กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 915.2 โต๊ะตัวหนึ่ง
เฉินผิงอันยกมือขวาขึ้นรวบรวมปราณวิญญาณฟ้าดินเป็นลูกกลมลูกหนึ่ง ใช้ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์กลุ่มหนึ่งมาทำเป็นเชือก ยกขึ้นสูง จากนั้นใช้มือซ้ายผลักลูกกลมเบาๆ
ลูกกลมส่ายโยนไปตามแรงผลัก เฉินผิงอันมองไปยังสองทิศทางที่ลูกกลมโยกไปครั้งแล้วครั้งเล่าแล้วเอ่ยพึมพำกับตัวเองว่า “ศิษย์พี่ชุยฉานผู้นั้นของข้าเคยเป็นอาจารย์ของโอรสสวรรค์ในทุกวันนี้ ได้ยินมาว่าปีนั้นเขาเคยให้ซ่งเหอที่ตอนนั้นยังเป็นองค์ชาย ได้เห็นจุดเริ่มต้นและจุดจบของเรื่องสองเรื่อง”
“หนึ่งคือเขตการปกครองแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมชายแดน หนึ่งคือสถานที่ที่ตั้งอยู่ในเมืองหลวง เกิดเรื่องน่าอายที่ไม่เล็กเหมือนกันทั้งสองสถานที่ วิธีจัดการของฝ่ายแรก อำมหิตอย่างถึงที่สุด ชาวประชาแค้นเคือง แค่ใช้กำลังสยบกำราบเอาไว้เท่านั้น สุดท้ายกลายเป็นเรื่องที่ราชการไม่ถามหาประชาชนไม่กล่าวถึง ราวกับว่าไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาก่อน ส่วนขุนนางที่อยู่ในเมืองหลวงจัดการได้อย่าง…งดงามมาก ไม่มีการปิดบังในส่วนที่ควรบอกกล่าวจริงๆ ทั้งฎีกาลับ เอกสารราชการ รายงานข่าว พอเรื่องนี้เกิดขึ้นก็มีการจัดการอย่างเหมาะสม มองดูเหมือนรอบคอบจนน้ำสักหยดก็เล็ดลอดออกมาไม่ได้ ทั้งไม่ได้ปิดบัง แล้วก็ไม่ได้กดเอาไว้ ตั้งแต่ต้นจนจบดูเหมือนว่าจะบอกกล่าวความจริงให้ผู้คนรับรู้ ดูเหมือนจะกระจ่างชัดเจนทุกอย่าง”
“แต่อันที่จริงแล้วในเรื่องนี้เป็นเพราะที่ว่าการในท้องถิ่นรู้กัน จึงสามารถจัดการกันเองให้เรียบร้อยได้ในเบื้องหลัง ต่อให้กรมอาญาของราชสำนักต้าหลีสืบสาวราวเรื่องก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีความผิดอะไรให้คิดบัญชีย้อนหลัง เนื่องจากไม่มีใครที่ละโมบติดสินบน แล้วก็ไม่มีใครบกพร่องต่อหน้าที่ อีกทั้งสำหรับชาวบ้านในเขตการปกครองแห่งนั้นแล้ว สภาพจิตใจของชาวบ้านดีมาก รู้สึกแค่ว่าทางการจัดการได้อย่างเหมาะสม ทำอะไรรวดเร็วฉับไว ทำให้คนรู้สึกสาแก่ใจ แต่ใต้หล้านี้ไม่มีกระดาษที่ห่อไฟได้มิด ขอแค่เรื่องราวถูกเปิดโปงก็มีแต่จะยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ คิดอยากจะทำให้เรื่องราวนี้ไม่ถึงขั้นเละเทะจนแก้ไขไม่ได้ก็ต้องใช้วิธีการที่ใหญ่ยิ่งกว่าสยบกำราบลงไป จำเป็นต้องปิดบังให้ได้ดียิ่งกว่าเดิม”
เกาเหย่โหวถาม “กังวลว่าการกระทำของผู้ฝึกกระบี่มากมายของนครบินทะยานในอนาคตจะเปลี่ยนจากสุดโต่งด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง ค่อยๆ กลายมาเป็นเหมือนขุนนางในเมืองหลวงต้าหลี ชำนาญในการทำเรื่องต่างๆ รอบคอบรัดกุม ฝึกกระบี่วางตัวอยู่ร่วมสังคม แต่ทำเรื่องต่างๆ เหมือนคนเป็นขุนนาง…ยิ่งนานวันก็ยิ่งเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก?”
