กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 914.2 กลอนคู่ประตูมังกร
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ หัวเราะร่าเอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าข้าเป็นหมอดูที่ล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าหรืออย่างไร หรือจะให้ข้าเอาหัวโหม่งใต้หล้าห้าสีให้เปิดออกแล้วค่อยตะเบ็งเสียงบอกพวกเจ้า?”
หลิวเจินอี้สะอึกอึ้งไปทันใด
ฉางไท่ชิงกลั้นขำ
เฉินผิงอันยื่นมือข้างหนึ่งออกมา ใช้นิ้วเคาะหน้าโต๊ะ เอ่ยเนิบช้าว่า “มีข้อเสนออยู่อย่างหนึ่ง พวกเจ้าลองฟังดู สายอิ่นกวานสามารถบุกเบิกนครแห่งหนึ่งขึ้นมาโดยเฉพาะ พวกเราควักเงินกันเอง ไม่ต้องไปเปิดปากขอจากจวนเฉวียนฝู่ แน่นอนว่าหากคนเขายินดีให้ก็อย่าเกรงใจ
ยิ่งนครแห่งนี้มีขนาดใหญ่เท่าไรก็ดีเท่านั้น สามารถสร้างหุบเขาน้อยใหญ่ในรัศมีแปดร้อยลี้ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของนครปี้สู่ คนของคฤหาสน์หลบร้อน นอกจากผู้ฝึกกระบี่ที่อยู่ในตำแหน่งสำคัญหลายคนแล้ว บางทีอาจต้องวางงานในมือลงชั่วคราว แน่นอนว่าหากทำควบคู่ไปได้ย่อมดีที่สุด ไป…แย่งคนมา”
สีหน้าของฉางไท่ชิงกระตือรือร้นขึ้นมาทันใด เอ่ยว่า “จะแย่งมาแค่ไหน?”
เฉินผิงอันเอ่ยต่ออีกว่า “ภายในสามสิบห้าสิบปีพยายามแย่งคนจากฝูเหยาทวีปและใบถงทวีปมาให้ได้ประมาณหกแสนถึงหนึ่งล้านคน ในบรรดาคนเหล่านี้จะมีผู้ฝึกลมปราณหรือไม่ก็ไม่สำคัญ ส่วนการสร้างนครแห่งใหม่ มีประสบการณ์ของนครปี้สู่ก่อนหน้านี้แล้วก็ไม่ต้องให้คนนอกมาช่วย แต่เรื่องของการชักนำกระแสคนจากทิศเหนือและทิศใต้ หากไม่มีผู้ฝึกกระบี่ร้อยคนมาให้การคุ้มครอง ช่วยเปิดทางให้ ก็ยากที่จะรับรองได้ว่าจะไม่มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น ระหว่างนี้จำเป็นต้องใช้เรือข้ามฟากตระกูลเซียนจำนวนมาก รวมไปถึงเส้นทางการเดินเรือที่มั่นคงสองเส้น กำหนดเส้นทางในแผนที่อย่างละเอียดและแม่นยำ สร้างจุดพักระหว่างทางติดต่อกัน ต้องได้รับการร่วมมือจากสายสิงกวานและสายเฉวียนฝู่ แต่จำไว้ข้อหนึ่งว่า พวกเขาแค่ร่วมมือกับพวกเรา รวมถึง…”
หวังซินสุ่ยหัวเราะหึหึ เอ่ยต่อคำ “ไม่มีค่าตอบแทน!”
