กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 916.3 บนคันนา
เฉินผิงอันรู้สึกเหมือนฟังตำราสวรรค์ เอ่ยอย่างกึ่งเชื่อกึ่งกังขาว่า “ไตรคูหาสี่บทเสริมสิบสองประเภท ทั้งหมดหนึ่งพันสองร้อยกว่าฉบับ แม้จะบอกว่ามีหลายฉบับพิมพ์ แต่อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะมีหลายสิบล้านตัวอักษรกระมัง?”
หยางมู่เม่าพยักหน้า “ใช่สิ เขายังตั้งใจเลือกเฉพาะคัมภีร์เต๋าที่ฉบับพิมพ์มีตัวอักษรมากที่สุดด้วยนะ แม้จะบอกว่านับแต่เด็กมาหนังสือที่อ่านผ่านตาล้วนไม่เคยลืม สามารถอ่านทีละสิบบรรทัด แต่ปีนั้นมารดาของสู่จ้งสู่ก็ยังสงสารเขาแทบตาย อีกทั้งท่องไปได้เกือบครึ่ง สู่จ้งสู่ก็รู้สึก ‘ปวดหัว’ อยู่บ้างจริงๆ เพราะถึงอย่างไรตอนนั้นเขาก็เพิ่งเริ่มฝึกตน ขอบเขตยังไม่สูง ยังเป็นแค่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างคนหนึ่ง ก็เลยถูกสู่หนันยวนวางมาดของบิดาอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ไม่อนุญาตให้เขาท่องตำราอีก ไม่อย่างนั้นจะต้องไปนั่งคุกเข่าในศาลบรรพจารย์ตามกฎบ้านแล้ว สู่จ้งสู่จึงหันไปตั้งใจฝึกตนได้ครึ่งปี เพียงไม่นานก็เลื่อนเป็นห้าขอบเขตกลาง ถึงได้เริ่มกลับมาท่องตำราอีกครั้ง สุดท้ายเขาก็จำได้หมดจริงๆ ตอนนี้สามารถท่องกลับหลังได้แล้ว ไม่ขาดไปแม้แต่ตัวอักษรเดียว”
ชุยตงซานจุ๊ปากประหลาดใจ “มีอนาคต”
เจิ้งต้าเฟิงนวดคลึงปลายคาง ทอดถอนใจเอ่ยว่า “คนรุ่นเยาว์สมัยนี้ แต่ละคนร่าเริงมีชีวิตชีวาไม่แพ้กันเลยจริงๆ”
เฉินผิงอันยิ้มอย่างรู้ทัน เข้าใจแล้ว สู่จ้งสู่เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ ค่อนข้างคล้ายคลึงกับหลิวเม่าแห่งอารามหวงฮวา
หยางมู่เม่าเผยสีหน้าที่ค่อนข้างแสดงความอิจฉา “เล่าลือกันว่าฝูลู่อวี๋เซียนท่านนั้น มีครั้งหนึ่งเคยเดินทางผ่านหลิวเสียทวีป แล้วไปหยุดพักเท้าอยู่ที่ถ้ำสวรรค์เทียนอวี๋ ได้เจอกับสู่จ้งสู่ตอนเด็กที่เริ่มท่องตำราพอดี เกิดใจรักถนอมคนมีความสามารถ เพียงแต่ว่ามารดาของสู่จ้งสู่ตัดใจปล่อยให้บุตรชายไปเป็นนักพรตอะไรไม่ลง อีกอย่างในสายตาของสตรีผู้นั้น จุดประสงค์ที่อวี๋เสวียนเผยออกมาในเวลานั้นก็คือแค่จะรับสู่จ้งสู่เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดเท่านั้น ไม่ใช่ลูกศิษย์ปิดสำนักอะไร เพราะถึงอย่างไรสู่จ้งสู่ก็เป็นบุตรโทนของนาง ในอนาคตจะต้องได้สืบทอดถ้ำสวรรค์เทียนอวี๋แน่นอน ดังนั้นเรื่องของการกราบอาจารย์รับเป็นศิษย์จึงไม่สำเร็จ”
สามารถกลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของอวี๋เสวียนได้ ต่อให้ไม่ใช่ลูกศิษย์ปิดสำนัก แต่โชควาสนาระดับนี้ก็ทำให้คนอยากอิจฉาก็ยังอิจฉาไม่ได้จริงๆ
หยางมู่เม่าหัวเราะหึหึ “แล้วนับประสาอะไรกับที่การที่สู่จ้งสู่ไม่มาเยือนนครบินทะยานก็เพราะเจ้าหมอนี่มีนิสัยประหลาดและข้อพิถีพิถันเยอะแยะมากมาย เขาบอกว่าในนครบินทะยานมีคฤหาสน์หลบร้อนที่มีใต้เท้าอิ่นกวานซึ่งชื่อไม่ค่อยถูกชะตากับเขาสักเท่าไร จึงไม่สะดวกจะมาหาประสบการณ์ที่นี่”
เฉินผิงอันโบกมือ “ร้านผ้าห่อบุญของพวกเจ้า ข้าไม่เข้าร่วมด้วยแล้ว บนร่างไม่มีเงิน”
ชุยตงซานจึงพาหยางมู่เม่าวิ่งตุปัดตุเป๋เข้าไปในร้าน คนทั้งสองไปหลบนั่งยองอยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงิน เริ่มใช้สิ่งของแลกเปลี่ยนสิ่งของ เมื่อมีสมบัติอาคมมากเข้าย่อมเลี่ยงจะเป็นซี่โครงไก่ไม่ได้
เวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูป คนทั้งสองก็เดินกอดคอกันออกมาจากร้าน ตอนที่กลับมาที่โต๊ะเหล้า คนหนึ่งรินเหล้าให้อีกฝ่ายหนึ่งชาม อีกคนพูดว่าข้าทำเอง ข้าทำเอง ใกล้ชิดสนิทสนมจนราวกับเป็นพี่น้องพ่อแม่เดียวกัน
หยางมู่เม่าดื่มเหล้าไปประมาณหนึ่งไห เริ่มจะเมากรึ่มๆ ก็ลุกขึ้นขอตัวลา จะออกเดินทางขึ้นเหนือต่อทั้งอย่างนี้ ในเมื่อไม่ต้องไปตามหาเหยาชิงเสนาบดีรูปงามนั่นแล้วก็ไปลงหลักปักฐานทางเหนืออย่างสบายใจได้แล้ว
เฉินผิงอันพาทุกคนเดินออกมาจากตรอก ส่งหยางมู่เม่าออกไปนอกเมืองทางทิศเหนือ ชุยตงซานกับเสี่ยวโม่เดินตามติดมาด้านหลัง เนื่องจากเดินเท้า ตลอดทางจึงเจอแต่คนสนิทคุ้นเคยของเถ้าแก่รอง เสียงทักทายดังไม่หยุด ระหว่างนั้นเฉินผิงอันยังหยุดเดินแวะไปพูดคุยกับบางคนสองสามประโยคด้วย
หยางมู่เม่าคารวะตามขนบของลัทธิเต๋า “ส่งท่านพันลี้ ถึงท้ายที่สุดก็ต้องจากลากันอยู่ดี พี่ชายคนดีส่งข้าเพียงเท่านี้เถิด”
เฉินผิงอันหยุดเดิน กุมหมัดส่งให้ ยิ้มกล่าว “รักษาตัวด้วย”
ตั้งแต่ต้นจนจบ หยางมู่เม่าไม่เคยถามถึงสถานะของเสี่ยวโม่ เพียงแค่ว่าก่อนจากกันได้หันไปคารวะเสี่ยวโม่แล้วเอ่ยอย่างจริงจังมากเป็นพิเศษว่า “พระคุณยิ่งใหญ่มิต้องเอ่ยขอบคุณ ผู้เยาว์จะจดจำไว้ให้ขึ้นใจอย่างแน่นอน ขุนเขาสูงสายน้ำทอดยาว จะต้องมีโอกาสได้ตอบแทนอาจารย์เสี่ยวโม่แน่”
เฉินผิงอันช่วยอธิบายแทนให้ว่า “ความหมายนอกเหนือจากประโยคนี้ของพี่มู่เม่าก็คือว่า ขาใหญ่บางขา กอดแค่ครั้งเดียวจะพอได้อย่างไร ใช่ไหม?”