“ไม่ต้องให้ข้าเป็นกังวล”
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เพราะต้องเกิดขึ้นแน่นอน”
เกาเหย่โหวบื้อใบ้ไปทันที
เฉินผิงอันสลายลูกกลมลูกนั้นทิ้ง เอ่ยเนิบช้าว่า “ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตล่างเจอกับผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลาง ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางเจอกับผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบน ผู้ฝึกกระบี่สองขอบเขตอย่างหยกดิบและเซียนเหรินเจอกับผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยาน แน่นอนว่าก็ยังมีคนที่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่เจอกับผู้ฝึกกระบี่”
“รอกระทั่งที่ว่าการทั้งสามแห่งรวมถึงคฤหาสน์หลบร้อนเป็นหนึ่งในนั้น พวกผู้ฝึกกระบี่มีตำแหน่งขุนนางแล้ว ยิ่งนานวันการแบ่งแยกระดับขั้นจะยิ่งชัดเจน เดินอยู่บนถนนยังจะกล้าทำเหมือนเมื่อก่อนที่เรียกต่งซานเกิง เรียกเฉินซีด้วยการเรียกเจ้าตรงๆ ว่าเกาเหย่โหว เรียกฉีโซ่วอย่างนั้นหรือ?”
“ศัตรูใหญ่ที่ตัดสินเป็นตายของผู้ฝึกตนก็คือตัวเอง สร้างโอสถทอง บ่มเพาะทารกก่อกำเนิด เผชิญหน้ากับจิตมาร รอกระทั่งเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนแล้วก็ต้อง ‘กลับสู่ธรรมชาติแสวงหาความจริง’ เหน็ดเหนื่อยยากลำบากไปตลอดทาง”
“ศัตรูของนครบินทะยานก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน”
“แต่ว่าเรื่องนี้ก็ไม่ต้องเป็นกังวลมากนัก ในเมื่อหลบเลี่ยงไม่พ้นก็ต้องเตรียมการไว้เสียแต่เนิ่นๆ อันที่จริงสถานการณ์ของนครบินทะยานดีมาก ปีนั้นข้ากับเซียนกระบี่โฉวเหมียวสองคนเคยทำการอนุมานร่วมกันเป็นการส่วนตัวอย่างคร่าวๆ ตอนนั้นข้าค่อนข้างมองโลกในแง่ร้าย ส่วนเซียนกระบี่โฉวเหมียวกลับมองโลกในแง่ดีมากกว่าหลายส่วน ไม่ต้องพูดถึงข้า หลายปีมานี้การพัฒนาของนครบินทะยานรุดหน้าไปมาก อีกทั้งยังมีระเบียบมีขั้นตอน เหนือเกินกว่าที่เซียนกระบี่โฉวเหมียวคาดการณ์ไว้มาก นี่แสดงให้เห็นว่าฉีโซ่วและเกาเหย่โหวทำได้ดีเพียงใด”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยิ้ม ยิ้มเอ่ย “มีโอกาสพัฒนาได้มาก แล้วก็มีภาระหนักหน่วงต้องฝ่าฟันบนเส้นทางที่ยาวนาน”
แต่เกาเหย่โหวกลับไม่ได้ลุกขึ้น ยังคงนั่งอยู่บนธรณีประตู เอ่ยว่า “อีกเดี๋ยวนครบินทะยานจะต้องสร้างสำนักศึกษาแล้ว เจ้าเห็นว่าอย่างไร มีเรื่องอะไรที่ต้องระวังเป็นพิเศษหรือไม่ ทุกวันนี้สายสิงกวานดูแลเรื่องนี้จึงไม่ค่อยยินดีให้คนอื่นมายุ่งเกี่ยวด้วยมากนัก ดังนั้นหากเจ้ามีความคิดอะไร ข้าฟังแล้วก็จะได้ไปบอกกล่าวกับทางคฤหาสน์หลบร้อนก่อน รอให้มีการประชุมศาลบรรพจารย์ครั้งหน้า อะไรที่ควรเสนอก็จะเสนอ อะไรที่ควรโต้แย้งก็จะโต้แย้ง ไม่ต้องให้เจ้าออกหน้าเป็นคนเลว”
เฉินผิงอันส่ายหน้าเอ่ย “อันที่จริงข้าไม่มีความคิดอะไรหรอก ฉีโซ่วคนนี้ไม่ได้มีความเห็นแก่ตัวที่เล็กน้อยอะไร ทั้งสายตาและความใจกว้างเขาล้วนมีครบถ้วน”
คนผู้หนึ่งที่สายตายาวไกลย่อมไม่ง่ายที่จะกระหายในความสำเร็จและผลประโยชน์เฉพาะหน้า
มีความทะเยอทะยาน ปณิธานสูงส่งยาวไกล เดิมทีก็คือคำศัพท์คู่หนึ่งที่มีความหมายใกล้เคียงกันอยู่แล้ว
ดูเหมือนเกาเหย่โหวจะไม่คิดปล่อยเฉินผิงอันไปง่ายๆ จึงถามว่า “เกี่ยวกับคำเรียกขานของสำนักศึกษา และยังมีกรอบป้าย กลอนคู่ จะให้ใครเป็นคนเขียน?”