หลัวเจินอี้เลิกคิ้วขึ้น “พูดถึงเรื่องค่าตอบแทนอะไรกัน เกี่ยวพันกับกิจการใหญ่พันปีของนครบินทะยาน เดิมทีก็ควรร่วมมือกันอย่างจริงใจอยู่แล้ว”
“เรื่องแย่งตัวคน ไม่ว่าผู้ฝึกลมปราณอะไรก็ไม่ต้องเห็นเป็นสมบัติล้ำค่า หากได้ตัวมาด้วยก็ดีที่สุด ไม่มีก็ไม่เป็นไร มีเพียงผู้ฝึกตนสำนักกสิกรรมเท่านั้นที่ต้องแย่งมาให้ได้ ข้ารู้ว่าตอนนี้พวกเขาสูงศักดิ์ล้ำค่าอย่างมาก กองกำลังแต่ละฝ่ายต่างก็ยกย่องเป็นแขกผู้ทรงเกียรติ ไม่แน่เสมอไปว่าเพิ่งจะได้ลงหลักปักฐานแล้วจะยอมเดินทางไกล พลัดที่นาคาที่อยู่ ดังนั้นต่อให้ต้องเอาถุงป่านครอบหัวแล้วทุบหัวมาก็ต้องทำ ในเมื่อมีมารยาทก่อนแล้วค่อยใช้กำลังไม่อาจทำได้แล้ว การใช้กำลังก่อนแล้วค่อยมีมารยาทก็เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก สายอิ่นกวานของพวกเราสามารถให้คำสัญญากับผู้ฝึกตนเหล่านี้ว่าจะมอบสถานะผู้ถวายงานและเค่อชิงให้แก่พวกเขา จำนวนของผู้ฝึกลมปราณสำนักกสิกรรมกลุ่มนี้ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมียี่สิบสามสิบคน ยิ่งมีมากก็ยิ่งมีประโยชน์มาก”
“หากว่ามีการทำข้อตกลงกับพวกเขาก่อน อันดับแรกนอกจากจะรับรองผลประโยชน์ส่วนตัวของพวกเขาแล้วยังสามารถอนุญาตให้พวกเขาพาคนออกจากบ้านเกิดเดินทางมายังเมืองใหม่ สามารถเป็นญาติหรือคนในครอบครัว แล้วก็สามารถเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอด ก็เหมือนพวกเจ้าให้สำมะโนครัวของนครปี้สู่ ต่อให้ในอนาคตออกจากสำมะโนครัวนี้ไปแล้ว ต่างคนต่างหวนกลับคืนสู่มาตุภูมิ ก็ยังสามารถมองเป็นเอกสารที่พิเศษอย่างหนึ่ง สามารถ ‘มอบบรรดาศักดิ์’ ให้กับคนสามรุ่น ความหมายก็คือรุ่นลูกรุ่นหลานของพวกเขา ในอนาคตสามารถอาศัยสิ่งนี้มานำทาง ภายในเวลาร้อยปีก็จะสามารถเข้าออกพื้นที่ใต้อาณัติทั้งหมดของนครบินทะยานซึ่งรวมถึงนครปี้สู่ได้อย่างเสรี”
หวังซินสุ่ยพยักหน้า “ต้องให้ทุกคนของใต้หล้าห้าสีรู้สึกว่าการได้รับสำมะโนครัวและเอกสารผ่านด่านที่นครบินทะยานมอบให้คือเกียรติยศพิเศษอย่างหนึ่ง เดิมทีนี่ก็สามารถเรียกให้คนต่างถิ่นมาตั้งรกรากที่นี่ได้อยู่แล้ว”
“อีกอย่าง ภายในเวลาหกสิบปี ผู้ฝึกตนของนครบินทะยานจะต้องให้ความเคารพที่เพียงพอต่อพวกเขาตามกรอบของกฎเกณฑ์ เมื่อกำหนดเวลาหกสิบปีมาถึง หากพวกเขายังจะจากไปก็ไม่รั้งตัวไว้ ใครที่ควรจ่ายเงินก็จ่ายเงิน ไม่ต้องลังเล ถือเสียว่าเป็นการพบเจอที่ดีและจากลากันที่ดี ทั้งสองฝ่ายเหลือความสัมพันธ์ควันธูปที่เป็นดั่งน้ำเส้นเล็กไหลยาวไว้ส่วนหนึ่ง”
“ดังนั้นหากพวกเราออกไปจากนครบินทะยานแล้ว คิดอยากจะไปเปิดภูเขาตั้งสำนัก หรือไม่ก็ไปหาสถานะในวงการขุนนางของราชวงศ์ใหม่หรือแคว้นใต้อาณัติบางแห่ง พวกเราก็สามารถช่วยผลักดันได้ ยกตัวอย่างเช่นผู้ฝึกกระบี่สายคฤหาสน์หลบร้อนยังถึงขั้นสามารถรับตำแหน่งผู้ถวายงาน หรือเค่อชิงในช่วงเวลาที่กำหนดได้ จำไว้ว่าจะต้องกำหนดระยะเวลาให้ดี ไม่อย่างนั้นจะไม่คุ้มค่ามากเกินไป เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้ฝึกตนสำนักกสิกรรมกลุ่มนี้จึงไม่มีความกังวลภายหลัง การเดินทางหกสิบปีในนครบินทะยานก็จะกลายมาเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่าครั้งหนึ่ง เดิมทีก็เป็นการค้าขายที่ฝืนเด็ดแตงก่อนเวลา (เปรียบเปรยว่าทำอะไรก่อนเวลาที่เหมาะสม เหมือนการฝืนเด็ดแตงก่อนเวลาแตงย่อมไม่หวาน) แต่กลับทำให้คนรู้สึกว่ายิ่งเคี้ยวยิ่งหวาน”
