กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 915.1 โต๊ะตัวหนึ่ง
สายเฉวียนฝู่
เฉินผิงอันพาเสี่ยวโม่เดินลอดผ่านระเบียงไปเยี่ยมเยียนเกาเหย่โหว
เกาเหย่โหวยืนรอรับแขกอยู่ที่หน้าประตูห้อง เอ่ยหยอกล้อว่า “ความรู้สึกที่ได้เดินเล่นในถิ่นของตัวเองเป็นอย่างไรบ้าง ไม่เลวกระมัง?”
นครบินทะยานในทุกวันนี้ ใครบ้างไม่รู้ว่าที่ว่าการที่ปกป้องอิ่นกวานเฉินผิงอันมากที่สุดถึงขั้นไม่ใช่คฤหาสน์หลบร้อนที่ผู้ฝึกกระบี่มีจำนวนน้อยนิด แต่เป็นเฉวียนฝู่ที่เสียงดีดลูกคิดดังสะเทือนฟ้าแห่งนี้
เคยมีผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์คนหนึ่งที่เป็นโจรขโมยกลอนคู่ไม่สำเร็จก็เอ่ยประโยคหนึ่งออกมาตามตรงว่า
หากข้าได้ยินใครพูดจาว่าร้ายเถ้าแก่รอง ขอโทษด้วย วันหน้าหากมาทำธุระที่เฉวียนฝู่ก็รอถูกข้าเล่นงานเถอะ
เฉินผิงอันยกม้านั่งมานั่งลง พูดเข้าประเด็นทันที “เทพเจ้าแห่งโชคลาภเกา เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้าก่อนหรือ?”
เสี่ยวโม่ยืนอยู่นอกประตู มองออกว่าคุณชายเป็นที่นิยมที่นี่อย่างมาก ก็แค่ว่าผู้ฝึกตนของที่แห่งนี้คล้ายจะไม่ค่อยกล้าทักทายคุณชายสักเท่าไร
เกาเหย่โหวเอ่ยอย่างสงสัย “นี่หมายความว่าอย่างไร?”
เฉินผิงอันจุ๊ปากพูด “ทั้งที่เข้าใจแต่แกล้งทำเป็นเลอะเลือนกับข้าใช่ไหม?”
เกาเหย่โหวยิ้มเอ่ย “ขออิ่นกวานโปรดพูดมาตามตรงจะดีกว่า”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ช่างเถิด ถือเสียว่าข้าสีซอให้ควายฟังก็แล้วกัน”
เกาเหย่โหวหัวเราะร่า “ไม่สู้เปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ ทิ้งสายตาให้คนตาบอดดูจะเป็นคำกล่าวที่ถูกต้องยิ่งกว่า”
คิดจะด่าคนอื่นต้องด่าตัวเองก่อน เคยเป็นเคล็ดลับเฉพาะของสายคฤหาสน์หลบร้อน
ข้าด่าตัวเองแรงๆ ก่อน เจ้าจะทำอย่างไรได้อีก?
เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน การประดับตกแต่งห้องเรียบง่ายจนแทบจะใกล้เคียงกับคำว่ายากจนข้นแค้นแล้ว แม้แต่กรอบป้ายสักชิ้นก็ยังไม่มี ก่อนหน้านี้ตลอดทางที่เดินมากวาดตามองห้องรายทางทั้งหลาย กรอบป้ายกลับมีสารพัดรูปแบบ ‘สวรรค์ย่อมตอบแทนคนขยันหมั่นเพียร’ ‘ระมัดระวังรับผิดชอบ’ ‘เพียงแค่คุ้นมือเท่านั้น’ ‘วิญญูชนต้องการทรัพย์สินเงินทองที่ได้มาอย่างชอบธรรม’ …กรอบป้ายเหล่านี้อยู่ในที่ว่าการของจวนเฉวียนฝู่ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ประหลาดจริงๆ
อันที่จริงเวลานี้เกาเหย่โหวเริ่มเข้าใจแล้ว เฉินผิงอันกำลังพูดถึงเกาโย่วชิงน้องสาวของตนที่ติดตามเซียนกระบี่ลี่ไฉ่ไปยังอุตรกุรุทวีป เดินทางไปพร้อมกับเฉินหลี่เด็กหนุ่มที่ได้รับฉายาว่า ‘อิ่นกวานน้อย’ คนนั้น