เฉินผิงอันจึงได้แต่นั่งกลับลงไปบนเก้าอี้ “ในบรรดาชาวบ้านลี้ภัยของฝูเหยาทวีปไม่ขาดแคลนผู้รอบรู้ด้านการประพันธ์ที่มีความรู้เต็มเปี่ยม น้ำหมึกน้อยนิดในท้องของข้านั้นนำมอบให้กับตราประทับสองเล่มหมดไปนานแล้ว”
เกาเหย่โหวมีชาติกำเนิดจากตลาดระดับล่างสุด นับแต่เด็กมาก็มีชีวิตพึ่งพากันและกันกับน้องสาว เคยทำงานระยะสั้นมามากมาย ไม่ว่าเงินอะไรก็พยายามหามา ครั้งแรกในชีวิตที่ไปถนนไท่เซี่ยงก็คือหลังจากที่กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่แล้วไปที่สนามรบ ได้รับความโปรดปรานจากเซียนกระบี่ผู้อาวุโสน่าหลันเซาเหว่ย จากนั้นถูกตระกูลน่าหลันรับตัวเป็นอาจารย์กระบี่ประจำตระกูล ผ่านไปอีกไม่กี่ปี เกาเหย่โหวก็ได้กลายเป็นลูกเขยของตระกูลน่าหลัน แต่งงานกับสตรีวัยเดียวกันผู้เพียบพร้อมด้วยศีลธรรมอันงาม นางเองก็เป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งเหมือนกัน เพียงแต่ว่าทั้งรูปโฉมและคุณสมบัติของสตรีล้วนธรรมดาอย่างมาก อันที่จริงแรกเริ่มน่าหลันเซาเหว่ยอยากจะให้เกาเหย่โหวแต่งงานกับคนอีกผู้หนึ่ง แต่เกาเหย่โหวกลับไม่ตอบตกลง
นครบินทะยานและนครใต้อาณัติสี่แห่งที่อยู่รอบด้านต่างก็สร้างโรงเรียนขึ้นมา ช่วงเวลาอันใกล้นี้ก็มีการเตรียมการสร้างสำนักศึกษา
การเล่าเรียนรู้จักตัวอักษรของพวกเด็กๆ นอกจากตำรา ‘พจนานุกรมอธิบายตัวอักษร’ ที่คฤหาสน์หลบร้อนแนะนำอย่างเต็มที่ในช่วงแรกเริ่มสุดแล้ว แหล่งที่มาของตัวอักษรส่วนใหญ่ล้วนมาจากป้ายศิลาที่กระจายอยู่ตามตรอกน้อยใหญ่ของนครบินทะยาน ไม่ได้มาจากตำราชั้นประถมที่ใช้กันทั่วเก้าทวีปของใต้หล้าไพศาล
ป้ายหินเก่าแก่ที่ในอดีตใครก็ไม่เห็นเป็นสำคัญ ทุกวันนี้ต่างก็ถูกรวบรวมและย้ายมาไว้ในโรงเรียนทั้งหลาย ราวกับมีป่าป้ายศิลาขนาดเล็กปรากฎขึ้นแห่งแล้วแห่งเล่า
ป้ายศิลาและหินแกะสลักบันทึกเรื่องราวหลายแห่งตัวอักษรหลุดลอกเซาะกร่อน ยากจะแยกแยะ บ้างก็เป็นอักษรแบบหวัดบ้างก็เป็นอักษรแบบบรรจง ตัวอักษรล้วนแข็งแกร่ง แสดงให้เห็นถึงพละกำลังยามตวัดพู่กัน เป็นรูปแบบที่แตกต่างจากตัวอักษรในโลกยุคหลังอย่างสิ้นเชิง
หินหลายก้อนหร็อมแหร็มบางตา ตัวอักษรโบราณเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ หากไม่เป็นคนที่ว่างงาน ใครเล่าจะยินดีมาอ่านมัน
ในโรงเรียนเด็กเล็กนอกจากพวกอาจารย์ที่รู้จักตัวอักษรแล้ว ยังมีวิชาคำนวณและวิชาภูมิศาสตร์อีกสองวิชาที่พวกเด็กๆ ต้องเรียนและต้องสอบ อย่างหลังมีคฤหาสน์หลบร้อนและสายสิงกวานร่วมแรงกันเรียบเรียงเป็นรูปเล่ม แนะนำขุนเขาสายน้ำและผลผลิตในแต่ละพื้นที่ของใต้หล้าสี