ฟังมาถึงตรงนี้ หลัวเจินอี้ก็ถามหยั่งเชิงว่า “หากพวกเราหากองกำลังบนภูเขากลุ่มของผู้ฝึกตนสำนักกสิกรรมเจออย่างลับๆ สามารถปรึกษากันโดยที่ไม่ต้องให้พวกเราแย่งตัวคนได้หรือไม่? ไม่แน่ว่ากองกำลังมากมายอาจยินดีเสนอตัวมาร่วมมือกับพวกเราก็ได้ เพราะตามรายงานต่างๆ ที่คฤหาสน์หลบร้อนรวบรวมมาในเวลานี้ ผู้ฝึกตนสำนักกสิกรรมสองแห่งที่อยู่เหนือใต้ บ้างก็เป็นผู้ฝึกลมปราณที่เสนอตัวเอง บ้างก็ได้รับคำสั่งจากคนอื่น ต่างก็เริ่มลดธรณีประตูให้ต่ำลง ทำการกวาดหาลูกศิษย์อย่างกำเริบเสิบสาน แล้วนับประสาอะไรกับที่เดิมทีธรณีประตูของผู้ฝึกตนสำนักกสิกรรมก็ไม่สูงอยู่แล้ว เมื่อก่อนอยู่ที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างและใต้หล้าไพศาล เพียงแค่เนื่องจากฐานะต่ำ ผลประโยชน์น้อย ถึงได้ไม่มีใครยินดีจะเป็นลูกศิษย์ของสำนักกสิกรรม วันนี้ไม่เหมือนในอดีตแล้ว พอฐานะสูงขึ้น ผลประโยชน์ก็มากขึ้น ดังนั้นที่ใต้เท้าอิ่นกวานบอกว่าสามสิบ อันที่จริงก็ไม่ได้มากเลย ไม่แน่ว่าพวกเราหาพรรคสักสองสามแห่งก็น่าจะได้แล้ว”
ตอนนี้ต่อให้เป็นคนโง่ก็ยังรู้ว่านครบินทะยานที่อยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างหมายความว่าอย่างไร ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีคนพยายามทุ่มความคิดจิตใจคาดเดาไปอย่างส่งเดชว่าสรุปแล้วจะกลายเป็นศาลบุ๋นแผ่นดินกลางของใต้หล้าไพศาลหรือจะเป็นป๋ายอวี้จิงแห่งใต้หล้ามืดสลัวกันแน่
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย คล้ายกับว่ามีความกังวลบางอย่าง แต่สุดท้ายแล้วก็ยังพยักหน้า “เรื่องนี้สามารถทำได้ พวกเจ้ารีบกำหนดระเบียบข้อบังคับคร่าวๆ มาเถอะ”
หลัวเจินอี้คิดแล้วก็ให้สัญญาว่า “ภายในหนึ่งวันพวกเราก็จะได้แผนการคร่าวๆ แล้ว”
น่าเสียดายที่พวกหลินจวินปี้ไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นหลัวเจินอี้จะต้องมีความมั่นใจมากกว่านี้
กลิ่นอายของบัณฑิต ความสูงส่งสง่างามของปัญญาชน มักรู้สึกว่าทำเรื่องในใต้หล้าได้ แต่แท้จริงแล้วถึงขั้นที่ว่าทำเรื่องข้างมือแค่ไม่กี่เรื่องไม่ได้ด้วยซ้ำ
ผู้ฝึกกระบี่แห่งไพศาลทั้งหลายอย่างพวกหลินจวินปี้ เฉากุ่น ปีนั้นแม้ว่าอายุยังน้อย แต่บนเส้นทางของเศรษฐกิจกลับคล่องแคล่วชำนาญอย่างถึงที่สุด
ฉางไท่ชิงตระหนักได้ถึงภัยแฝงข้อหนึ่งจึงถามว่า “หากว่าแค่ตีหัวแย่งคน ปัญหาไม่มาก แต่หากต้องเกี่ยวพันกับราชวงศ์ล่างภูเขาและกองกำลังบนภูเขามากเกินไป เมื่อเป็นเช่นนี้ คฤหาสน์หลบร้อนของพวกเราอาจหลีกเลี่ยงปัญหาหลายอย่างไม่ได้ นี่จะส่งผลกระทบต่อฐานะที่โดดเด่นของสายอิ่นกวานในนครบินทะยานหรือไม่?”