หากว่าวันนี้เฉินผิงอันไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ เกาเหย่โหวก็ไม่มีทางคิดไปทางด้านนี้เลย หนึ่งเพราะ ‘ฮุ่ยหมิง’ กระบี่ประจำตัวที่เฉินหลี่พกไว้คือของตกทอดของเซียนกระบี่ท่านหนึ่งแห่งอุตรกุรุทวีป ดังนั้นเฉินหลี่ไปฝึกกระบี่อยู่ที่นั่นคือการจัดการที่ดีเยี่ยมจากคฤหาสน์หลบร้อน นอกจากนี้ปีนั้นน้องสาวอยู่ที่บ้านเกิดมีความประทับใจที่ดีเยี่ยมต่อผังหยวนจี้ เป็นแมลงตามก้นอีกฝ่ายอยู่นานหลายปี ทำท่าว่าหากไม่ใช่ผังหยวนจี้ก็จะไม่ยอมออกเรือน ทำเอาเกาเหย่โหวกลุ้มใจอย่างยิ่ง
กำแพงเมืองปราณกระบี่ในเวลานั้น เกาเหย่โหวที่มีชาติกำเนิดจากตรอกเก่าโทรมมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับผังหยวนจี้มาโดยตลอด เพียงแต่ว่าแม้แต่คนโง่ก็ยังมองออกว่าผังหยวนจี้ไม่เก็บเรื่องความรักชายหญิงมาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นความรักข้างเดียวของน้องสาวจึงไม่ได้มีความหมายมากนัก ยากที่ทั้งสองฝ่ายจะบ่มเพาะความรู้สึกต่อกันได้สำเร็จ
ดังนั้นหากสามารถทำสำเร็จได้จริง เกาโย่วชิงผู้เป็นน้องสาวกับเฉินหลี่สามารถผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียรอยู่ในต่างบ้านต่างเมือง น้องสาวของเขาก็จะมีคนคอยดูแล แน่นอนว่าเกาเหย่โหวต้องขอบคุณเฉินผิงอันให้ดีๆ ในเมื่อเฉินหลี่มีฉายาว่า ‘อิ่นกวานน้อย’ อีกทั้งยังเลื่อมใสเฉินผิงอันอย่างยิ่ง หากว่าในบางเรื่องเฉินหลี่สามารถเอาอย่างเฉินผิงอันได้จริง คิดดูแล้วก็ไม่เลวเลย
ไม่อย่างนั้นใต้หล้าไพศาลก็คือโลกแห่งโลกีย์วิสัยที่เต็มไปด้วยแสงสี คุณสมบัติในการฝึกกระบี่ของเฉินหลี่ดีเกินไป อีกทั้งรูปโฉมของเขาตอนที่เป็นเด็กหนุ่มก็โดดเด่นอย่างมาก หากไม่ทันระวังก็อาจกลายเป็นเซียนกระบี่หมี่คนที่สองเอาได้
เกาเหย่โหวคิดมาถึงตรงนี้ก็เริ่มเป็นกังวลขึ้นมาอีก ไม่เรียกว่าอิ่นกวานอะไรแล้ว แต่เรียกชื่ออีกฝ่ายออกมาตรงๆ ว่า “เฉินผิงอัน หากเฉินหลี่ไม่ชอบเกาโย่วชิงก็ช่างเถิด เกาโย่วชิงรักเข้าข้างเดียวก็โทษใครไม่ได้ แต่หากทั้งๆ ที่เฉินหลี่ชอบเกาโย่วชิง แต่กลับมีความคิดเป็นอื่น ผิดต่อโย่วชิง บัญชีนี้ข้าต้องมาคิดเอากับเจ้า แน่นอนว่าเฉินหลี่เองก็หนีไม่รอด”
เกาเหย่โหวรักและทะนุถนอมน้องสาว เคยเป็นเรื่องที่ทุกคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่รับรู้ทั่วกัน
สามครั้งที่เป็นฝ่ายถามกระบี่กับผู้อื่นล้วนเป็นเพราะเกาโย่วชิงถูกหยอกเย้าเกี้ยวพากลางทาง หนึ่งคือชายโสดผีขี้เหล้า และอีกสองคนคือคนวัยเดียวกัน จุดจบของทั้งสามต่างก็ไม่ค่อยดีนัก
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “แม้ว่าการที่มาคิดบัญชีกับข้าจะไร้เหตุผลอย่างสิ้นเชิง แต่ข้ามีความมั่นใจต่อพฤติกรรมของเฉินหลี่และสายตาของเกาโย่วชิงอย่างมาก”
เกาเหย่โหวรู้สึกสบายใจขึ้นได้หลายส่วน
ไม่ยินดีจะพูดจาวกวนอ้อมค้อมกับเฉินผิงอัน เกาเหย่โหวถามตามตรงว่า “มาตรวจสอบบัญชีหรือ?”