ส่วน ‘พจนานุกรมอธิบายตัวอักษร’ เล่มนั้น ผู้ที่เรียบเรียงคืออาจารย์สวี่ที่ถูกใต้หล้าไพศาลขนานนามให้เป็น ‘จื้อเซิ่ง (อริยะด้านตัวอักษร) แห่งเส้าหลิง’
นอกจากนี้ตำราของสามลัทธิก็เห็นได้ชัดว่าคฤหาสน์หลบร้อนคัดเลือกมาอย่างรอบคอบระมัดระวังยิ่ง ยกตัวอย่างเช่นตำราของลัทธิขงจื๊อมีแค่เล่มเดียวคือ ‘หลี่จี้’
ส่วน ‘เชวี่ยนเซวี๋ย’ ที่ถือว่าเลือกมาโดยเฉพาะก็ไม่ใช่เพราะเป็นหนังสือของซิ่วไฉเฒ่าอาจารย์ของอิ่นกวาน คฤหาสน์หลบร้อนถึงได้ทำการแนะนำความรู้ตำราของสายเหวินเซิ่งอย่างกว้างขวาง
ลัทธิเต๋าคือ ‘คัมภีร์หวงถิง’ ลัทธิพุทธคือ ‘คัมภีร์เหลิงเหยียน’
อันที่จริงหากสืบสาวราวเรื่องกันแล้ว โรงเรียนทุกแห่งมีวัตถุประสงค์เพียงหนึ่งเดียว นั่นคือรับรองว่าพวกเด็กๆ ของนครบินทะยานจะสามารถอ่านออกเขียนได้
ไม่ต้องรู้ไปเสียทุกเรื่อง แต่ไม่อาจไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง
เฉินผิงอันถามชวนคุย “สถานการณ์การโดดเรียนของที่โรงเรียนมีเยอะหรือไม่?”
เกาเหย่โหวรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย “เยอะสิ ทำไมจะไม่เยอะล่ะ ทางโรงเรียนต้องจัดหาอาจารย์สอนหนังสือหลายคนมาไว้เป็นพิเศษ คอยไปดักรอตามตรอกตามถนนเส้นต่างๆ แล้วจับกลับไปทีละคน ไม่ต่างจากจับลูกเจี๊ยบเลย หากมีคนหนีก็จับกลับมาอีก ทุกวันต้องคอยประลองปัญญาประลองความสามารถกัน ตอนนี้ถือว่าดีมากแล้ว แรกเริ่มนั้นโรงเรียนแทบจะว่างเปล่าทุกวันเลยทีเดียว ไม่ว่าจะโน้มน้าวอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ ก็แค่ไม่ยินดีจะเรียนหนังสือ นับตั้งแต่เด็กๆ ไปจนถึงพวกพ่อแม่ดูเหมือนจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าอาย ทางศาลบรรพจารย์ยังเคยยกเรื่องนี้มาประชุมเป็นการเฉพาะ ข้าเกือบจะทนไม่ไหวเสนอว่าควรจะจ่ายเงินให้คนที่ไปเรียนดีหรือไม่ เงินไม่กี่แดงที่มอบให้เด็กคนหนึ่งทุกวัน เฉวียนฝู่ย่อมจ่ายไหวอยู่แล้ว เพียงแต่ฉีโซ่วปฏิเสธ แนะนำข้าว่าอย่าเปิดปากเอ่ยเช่นนี้เด็ดขาด”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ฉีโซ่วคิดถูกแล้ว ไม่อาจเปิดปากเอ่ยเรื่องนี้ได้”