แม้ว่าฉางไท่ชิงกับหลัวเจินอี้จะเป็นภูเขาลูกเดียวกัน แต่นี่เป็นเรื่องสำคัญ ฉางไท่ชิงย่อมไม่มีทางเก็บออมคำพูดเพียงเพราะมิตรภาพส่วนตัวเด็ดขาด
นับประสาอะไรกับที่คฤหาสน์หลบร้อนก็มีความรู้ใจกันมานานแล้ว ถูกเรื่องไม่ถูกคน ในเมื่อไม่มีใครที่สามารถไม่ทำผิด ถ้าอย่างนั้นใครก็ล้วนสามารถตรวจสอบชดเชยช่องโหว่ให้กับคนอื่นได้
เฉินผิงอันพยักหน้า “แน่นอนว่าต้องมี หากกะน้ำหนักไม่ดี พวกเราก็จะได้ไม่คุ้มเสีย หากในอนาคตมีวันใดที่นครบินทะยานและกองกำลังใต้อาณัติทั้งหมดตั้งคำถามกับการลงโทษและให้รางวัล การลงมือหนักเบาของผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวาน อาจกลายเป็นปัญหาแน่นอน กลายเป็นเกิดความเคยชินที่จะสงสัยว่าสายอิ่นกวานควรจะลงมือกับคนบางคนหรือไม่ นี่หมายความว่าคฤหาสน์หลบร้อนเกิดปัญหาใหญ่แล้ว”
หลัวเจินอี้รู้สึกละอายใจเล็กน้อย เป็นตนที่คิดง่ายไป
มิน่าเล่าเมื่อครู่ใครบางคนถึงได้ลังเล เป็นเพราะคาดการณ์ได้ถึงภัยแฝงข้อนี้โดยไล่ตามเส้นสายที่ขยายยาวออกไปเส้นนี้?
เฉินผิงอันยิ้มมองไปที่พวกเขา ราวกับกำลังพูดว่าพวกเจ้าทำอะไร ก็ไม่ใช่เพื่อแก้ไขปัญหาหรอกหรือ?
ฉางไท่ชิงถามหยั่งเชิง “ไม่สู้ให้สายสิงกวานไปทำเรื่องทำนองนี้ พวกเราก็ถือเสียว่าเป็นการแบ่งผลประโยชน์ที่เหมาะสมออกไปส่วนหนึ่ง? ภายนอกให้ผู้ฝึกกระบี่สายสิงกวานไปสานสัมพันธ์กับกองกำลังภายนอก ถึงอย่างไรพวกเขาก็มีจำนวนคนมาก พวกเราแค่รับผิดชอบคอยจัดหาสายลับและนักรบพลีชีพเข้าไปสอดแทรกอย่างลับๆ ก็พอ จะได้ร่วมมือกับผู้ฝึกตนสายสิงกวานได้สะดวก ไม่ถึงขั้นเป็นดั่งคำว่าฟ้าสูงฮ่องเต้อยู่ไกล หากผู้ฝึกกระบี่ของพวกเราเจอเรื่องไม่คาดฝันก็จะตกอยูในสถานการณ์อันตรายที่ต้องหัวเดียวกระเทียมลีบ หากไม่ระวังเพียงนิดก็จะเกิดความเสียหาย ใต้เท้าอิ่นกวาน ท่านคิดว่าอย่างไร?”