หยางมู่เม่าก็เป็นคนหน้าไม่อายคนหนึ่ง ไม่ปฏิเสธเรื่องนี้ ทั้งยังหัวเราะเสียงดังกังวาน “ผู้ที่รู้ใจข้าที่สุดก็คือพี่คนดีนี่เอง”
เสี่ยวโม่ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ในเมื่อสหายหยางเป็นเพื่อนของคุณชายข้า ถ้าอย่างนั้นก็คือเพื่อนของเสี่ยวโม่แล้ว ในอนาคตหากโชคดีได้พบกันอีกครั้ง ไม่ว่าตัวจะอยู่ที่ไหน สหายหยางมีเรื่องอะไรต้องการให้ช่วยเหลือก็บอกมาตามตรงได้เลย ไม่จำเป็นต้องเกรงใจกัน”
เส้นเอ็นหัวใจของบัณฑิตชุดดำผู้นี้ค่อนข้างน่าสนใจ จากลากับคุณชายบ้านตนไปนานแล้วได้กลับมาพบกันใหม่ถึงกับมีความรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมที่จริงใจอย่างแท้จริงอยู่หลายส่วน เพียงแต่ว่าคนผู้นี้จงใจไม่พูดออกจากปาก
และก็ดูเหมือนว่าคุณชายเองก็ค่อนข้างจะโปรดปรานคนผู้นี้โดยที่ไม่เคยบอกอย่างชัดเจนอยู่เหมือนกัน
นี่ก็คงเป็นดั่งคำกล่าวที่ว่าเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันกระมัง? หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล ตลอดทั้งใต้หล้า สหายในโลกที่สามารถทำให้เสี่ยวโม่มีความรู้สึกเช่นนี้ได้ มีน้อยจนนับนิ้วได้ เจ้าแห่งถ้ำปี้เซียวชายหาดลั่วเป่าถือว่าเป็นคนหนึ่ง
ทุกถ้อยคำวาจากลับกลายเป็นภาระ แค่มองหน้าแล้วยิ้มให้กันก็รู้ใจกันได้แล้ว
หยางมู่เม่าเหม่อมองผู้ฝึกกระบี่ ‘หนุ่ม’ ที่สวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียวผู้นั้นแล้วอดไม่ไหวถามว่า “ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสมีขอบเขตใด?”
เสี่ยวโม่ตอบอย่างจริงใจ “ไม่ใช่ขอบเขตสิบสี่”
นอกจากขอบเขตสิบสี่แล้ว ขอบเขตของตนเป็นเช่นไรก็ต้องดูที่ขอบเขตของคนที่ถูกถามกระบี่แล้ว
ชุยตงซานอารมณ์ดีขึ้นมาโดยพลัน
ในใจของหยางมู่เม่าพอจะเข้าใจคร่าวๆ แล้ว อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่ง มีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานที่อำพรางตนอย่างลึกล้ำ หรือว่าจะเป็นผู้ปกป้องมรรคาที่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสทิ้งไว้ให้กับอิ่นกวานคนสุดท้าย? คือสิ่งกวานที่ไม่เคยเผยหน้ามานานหลายปีของกำแพงเมืองปราณกระบี่? หรือว่าเป็นจี้กวานที่ลึกลับยิ่งกว่า? ช่างเถิด คิดเรื่องพวกนี้ไปทำไมกัน หยางมู่เม่าเก็บความคิดกลับคืน เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “มาครั้งนี้ไม่ได้มาเสียเที่ยว อันดับแรกได้พบเจอกับคนรู้จักในต่างบ้านต่างเมือง ทั้งยังได้รู้จักเพื่อนใหม่อีกสองคน ช่างทำให้คนอารมณ์ผ่อนคลายจิตใจปลอดโปร่งยิ่งนัก”
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจเอ่ย “รสชาติของ ‘ตัวข้าไม่ใช่ตัวข้า’ นั้น ไม่ได้ทำให้คนรู้สึกดีเลย ดังนั้นวันนี้ที่ข้าลงมือช่วยเหลือ อันที่จริงเจ้าไม่ต้องคิดมาก”
หยางมู่เม่าถามอย่างระมัดระวัง “สรุปแล้วพี่คนดีจะเตือนข้าว่า ‘ไม่ต้องคิดมาก’ หรือว่า ‘ไม่คิดไม่ได้’ กันแน่?”