เอ่ยถึงเรื่องนี้แล้วเกาเหย่โหวกลับพูดอีกไม่น้อย ไม่ดื่มเหล้าแล้ว ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม พูดเจื้อยแจ้วว่า “ผ่านไปอีกสองสามปี เด็กที่ยินดีมาเรียนมีเพิ่มมากขึ้นอีกหน่อย ผลกลับกลายเป็นว่ามีปัญหาอย่างใหม่อีก พวกเด็กๆ ที่มีชาติกำเนิดจากถนนไท่เซี่ยง ตรอกอวี้ฮู่กับพวกสหายร่วมห้องที่มาจากตรอกยากจน พอพูดไม่เข้าหูกันคำเดียวก็ตีกันทันที ชอบจับกลุ่มรุมตีกัน เดิมทีก็รู้สึกว่าเรียนหนังสือน่าเบื่ออยู่แล้ว ยังคงเป็นการต่อยตีกันที่สนุกกว่า ส่วนใหญ่อาจารย์ที่สอนหนังสือยังเป็นพวกที่ชอบพูดจาคลุมเครือฟังเข้าใจยาก พวกเด็กๆ จึงวุ่นวายอลหม่าน ดังนั้นพวกคนที่ไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือที่โรงเรียนเมื่อหลายปีก่อน แต่ละคนล้วนโอดครวญ คำพูดติดปากในแต่ละวันก็คือสอนไม่ไหวแล้ว สอนไม่ไหวแล้ว นอกจากจะตีกันในโรงเรียนซึ่งไม่สามารถปลดปล่อยฝีมือกันได้เต็มที่แล้ว ทุกวันไม่ทันรอให้เลิกเรียนคนสองกลุ่มก็นัดตีกันเรียบร้อย พวกอาจารย์สอนหนังสือไม่รู้ว่าควรจะควบคุมอย่างไรดี แล้วก็ไม่สะดวกจะเข้าไปควบคุมด้วย วันที่สองที่ไปเรียน แต่ละคนหน้าเขียวจมูกบวม ทำเอาพวกอาจารย์เห็นแล้วทั้งโมโหทั้งขำขัน”
“พูดถึงเรื่องนี้ก็ต้องขอบคุณกวอจู๋จิ่วให้ดีจริงๆ มีนางเป็นผู้นำ ตั้งกฎในยุทธภพหลายข้อให้กับพวกเด็กๆ ถือเป็นข้อตกลงสามข้อกระมัง หากคนทั้งสองอยากจะคลี่คลายความแค้นในยุทธภพ อันดับแรกสองฝ่ายจำเป็นต้องมีเพียงเท้าเปล่ามือเปล่า อันดับสองคือต้องเคยเรียนวรยุทธและฝึกวิชาหมัดมาก่อน คนที่ไม่อาจลงสนามไปต่อสู้ ได้แต่ทำหน้าที่เป็นแม่ทัพผู้กุมอำนาจสำคัญที่รับผิดชอบโยกย้ายกองกำลังเท่านั้น อันดับสาม ก่อนจะลงมือจำเป็นต้องวางกระเป๋าหนังสือเอาไว้ให้ดีเสียก่อน ให้ใครสักคนสองคนเฝ้าเอาไว้ ไม่ว่าใครก็มิอาจเอากระเป๋าหนังสือไปเป็นอาวุธได้ ใครกล้าทำลายตำราที่อยู่ข้างในก็อย่ามาโทษที่นางจะไม่เกรงใจเห็นแก่ความยุติธรรมไม่ไว้หน้าใครเลือกหาตัวขุนนางตรวจตราสนามรบขึ้นมาด้วยตัวเอง สุดท้ายบุญคุณความแค้นในยุทธภพก็ต้องจบลงในยุทธภพเท่านั้น ใครก็ห้ามลงมือในโรงเรียน ไม่อย่างนั้นก็เท่ากับว่าทำอะไรไม่รู้จักพิถีพิถันแล้ว ไม่ถือว่าเป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพที่แท้จริง”
เฉินผิงอันกลั้นขำ “จู๋จิ่วไปถึงภูเขาลั่วพั่วไม่เห็นเล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟังเลย”
เกาเหย่โหวพลันถามว่า “เจ้ามีลูกศิษย์คนหนึ่งที่ชื่อเผยเฉียนใช่ไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ทำไมหรือ?”