ตามกฎแล้วผู้ฝึกกระบี่สายของอิ่นกวานมีอำนาจนี้อยู่ คฤหาสน์หลบร้อนที่รับผิดชอบตรวจตรานครบินทะยาน แม้แต่ฉีโซ่วและเกาเหย่โหวก็สามารถตรวจสอบได้ แล้วนับประสาอะไรกับแค่สมุดบัญชีไม่กี่เล่ม
“ประโยคนี้พูดไม่ถูก”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ต้องเป็นสายเฉวียนฝู่ของพวกเจ้าที่เป็นฝ่ายนำสมุดบัญชีมามอบให้คฤหาสน์หลบร้อนตามเวลาที่กำหนด”
เกาเหย่โหวส่ายหน้า “ไม่มีกฎข้อนี้”
เฉินผิงอันเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ สะบัดชุดกว้าตัวยาวสีเขียว ยกขานั่งไขว่ห้าง “ประเพณี ขนบธรรมเนียม ก็ต้องมีการเริ่มต้นก่อนจึงจะมีได้ไม่ใช่หรือ”
เกาเหย่โหวยังคงส่ายหน้า “เลิกหวังได้เลย ข้าไม่มีทางตอบตกลงกับเรื่องนี้ เว้นเสียจากว่าใต้เท้าอิ่นกวานเปิดการประชุมในศาลบรรพจารย์ แจ้งเรื่องนี้ให้ทราบ เฉวียนฝู่ของพวกเราถึงจะทำตามระเบียบวาระ”
เดิมทีคิดว่าคุยกันมาถึงตรงนี้ ทั้งสองฝ่ายก็น่าจะเจรจากันไม่สำเร็จแล้ว เกาเหย่โหวถึงขั้นเตรียมใจรับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว อย่างมากสุดก็ถูกเฉินผิงอันอาละวาดในจวนเฉวียนฝู่ไปรอบหนึ่ง
ถึงอย่างไรก็ใช่ว่าฉีโซ่วจะไม่เคยถูกหนิงเหยาอิ่นกวาน ‘ชั่วคราว’ ฟันมาก่อน ตนที่เป็นผู้นำสายเฉวียนฝู่ หากจะถูกอิ่นกวานตัวจริงฟันรอบหนึ่งก็ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะอืมรับหนึ่งที “ยิ่งนานวันพี่เกาก็ยิ่งสุขุมหนักแน่นขึ้นแล้ว”
เมื่อเป็นเช่นนี้กลับกลายเป็นว่าในใจเกาเหย่โหวเหมือนรัวกลอง หากถูกเฉินผิงอันก่อกวนต่อหน้า จะอย่างไรก็ดีกว่าถูกเจ้าหมอนี่วางแผนชั่วร้ายเล่นงานล่ะนะ
อารมณ์ของเกาเหย่โหวในเวลานี้ซับซ้อนยิ่ง จู่ๆ ก็พลันนึกถึงวันเวลาที่หนิงเหยาเป็นคนจัดการกิจธุระในคฤหาสน์หลบร้อนขึ้นมาเสียแล้ว
ไม่ต้องอกสั่นขวัญผวา ไม่มีอะไรอ้อมค้อมวกวน หน้าที่คือหน้าที่ ตรงไปตรงมาผึ่งผาย
เกาเหย่โหวถามอย่างใคร่รู้ “วันนี้มาที่นี่ไม่มีธุระสำคัญอะไรจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่มีจริงๆ ก็แค่มารำลึกความหลังกับพี่เกาเท่านั้น ทำไม รู้สึกว่าแท้จริงแล้วพวกเราสองคนไม่มีความสัมพันธ์อะไรต่อกัน รังเกียจที่ข้าปีนป่ายมาตีสนิทขุนนางชั้นสูงอย่างพี่เกาอย่างนั้นหรือ?”