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าหนึ่งคำพูดของข้ามีสองความหมายก็แล้วกัน?”
หยางมู่เม่าลังเลเล็กน้อย ก่อนถามว่า “ชุดคลุมอาคมเทาเที่ยร้อยตาตัวนั้นของข้า ไม่ทราบว่าทุกวันนี้ใครเป็นคนสวมใส่?”
ระดับขั้นของชุดคลุมอาคมตัวนั้นไม่สูง แต่ว่าซุกซ่อนความลี้ลับเอาไว้ หากหลอมอย่างเหมาะสมจะสามารถยกระดับขั้นได้ เคยเป็นสมบัติหนักชิ้นหนึ่งที่อยู่ในคลังเก็บสมบัติของหน่วยฉงเสวียนราชวงศ์ต้าหยวน ไม่อย่างนั้นปีนั้นหยางหนิงซิ่งก็ไม่มีทางสวมชุดคลุมอาคมตัวนี้ออกไปหาประสบการณ์ที่ชายหาดโครงกระดูก
เฉินผิงอันยื่นมือออกมาจากชายแขนเสื้อ ตบลงบนบ่าของพี่มู่เม่า “ไม่ได้ดื่มจนเมามายเสียหน่อย พูดภาษาคนเมาให้น้อยๆ หน่อยเถอะ ระวังว่าจะสะดุดล้มตอนทะยานลมเข้าล่ะ”
หยางมู่เม่าแผดเสียงหัวเราะดังลั่น เรือนกายกลายร่างเป็นควันดำกลุ่มหนึ่ง พริบตาเดียวก็พลิ้วกายจากไปไกลทางทิศเหนือ
มองส่งหยางมู่เม่าที่จากไปหลายร้อยลี้ เฉินผิงอันก็หมุนตัวกลับไปที่นครบินทะยาน เอ่ยว่า “ตงซาน กระท่อมแห่งนั้น ทางที่ดีที่สุดควรจะคืนให้กับอารามเสวียนตู”
ครั้งนี้เฉินผิงอันเกิดความคิดกะทันหันจึงมาเยือนนครบินทะยาน แน่นอนว่าหลักๆ แล้วเป็นเพราะคิดถึงหนิงเหยา นอกจากนี้เดิมทีเฉินผิงอันยังคิดว่าจะไปหาชุยตงซานก่อนจะออกไปจากใต้หล้าห้าสีด้วย
เพราะถึงอย่างไรแรกเริ่มสุดสำนักเบื้องล่างของภูเขาลั่วพั่วที่ชุยตงซานอยากก่อตั้งก็คือที่ใต้หล้าห้าสีแห่งนี้
ตอนอยู่ที่สวนกงเต๋อ ซิ่วไฉเฒ่าเคยมอบที่อยู่แห่งหนึ่งให้กับเฉินผิงอัน เส้นทางชัดเจน ไม่ถือว่าหาได้ง่ายนัก เพราะสิ่งกีดขวางระหว่างขุนเขาสายน้ำค่อนข้างมาก แต่กลับไม่ถึงขั้นยากดุจงมเข็มในมหาสมุทร
บอกว่าให้ลูกศิษย์ปิดสำนักอย่างเฉินผิงอันแวะไปที่นั่นเมื่อมีเวลาว่าง ตอนนั้นซิ่วไฉเฒ่าพูดจาอย่างมีเหตุมีผล ในเมื่ออาจารย์เป็นสหายรักที่เรียกตัวเองเป็นพี่เป็นน้องกับป๋ายเหย่ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ย่อมเป็นผู้เยาว์ของป๋ายเหย่ด้วย เรื่องอย่างการช่วยผู้อาวุโสปัดกวาดเช็ดถูเก็บกวาดเรือน เป็นหน้าที่ของเราอยู่แล้ว จะผลักภาระไม่ได้เด็ดขาด
