กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 915.5 โต๊ะตัวหนึ่ง
เสี่ยวโม่หยิบตราประทับเปล่าเนื้อหยกซวงเจี้ยงพวกนั้นมากำไว้ในมือทีละชิ้น ครู่หนึ่งต่อมาก็ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ไม่มีความผิดปกติ”
ความนัยนอกเหนือจากประโยคนี้ก็คือไม่มีดวงจิตของอู๋ซวงเจี้ยงซ่อนอยู่ในหยกพวกนี้
อย่างน้อยที่สุดก็ไม่อยู่ในตราประทับเปล่าบนโต๊ะพวกนี้
เฉินผิงอันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ อาจารย์เคยบอกว่าการเดินทางไกลครั้งนั้นได้เจอกับอู๋ซวงเจี้ยงที่เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่แล้วไปเป็นแขกที่อารามเสวียนตูใหญ่พอดี ตอนนั้นมองดูแล้วภาพบรรยากาศรอบกายเจ้าตำหนักอู๋ไม่ค่อยมั่นคงนัก มีความหมายของความบกพร่องในความสมบูรณ์แบบอยู่บ้างเล็กน้อย
ตามหลักแล้วอย่าว่าแต่เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่อะไรเลย ผู้ฝึกลมปราณทุกคน ในช่วงแรกเริ่มของการฝ่าทะลุขอบเขตล้วนจำเป็นต้องสร้างความมั่นคงให้กับขอบเขตกันทั้งนั้น
แต่อู๋ซวงเจี้ยงสามารถใช้หลักการทั่วไปมาวัดประเมินได้หรือ?
พูดถึงแค่ตอนอยู่บนเรือราตรีลำนั้น อู๋ซวงเจี้ยงก็เคยเอ่ยประโยคหนึ่งกับหมี่ลี่น้อยที่ตอนนั้นเฉินผิงอันไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ตอนนี้กลับเริ่มจะอดคลางแคลงสงสัยไม่ได้
‘ส่วนของข้าเป็นของเจ้าแล้ว’
สมมติว่าอู๋ซวงเจี้ยงทำเช่นนี้จริงๆ ตอนนี้ดวงจิตส่วนนั้นของเขาก็ต้องอยู่ในสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งของใต้หล้าห้าสีแน่นอน บางทีอาจอยู่ในนครบินทะยาน หรืออาจจะอยู่ที่ภูเขาลูกที่ตำหนักสุ้ยฉูมาสร้างไว้ในใต้หล้าห้าสีก็เป็นได้
การกระทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่เสี่ยงอันตราย เพราะหนึ่งจิตวิญญาณไม่ครบถ้วน หากคิดจะปิดด่านก็คือข้อต้องห้ามใหญ่หลวงของการฝึกตน แล้วนับประสาอะไรกับที่การเลื่อนขั้นที่พยายามฝ่าทะลุจากขอบเขตบินทะยานมาเป็นขอบเขตสิบสี่?
และร่างจำแลงของดวงจิตส่วนนี้ก็ไม่เหมือนจิตหยางกายนอกกายหรือไม่ก็จิตหยินออกจากช่องโพรงเดินทางไกลของผู้ฝึกตนใหญ่ ยามที่ออกมาพ้นจากร่างจริงก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าขอบเขตไม่มีทางสูงไปยังไงได้แน่ หากไปหล่นอยู่ในกำมือของผู้ฝึกตนคนอื่น ผลลัพธ์ที่ตามมาย่อมเลวร้ายเกินจะคาดเดา
หากไม่ใช่คนบ้าที่เสียสติไปอย่างสิ้นเชิงแล้วก็ไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้ได้แน่นอน
แต่สำหรับอู๋ซวงเจี้ยงแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่นับเป็นอะไรได้เลยจริงๆ
แล้วนับประสาอะไรกับที่หากอู๋ซวงเจี้ยงมาที่ใต้หล้าห้าสีจริงก็ไม่ใช่ว่ามีแต่อันตรายไร้โชควาสนาเสียหน่อย ยกตัวอย่างเช่นการฝึกตนของสำนักการทหารที่สุดท้ายก็จะได้กลายมาเป็นผู้ฝึกตนสำนักการทหารห้าขอบเขตบนคนแรกของใต้หล้าห้าสี
ถึงขั้นจะมีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า อู๋ซวงเจี้ยงมีการพลิกกลับตำแหน่งหลักรอง?
