กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 915.3 โต๊ะตัวหนึ่ง
แน่นอนว่าเฉินผิงอันก็อยากรู้มาก ดังนั้นมีครั้งหนึ่งที่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสมาเป็นแขกที่คฤหาสน์หลบร้อน เขาจึงถามคำถามข้อนี้ เดิมทีเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสไม่เคยเข้าร่วมกับการจัดอันดับรายชื่อที่ไม่สลักสำคัญอะไรพวกนี้ คงเพราะรู้สึกว่าอิ่นกวานคนใหม่ไม่มีคุณความชอบก็มีคุณความเหนื่อยยาก จึงยอมแหกกฎให้คำตอบที่ไม่ถือว่าเป็นคำตอบ พลังพิฆาตคือต่งซานเกิงที่ใหญ่ที่สุด กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตคือเซียวสวิ้นที่มีมากสุดดีสุด เวทกระบี่คือฉีถิงจี้ที่สูงที่สุด คุณสมบัติบนวิถีกระบี่คือเฉินซีที่เป็นอันดับหนึ่ง ต่งซานเกิงแพ้ที่ตอนเป็นหนุ่มเคยบาดเจ็บสาหัสเกินไป เซียวสวิ้นแพ้ที่จิตใจไม่มั่นคง ฉีถิงจี้แพ้ที่ไม่บริสุทธิ์มากพอ เฉินซีแพ้ที่เรือนกายอ่อนแอทั้งจิตใจยังสูงส่งเกินไป
เฉินจีที่มีรูปโฉมเป็นเด็กหนุ่ม
ไม่รอให้เฉินผิงอันคารวะ เฉินจีก็โบกมือเอ่ยว่า “ไม่ต้อง ทั้งสองฝ่ายจะได้ไม่ต้องพิพักพิพ่วนกัน”
สาวใช้คนนั้นกุมหมัดเอ่ย “เฉินฮุ่ยคารวะใต้เท้าอิ่นกวาน”
เฉินผิงอันยิ้มกุมหมัดกลับคืน “ยินดีกับแม่นางเฉินด้วยที่เลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบ”
หากไม่เป็นเพราะสถานะและขอบเขตของเฉินฮุ่ยในทุกวันนี้ไม่สะดวกจะแพร่งพรายออกไป สวนดอกเหมยที่อยู่นอกนครบินทะยานแห่งนั้นก็จะต้องตกเป็นเรือนส่วนตัวเซียนกระบี่ของนางแล้ว
ในห้องมีสองคนนั่งสองคนยืน
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยแนะนำ “โม่เซิง ฉายาสี่จู๋ เรียกเขาว่าเสี่ยวโม่ก็แล้วกัน คือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง มาจากใต้หล้าเปลี่ยวร้าง หลับสนิทอยู่ในดวงจันทร์เฮ่าไฉ่มานานหลายปี เคยถามกระบี่กับหยวนเซียง แล้วก็เคยฟันหย่างจื่อและจูเยี่ยน”
ความนัยในประโยคนี้ก็คือ โม่เซิงเป็นแค่ผู้ฝึกกระบี่เต็มตัวคนหนึ่ง ไม่เคยมีบุญคุณความแค้นอะไรกับกำแพงเมืองปราณกระบี่
ต่อให้เฉินฮุ่ยจะมีจิตแห่งมรรคามั่นคงหนักแน่น เวลานี้ก็ยังยากจะปิดบังสีหน้าตื่นตะลึงเอาไว้ได้
แล้วก็เพราะว่าเป็นคำพูดที่ออกมาจากปากของอิ่นกวานหนุ่ม ไม่อย่างนั้นนางจะคิดแค่ว่าเป็นเรื่องขบขันเท่านั้น
ผู้ฝึกกระบี่บรรพกาลคนหนึ่งที่มีอายุยาวนานถึงหมื่นปีแล้ว? เป็นคนรุ่นเดียวกันกับพวกหลงจวิน กวานจ้าว หยวนเซียง?
