กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 916.2 บนคันนา
พี่มู่เม่าที่มีหนึ่งจิตสองวิญญาณของหยางหนิงซิ่งตรงหน้าผู้นี้ การที่มาฝึกประสบการณ์ในใต้หล้าห้าสี อันที่จริงเป็นเพราะหยางหนิงซิ่งเลือกมหามรรคาที่สูงยิ่งกว่าไกลยิ่งกว่าอีกเส้นหนึ่งซึ่งอยู่เหนือการคาดการณ์ของทุกคน
หาสมบัติเก็บตกของดี ฝึกตนฝ่าทะลุขอบเขตอะไรจำพวกนั้นล้วนเป็นเพียงเวทอำพรางตา คิดสานสัมพันธ์กับเหยาชิงเสนาบดีหัวหน้าสภาขุนนางแห่งราชวงศ์ชิงเสิน รอให้ประตูเปิดใหม่อีกครั้งก็จะไปที่ใต้หล้ามืดสลัว ไปเยี่ยมเยือนเหยาชิง ‘เสนาบดีรูปงาม’ จึงจะเรียกว่าเป็นการแสวงหา ‘อนาคตบนมหามรรคา’ ได้อย่างแท้จริง
เรื่องนี้เป็นทั้งเจตจำนงของหยางหนิงซิ่งตัวจริงซึ่ง ‘พี่มู่เม่า’ ที่เป็นหนึ่งในสามอสุภะมิอาจต่อต้าน แล้วนับประสาอะไรกับที่การกระทำนี้ก็เป็นการช่วยเหลือตัวเองอย่างหนึ่งของบัณฑิตชุดดำ
เพราะหากว่าแผนการล้มเหลว หยางหนิงซิ่งก็ได้แต่ต้องถอยกลับไปหนึ่งก้าว เก็บกลับคืน หล่อหลอม ผสานรวม ‘หยางมู่เม่า’ ที่เป็นหนึ่งในสามอสุภะ หวนคืนกลับมาเป็นหยางหนิงซิ่งที่สมบูรณ์แบบอีกครั้ง
หากบัณฑิตชุดดำเจรจากับเหยาชิงไม่สำเร็จ ต้องกลับมามือเปล่า หยางหนิงซิ่งก็ย่อมมีวิธีการที่จะทำให้บนโลกนี้ไม่เหลือพี่มู่เม่าอีกต่อไป
เฉินผิงอันพลันถามว่า “หยางหนิงซิ่งตัวจริงได้อาศัยใบถงทวีปเข้ามาในใต้หล้าห้าสี อีกทั้งยังแอบไปยังใต้หล้ามืดสลัวอย่างลับๆ นานแล้วใช่หรือไม่?”
บัณฑิตชุดดำสีหน้าหม่นหมอง ยกชามเหล้าขึ้นดื่มเหล้าอึกใหญ่ ใช้หลังมือเช็ดมุมปาก สายตาเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างไม่แน่ชัด จ้องนิ่งไปที่ริ้วกระเพื่อมบางเบาบนสุราในถ้วย “เห็นได้ชัดว่าทางถอยเพียงหนึ่งเดียวของข้าได้ถูกเจ้าหมอนั่นอุดทางไว้นานแล้ว ด้วยนิสัยใจคอของหยางหนิงซิ่ง มีหรือจะยอมปล่อยข้าไว้ไม่สนใจ ปล่อยให้ตัวอ่อนแห่งความชั่วร้ายที่เขาไม่เห็นอยู่ในสายตามากที่สุดอย่างข้าไปสวามิภักดิ์กับป๋ายอวี้จิง หากไม่ผิดไปจากที่คาด เขาก็คงอยู่ในสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งของห้านครสิบสองหอเรือนของป๋ายอวี้จิงและเริ่มฝึกมรรคกถาแล้ว”
เขาเงยหน้าคลี่ยิ้มสง่างาม ฝ่ามือรองประคองชามสีขาว แกว่งเบาๆ “ต่อให้สุราจะอร่อยแค่ไหนก็อยู่แค่ในชามเท่านั้น แต่ก็ไม่มีอะไรให้ต้องเสียดาย ถึงอย่างไรก็เป็นสุราดี”