คฤหาสน์หลบร้อนยังมีกฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรอยู่ข้อหนึ่ง ใครที่ซักถาม คนที่ปฏิเสธคนอื่น ทางที่ดีที่สุดตัวเองก็ควรมีวิธีในการแก้ปัญหาเอาไว้ด้วย เพียงแต่ไม่เรียกร้องมากนัก
เซียนกระบี่โฉวเหมียวเคยคุยเล่นกับพวกหลัวเจินอี้เป็นการส่วนตัว มีคำวิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้สูงมาก บอกว่าขอแค่คฤหาสน์หลบร้อนบ่มเพาะการตระหนักรู้ประเภทนี้ อีกทั้งสุดท้ายยังกลายเป็นขนบธรรมเนียม เป็นประเพณี เป็นกฎเกณฑ์ เป็นความเคยชินที่ดีงาม ใต้เท้าอิ่นกวานคือผู้ที่มีคุณูปการอย่างใหญ่หลวง
ยังคงเป็นกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างมากเหมือนเดิม
ไม่อย่างนั้นก็รู้แต่นิ่งดูดายอยู่อย่างเดียว
“ดีมากเลย ถือเป็นการยิงธนูดอกเดียวได้นกสามตัว”
เฉินผิงอันส่งสายตาแสดงความชื่นชม พยักหน้าเอ่ย “แต่ไม่อาจยกไปให้ทั้งหมด สายของอิ่นกวานยังต้อง ‘เลือกเด็ดยอด’ ต่อไป ภายใต้เงื่อนไขที่พิจารณาและประเมินการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ดีแล้วให้รักษาถิ่นฐานส่วนตัวไว้สี่ห้าแห่ง จำนวนไม่มากได้ แต่รากฐานต้องลึกล้ำ มีกำลังแฝงดี นอกจากนี้ยังต้องรับประกันว่าตัวอ่อนผู้ฝึกกระบี่ในขอบเขตกองกำลังที่เป็นพันธมิตรทั้งหมด ในอนาคตขอแค่อยากฝึกเวทกระบี่ชั้นสูง หรือไม่ก็ออกเดินทางไกลไปหาประสบการณ์จะคิดถึงคฤหาสน์หลบร้อนเป็นที่แรก ไม่ใช่สายสิงกวาน”
หลิวเจินอี้เหมือนยกภูเขาออกจากอก “ข้าจะกำหนดแผนการที่เป็นรูปธรรมตามทิศทางคร่าวๆ นี้แล้วกัน”
เฉินผิงอันพลันถามว่า “การประชุมในรัชศกเจียชุนปีที่เจ็ด ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองคนที่ถูกหนิงเหยาโยนออกไปนอกศาลบรรพจารย์?”
หลัวเจินอี้กล่าว “หลายปีมานี้เป็นกู้เจี้ยนหลงที่คอยรับผิดชอบจับตามองคนผู้นี้อย่างลับๆ ปีนั้นเรื่องที่เขาถูกตัดชื่อออกจากทำเนียบ ถูกคนผู้นี้มองเป็นความอัปยศอย่างใหญ่หลวง แต่เขาที่อยู่ข้างนอกแทบไม่เคยบ่นแสดงความไม่พอใจแม้แต่คำเดียว หลายปีมานี้ส่วนใหญ่ล้วนปิดด่าน ตั้งใจหลอมกระบี่ น่าจะอยากเลื่อนเป็นขอบเขตก่อกำเนิดโดยเร็วที่สุด จะได้หวนกลับคืนมายังศาลบรรพจารย์”
เฉินผิงอันถาม “คนแนะนำและคนรับรองสองคนล่ะ?”
หลัวเจินอี้ส่ายหน้า
เฉินผิงอันกล่าว “ไม่ได้บอกให้พวกเจ้าใช้เรื่องส่วนรวมมาแก้แค้นส่วนตัว”
หลัวเจินอี้พยักหน้า เข้าใจแล้ว
เฉินผิงอันหรี่ตาเอ่ย “ต้องเข้าใจหลักการเหตุผลข้อหนึ่ง ความรักความแค้นของผู้ฝึกกระบี่เต็มตัวนั้นบริสุทธิ์อย่างมาก ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่มีเรื่องอะไรก็มักจะใช้การถามกระบี่แก้ไขปัญหา ดังนั้นกลัวก็แต่ว่ามีเรื่องแบบนั้นอยู่ แต่ถูกกำหนดมาแล้วว่าการถามกระบี่จะไม่มีประโยชน์ อีกทั้งตั้งใจฝึกตนอย่างยากลำบากตลอดชีวิตก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าอย่างนั้นควรทำอย่างไร? ความโมโหยากระงับปณิธานยากสงบ หรือว่ายังต้องไปดื่มเหล้าที่ร้านของข้า?”
