฮึกเหิม ถ้าอย่างนั้นตัวอักษรแบบบรรจงขนาดเล็กที่อยู่บนกระดาษช่วยจำพวกนี้กลับเขียนเหมือนคนที่มีสติอยู่ตลอดไม่เคยเมามาย เอาจริงเอาจัง ไม่เคยทำพลาด
ดังนั้นผู้ฝึกกระบี่เด็กหนุ่มที่เดิมทีสามารถเข้าไปอยู่ในฝ่ายขจัดภัยได้จึงเป็นฝ่ายขอมาทำงานที่นี่ คบค้าสมาคมอยู่กับเอกสารลับทุกวัน กลายเป็นอาจารย์ผู้ทำเอกสารที่ไม่ค่อยมีโอกาสออกไปฝึกประสบการณ์ข้างนอกและส่งกระบี่ใส่ใครสักเท่าไร
ทางฝั่งของห้องโถงใหญ่ เฉินผิงอันใช้ชายแขนเสื้อเช็ดโต๊ะ ยิ้มพูดชวนคุยว่า “ภูเขาแปดลูกนอกเมืองที่มีภูเขาจื่อฝู่เป็นหนึ่งในนั้น สิงกวานห้าเฉวียนฝู่สาม แบ่งกันไปหมดทั้งอย่างนี้แล้ว อย่างน้อยที่สุดพวกเราก็น่าจะได้มาครองสักสองลูก ต่อให้ถูกด่าว่านั่งยองอยู่ในห้องส้วมไม่ยอมถ่ายก็ไม่เป็นไร”
“ตอนที่ศาลบรรพจารย์มีการประชุมกัน แรกเริ่มก็ควรเปิดปากขอไปสามแห่ง เรื่องนี้แน่นอนว่าหนิงเหยาไม่สะดวกจะพูด แต่หากเป็นพวกเจ้า ยกตัวอย่างเช่นให้ฟ่านต้าเช่อเป็นผู้นำ หวังซินสุ่ยเป็นคนตาม แล้วค่อยให้กู้เจี้ยนหลงพูดทวงความเป็นธรรม สุดท้ายได้ภูเขาสองลูกมาครอง ก็หนีไม่พ้นเอาภูเขาจากสิงกวานและเฉวียนฝู่มาอย่างละลูก ข้าคิดว่าไม่น่าจะเป็นปัญหามากนัก สถานการณ์สี่สองสอง ตอนนั้นเส้นขีดจำกัดของฉีโซ่วและเกาเหย่โหวก็น่าจะเป็นประมาณนี้”
“ภูเขาแปดลูกนั้นไม่เหมือนกับนครใต้อาณัติอย่างปี้สู่ ทัวเยว่ อู่ขุย อย่างหลังหากคิดจะจัดการให้ดี ไม่ให้เกิดช่องโหว่ก็ต้องมีผู้ฝึกกระบี่จำนวนที่มากพอให้แบ่งกันไปทำกิจธุระต่างๆ แต่พื้นที่ฮวงจุ้ยพิเศษอย่างภูเขาจื่อฝู่ นอกจากสร้างค่ายกลใหญ่พิทักษ์เมืองแห่งที่สองแล้วกลับเหมือนสถานที่ฝึกตนมากกว่า ไม่มีทางแบ่งเอากำลังคนจากสายของอิ่นกวานไปมากเกินไป แล้วนับประสาอะไรกับที่วันหน้าหากผู้ฝึกกระบี่ของคฤหาสน์หลบร้อนมีเยอะเข้าก็จะมีสถานที่เพิ่มมาสองแห่ง สถานที่ฝึกตนหลอมกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดสองคนในอนาคตก็จะมีรอไว้พร้อมแล้ว”
หลัวเจินอี้อดไม่ไหวเอ่ยว่า “แล้วไม่พูดแต่แรก?”