เสี่ยวโม่ประสานมือคารวะ “เสี่ยวโม่คารวะเซียนกระบี่ผู้อาวุโสเฉิน”
เฉินจีเองก็ตกตะลึงไม่น้อย ลุกขึ้นกุมหมัดเอ่ย “ผู้ฝึกกระบี่เฉินซีแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ เป็นเกียรติที่ได้พบ”
เฉินผิงอันลุกขึ้นพร้อมกับเฉินจีก่อนจะนั่งลงอีกครั้ง
เฉินจีถาม “ต้องการให้ข้าช่วยหาวิธีให้เจ้าเข้าประชุมในศาลบรรพจารย์หรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ครั้งนี้ช่างเถิด”
เฉินจีเองก็ไม่บังคับ เพียงยิ้มถามว่า “ไม่จัดงานเลี้ยงสุราหรือ?”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างเขินอาย “ฉุกละหุกไปหน่อย คราวหน้ากลับมาที่นี่ต้องจัดงานเลี้ยงสุราแน่นอน”
เฉินจีไม่เห็นเป็นสำคัญ “ฉุกละหุก? ฉุกละหุกอะไร เรื่องแบบนี้คงไม่ควรให้หนิงเหยาเปิดปากพูดเองกระมัง ถึงอย่างไรนางก็เป็นสตรี ข้าล่ะแปลกใจนัก เจ้าก็ไม่ถือว่าเป็นคนขี้ขลาดนี่นา ทำไมถึงเว้นเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวที่อืดอาดชักช้าเช่นนี้ อีกอย่าง ต่อให้ไม่จัดงานเลี้ยงสุราก็ไม่รู้จักทำให้ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกบ้างเลยหรือ?”
เฉินผิงอันฟังด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน ทว่าอีกฝ่ายเป็นผู้อาวุโสจึงไม่สะดวกจะเอ่ยอะไร
เฉินจีส่ายหน้า เพียงแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรมาก คำพูดที่อาศัยความอาวุโส พูดมากไปก็ง่ายที่จะทำให้คนรังเกียจ เพียงแค่ถามเฉินผิงอันถึงสถานการณ์ล่าสุดของเฉินซานชิว ฟังขั้นตอนการออกหาประสบการณ์คร่าวๆ ของเฉินซานชิว เห็นได้ชัดว่าเฉินจีไม่ค่อยพึงพอใจนัก ให้คำวิจารณ์ประโยคหนึ่งว่าเหยียบเปลือกแตงโม จากนั้นก็ถามถึงสถานการณ์การฝึกตนของพวกเด็กรุ่นเยาว์สองรุ่นที่ออกไปจากบ้านเกิดอย่างต่งฮว่าฝู เยี่ยนจั๋วและเฉินหลี่ เกาโย่วชิง กลับเป็นเรื่องนี้ที่ทำให้เฉินจีพอใจอย่างมาก
เฉินจีถาม “สำนักกระบี่หลงเซี่ยงของฉีถิงจี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “รับผู้ฝึกกระบี่สิบกว่าคนมาเป็นลูกศิษย์ ทุกวันนี้เจ้าสำนักฉีรับหน้าที่เฝ้าท่าเรือแห่งหนึ่งที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง”
“ลำบากเขาแล้ว”
เฉินจีเอ่ยเย้ยหยัน “ล้วนเปลี่ยนแปลงกันไปได้จริงๆ”
เฉินจีพลันเอ่ยถาม “เจ้าคิดว่าฉีโซ่วรับหน้าที่เป็นเจ้านคร เหมาะสมหรือไม่?”