เพื่อที่จะตัดสินเป็นตายกับเต๋าเหล่าเอ้อให้ได้ มีเรื่องอะไรบ้างที่เจ้าตำหนักอู๋ผู้นี้ทำไม่ได้?
ตลอดทั้งใต้หล้ามืดสลัวก็มีเพียงอู๋ซวงเจี้ยงที่วางท่าชัดเจนว่าจะต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงท่านนั้น
ในเรื่องนี้นักพรตซุนแห่งอารามเสวียนตูยังคล้ายว่าจะอยู่แค่อันดับสองเท่านั้น
เฉินผิงอันลองเรียกหยั่งเชิง “เจ้าตำหนักอู๋?”
เรียกอีกรอบหนึ่งก็ยังไม่มีการตอบกลับใดๆ
เลยเรียกชื่ออู๋ซวงเจี้ยงออกมาตามตรง
ยังคงไร้ความเคลื่อนไหว
เฉินผิงอันเหลือบมองเสี่ยวโม่ เสี่ยวโม่สีหน้าไร้อารมณ์
โรงเรียนแห่งหนึ่งของนครปี้สู่ มีอาจารย์สอนหนังสือคนหนึ่งที่รูปโฉมอ่อนเยาว์กำลังเดินเล่นอยู่ใต้แสงจันทร์ เอาสองมือไพล่หลัง มองกลอนคู่ที่เขียนขึ้นด้วยตัวเอง
มองเห็นดาวจื่อเวย (ดาวที่แสดงถึงความสูงศักดิ์ หมายถึงความมงคล) เหนือคานบ้านโดยบังเอิญ บนเสาบ้านก็โชคดีเจอตะวันหวงเต้า (ตะวันหวงเต้าเปรียบเปรยถึงวันฤกษ์งามยามดี)
อาจารย์สอนหนังสือที่ไม่สะดุดตาท่านนี้เป็นคนในท้องถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เนื่องจากเป็นผู้ฝึกลมปราณ แต่กลับไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ ดังนั้นในอดีตจึงทำงานอยู่ในจวนของซุนจวี้เฉวียนผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบมาโดยตลอด หลายปีมานี้ก็พักอยู่ในโรงเรียนแห่งนี้ เมื่อปีก่อนเพิ่งจะรับเด็กรับใช้มาคนหนึ่งที่แท้จริงแล้วมีชาติกำเนิดเป็น ‘เทพโรคระบาด’ ที่น่าสงสารอย่างถึงที่สุด อีกฝ่ายติดตามผู้ฝึกตนสำนักฝูเหยาคนหนึ่งมาหาประสบการณ์ที่นี่ เพียงแต่ว่าตัวเด็กหนุ่มเองไม่เคยรู้เรื่องนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ถึงสามารถทำให้ผีไม่รู้เทพไม่เห็น ส่วนผู้ฝึกตนที่ออกเดินทางผู้นั้น แน่นอนว่าต้องเป็นหุ่นเชิดที่ถูกชักใยซึ่งถามอะไรก็ไม่รู้สักอย่าง
ใช่ว่าจะไม่สามารถสืบสาวตามเส้นสายนั้นแล้วทำการอนุมานบนมหามรรคา เพียงแต่ว่าตอนนี้อาจารย์สอนหนังสือท่านนี้ยังไม่อยากเปิดเผยตัวตน จึงเลือกที่จะสะบั้นเบาะแสเส้นนี้ออกโดยตรง
ถึงอย่างไรเขาก็แค่ต้องเดาเอาเท่านั้น เขาเดาได้แม่นยำยิ่งกว่าพวกหมอดูทั้งหลายเสียอีก
พอได้ยินเสียงเรียกว่าเจ้าสำนักอู๋สองครั้งและอู๋ซวงเจี้ยงอีกครั้งหนึ่ง อาจารย์สอนหนังสือก็จุ๊ปากเอ่ย “คงไม่ใช่คนโง่คนหนึ่งหรอกกระมัง”
เช้าตรู่วันที่สอง เฉินผิงอันไปที่ร้านเหล้า เพิ่งจะเปิดประตูร้านได้ไม่นาน เช้าตรู่อย่างนี้ยังไม่มีการค้าอะไรให้ทำ ชิวหล่งกับหลิวเอ๋อและยังมีเฝิงคังเล่อกับเถาป่านต่างก็อยู่ที่ร้าน นั่งล้อมโต๊ะตัวหนึ่ง คุยเล่นอยู่ด้วยกัน
หลิวเอ๋อเด็กสาวในอดีตที่ออกเรือนเป็นภรรยาของผู้อื่นแล้วเอ่ยเรียกอย่างตกตะลึงระคนยินดี “เถ้าแก่รอง!”