เมื่อก่อนอย่างมากก็แค่ส่งกระบี่บนสนามรบ ดูว่าใครที่คุณความชอบใหญ่กว่ากัน สังหารปีศาจเยอะกว่ากัน ใครตะโกนเสียงดังก็มีเหตุผลมากกว่า
บุญคุณความแค้นส่วนตัวทั้งหลาย ส่วนใหญ่มักจะถูกจำกัดอยู่ที่การพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวแค่ไม่กี่ประโยค อย่างมากสุดก็แค่ด่าบนโต๊ะเหล้าสองสามคำ
กำแพงเมืองปราณกระบี่ในอดีต ไปเยือนหัวกำแพงเมืองรอบหนึ่ง ลงจากหัวกำแพงเมืองมา เรียกพรรคพวกให้ไปเจอกันบนโต๊ะสุรา ถึงกับไม่มีใครตายหรือนี่?
กำแพงเมืองปราณกระบี่ในทุกวันนี้ พวกผู้ฝึกกระบี่ออกจากบ้านไปฝึกประสบการณ์อีกครั้ง เริ่มไล่ทำความรู้จักกับกองกำลังฝ่ายต่างๆ รอกระทั่งกลับมายังบ้านเกิด ถึงกับมีคนตายไปแล้ว?
เฉินผิงอันเอ่ยแนะนำ “อันที่จริงธรณีประตูของคฤหาสน์หลบร้อนจะสูงหน่อยก็ได้ แต่หน้าตาต้องยิ่งใหญ่ พูดถึงแค่เรื่องการจัดแทรกสายลับและอบรมบ่มเพาะนักรบพลีชีพ จะใช่ผู้ฝึกกระบี่หรือไม่ คุณสมบัติจะดีหรือไม่ ขอบเขตจะสูงหรือไม่ ไม่ได้สำคัญที่สุด ผู้ฝึกตนต้องมีจิตใจละเอียดอ่อน ขณะเดียวกันก็ต้องจิตใจอำมหิตมากพอ”
ฉางไท่ชิงพูด “วันหน้าข้าจะบอกเรื่องนี้ให้ต่งปู้เต๋อกับสวีหนิงรู้อย่างละเอียด”
ตั้งแต่ต้นจนจบ ฟ่านต้าเช่อไม่ได้สอดปากแทรกสักคำ
ทุกวันนี้นครบินทะยานมีคำพูดติดปากอยู่คำหนึ่ง แม้แต่ประตูใหญ่ของคฤหาสน์หลบร้อนเจ้าก็ยังไม่ได้เห็น
ก่อนหน้านี้มีผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์คนหนึ่งที่ไม่อาจเข้าเสริมตำแหน่งได้สำเร็จ จึงไปประจำการที่นครปี้สู่ตามกฎ
เคยยิ้มเอ่ยกับคนบนโต๊ะสุราอยู่สองประโยค
หลังออกมาจากคฤหาสน์หลบร้อนแล้วก็ค่อยๆ ค้นพบว่าตัวเองคือคนธรรมดาคนหนึ่ง
แต่ก่อนหน้านั้นกลับรู้สึกมาโดยตลอดว่าตัวเองเป็นเศษสวะ
เฉินผิงอันมีสีหน้าเคร่งขรึม “ต้องระวังเรื่องการแทรกซึมประเภทต่างๆ ที่โลกภายนอกมีต่อนครบินทะยาน คนต่างถิ่นทุกคนที่อยู่ในนครใต้อาณัติสี่แห่ง แม้ว่าจะมีการสร้างห้องเอกสารแยกขึ้นมาต่างหากแล้ว แต่ฟังจากที่ต้าเช่อเล่าให้ฟัง ตอนนี้คนที่ถูกบันทึกอยู่ในเอกสารก็มีหนึ่งพันหกร้อยกว่าคน พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย มีภาระหน้าที่ติดตัว สองสายอย่างสิงกวานและเฉวียนฝู่จะรวบรวมคนอย่างไรเป็นเรื่องของพวกเขา แต่คฤหาสน์หลบร้อนของพวกเรากลับจำต้องมองพวกเขาเป็นศัตรูแฝง”