ชุยตงซานพยักหน้า “แน่นอน ข้าก็แค่ไปผ่อนคลายอารมณ์ที่นั่น หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกป๋ายอวี้จิงชิงลงมือก่อน จะไม่รั้งรออยู่นาน รอแค่ให้นักพรตของอารามเสวียนตูมารับช่วงต่อ ข้าก็จะออกมาทันที จะไม่พูดมากแม้แต่คำเดียว”
อาจารย์และศิษย์มองตากันแล้วยิ้มให้กัน
ด้วยนิสัยของนักพรตซุนจะไม่มอบผลท้อตอบแทนผลหลีได้หรือ?
เหลียงส่วงเทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์เคยถามชุยตงซานว่าจิตหยางกายนอกกายอยู่ที่ไหน
ชุยตงซานไม่ได้ปิดบัง บอกว่าอยู่ในสถานที่ฝึกตนของป๋ายเหย่ ถือว่าช่วยจัดการดูแลกระท่อมที่ถูกทิ้งร้างไม่ได้ใช้งาน
ป๋ายเหย่เคยสร้างกระท่อมหลังหนึ่งขึ้นมาในสถานที่ชัยภูมิดีแห่งหนึ่งของใต้หล้าห้าสี เอาไว้เป็นสถานที่ฝึกตนชั่วคราว
ต้นท้อหนึ่งต้น หยั่งรากลึกร้อยลี้ คือโชควาสนาแห่งมรรคาที่ยิ่งใหญ่ติดสิบอันดับแรกของใต้หล้าห้าสี
ปีนั้นซิ่วไฉเฒ่าจับมือกับอีกฝ่ายเดินทางไกลมาเยือนใต้หล้าใหม่เอี่ยม ป๋ายเหย่เองก็พกกระบี่มาแล้วส่งกระบี่ออกไปไม่หยุด เปิดฟ้าผ่าดิน ป๋ายเหย่ได้ครอบครองคุณูปการที่ใหญ่หลวงจนมิอาจประมาณการณ์ได้ครั้งหนึ่ง
เพียงแต่ว่าลานประกอบพิธีกรรมแห่งนั้น ไม่ใช่ตัวป๋ายเหย่เองที่ต้องการ แต่เตรียมเอาไว้มอบให้กับอารามเสวียนตู เพื่อตอบแทนพระคุณที่นักพรตซุนให้ยืมกระบี่ ‘ไท่ป๋าย’ หนึ่งในสี่กระบี่เซียน และตามการวางแผนแรกเริ่มสุดของป๋ายเหย่ก็จะมอบทั้งต้นท้อและกระท่อมให้อารามเสวียนตูพร้อมกันทั้งหมด เพียงแต่ว่าภายหลังเกิดเรื่องขึ้นกะทันหัน ป๋ายเหย่หวนกลับสู่ไพศาล พกกระบี่มุ่งหน้าไปยังฝูเหยาทวีปเพียงลำพัง
เรื่องที่มิอาจมอบกระบี่เซียนกลับคืนให้ได้จึงกลายเป็นปมในใจของป๋ายเหย่
โชคดีที่หลังจากจุติกลับมาเกิดใหม่ เด็กชายคนหนึ่งที่สวมหมวกหัวเสือได้ถูกซิ่วไฉเฒ่าพาไปฝึกตนอยู่ที่อารามเสวียนตู