ชิวหล่งเองก็คลี่ยิ้มเต็มใบหน้า เพียงแต่ว่าสำรวมกว่าภรรยาของตัวเองเล็กน้อย
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “วันหน้าที่พวกเจ้าไปเปิดร้านเหล้าอยู่ที่นครปี้สู่ ข้าอาจจะไปร่วมแสดงความยินดีด้วยตัวเองไม่ได้ แต่กรอบป้ายแล้วก็พวกกลอนคู่ของร้านเหล้าร้านใหม่ ข้าจะเป็นคนจัดการให้เอง”
หลิวเอ๋อรีบยอบกายคารวะเถ้าแก่รอง ชิวหล่งที่ยืนอยู่ข้างกันก็ยิ้มกว้างจนหุบปากไม่ลง
เฝิงคังเล่อเด็กตัวเท่าก้นที่แข็งแรงเปี่ยมชีวิตชีวาในอดีตกลายเป็นคนหนุ่มแล้ว
เถาป่านวิ่งที่ไปห้องครัว เพียงไม่นานก็หยิบบะหมี่มาให้เถ้าแก่รองถ้วยหนึ่ง ตีหน้าเคร่งไม่พูดไม่จา เฝิงคังเล่อบ่นว่า “เถ้าแก่รอง ทำไมถึงเพิ่งมาเล่า?”
เฉินผิงอันรับบะหมี่โรยต้นหอมชามนั้นและตะเกียบคู่หนึ่งมา พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “ช่วยไม่ได้ มีธุระเยอะ ไม่ใช่ว่าข้าอยากจะมาก็มาได้ทันที”
เฝิงคังเล่อพยักหน้า “ก็จริงนะ ข้าเองก็อยากจะหาเงินให้ได้เยอะๆ มาโดยตลอด แต่หลายปีมานี้ก็ไม่เห็นว่าจะเก็บเงินได้สักเท่าไร”
คนหนึ่งนอนฟุบบนโต๊ะ อีกคนหนึ่งเท้าคางด้วยมือข้างเดียว จ้องมองเถ้าแก่รองที่กลับมาพบเจอกันอีกครั้งหลังจากลากันไปนานอยู่อย่างนั้น
พวกเขาไม่ใช่ผู้ฝึกตน เปลี่ยนจากเด็กน้อยมาเป็นเด็กหนุ่ม แล้วก็เปลี่ยนจากเด็กหนุ่มมาเป็นคนหนุ่ม เร็วขนาดนี้ ราวกับว่าเพียงแค่กะพริบตาเท่านั้นเอง คิดดูแล้วการจะเปลี่ยนไปเป็นคนวัยกลางคนก็คงไม่ช้าเหมือนกัน
เฉินผิงอันม้วนบะหมี่เข้าปาก ยิ้มเอ่ยว่า “มองข้ากินแล้วจะอิ่มหรือ?”
เถาป่านยิ้มกว้าง
เฝิงคังเล่อถาม “จากไปนานขนาดนี้ ไม่คิดถึงร้านเหล้าบ้างเลยหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “คิดถึงสิ”
เจิ้งต้าเฟิงเดินหาวเข้ามาในร้าน
แขกคนแรกของร้านเหล้าวันนี้ทำให้เฉินผิงอันประหลาดใจอย่างมาก
คือคนหนุ่มบุคลิกสง่างามคนหนึ่ง แต่ลักษณะเหมือนบัณฑิตยากจน ทั้งยังสวมชุดสีดำทั้งร่าง คนผู้นี้เห็นเฉินผิงอันก็ใช้คำเรียกขานที่ทุกคนของนครบินทะยานไม่เคยได้ยินมาก่อน เขาเรียกอย่างปิติยินดีว่า “พี่คนดี!”
เฉินผิงอันวางตะเกียบลง “โอ้ นี่มันพี่มู่เม่านี่นา!”