เฉินผิงอันเอ่ย “สามารถลองดูไปสักสองสามปีก่อนได้ จะดีจะชั่วฉีโซ่วก็เลื่อนขั้นเป็นเซียนเหรินแล้ว อันที่จริงเหมาะหรือไม่เหมาะยังต้องเป็นฉีโซ่วที่ตัดสินใจด้วยตัวเอง”
เฉินจีพยักหน้า ถือว่ายอมรับคำกล่าวนี้ของอิ่นกวานหนุ่มแล้ว
ทว่าผู้ฝึกกระบี่ของนครบินทะยานในทุกวันนี้ยังไม่รู้ว่า คนสองคนที่หวังอยากให้ฉีโซ่วรับตำแหน่งเจ้านครอีกทั้งยังเป็นเจ้านครที่ดีมากที่สุดก็คือคนสองคนในห้องนี้
เฉินผิงอันหวังให้ฉีโซ่วนั่งตำแหน่งเก้าอี้อันดับหนึ่งที่เว้นว่างไว้ชั่วคราวนั้นให้มั่นคง ขอแค่ฉีโซ่วสามารถสยบใจคนได้อย่างแท้จริง ถ้าอย่างนั้นหนิงเหยาก็ไม่ต้องเสียสมาธิอีก
เฉินจีนั้นเป็นเพราะตัวเขาเองไม่ใคร่อยากจะเป็นเจ้านครอะไรนั่น ความคิดจิตใจที่มากกว่านั้นในทุกวันนี้ยังต้องอยู่ที่ว่าจะสามารถพัฒนารุดหน้าไปอีกขั้นจากขอบเขตการฝึกตนของชาติที่แล้วได้หรือไม่
แต่การที่เฉินจีรับหน้าที่เป็นเจ้านคร เคยเป็นการจัดการด้วยตัวเองของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส คนที่รู้เรื่องนี้นอกจากตัวของเฉินจีเองแล้วก็มีแค่อิ่นกวานหนุ่มเท่านั้น
เฉินจียังกลัวจริงๆ ว่าเจ้าเด็กเฉินผิงอันจะไร้คุณธรรม เพื่อให้หนิงเหยาสบายมากขึ้นสักหน่อย วันใดวันหนึ่งในศาลบรรพจารย์อาจจะยกเอา ‘โองการฉบับนี้’ ออกมาต่อหน้าทุกคน
เฉินจีถามอีก “ผู้ถวายงานและเค่อชิงของนครบินทะยานในวันหน้า จำเป็นต้องกำหนดจำนวนที่แน่นอนหรือไม่?”
เฉินผิงอันครุ่นคิด “หากตามความเห็นของข้า ทางที่ดีที่สุดจำนวนคนไม่ควรเกินสามส่วนของศาลบรรพจารย์”
เฉินจีถาม “วันหน้าเติ้งเหลียงหลุดพ้นไปจากนครบินทะยาน สำนักเบื้องล่างของภูเขาจิ่วตูที่เขาสร้างขึ้น นครบินทะยานของพวกเราควรจะต้องดีมาดีตอบ จัดหาผู้ถวายงานอันดับหนึ่งให้สักคนหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่จำเป็นต้องจับตามอง จุดประสงค์ชัดเจนเกินไป จะกลายเป็นเส้นสายแฝงที่เต็มไปด้วยภัยอันตรายรายล้อม หากแตกกิ่งก้านสาขาออกไปก็จะเป็นต้นกำเนิดที่ทำให้สำนักเบื้องล่างของเติ้งเหลียงแตกแยกกับนครบินทะยาน”
เฉินจียิ้มเอ่ย “ข้ากลับรู้สึกว่าทำให้ชัดเจนน่าจะดีกว่าหน่อย หลีกเลี่ยงไม่ให้โลภมากลาภหาย นครบินทะยานไม่มีเวลามาคอยปลอบใจคน ปัญหาบางอย่างก็ขาดแค่การตีกระทบจึงปรากฏขึ้นมา”
เฉินผิงอันยิ้มน้อยๆ “ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่สถานการณ์เร่งด่วน ถ้าอย่างนั้นก็เอาไว้ค่อยประชุมกันอีกทีดีไหม?”
เฉินจีพยักหน้า “ได้สิ”
หลังจากเฉินผิงอันและเสี่ยวโม่จากไป เฉินจีก็อ่านหนังสือต่อ เฉินฮุ่ยยืนอยู่ด้านข้างอย่างเงียบเชียบ นางเติบโตมาในจวนเฉินตั้งแต่เด็ก เป็นทั้งนักรบพลีชีพ และยิ่งเป็นนักฆ่า
เฉินจีถาม “เป็นอย่างไร?”
เฉินฮุ่ยตอบอย่างนอบน้อม “หากเป็นศัตรูกับบ่าว บ่าวก็ไม่มีโอกาสชนะเลยแม้แต่น้อย”
เฉินจียิ้มถาม “หากถูกลอบฆ่าในสนามรบ หรือไม่ก็เป็นการลอบฆ่าที่เตรียมการมาอย่างตั้งใจ?”
เฉินฮุ่ยส่ายหน้า “เกินครึ่งบ่าวน่าจะพาตัวไปตายเสียมากกว่า”
เฉินจียิ้มเอ่ย “รู้หรือไม่ว่าอะไรที่เรียกว่าผู้มีพรสวรรค์ที่แท้จริง? แบ่งออกเป็นสองประเภท ประเภทแรกคืออย่างหนิงเหยาที่สามารถมีขอบเขตเหนือกว่าฉีโซ่ว เกาเหย่โหวสองขั้นได้อย่างสบายๆ และยังมีอีกประเภทหนึ่งคือคนอย่างเฉินผิงอัน เฝ่ยหรานและโซ่วเฉิน ขอแค่เข่นฆ่าสังหารกับคนขอบเขตเดียวกันก็สามารถอยู่ในสถานะมิพ่ายได้”
เฉินฮุ่ยเป็นฝ่ายเอ่ยถามอย่างที่หาได้ยาก กล่าวอย่างระมัดระวังว่า “นายท่าน ใต้หล้าห้าสีสามารถรองรับผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ได้กี่คน?”