ชุยตงซานทอดถอนใจ “เหยาชิงพอใช้ได้ แต่หยางหนิงซิ่งกลับไม่แน่เสมอไปว่าจะใช้ได้ หากพูดถึงคุณสมบัติ พูดถึงฐานกระดูก พูดถึงโชควาสนา เทียนจวินน้อยแห่งอุตรกุรุทวีป เมื่อเทียบกับการได้รับเงื่อนไขพิเศษของเหยาชิงแล้วยังเป็นรองกว่าไม่น้อย แน่นอนว่าหากพี่มู่เม่ารู้สึกว่าข้าพูดจายุแยงให้พวกเจ้าแตกคอกัน ข้าเองก็ห้ามไม่ได้”
วิธีการพิสูจน์มรรคาของการสังหารสามอสุภะแห่งลัทธิเต๋าทั้งลี้ลับทั้งอันตราย ไม่ใช่ว่าใครก็ทำสำเร็จได้ ในประวัติศาสตร์มีเกาเจินลัทธิเต๋าจำนวนไม่น้อยเดินบนทางสายนี้ แต่ทุกสิ่งที่ทำมากลับต้องสูญเปล่า ภัยแฝงที่ตามมาก็มีมากมาย
ต่อให้ทำสำเร็จ สำหรับตัวของนักพรตเองแล้ว แน่นอนว่าต้องมีประโยชน์มหาศาล แต่สำหรับสามอสุภะมักจะเป็นการกายดับมรรคาสลายอย่างหนึ่ง จุดจบเหมือนวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่ถูกหล่อหลอม กลับคืนสู่จิตวิญญาณ ชีวิตนี้สั้นเหมือนพืชหญ้าฤดูใบไม้ร่วง
แต่ในประวัติศาสตร์ของลัทธิเต๋าก็มีข้อยกเว้นไม่กี่ข้อที่นับนิ้วได้ ยกตัวอย่างเช่นใต้หล้ามืดสลัว ราชวงศ์ชิงเสินที่มีกลุ่ม ‘เด็กหนุ่มอู่หลิง’ ปรากฏขึ้นมากลุ่มใหญ่ เหยาชิงเสนาบดีหัวหน้าแห่งสภาขุนนาง มีฉายาว่า ‘คนเฝ้าสุสาน’ เกาเจินลัทธิเต๋าที่มักจะได้รับเชื้อเชิญจากนครอวี้หวงแห่งป๋ายอวี้จิงให้ไปบรรยายวิชาความรู้ผู้นี้ได้สร้างวีรกรรมอย่างหนึ่ง เหยาชิงไม่เพียงแต่สังหารสามอสุภะเท่านั้น ยังสร้าง ‘เซียนสละศพ’ สามตนขึ้นมาได้ด้วย ล้วนขึ้นทะเบียนเซียน หนึ่งคนสามร่าง ร่วมกันฝึกตน มีความสนิทสนมแนบชิดบนมหามรรคา ทั้งยังสามารถทำได้ถึงขั้นที่น้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง นอกจากจิตหยินกับจิตหยางกายนอกกายแล้ว เหยาชิงก็เท่ากับว่ามี ‘สหายบนมหามรรคา’ เซียนเหรินคนหนึ่งกับหยกดิบสองคนเพิ่มมา ผู้ฝึกตนสามท่านที่หลุดพ้นออกมาจากสามอสุภะคล้ายคลึงกับเซียนผีแต่กลับไม่เหมือน
ในตัวเหยาชิงเองที่เป็น ‘ร่างเดิม’ ก็ยิ่งเหมือนผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดคนหนึ่ง
เฉินผิงอันถาม “หยางหนิงเจินพี่ชายของเจ้าคนนั้นคิดจะเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตยอดเขาในใต้หล้าห้าสี จากนั้นไปหาป๋ายโอ่ว หวังว่านางจะช่วยป้อนหมัดให้อย่างนั้นรึ?”