“พี่คนดี ไม่ได้เจอกันหลายปี มาดองอาจยิ่งมีมากกว่าในอดีตแล้ว มาพบเจอกันที่ต่างบ้านต่างเมือง ไม่ต้องดื่มเหล้า ในใจข้าก็อุ่นซ่านได้แล้ว”
“ดีเลยๆ พี่มู่เม่าเองก็ไม่เลวเลยนะ บอกตามตรง หากว่าพี่มู่เม่ายังไม่มาอีก ข้าจะเป็นฝ่ายไปเยี่ยมเยียนถึงบ้านแล้วนะ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแสดงน้ำใจของเจ้าของบ้านให้เต็มที่”
“ไม่ขอปิดบัง เมื่อก่อนข้าใช้นามแฝงว่าเฉินเหวิ่น แต่เพื่อปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความจริงใจ หลีกเลี่ยงไม่ให้พี่คนดีตามหาข้าไม่เจอก็เลยเปลี่ยนมาใช้ชื่อเดิมว่ามู่เม่า”
“บังเอิญนัก ก่อนหน้านี้ข้าก็ใช้นามแฝงว่าโต้วอี้ ตอนนี้ก็เปลี่ยนมาใช้ชื่อจริงแล้ว”
“คิดดูแล้ววันนี้พี่คนดีคงไม่เป็นลมเพราะเห็นเลือดอีกกระมัง?”
“นี่ก็ไม่แน่ อยู่ที่ว่าเป็นใคร”
เจิ้งต้าเฟิงที่นั่งอยู่ด้านข้างรู้สึกมึนงงเล็กน้อย พวกเจ้าสองคนคือพี่น้องพ่อแม่เดียวกันที่พลัดพรากจากกันไปนานหลายปีหรือ?
เฉินผิงอันจึงอธิบายให้ฟัง “ในหุบเขาผีร้ายของอุตรกุรุทวีป ข้าบังเอิญได้เจอกับพี่มู่เม่า ไม่ตีกันก็ไม่ได้รู้จักกัน”
บัณฑิตชุดดำยิ้มเอ่ย “ที่ไหนกัน ที่ไหนกัน ต้องบอกว่าแค่เจอก็เหมือนรู้จักกันมานาน เป็นสวรรค์ดลบันดาลถึงทำให้ข้ามีโอกาสได้สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่พี่คนดี มีศัตรูร่วมกัน ร่ำรวยไปพร้อมๆ กัน พี่น้องร่วมใจแม้แต่ทองก็ตัดให้ขาดได้”
เขากุมหมัดให้กับเจิ้งต้าเฟิงแล้วเขย่าอย่างแรง “คิดดูแล้วท่านผู้นี้คงจะเป็นตัวแทนเถ้าแก่ที่เล่าลือกัน เรียกตัวเองว่าเป็นนักดื่มสุรา แต่ความเฉียบแหลมทางวรรณคดีกลับไม่แย่แม้แต่น้อย เรียกตัวเองว่าคนเสเพล แต่ใต้ปลายพู่กันกลับมีอารมณ์อันองอาจผึ่งผายผู้นั้นแน่นอน!”
เจิ้งต้าเฟิงกุมหมัดคารวะกลับคืน “ชื่อเสียงจอมปลอม ล้วนเป็นชื่อเสียงจอมปลอม”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากว่ามากำแพงเมืองปราณกระบี่เร็วกว่านี้ ด้วยสติปัญญาและนิสัยใจคอของพี่มู่เม่าจะต้องสามารถเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์หลบร้อนได้แน่นอน”
บัณฑิตชุดดำโบกมือ “มิกล้า มิกล้า”
เฉินผิงอันถาม “มากันหมดเลยหรือ?”