เฉินจีเปิดหน้าหนังสือเบาๆ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สามารถมีขอบเขตสิบสี่ได้หลายคน หรือจะมีแค่คนเดียวก็ได้ ก็แค่ต้องดูที่ท่าทีของบุคคลอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า”
ท่ามกลางแสงสายัณห์ ในตรอกเก่าโทรมแห่งหนึ่ง เรือนหลังเล็กแห่งหนึ่งมีแสงไฟสลัวราง เหนี่ยนซินที่มีฐานะเป็นบุคคลอันดับสองของสายสิงกวาน หลายปีมานี้นางพักอยู่ที่นี่มาโดยตลอด เกี่ยวกับตัวตนของนาง จนถึงทุกวันนี้ก็ยังคงเป็นปริศนา เพียงแต่ไม่มีใครกล้าซักไซ้ไล่เรียง เพราะถึงอย่างไรนางก็เป็นคนที่มีสิทธิ์ตัดสินใจของสายผู้ฝึกยุทธ์คฤหาสน์หลบหนาว แล้วยังดูแลคุกแห่งหนึ่ง สถานะและตำแหน่งล้วนเหนือเกินกว่าเฒ่าหูหนวกในอดีต
วันนี้มีแขกมาเยือนอย่างที่หาได้ยาก เหนี่ยนซินเปิดประตูเรือน พาเฉินผิงอันและผู้ฝึกตนหนุ่มคนหนึ่งที่สวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียวเข้ามาในห้องหลัก
เฉินผิงอันหยิบกระบอกยาสูบอันนั้นออกมา เพียงไม่นานก็เริ่มพ่นควันขโมง
เหนี่ยนซินขมวดคิ้วถาม “เกิดอะไรขึ้น?”
เดิมทีนึกว่าไม่ว่าอย่างไรบุรุษที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ก็น่าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งได้แล้ว แล้วยังต้องบวกกับชั้นคืนความจริงของผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง
เฉินผิงอันอธิบาย “ไปเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร้างมารอบหนึ่ง ราคาที่ต้องจ่ายไม่น้อย ขอบเขตถดถอยค่อนข้างมาก”
เหนี่ยนซินพยักหน้า ไม่ซักถามอย่างละเอียด
เสียงเคาะประตูดังขึ้น เสี่ยวโม่ไปเปิดประตูก็เห็นบุรุษที่เรือนกายหลังค่อมคนหนึ่ง มือหนึ่งหิ้วกาเหล้า มือหนึ่งถือเนื้อหมักเต้าเจี้ยวห่อกระดาษน้ำมัน เสี่ยวโม่รีบส่งยิ้มไปให้ เพราะจำอีกฝ่ายได้จึงประสานมือคารวะ “โม่เซิงผู้ถวายงานแห่งภูเขาลั่วพั่วคารวะอาจารย์เจิ้ง อาจารย์เจิ้งเรียกข้าว่าเสี่ยวโม่ก็ได้”
บุรุษมีสีหน้ากระอักกระอ่วน “ทำไมรู้สึกเหมือนจับชู้ได้คาเตียงเลยล่ะ”
เหนี่ยนซินหันไปมองทางหน้าประตูเรือน นางหน้าดำทะมึน ตวาดว่า “เจิ้งต้าเฟิง เจ้าพูดจาระวังปากหน่อย!”