เฉินผิงอันก้มหน้าหยิบของชิ้นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ โยนให้เกาเหย่โหวเบาๆ “ถือว่าเป็นของขวัญที่เอามาชดเชยให้กับการสร้างจวนเฉวียนฝู่ก็แล้วกัน”
เกาเหย่โหวคว้ามาไว้ในมือ เป็นแผ่นไม้เล็กๆ แผ่นหนึ่ง เนื้อไม้ถานมู่เก่าแก่ ลักษณะประณีติแต่ประหลาด มีรูปร่างเหมือนเหล็กฉาก ด้านบนแกะสลักตัวอักษรและลงนามเอาไว้ น่าจะเป็นของเก่าแก่ชิ้นหนึ่ง เพียงแต่ว่าเกาเหย่โหวเดาไม่ออกว่าเอามาไว้ใช้ทำอะไร
‘เงยหน้า’ มองตัวอักษรแกะสลักสี่ตัว ‘ปฏิบัติตามกฎระเบียบ’ ด้านล่างมีตัวอักษรขนาดเล็กอีกบรรทัดหนึ่ง ‘ผู้ที่อยู่ในกฎเกณฑ์คือบุคคลยอดเยี่ยมแห่งแคว้น สมเหตุสมผลคือกฎหมายที่ดี’
เฉินผิงอันยิ้มถาม “รู้หรือไม่ว่าเอาไว้ใช้ทำอะไร?”
เกาเย่โหวเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เลิกอมพะนำ บอกมาตามตรงเถอะ”
เฉินผิงอันเอ่ย “เป็นเครื่องกำหนดตำแหน่งตราประทับ เดิมทีก็ไม่ได้มีค่าอะไร บนภูเขาอาจขายไม่ได้แม้แต่ครึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ แต่ข้าเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีมานานหลายปี มอบให้เจ้า จะทิ้งไว้ให้ฝุ่นเกาะก็ได้ แต่อย่าเอาไปมอบให้คนอื่น”
เกาเหย่โหวโยนเครื่องกำหนดตำแหน่งตราประทับลงบนโต๊ะเบาๆ พยักหน้าเอ่ยว่า “แค่เห็นก็ถูกชะตา จะเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี”
เกาเหย่โหวถามอย่างสงสัย “จะกลับแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันกล่าว “จะไปดูห้องโถงที่ใช้ประชุมของจวนเฉวียนฝู่สักหน่อย คงไม่ใช่ว่าไม่ถูกกฎหรอกกระมัง?”
เกาเหย่โหวส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “ไม่เห็นจะเป็นไร หากคิดเล็กคิดน้อยขึ้นมาจริงๆ ตลอดทั้งที่ว่าการของเฉวียนฝู่ล้วนเป็นใต้เท้าอิ่นกวานที่ย้ายมาให้ นอกจากคลังสมบัติกับห้องบัญชี เจ้าก็สามารถเดินเล่นได้ทุกที่”
สี่เรือนส่วนตัวขนาดใหญ่ของภูเขาห้อยหัวในอดีตแบ่งออกเป็นเรือนชุนฟาน สวนดอกเหมย จวนหยวนโหรวและตำหนักสุ่ยจิง
จวนหยวนโหรวของสกุลหลิวธวัลทวีป หลิวโยวโจวทายาทสายตรงของเทพเจ้าแห่งโชคลาภหลิวเคยเป็นฝ่ายเสนอที่จะยกจวนทั้งหลังให้กับกำแพงเมืองปราณกระบี่ ปีนั้นอะไรที่สามารถย้ายไปจากจวนหยวนโหรวได้ กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ล้วนย้ายออกไปจนเกลี้ยงจริงๆ ดังนั้นผู้ฝึกกระบี่ทั่วทั้งนครบินทะยานในทุกวันนี้จึงเห็นแก่น้ำใจส่วนนี้อย่างมาก