บัณฑิตชุดดำยิ้มตาหยี “เปล่าหรอก แค่ข้าคนเดียว”
เฉินผิงอันข่มกลั้นความสงสัยในใจลงไป ไม่ได้ซักไซ้ไล่เรียงไปมากกว่านี้
เจ้าคนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ แม้ว่าชื่อจริงจะเป็นหยางหนิงซิ่ง แต่กลับไม่ใช่หยางหนิงซิ่งเต็มตัว
สู่หนันยวนเจ้าแห่งถ้ำสวรรค์เทียนอวี๋แห่งหลิวเสียทวีป สู่จ้งสู่บุตรชายโทนของเขา ปีนั้นได้มาเยือนใต้หล้าห้าสี เพียงไม่นานก็เลือกพื้นที่ฮวงจุ้ยมงคลแห่งหนึ่งแล้วสร้างหอเชาหรานขึ้นมา
กลายเป็นพวกเดียวกันกับ ‘เฉินเหวิ่น’ ที่เป็นฝ่ายไปเยือนถึงที่ด้วยตัวเองผู้นี้อย่างรวดเร็ว ฝ่ายหลังจึงกลายมาเป็นกุนซือและลูกสมุนอย่างสบายอารมณ์
ส่วนเจ้าคนที่ใช้นามแฝงว่าหยางเหิงสิงผู้นั้น มีชื่อจริงว่าหยางหนิงเจิน มาจากสกุลหยางหน่วยฉงเสวียนแห่งราชวงศ์ต้าหยวนอุตรกุรุทวีป ก็คือพี่ชายของพี่มู่เม่าคนนี้ แน่นอนว่าเป็นพี่ชายแท้ๆ
หยางหนิงเจินอยู่ที่ใต้หล้าห้าสีก็เลื่อนขั้นจากขอบเขตโอสถทองมาเป็นขอบเขตก่อกำเนิดได้อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ยังเลื่อนจากขอบเขตร่างทองไปเป็นขอบเขตเดินทางไกลด้วย
เชี่ยวชาญด้านยันต์ ไม่มีข้อพิถีพิถันที่ว่ายามท่องยุทธภพไม่โอ้อวดเงินทองเลยแม้แต่น้อย สมบัติอาคมทั่วร่างเรียกได้ว่าคลังสมบัติเคลื่อนที่แห่งหนึ่ง ผลคือชักนำให้กองกำลังแต่ละฝ่ายพากันจับจ้องมองมาด้วยความละโมบ หยางหนิงเจินเชี่ยวชาญกับการลงมืออำมหิตเหมือนกลิ้งลูกหิมะอยู่แล้ว สุดท้ายจึงชักนำให้ผู้ฝึกลมปราณร้อยกว่าคนที่อยู่ใกล้เคียงแห่กันมาล้อมฆ่า ไล่ฆ่าและถูกย้อนสังหาร
ส่วนหยางหนิงซิ่งอยู่ในอุตรกุรุทวีปถูกขนานนามว่า ‘เทียนจวินน้อย’ มีความหวังจะสืบทอดตำหนักนภากาศมากกว่าพี่ชาย จากนั้นก็น้ำมาคูคลองก่อกำเนิด ได้รับหน้าที่เป็นเจินเหรินพิทักษ์แคว้นของราชวงศ์ต้าหยวนไปด้วย
หยางหนิงซิ่งหลอมกระจกซานซานจิ่วโหวของภูเขากระจกวิเศษแห่งหุบเขาผีร้ายได้แล้วก็มาที่นี่ แทบจะไม่มีคลื่นมรสุมใดๆ ก็ได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหยกดิบอย่างราบรื่น
เพียงแต่ว่าพี่น้องสองคนคล้ายกับว่าความสัมพันธ์ไม่ดีมาตั้งแต่เด็ก ทั้งไม่ได้เข้ามาในใต้หล้าห้าสีพร้อมกัน และหลายปีมานี้ก็ไม่เคยเจอหน้ากันแม้แต่ครั้งเดียว ต่างคนต่างใช้ชีวิตกันไป
สู่จ้งสู่ลูกรักแห่งสวรรค์อย่างสมชื่อผู้นี้ ไม่เพียงแต่สถานะของบิดาโดดเด่น กำลังทรัพย์หนาลึกล้ำ บิดายังเป็นศิษย์น้องของเซียนเหรินหญิงชงเชี่ยน
ตอนนั้นข้างกายเขาก็มีสาวใช้ ‘ผู้ถือกระบี่’ ห้าคนที่ติดตามเข้ามาในใต้หล้าใหม่เอี่ยมด้วย
พวกนางแบ่งออกเป็นชื่อเสี่ยวพิง เจี้ยนเซ่อ ไฉ่อี ต้าเสียน ฮวาอิ่ง ล้วนเป็นผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลาง
ทุกวันนี้พวกนางมีคนเป็นโอสถทองสองคน ขอบเขตประตูมังกรสามคน
นี่แสดงให้เห็นว่าคู่รักบนภูเขาของถ้ำสวรรค์เทียนอวี๋คู่นั้นรักบุตรโทนผู้นี้มากเพียงใด อีกทั้งความหนาลึกล้ำของรากฐานทรัพย์สมบัติของพวกเขาในถ้ำสวรรค์เทียนอวี๋ก็ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง
อันที่จริงพวกนางก็แค่ดูแลเรื่องการกินอยู่ของสู่จ้งสู่เท่านั้น เพราะถึงอย่างไรสู่จ้งสู่ก็คือหนึ่งในสิบตัวสำรองรุ่นเยาว์ของหลายใต้หล้า
เฉินผิงอันถาม “คนหนุ่มของสำนักฝูจีคนนั้นล่ะ?”