เกาเหย่โหวยิ้มเอ่ย “กวอจู๋จิ่วที่เป็นราชาของกลุ่มเด็กๆ ไม่ได้กลายเป็นประมุขแห่งพันธมิตรในยุทธภพ นางบอกว่านางมีศิษย์พี่หญิงคนหนึ่งชื่อว่าเผยเฉียน ตัวสูงมาก ทั่วร่างเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตชีวา หมัดเท้าร้ายกาจยิ่ง ดังนั้นนางจึงเป็นได้แค่กุนซือหัวสุนัขเท่านั้น”
เฉินผิงอันกลั้นขำอย่างหนัก
มีแต่อยู่กับกวอจู๋จิ่วเท่านั้นที่เผยเฉียนจนปัญญาอย่างสิ้นเชิง เรื่องนี้ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล
เกาเหย่โหวจุ๊ปากเอ่ยอย่างประหลาดใจ “เจ้าจินตนาการได้หรือไม่ ภายหลังเด็กในโรงเรียนร้อยกว่าคนพากันไปที่สนามรบที่นัดหมายกันไว้ด้วยขบวนทัพเกรียงไกร แบ่งคนออกเป็นสองกลุ่ม พากันกรูขึ้นไปบนสนามรบ ถึงกับใช้การตีโอบตีขนาบชนิดต่างๆ แบ่งกองกำลังออกลอบโจมตี ใช้กลยุทธในสนามรบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอให้หิมะตกในช่วงฤดูหนาว นั่นต้องเรียกว่าคึกคักสุดๆ โรงเรียนสี่แห่งในนครใต้อาณัติต่างก็มารวมตัวกันที่นครบินทะยานแห่งนี้ เด็กๆ หลายร้อยคนเบียดเสียดกันอยู่ที่ถนนไท่เซี่ยง ในบรรดานั้นยังมีคนไม่น้อยที่สวมกางเกงเปิดก้น ทำสงครามขว้างหิมะใส่กัน ทั้งยังคอย ‘เปิดประตูเมือง’ อยู่เป็นระยะ ปล่อยกองกำลังทหารที่ดักซุ่มกองหนึ่งออกมาจากจวนหลังหนึ่ง”
เฉินผิงอันถาม “มีเจ้าตะพาบน้อยที่แอบเอาหิมะหุ้มก้อนหินปาหัวคนหรือไม่?”
เกาเหย่โหวไม่พูดตอบโต้ มีจริงๆ นั่นแหละ
เกาเหย่โหวเหล่ตามอง “มีพวกเจ้าลูกกระต่ายน้อยบางคนที่ก่อนจะตีกันชอบม้วนชายแขนเสื้อม้วนกางเกงขึ้นอย่างช้าๆ เอาอย่างใครบางคนได้เหมือนจริงยิ่งนัก”
เฉินผิงอันหัวเราะเสียงดังลั่น
อดีตอิ่นกวานแห่งคฤหาสน์หลบร้อนคนหนึ่ง กับเทพเจ้าแห่งโชคลาภของสายเฉวียนฝู่
ยามคุยถึงเรื่องที่พวกเด็กๆ จับกลุ่มตีกันถึงกับคุยกันหน้าบานเป็นกระด้ง เสียงหัวเราะดังไม่ขาดสาย
เฉินผิงอันออกมาจากจวนเฉวียนฝู่ มาถึงถนนไท่เซี่ยงก็เป็นยามสนธยาที่แสงอาทิตย์เจือจางลงแล้ว
ทอดสายตามองไปยังทิศไกล ฝูงนกพากันบินกลับรัง
นครบินทะยานคือนครแห่งหนึ่งที่ไม่มีกำแพงเมืองโอบล้อม
เพราะว่าไม่จำเป็น
เขาพาเสี่ยวโม่ไปถึงนอกประตูของจวนแห่งหนึ่ง
จวนเฉินแห่งถนนไท่เซี่ยง
ที่นี่จะต้องมีดวงอาทิตย์ดวงหนึ่งที่ผุดผงาดขึ้นมา และอีกไม่นานก็จะทำให้ตลอดทั้งใต้หล้าห้าสีต้องหันมามองเสียใหม่
เนื่องจากเจ้าของจวนแห่งนี้ตัวจริงยังคงเป็นเฉินซี
กำแพงเมืองปราณกระบี่ในอดีต เกี่ยวกับพลังการสู้รบสูงต่ำของเซียนกระบี่กลุ่มน้อยที่อยู่บนยอดเขาสูงสุดเป็นเรื่องที่ผู้คนถกเถียงกันมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่งซานเกิง เซียวสวิ้น เฉินซีและฉีถิงจี้สี่คนนี้ ลำดับขั้นอย่างเป็นรูปธรรมเป็นเช่นไร ผู้คนพากันวิจารณ์ไปหลากหลาย
——