เจิ้งต้าเฟิงคลี่ยิ้มกว้าง ผงกศีรษะให้กับเสี่ยวโม่ ในเมื่อเป็นคนบ้านเดียวกันก็ไม่ต้องโอภาปราศรัยกันแล้ว เดินก้าวยาวๆ เข้าไปในลานบ้าน พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เจ้าขุนเขา ข้าต้องอธิบายให้ดีๆ สักหน่อย อันที่จริงข้าไม่ได้มาที่นี่บ่อยหรอกนะ ไม่สนิทกับแม่นางเหนี่ยนซินเลยแม้แต่น้อย”
หลังจากนั่งลงแล้ว เจิ้งต้าเฟิงก็มองเจ้าขุนเขาที่สูบยา ยิ้มถามว่า “มีนิสัยนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากไปเยือนร้านยาตระกูลหยาง”
เจิ้งต้าเฟิงวางกาเหล้าและห่อกระดาษน้ำมันในมือลง ยกฝ่ามือขึ้นโบก ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ตบะยังห่างชั้นกันไกลนัก”
หันไปมองเสี่ยวโม่ เจิ้งต้าเฟิงก็ถามด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เสี่ยวโม่ พวกเราสองพี่น้องไม่ได้เจอกันนานหลายปี ไม่ดื่มสักหน่อยหรือ?”
เดิมทีเฉินผิงอันอยากจะเอ่ยสัพยอกสักสองสามคำ เพียงแต่พอคิดอีกที สีหน้าก็เปลี่ยนมาเป็นปั้นยาก อดกลั้นคำพูดที่วิ่งมารอตรงปากเอาไว้ได้
เสี่ยวโม่ลุกขึ้นยืน หยิบกาเหล้าขึ้นมา รินเหล้าให้เจิ้งต้าเฟิงและตัวเองคนละหนึ่งชาม ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จากลากันนานหลายปีจริงๆ”
เพราะเมื่อครู่ตอนที่อยู่หน้าประตู เสี่ยวโม่มองแค่แวบเดียวก็จำสถานะสองอย่างของเจิ้งต้าเฟิงได้ นอกจากจะเป็นคนเฝ้าประตูของภูเขาลั่วพั่วแล้ว ก่อนหน้านั้นเมื่อนานมากมาแล้วเขายังเป็นคนเฝ้าประตูของสถานที่บางแห่งด้วย
แต่ว่า ‘เจิ้งต้าเฟิง’ ในเวลานั้นรูปโฉมหล่อเหลา บุคลิกองอาจสง่างาม บนร่างสวม ‘เกราะต้าซวง’
เจิ้งต้าเฟิงยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนม้านั่งยาว ถามว่า “ไปเยือนคฤหาสน์หลบหนาวมาแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ไม่มีใครขี้เกียจ”
เจิ้งต้าเฟิงอืมรับหนึ่งที “ไม่เลวก็คือไม่เลว แต่ก็มีขีดจำกัดอยู่แค่คำว่าไม่เลวแล้ว ยุ่งยากมาก เด็กกลุ่มนี้เหมือนถูกกำแพงเมืองปราณกระบี่กดเอาไว้ตลอดเวลา ปณิธานหมัดจึงไม่เคยกลายเป็นของจริงได้ ต่อให้เป็นเจียงอวิ๋นที่คุณสมบัติดีที่สุดก็ยังรู้สึกว่ายามที่ตัวเองเผชิญหน้ากับผู้ฝึกกระบี่แล้วจะต่ำต้อยกว่าหนึ่งระดับ ความคิดเช่นนี้ หากไม่หายไปวันหนึ่งก็จะกลายมาเป็นคอขวดที่มองไม่เห็นโดยตลอด เรื่องที่ยุ่งยากที่สุดก็คือ ทั้งๆ ที่มีคอขวดนี้อยู่ แต่กลับไม่ขัดต่อการฝ่าทะลุขอบเขต นี่ก็คือหลักการเหตุผลที่ยากจะอธิบายอย่างมากแล้ว ข้าที่เป็นอาจารย์สอนหมัดคงไม่อาจกดหัวของพวกเขาให้พวกเขาไปถามหมัดแลกชีวิตกับพวกผู้ฝึกกระบี่วัยเดียวกันที่สายตาสูงมองไม่เห็นหัวใครได้หรอกกระมัง”
อันที่จริงหากเปลี่ยนเป็นเฉินผิงอัน ถ้าเขาเป็นผู้ฝึกยุทธที่เกิดและเติบโตมาในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่เคยได้เจอกับชุยเฉิง ไม่เคยซ้อมหมัดที่เรือนไม้ไผ่ ก็ยากจะข้ามผ่านปราการนั้นไปได้เช่นกัน
แต่เมื่อตอนกลางวันที่อยู่ในคฤหาสน์หลบหนาว เฉินผิงอันพอใจพวกผู้ฝึกยุทธรุ่นเยาว์เหล่านั้นมากจริงๆ เป็นการยอมรับที่มาจากใจจริงอย่างหนึ่ง ว่ากันในระดับใหญ่แล้ว เฉินผิงอันคล้ายมองเห็นตัวเองในอดีตจากบนร่างของพวกเจียงอวิ๋นและหยวนจ้าวฮว่า
นี่ก็เหมือนผู้อาวุโสคนหนึ่งที่ขอบเขตสูงมากพอมองเห็นผู้เยาว์คนหนึ่งที่คุณสมบัติแค่พอถูไถ แม้ว่าฝ่ายหลังจะไม่เคยเอ่ยถ้อยคำห้าวเหิม แต่ในดวงตาคู่นั้นกลับเหมือนท่องประโยคหนึ่งซ้ำไปซ้ำมาตลอดเวลา
ข้าจะต้องกลายเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสให้จงได้ ใช่หรือไม่?