หยางหนิงซิ่งส่ายหน้ายิ้มกล่าว “เรื่องนี้ข้าไม่รู้แล้ว ความคิดของพี่ชายข้าคนนั้นมักจะเต็มไปด้วยจินตนาการบรรเจิด ทำให้คนนอกคาดเดาไม่ออกเสมอ”
ราชครูป๋ายโอ่วแห่งราชวงศ์ชิงเสินคือผู้ฝึกยุทธหญิงเต็มตัวคนหนึ่ง ตรงเอวพกง้าวขนาดเล็ก ‘เถี่ยซื่อ’ เอาไว้ นางคือบุคคลอันดับสามบนวิถีวรยุทธของใต้หล้ามืดสลัว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องเป็นชั้นเทพมาเยือนของขอบเขตปลายทางแล้ว
หนางหนิงซิ่งคล้ายจะตัดสินใจได้ในที่สุด “การค้าครั้งนี้ข้าทำแล้ว! ต่อให้จะยังเหลือใยเชื่อมโยงกันอยู่บ้างเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ดีกว่าต้องเป็นหุ่นเชิดที่ถูกชักใยเสียเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าเองก็มีอิสระ เขาเองก็จะได้ผ่อนคลายหน่อย หยางหนิงซิ่งที่อยู่ในป๋ายอวี้จิงก็จะยิ่งฝึกตนบนมหามรรคาได้อย่างมีสมาธิ สำหรับข้าหยางมู่เม่า สำหรับเขาหยางหนิงซิ่งแล้ว หากมองในระยะยาว ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องดี”
เสี่ยวโม่อยู่ในร้านตลอดเวลา กำลังอ่านพวกป้ายสงบสุขที่อยู่บนกำแพงเหล่านั้น
ชุยตงซานโบกมืออย่างแรง “เสี่ยวโม่ๆ รีบมาเร็วเข้า รีบมาเร็ว”
เสี่ยวโม่ก้าวยาวๆ เดินออกจากร้าน ยิ้มถามว่า “อาจารย์ชุยมีธุระหรือ?”
ชุยตงซานยิ้มถาม “เสี่ยวโม่เจ้ามองเห็นเส้นด้ายผลกรรมที่แบ่งแยกหลักรองอย่างชัดเจนเส้นนั้นหรือไม่?”
เสี่ยวโม่เหลือบตามองบัณฑิตชุดดำ พยักหน้า “มองเห็น เส้นด้ายผลกรรมที่มีกลิ่นอายเต๋าม่วงทองเส้นนี้ลากยาวไปจนถึงม่านฟ้า เชื่อมโยงอยู่กับคนบางคนในใต้หล้าแห่งอื่น กลายมาเป็นทัศนียภาพที่ในอดีตเคยถูกนักพรตเรียกว่าเป็น ‘ท้องฟ้าหนึ่งเส้น’ (หรืออีเซี่ยนเทียน หมายถึงเวลาอยู่ในช่องผาแคบชันแล้วแหงนหน้ามองไปจะเห็นท้องฟ้าเป็นเส้นเส้นหนึ่ง)”
ในสถานการณ์ทั่วไป เสี่ยวโม่ไม่มีทางไปสำรวจเส้นเอ็นหัวใจของคนอื่น แล้วก็ไม่เคยสนใจขอบเขตสูงต่ำ ประวัติการสืบทอดของอีกฝ่าย
เพราะไม่มีความจำเป็น
ในยุคบรรพกาลห่างไกล สิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมายที่พลัดหล่นตกลงมายังโลกมนุษย์ด้วยเหตุผลสารพัดอย่าง หากโทษทัณฑ์ไม่หนักหนานัก สรวงสวรรค์เก่าก็มักจะอนุญาตให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นทำความดีชดใช้ความผิดด้วยการลงไปท่องใต้หล้า
นี่ก็คือจุดเริ่มต้นที่เซียนดินบนโลกมนุษย์ส่วนหนึ่งได้เดินกลับขึ้นฟ้าอีกครั้ง
เส้นยาวหล่นลงมาจากท้องฟ้า ชักนำพื้นดิน
นี่ก็เป็นดั่งคำกล่าวที่ว่าตาข่ายฟ้าแม้ตาจะห่างแต่ไม่รั่ว ปลาตัวน้อยสามารถเดินลอดอยู่ด้านในได้ตามสบาย ฝึกมรรคกถาประสบความสำเร็จ กลายมาเป็น ‘ปลาใหญ่’ จนถึงตายก็ยังมิอาจสลัดพ้นพันธนาการได้
ภายหลังวิชาอภินิหารค้ำฟ้าของจอมปราชญ์น้อยผู้นั้น ในระดับใหญ่ก็มาจากสาเหตุนี้
อริยะใช้มหามรรคาของตัวเองแบ่งแยกฟ้าดินออกจากกัน และสิ่งที่หลี่เซิ่งท่านนี้ต้องจ่ายก็คือการที่ไม่อาจเลื่อนเป็นขอบเขตสิบห้าได้
ไม่ใช่ว่าทำไม แต่ไม่ยินดีจะทำ
ยุคบรรพกาล เนื่องจากภาพเหตุการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้ถูกนักพรตกลุ่มน้อยที่เมื่อโชคมาเยือนสติปัญญาก็บังเกิดค้นพบการไหลเวียนของมรรคกถาที่เป็นระเบียบเป็นขั้นตอนบางอย่างนั้นโดยบังเอิญ โลกภายหลังจึงมีการวิวัฒนาการมาเป็นเส้นสายมากมาย ยกตัวอย่างเช่นในบรรดานั้นก็มีนักมองลมปราณ
ชุยตงซานถาม “ตัดออกได้ไหม?”