ตำหนักสุ่ยจิ่งที่เป็นของสำนักอวี่หลงคือเรือนส่วนตัวเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับกำแพงเมืองปราณกระบี่
ส่วนเรือนชุนฟานของเซียนกระบี่เส้าอวิ๋นเหยียนและสวนดอกเหมยของถัวเหยียนฮูหยิน เนื่องจากมีการจัดวางค่ายกลตราผนึก หนึ่งสามารถหดย่อให้มีขนาดเล็กเท่าฝ่ามือได้ อีกหนึ่งสามารถ ‘ถอนรากถอนโคน’ ได้ ปีนั้นต่างก็ถูกย้ายเข้ามาในเมือง และสุดท้ายก็ติดตามนครบินทะยานมายังใต้หล้าห้าสี ถัวเหยียนฮูหยินอาศัยสิ่งนี้มา ‘สวามิภักดิ์’ ได้กลายมาเป็น ‘สาวใช้’ ของลู่จือ ได้รับการปกป้องจากนาง ทุกวันนี้ยังได้กลายเป็นสมาชิกผู้ถวายงานของศาลบรรพจารย์แห่งสำนักกระบี่หลงเซี่ยง หากว่าผู้ฝึกตนของไพศาลคิดอยากจะหาเรื่องนางก็ต้องชั่งน้ำหนักดูให้ดีว่าอยู่ดีๆ อาจต้อง ‘สละร่าง’ หรือ ‘ออกเดินทาง’ หรือไม่
และทั้งหมดนี้ ปีนั้นเฉินผิงอันคือผู้ที่มีบทบาทหลักในการผลักดันให้ดำเนินไป
เรือนชุนฟานถูกยกให้กับสายเฉวียนฝู่พร้อมกับหอภูษาและหอกระบี่
เกาเหย่โหววางงานในมือลง นำทางให้ด้วยตัวเอง พาเฉินผิงอันและเสี่ยวโม่ไปที่ห้องโถงใหญ่ของเรือนชุนฟานในอดีตด้วยกัน
อันที่จริงความเข้าใจที่เฉินผิงอันมีต่อช่องแคบและห้องลับมากมายในเรือนชุนฟาน เกรงว่าจะไม่น้อยไปกว่าเกาเหย่โหวเลย
ระหว่างนั้นเดินทางผ่านห้องบัญชีที่กลิ่นหอมน้ำหมึกเข้มข้นห้องแล้วห้องเล่า ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่สงสัยใคร่รู้ในตัวอิ่นกวานหนุ่ม มีคนไม่น้อยที่มาจากตระกูลเยี่ยนและตระกูลน่าหลัน ในนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งถือพัดยืนพิงกรอบประตูมองคนชุดเขียว แต่กลับไม่ได้เอ่ยทักทาย ราวกับว่าแค่ได้พบหน้าเขาสักครั้งก็พอใจแล้ว นางถือพัดที่หุบเข้าหากันอยู่ในมือ ก่อนจะนั่งลงไปบนม้านั่งปักลายได้ลูบสะโพกกลมกลึงเบาๆ หลีกเลี่ยงไม่ให้กระโปรงยับย่น
สตรีพลันหันกลับไปมองแล้วคลี่ยิ้มหวานให้กับนอกประตู นางมีลำดับอาวุโสต่ำกว่าน่าหลันไฉ่ฮ่วนที่เป็นประมุขในอดีต ตามทำเนียบตระกูล นางคืออาหญิงของน่าหลันอวี้เตี๋ย
น่าเสียดายที่บุรุษชุดเขียวที่ไม่เข้าใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ นอกประตูคนนั้นสายตามองตรงไม่แลมาทางนาง เดินก้าวเร็วๆ ผ่านระเบียงหน้าประตูไป
เฉินผิงอันถาม “สวนดอกเหมยแห่งนั้น จวนเฉวียนฟู่ของพวกเจ้าคิดจะมอบให้กับผู้ฝึกกระบี่หญิงขอบเขตหยกดิบคนถัดไปหรือ?”