ก่อนหน้านั้นซิ่วไฉเฒ่าเคยหาเวลาว่างไปเยือนกระท่อมมารอบหนึ่ง แล้วก็บังเอิญที่ป๋ายเหย่ไม่อยู่บ้าน ซิ่วไฉเฒ่าเป็นคนขยันหมั่นเพียรมานะอดออมถึงเพียงใด จึงเก็บกลีบดอกท้อทั้งหมดที่หล่นอยู่บนพื้นมา เก็บมาจนสะอาดเอี่ยม รวมกันได้ถุงใหญ่ ของสิ่งนี้เหมาะแก่การนำมาหมักเหล้าที่สุดแล้ว น้องป๋ายเหย่ชอบดื่มเหล้า แต่กลับไม่เชี่ยวชาญการหมักเหล้า ซิ่วไฉเฒ่าจึงได้แต่ออกแรงด้วยตัวเอง อีกทั้งกลีบดอกท้อที่เหลือจากการหมักเหล้ายังสามารถขอให้พื้นที่มงคลกระดาษขาวเอาไปทำเป็นกระดาษจดหมายดอกท้อได้อีกหลายสิบแผ่น
และด้านข้างต้นท้อ ดินหมื่นปีที่ในปฏิทินเหลืองของศาลบุ๋นบันทึกไว้ว่าเป็น ‘ดินฟ้า’ พวกนั้น ตอนนั้นซิ่วไฉเฒ่าก็เก็บเอาไปไม่น้อย พื้นดินบริเวณใกล้เคียงกับกระท่อมยุบลงไปประมาณหนึ่งถึงสองชุ่นเลยทีเดียว
อันที่จริงเรื่องพวกนี้ไม่นับเป็นอะไรได้ ป๋ายเหย่กลับมาที่สถานที่ฝึกตน เห็นแล้วก็ปล่อยผ่านไป คาดว่าน่าจะแค่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเท่านั้น แต่ซิ่วไฉเฒ่าถึงกับไม่ปล่อยผ่านแม้กระทั่งกิ่งของต้นท้อ เด็ดเอาไปมากหลายสิบกิ่ง
ดังนั้นรอกระทั่งป๋ายเหย่กลับมาถึงกระท่อม ถึงได้ส่งกระบี่ส่งแขกให้กับซิ่วไฉเฒ่าเป็นพิเศษหนึ่งครั้ง
เฉินผิงอันถามอย่างใคร่รู้ “อาศัยยันต์สามภูเขาเดินทางมาที่นครบินทะยานหรือ?”
ชุยตงซานพยักหน้าราวไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก “ยากจะหลบหนีสายตาอันเฉียบคมของอาจารย์ไปได้จริงๆ”
จิตหยางกายนอกกายของเขา ปีนั้นได้สร้างสถานะผู้ฝึกตนอิสระขึ้นมาแล้วเดินอาดๆ จากใบถงทวีปเข้ามาในใต้หล้าห้าสี
ออกมาจากใต้หล้าไพศาลในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกับต้นกล้าเพียงหนึ่งเดียวของสำนักฝูจีและหยางหนิงซิ่งที่ใช้นามแฝงว่าหยางเหิงสิง
ตอนนั้นคนเฝ้าประตูของใบถงทวีปคืออาจารย์ลุงจั่วของบ้านตน ทำไม ไม่ยอมรึ พวกเจ้ามีอาจารย์ลุงเหมือนข้าไหมล่ะ?