เสี่ยวโม่พยักหน้า “ทุกวันนี้ ‘ฟ้าไม่สน’ แล้ว ตัดด้ายยาวเส้นนี้ออกอย่างสิ้นเชิงก็ยังได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่ต่อให้เป็นปีนั้น ก็ใช่ว่าข้าเองไม่เคยทำเรื่องประเภทนี้มาก่อน รับรองว่าไร้ความเสียหายแม้แต่น้อย หากสหายหยางท่านนี้จิตใจเด็ดเดี่ยวสักหน่อย ยอมใช้การที่ขอบเขตถดถอยสองสามขั้นมาเป็นค่าตอบแทนแลกกับอิสระ ข้าสามารถช่วยควักเอาเมล็ดพันธ์เต๋าเกือบครึ่งที่อยู่ในจิตแห่งมรรคาออกมา จากนั้นเก็บรักษาของสิ่งนี้เอาไว้ สักวันหนึ่งนำไปมอบให้กับเจ้าของเดิม ถือว่าสะสางบัญชีกันเรียบร้อยแล้ว หรือว่าจะตัดสินใจอำมหิตอีกสักหน่อย ให้ข้าช่วยใช้หนึ่งกระบี่ทำลายเมล็ดพันธ์เต๋าเมล็ดนั้น ทำลายอนาคตบนมหามรรคาของคนผู้นั้นก็ยังไม่เป็นปัญหา”
เฉินผิงอันยิ้มตาหยี “พี่มู่เม่า ว่าอย่างไร?”
บัณฑิตชุดดำถูมือหัวเราะเอ่ย “แค่สะบั้นผลกรรมก็พอแล้ว คำโบราณกล่าวได้ดี เป็นคนควรเหลือพื้นที่ว่างให้กัน วันหน้าย่อมพบหน้ากันได้อีกครั้ง”
เฉินผิงอันพยักหน้า “มีเหตุผล”
ดังนั้นพี่มู่เม่าของพวกเราท่านนี้จึงเริ่มทำสมาธิ เตรียมใจพร้อมสำหรับการที่ฟ้าดินเล็กจะมีขุนเขาพังทลายสายน้ำยุบสลายไว้แล้ว วัตถุแห่งชะตาชีวิตหลายชิ้นที่หยางหนิงซิ่งมอบให้ก็เตรียมพร้อมรอคอยอยู่ในช่องโพรงลมปราณใหญ่ทั้งหลาย เก็บรวบรวมลมปราณในแต่ละสถานที่มา ประหนึ่งทหารและม้าที่มารวมตัวกัน รอเข้าพบท่านอ๋อง รีบเร่งเดินทางไปยัง ‘สถานที่สำคัญของเมืองหลวง’ บางแห่งที่สำคัญอย่างมาก ตั้งขบวนพร้อมอย่างเข้มงวด หลีกเลี่ยงให้ไม่ทันระวังขอบเขตถดถอย ทำร้ายไปถึงรากฐานมหามรรคา
ผลคือเจ้าคนที่สหายชุยเรียกขานว่า ‘เสี่ยวโม่’ ผู้นั้นเพียงแค่เดินมาหยุดอยู่ข้างกายเขา กางห้านิ้วเหนือศีรษะ บิดหมุนข้อมือ ทำท่าคล้ายกระชากเบาๆ หนึ่งทีก็เสร็จงานแล้ว
บัณฑิตชุดดำฝืนอดทนรอคอยอยู่พักหนึ่ง เห็นว่าเสี่ยวโม่นั่งลงบนม้านั่งที่ว่างเปล่าเรียบร้อยแล้ว ถึงได้ถามหยั่งเชิงอย่างมึนงงว่า “เสร็จเรื่องแล้วหรือ?”