บัณฑิตชุดดำส่ายหน้า “แค่เคยเห็นไกลๆ ไม่เคยมีการคบค้าสมาคมอะไรกัน”
เวทคาถาพื้นฐานของสำนักฝูจีค่อนข้างคล้ายคลึงกับภูเขาจิ่วตู ล้วนมีการเขียนคำเขียวบทเขียว เพียงแต่ว่านอกจากอัญเชิญเทพลงมาจุติแล้ว สำนักฝูจียังสามารถเชิญเซียนผีมาได้ด้วย
ปีนั้นเจ้าสำนักจีไห่ก็ได้เชิญแม่ทัพเทพ ‘จัวหลิ่ว’ และเซียนผี ‘ฮวายา’ มา ในเวลานั้นขอบเขตของทั้งสองล้วนเป็นขอบเขตก่อกำเนิด ในฐานะผู้ปกป้องมรรคาของเจ้าสำนักคนถัดไปจึงติดตามเด็กหนุ่มเข้ามาในใต้หล้าห้าสีด้วย
บัณฑิตชุดดำถาม “ช่วยถามเรื่องบางอย่างแทนพี่น้องสู่คนนั้นของข้าได้หรือไม่ ทางฝั่งของถ้ำสวรรค์เทียนอวี๋?”
เฉินผิงอันตอบ “เกิดความขัดแย้งภายในกันครั้งหนึ่ง แต่ปัญหาไม่มาก”
อันที่จริงไม่เพียงแต่ถ้ำสวรรค์เทียนอวี๋เท่านั้น สำนักของเฉาผู่แห่งเกราะทองทวีป และยังมีพื้นที่มงคลร้อยบุปผา หรือแม้กระทั่งเรือข้ามฟากลำของเทพเจ้าแห่งโชคลาภธวัลทวีปต่างก็เคยเจอกับแผนการชั่วร้ายบนภูเขากันมาก่อน
บัณฑิตชุดดำพยักหน้า “แบบนี้ย่อมดีที่สุด เจ้าขุนเขาสู่ฟังแล้ว ในที่สุดก็จะได้วางใจได้เสียที ลำพังแค่ข่าวนี้ก็สามารถขอสาวใช้คนสองคนมาจากเจ้าขุนเขาสู่ได้แล้ว”
ผู้ฝึกตนกลัวหนึ่งในหมื่นมากที่สุด
แต่หาก ‘หนึ่งในหมื่น’ นั้นมาแล้วจากไป ก็คือเรื่องดีใหญ่เทียมฟ้า เพราะถึงอย่างไรความเป็นไปได้ที่จะเป็น ‘หนึ่งในหมื่นของหนึ่งในหมื่น’ ก็แทบจะสามารถมองข้ามไปได้เลย
บัณฑิตชุดดำนั่งขัดสมาธิลงบนม้านั่งยาว รู้สึกเหมือนมีอะไรทิ่มก้นอยู่ตลอด
เฉินผิงอันถาม “ทำไมยังไม่กลับไปเสวยสุขที่หอเชาหรานอีกเล่า?”
อันที่จริงเฉินผิงอันไม่รู้ว่าหยางหนิงซิ่งอยู่ที่นครบินทะยานแล้ว ถึงอย่างไรพี่มู่เม่าก็พูดความจริงแค่ไม่กี่ประโยค เขาเคยเรียนรู้มานานแล้ว
“ต่อให้ทัศนียภาพจะดีแค่ไหน แต่ถึงอย่างไรก็เป็นสถานที่ที่ใหญ่เพียงเท่านั้น อีกทั้งยังมีคนน้อย มีใบหน้าอยู่แค่ไม่กี่หน้า เห็นแล้วก็เบื่อ ประเด็นสำคัญคือทุกๆ วันพรุ่งนี้ก็แทบไม่ต่างอะไรจากวันนี้”
บัณฑิตเบ้ปาก “ไม่เหมือนอยู่ที่นี่ ทุกวันมีคนเข้าออกอยู่ตลอด ถนนใหญ่ตรอกเล็กคึกคักจอแจ เปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวา ทุกๆ วันพรุ่งนี้ล้วนเป็นวันพรุ่งนี้ที่ทำให้คนคาดหวังรอคอย”
จากนั้นจู่ๆ เขาก็พลันถูกเด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งรัดคอ “บังอาจ! ผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายตรอกฉีหลงของพวกเราให้เจ้ายืมความกล้าหรือ ถึงกับกล้าเรียกตัวเองเป็นพี่เป็นน้องกับอาจารย์ของข้า?!”
——