เกาเหย่โหวพยักหน้า “ตั้งใจว่าจะทำเช่นนี้จริง ดูจากตอนนี้แล้ว หลัวเจินอี้ของสายอิ่นกวานพวกเจ้ามีความเป็นไปได้มากที่สุด”
ระหว่างนครบินทะยานกับภูเขาทั้งแปดลูกเริ่มมีการวาดอาณาเขตแบ่งแดนกันเพื่อใช้สำหรับสร้างเรือนส่วนตัวของเซียนกระบี่ในอนาคต
ยกตัวอย่างเช่นศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสามอย่างเซ่อโจวก็ควักเงินของตัวเองซื้อที่ดินแห่งหนึ่ง คิดว่าจะสร้างเรือนโป้จีขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
เพียงแต่ว่าอย่างเรือนเซียนปลูกอวี๋ หอถิงอวิ๋น เรือนว่านเฮ้อ คลังเจี่ยจ้าง ฯลฯ เรือนส่วนตัวของเซียนกระบี่เหล่านี้ล้วนเคยมีความลี้ลับมหัศจรรย์เป็นของตัวเอง จึงยากที่จะสร้างขึ้นมาได้ใหม่
เมื่อไม่มีแล้วก็คือไม่มีจริงๆ
เฉินผิงอันมาถึงห้องโถงใหญ่ที่คุ้นเคยอย่างถึงที่สุด หยุดชะงักอยู่ชั่วครู่ก็เดินก้าวธรณีประตูเข้าไป
เกาเหย่โหวนั่งอยู่ตรงธรณีประตู หันหลังให้กับลานบ้าน หันหน้าเข้าหาเก้าอี้พวกนั้น หยิบเหล้ากาหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ถามว่า “ดื่มหรือไม่?”
เฉินผิงอันเอนตัวพิงเสาต้นหนึ่ง สองแขนกอดอก มองเก้าอี้ที่เรียงรายอยู่สองแถวแล้วส่ายหน้า
หมี่อวี้ ซุนจวี้เฉวียน เกาขุย เยี่ยนหมิง น่าหลันไฉ่ฮ่วน
เซี่ยซงฮวา ลี่ไฉ่ ขู่เซี่ย หยวนชิงสู่ เซี่ยจื้อ ซ่งพิ่น ผูเหอ เส้าอวิ๋นเหยียน
บวกกับอิ่นกวานคนใหม่ที่มาถึงทีหลังสุด
ตอนนั้นผู้ฝึกกระบี่ที่เร่งรุดเดินทางไปยังภูเขาห้อยหัวมีทั้งหมดสิบสี่ท่าน
วันนี้มาย้อนนึกดูก็ถึงกับมีผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นมากยิ่งกว่า
เฉินผิงอันขยับเท้าเลือกไปนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ใกล้กับหน้าประตู นั่นคือตำแหน่งของเซียนกระบี่เส้าผู้เป็นเจ้าของเรือน มีความหมายว่าทำหน้าที่รับผิดชอบเฝ้าประตูตีสุนัข
เฉินผิงอันได้กลิ่นเหล้าหอมหวลที่ลอยมาจากหน้าประตูก็อดไม่ไหวหันหน้าไปถาม “เหล้าอะไร? ทำไมหอมจัง”
เกาเหย่โหวหัวเราะร่า “ได้ยินมาว่าคือเหล้าภูเขาชิงเสินที่รสชาติดั้งเดิมที่สุด ข้าให้คนแอบไปซื้อมาหนึ่งไหแล้วแบ่งใส่กาไว้ให้ตัวเองดื่มหลายๆ กา ราคาแพงมากจริงๆ กังวลว่าตัวเองจะดื่มรวดเดียวหมด แต่ตอนที่ซื้อเหล้าก็ได้บอกกล่าวกับทางร้านเหล้าไว้แล้วว่าห้ามพวกเขาป่าวประกาศออกไป ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเหล้านี้เป็นของจริงหรือของปลอม แต่พอชิมแล้วก็รู้สึกว่าคุ้มค่ากับราคานั้นจริงๆ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เหล้าจริงหรือปลอม ข้าไม่เคยดื่มมาก่อน ไม่กล้าบุ่มบ่ามวินิจฉัย แต่ว่าราคาน่ะหรือ เกรงว่าพี่เกาน่าจะต้องเสียเงินเปล่า กลายเป็นหมูที่ถูกเชือดแล้ว”
เกาเหย่โหวเพียงยิ้มรับ
มองเก้าอี้ทั้งหลายที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เฉินผิงอันเงียบงันไปนาน ในที่สุดก็เปิดปากเอ่ยว่า “เกาเหย่โหว จะต้องทำให้นครบินทะยานเป็นนครบินทะยานตลอดไปให้ได้นะ”
เกาเหย่โหวเอ่ยสัพยอก “คนผู้หนึ่งที่มาจากใต้หล้าไพศาล พูดจาเช่นนี้ ไม่ประหลาดไปหน่อยหรือ?”