ผู้ฝึกตนหนุ่มที่สวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียวผู้นี้คิดว่าตัวเองคือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานหรืออย่างไร? มารดามันเถอะ พี่คนดี คงไม่ใช่ว่าเจ้าเอาการแสดงเก่ามาเล่นใหม่ ร่วมมือกันสร้างสถานการณ์ขึ้น รวมหัวกันหรอกข้ากระมัง?
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ไม่สู้ลองสัมผัสภาพบรรยากาศของฟ้าดินในร่างกายตัวเองดูก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งลองมองดูความเคลื่อนไหวของเมล็ดพันธ์เต๋าเกือบครึ่งเมล็ดนั้นว่าเป็นของจริงหรือของปลอม แค่มองก็จะรู้ได้เอง”
ชุยตงซานรีบมาอยู่ด้านหลังเสี่ยวโม่ ยกมือขึ้นนวดบ่าให้อาจารย์เสี่ยวโม่ “ลำบากแล้ว ลำบากเกินไปแล้ว ลงมือครั้งนี้ต้องเผาผลาญพลังไปมากเกินกว่าจะประมาณการณ์ได้!”
เสี่ยวโม่กลับอยากจะเอ่ยว่าไม่ลำบาก เป็นแค่การกระทำที่ง่ายดุจยกมือเท่านั้น แต่ก็อดกลั้นเอาไว้ ถึงอย่างไรก็ค่อนข้างลำบากจริงๆ นั่นแหละ
ครู่หนึ่งต่อมา บัณฑิตชุดดำไม่เหลือสีหน้าล้อเล่นอีกแม้แต่น้อย สีหน้าเคร่งขรึม ถามเฉินผิงอันว่า “จะให้ข้าตอบแทนอย่างไร?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “วันหน้าเมื่อผ่านดินแดนสมบัติบางแห่ง ราชครูหยางจำไว้ว่าต้องแสดงมิตรภาพของเจ้าบ้านให้เต็มที่ก็พอ”
บัณฑิตชุดดำยกมือข้างหนึ่งขึ้น แบฝ่ามือออก ให้คำสัญญาว่า “ก่อนที่ประตูจะเปิดใหม่อีกครั้ง แล้วข้าได้เป็นเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้นของราชวงศ์ใหม่แห่งหนึ่งจริงๆ สามารถเปลี่ยนวิธีมามอบคนห้าแสนคนให้กับนครบินทะยานได้”
ชุยตงซานมองไปทางอาจารย์ ใช้สายตาสอบถาม การค้าครั้งนี้ขาดทุนหรือไม่? หากว่าไม่ได้เงินเลยแม้แต่น้อย จะให้ลูกศิษย์เป็นคนออกหน้าอาละวาดใส่พี่มู่เม่าผู้นี้ดีหรือไม่
เฉินผิงอันพยักหน้า บอกเป็นนัยว่าได้กำไร วันหน้าพวกเจ้าสองคนเป็นร้านผ้าห่อบุญร่วมกันได้เลย บัณฑิตชุดดำเหมือนยกภูเขาออกจากอก ราวกับว่าหินยักษ์ที่กดทับบนจิตแห่งมรรคาถูกยกออกไป และนับแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป จิตแห่งมรรคาก็ใสกระจ่างขึ้นได้หลายส่วน ถึงกับพอจะมองเห็นโอกาสในการฝ่าทะลุขอบเขตได้อย่างเลือนราง ประหนึ่งหน่อไม้ที่ถูกปอกเปลือกเผยให้เห็นหน่ออ่อนของต้นไผ่เขียวในผืนป่า สะกดกลั้นความตื่นตะลึงระคนยินดีเอาไว้ พูดด้วยสีหน้าซับซ้อนว่า “นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าก็คือหยางมู่เม่าอย่างสมชื่อแล้ว”
ทุกครั้งที่ได้พบเจอกับพี่คนดีจะต้องมีเรื่องดีเกิดขึ้นเสมอจริงเสียด้วย
แล้วก็เพราะว่าตอนนี้มีคนนอกอยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นเขาคงกอดคออีกฝ่าย เอ่ยประโยคหนึ่งออกมาจากใจจริงว่า ‘พี่คนดีสมกับเป็นแม่ทัพนำโชคของข้าจริงๆ’
เฉินผิงอันยกชามเหล้าขึ้น เอ่ยว่า “พี่มู่เม่า ครั้งนี้ถือว่าข้าเป็นฝ่ายหาเรื่องมาใส่ตัว ถ้าอย่างนั้นครั้งหน้าที่พบกันในยุทธภพก็อย่าทำให้ข้าทำเรื่องจำพวกแก้ไขความผิดล้อมคอกเมื่อวัวหายเสียล่ะ”
หยางมู่เม่าหัวเราะเสียงดังลั่น “เป็นคนจะไม่รู้จักทะนุถนอมเห็นค่าในโชคลาภได้อย่างไร”
เจิ้งต้าเฟิงหัวเราะพลางยกชามขึ้นชน “ถ้าอย่างนั้นทุกคนก็ดื่มสิบส่วน”
เฉินผิงอันดื่มเหล้าไปชามหนึ่งแล้วก็ถามว่า “สู่จ้งสู่เคยมาที่นครบินทะยานแล้วหรือยัง?”