เฉินผิงอันรู้สึกว่า ‘คำพูด’ แบบนี้งดงามชวนให้คนประทับใจมากจริงๆ
เจิ้งต้าเฟิงจิบเหล้าหนึ่งอึกแล้วก็ตัวสั่นเยือก ถอนหายใจ เอ่ยเนิบช้าว่า “หากว่าไปอยู่ในใต้หล้าไพศาล นอกจากเจียงอวิ๋นที่อาจจะโชคดีได้รับการประทานโชคชะตาบู๊ครั้งหนึ่งแล้ว คนอื่นๆ ที่เหลือทุกคนก็อย่าได้หวังอีกเลย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถึงอย่างไรก็ไม่ได้อยู่ที่ใต้หล้าไพศาล รอให้พวกเจียงอวิ๋นต่างก็เลื่อนเป็นขอบเขตร่างทองกันแล้ว ท่านก็ทุ่มเทความคิดจิตใจสักหน่อย รากฐานพวกเขาก็ยังจะต้องดีมากเหมือนเดิม”
เจิ้งต้าเฟิงเอ่ย “ไม่สู้หาผู้ฝึกกระบี่สักกลุ่มมาแสดงละคร ให้สร้างความขัดแย้งภายในระหว่างผู้ฝึกกระบี่และผู้ฝึกยุทธเต็มตัวสักครั้งดีไหม? ทั้งสองฝ่ายผลัดกันเฝ้าด่านผ่านด่าน ต่อสู้กันอย่างจริงจังสักครั้ง ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ สำหรับพวกเจียงอวิ๋นแล้วก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ข้าก็แค่อาจารย์สอนหมัดที่รับเงินเดือนก้อนหนึ่งทุกเดือนเท่านั้น แม้แต่ขุนนางตำแหน่งเมล็ดงาก็ยังนับไม่ได้ ไม่มีความสามารถมากมายเช่นนั้น ต้องให้ผู้ดูแลภูเขาสองลูกอย่างสายอิ่นกวานหรือไม่ก็สายสิงกวานควบคุมแรงไฟให้ดี เลือกผู้ฝึกกระบี่ออกมา ไม่ว่าจะเป็นขอบเขตที่เหมาะสมหรือนิสัยใจคอก็ล้วนต้องมีข้อเรียกร้อง ไม่อย่างนั้นเรื่องประเภทนี้ ฝ่ายหนึ่งถามหมัด ฝ่ายหนึ่งถามกระบี่ พวกลูกรักของนครบินทะยานเหล่านั้น หากตีกันจนเลือดร้อนขึ้นมาก็คงไม่สนใจอะไรอีก คิดจะเอาเป็นเอาตายกับพวกเจียงอวิ๋นก็ไม่เพียงแต่ทำลายความรู้สึกกัน กลัวก็แต่ว่าใครจะได้รับบาดเจ็บ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบาดเจ็บไปถึงรากฐานมหามรรคา ยิ่งกลัวว่ากระตุกผมเส้นเดียวจะสะเทือนไปทั้งร่าง ทำลายสมดุลอันลุ่มลึกของภูเขาสามลูกแห่งนครบินทะยานขึ้นมา”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ท่านไม่เหมาะจะออกหน้าทำเรื่องนี้จริงๆ”
เจิ้งต้าเฟิงพูดกลั้วหัวเราะ “นี่เรียกว่าเจียงซ่างเจินส่องกระจก” (มาจากประโยคจูปาเจี้ยหรือตือโป้ยก่ายส่องกระจก ข้างนอกข้างในไม่ใช่คน)
——