หยางมู่เม่าส่ายหน้า “ไม่เคย ไม่อย่างนั้นด้วยขบวนเดินทางนั้นของเขา คนที่นี่คงรู้กันไปนานแล้ว สู่จ้งสู่ไม่เหมือนกับพวกข้าสองพี่น้องเลย ก็ลูกหลานคนรวยนี่นะ ทั้งบอบบางทั้งสูงศักดิ์ เวลาออกจากบ้านมักจะมีข้อพิถีพิถันมากมาย”
“อีกอย่างเจ้าหมอนี่เป็นพวกขี้เกียจ ไม่ชอบย้ายรังไปไหน ชะตาชีวิตดี เรื่องของการฝึกตน คนเปรียบเทียบกับคนชวนให้คนโมโหตาย ตอนกลางคืนยามดื่มเหล้ากับข้าชอบบอกว่าเตรียมจะเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบแล้ว รอกระทั่งวันที่สองก็เลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบได้อย่างง่ายดายจริงๆ ข้าถึงขั้นไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าสรุปแล้วเป็นเพราะสู่จ้งสู่สะสมมากใช้ทีละน้อย หรือเป็นแค่เรื่องที่เกิดขึ้นกะทันหันเท่านั้น”
ผู้ฝึกตนบนภูเขาของใต้หล้าหลายแห่งต่างก็รู้กันดีอยู่แก่ใจว่า ไม่ว่าจะเป็นสิบคนรุ่นเยาว์ของหลายใต้หล้าหรือว่าตัวสำรองสิบคนที่ด้อยกว่ากันแค่เล็กน้อย ขอแค่อยู่บนกระดานก็ล้วนเป็นบุคคลที่มีความหวังบนมหามรรคา
ขอแค่บนเส้นทางการฝึกตนอย่าไม่เห็นใครในสายตามากเกินไป ไม่หลงระเริงลำพองตนมากเกินไปก็จะไม่มีทางเจอเรื่องไม่คาดฝันที่ใหญ่เกินไป สามารถเรียกได้ว่าเป็น ‘ตัวสำรองบินทะยาน’ ที่แน่นอนแล้ว
ก็เหมือนอย่างหนิงเหยา เฝ่ยหราน ที่ทุกวันนี้ต่างก็เป็นขอบเขตบินทะยานแล้ว อีกทั้งต่างก็เป็นผู้ฝึกกระบี่
คนหนึ่งคือบุคคลอันดับหนึ่งของใต้หล้าห้าสี คนหนึ่งคือผู้ครองเปลี่ยวร้าง
หากว่าเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวก็มีหวังจะเลื่อนขั้นเป็นชั้นคืนความจริงขอบเขตปลายทาง ถึงขั้นที่ว่ามีโอกาสจะช่วงชิง ‘เทพมาเยือน’ ที่บอกว่า ‘มีปณิธานหมัดนี้ ข้าก็คือทวยเทพ’ ที่กล่าวไว้ในตำนาน
เฉินผิงอันเอ่ยชวนคุยว่า “เขามีความรู้สึกอย่างไรต่อนครบินทะยาน?”
หยางมู่เม่าตอบกลับอย่างไม่ลังเล “ดีมากเลยล่ะ ดีจนดีไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ตอนแรกการที่สู่จ้งสู่มาเยือนใต้หล้าห้าสีก็เพราะไม่พอใจที่ปีนั้นพ่อแม่ไม่อนุญาตให้เขาไปหาประสบการณ์ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ สู่หนันยวนมีหรือจะกล้าตามใจเขา ดังนั้นการที่ไม่เคยไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่มาก่อนจึงถูกสู่จ้งสู่มองเป็นเรื่องน่าเสียดายใหญ่อันดับหนึ่งในชีวิต เจ้าถ้ำสู่ละอายใจกับเรื่องนี้มาก ดังนั้นจึงปิดบังคนรักแอบอนุญาตให้บุตรชายโทนผู้นี้ลงมาจากภูเขา”
เฉินผิงอันถามอย่างคลางแคลง “เป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง?”
หยางมู่เม่าพยักหน้า “เป็นผู้ฝึกกระบี่จริงๆ”
เพราะสู่จ้งสู่ได้เคยส่งกระบี่ให้กับผู้ฝึกตนกลุ่มที่ละเมิดกฎตรงริมชายแดนของหอเชาหรานมาแล้ว อีกทั้งยังไม่ได้สังหารจนหมดสิ้น ดังนั้นเรื่องที่สู่จ้งสู่เป็นผู้ฝึกกระบี่จึงไม่ใช่เรื่องที่เป็นความลับอะไร
อีกทั้งสู่จ้งสู่ยังได้ครอบครองกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่ม เล่มหนึ่งคือ ‘ซานฝู’ หากเรียกออกมา แสงตะวันจะร้อนแรงแผดเผา พื้นดินเหมือนถูกย่าง ในรัศมีร้อยลี้รอบด้าน ปราณวิญญาณจะลอยระอุขึ้นมา ส่วนอีกเล่มที่มีชื่อว่า ‘หวงเหมยเทียน’ นั้น ก็มีวิชาอภินิหารตรงกันข้ามพอดี ฝนใหญ่เทกระหน่ำ ฟ้าดินมืดมิด ท่ามกลางเม็ดฝนคือปราณดุร้ายที่เข้มข้น ผู้ฝึกลมปราณเข้าไปอยู่ข้างในก็เหมือนถูกกักอยู่ท่ามกลางซากปรักสนามรบโบราณที่มีลมเย็นยะเยือกพัดโชยเป็นระลอก
เพียงแต่ว่าระดับขั้นของกระบี่บินสองเล่ม ตอนนี้ยังไม่อาจเรียกได้ว่าฟ้าดินขนาดเล็ก
เฉินผิงอันมองเสี่ยวโม่
เสี่ยวโม่พยักหน้า เป็นคำพูดจากใจจริง
เฉินผิงอันจึงถามต่ออีกว่า “ช่วยนำความไปบอกสู่จ้งสู่ให้หน่อยได้ไหม ถามเขาว่าหอเชาหรานยินดีเป็นพันธมิตรกับนครบินทะยานหรือไม่?”
หยางมู่เม่าครุ่นคิด “เรื่องนี้ค่อนข้างบอกได้อยาก เจ้าสู่จ้งสู่ผู้นี้ขี้เกียจเกินไป ต่อให้จะมีความรู้สึกที่ดีมากต่อนครบินทะยาน แต่กลับไม่แน่เสมอไปว่าจะยินดีลงนามเป็นพันธมิตรอะไร”
“นับแต่เล็กมาสู่จ้งสู่ก็มีความเคยชินอย่างหนึ่ง ขอแค่เป็นเรื่องที่เขาเป็นฝ่ายลงมือทำก็จะต้องกระตือรือร้นถึงขีดสุด จะไม่ขี้เกียจเลยแม้แต่น้อย”
“หากว่าเป็นพันธมิตรกับนครบินทะยานจริง ไม่แน่ว่าเขาอาจเป็นฝ่ายขอรับตำแหน่งผู้ถวายงานของที่นี่ก็เป็นได้ เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งไม่ได้แน่นอนแล้วก็จะเลือกอันดับรอง หาตำแหน่งผู้ถวายงานอันดับสองมาเป็น คาดว่าสามสายอย่างสิงกวาน อิ่นกวานและเฉวียนฝู่ของพวกเจ้า ไม่ถึงหนึ่งปี ทุกคนจะถูกเขาทำให้รำคาญจนตายแน่”
“ขีดสุด?”
เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “ยกตัวอย่างหน่อยสิ”
หยางมู่เม่าตอบ “ยกตัวอย่างเช่นการท่องคัมภีร์เต๋า”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างตกตะลึง “ทั้งหมด?”
หยางมู่เม่าพยักหน้า “ทั้งหมด!”
——