หลังจากชุยตงซานเป็นเขยแต่งเข้ามาในใต้หล้าใหม่เอี่ยมก็เริ่มออกเดินทางท่องเที่ยวเพียงลำพัง ในที่สุดก็หาสถานที่ชัยภูมิดีที่เหมาะแก่การบุกเบิกสำนักเบื้องล่างได้เจอ โชคชะตาน้ำเข้มข้น เมฆส่องแสงเรืองรอง ชุยตงซานชื่นชอบทันทีที่ได้เห็น หลงรักตั้งแต่แรกพบ จึงตั้งค่ายกลไว้หลายชั้น ยึดครองขุนเขาสายน้ำในรัศมีหลายร้อยลี้รอบด้านไว้เป็นของตัวเอง จากนั้นตั้งชื่อภูเขาเล็กๆ ลูกหนึ่งว่า ‘ตงซาน’
อยู่ว่างๆ ก็ไม่มีอะไรทำ ชุยตงซานยังวาดภาพอีกสองภาพ แบ่งเป็นตั้งชื่อให้ว่า ‘เจี้ยจื่อ’ (เมล็ดมัสตาร์ด สามารถเปรียบได้ถึงสิ่งของขนาดเล็ก ในภาษาไทยมักจะใช้คำว่าเมล็ดงา) และ ‘ภูเขาสายน้ำ’
อาศัยความทรงจำวาดภาพขุนเขาสายน้ำยิ่งใหญ่งดงามตระการตาล้านลี้ด้วยม้วนภาพยาวหลายสิบจั้ง แต่กลับตั้งชื่อให้ว่า ‘เจี้ยจื่อ’
แต่อีกภาพหนึ่งทั้งที่มีแค่น้ำหมึกหยดเดียว กลับถูกชุยตงซานตั้งชื่อให้ว่า ‘ภูเขาสายน้ำ’
ชุยตงซานเกาหน้า เอ่ยอย่างเสียดายว่า “ศิษย์มาถึงที่นี่ก็เคยเป็นเฒ่าจันทราผูกด้ายแดงสานสะพานมาก่อน ช่วยเป็นพ่อสื่อให้กับผู้ฝึกตนหลายคู่ แน่นอนว่าต้องให้ชายหญิงพวกนั้นมีความจริงใจมากพอด้วย ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ศิษย์ก็ยังมิอาจสร้างคู่รักบนภูเขาคู่แรกของฟ้าดินแห่งนี้ได้ ช้าไปก้าวเดียว ช้าไปแค่ก้าวเดียวจริงๆ จึงได้แต่คลาดกับโชควาสนานั้นไป”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ต้องไม่ได้มีแค่เจ้าที่ ‘มองดูเหมือนว่า’ ช้าไปก้าวเดียว ป๋ายอวี้จิงที่อยู่ทางทิศตะวันออกยังมียอดฝีมือที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางชาวบ้านลี้ภัยของฝูเหยาทวีปและใบถงทวีปที่ก็เคยทำการทดลองที่คล้ายคลึงนี้ อีกทั้งถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องล้มเหลวเหมือนกัน เจตนารมณ์ฟ้ามิอาจคาดการณ์ คนคำนวณมิอาจสู้ฟ้าลิขิต ขอแค่เจ้ามีใจ ก็จะต้องช้าไปกว่าก้าวหนึ่งแน่นอน เรื่องนี้มิอาจอธิบายได้ อย่าได้ดูแคลนมหามรรคาของใต้หล้าแห่งนี้ ได้แต่อาศัยให้เจตนารมณ์สวรรค์ที่มองไม่เห็นพวกนั้นมาตัดสินใจเอาเอง ตงซาน วันหน้าหากมีเรื่องทำนองนี้อีกก็อย่าทำอีกเลย เดี๋ยวจะถูกคิดบัญชี แล้วก็ต้องใช้คืนด้วย”
เฉินผิงอันเงยหน้ามองฟ้า พึมพำเอ่ย “เจตนารมณ์สวรรค์มิอาจละเมิด ไม่ได้เป็นคำพูดที่กล่าวอย่างส่งๆ เท่านั้น”
ชุยตงซานพยักหน้า “หากไม่เป็นเช่นนี้ ข้าก็จะทำตามเจตจำนงเดิม เลือกสถานที่ตั้งของสำนักเบื้องล่างไว้ก่อน แล้วจะรีบเดินทางลงใต้ทันที ไปคัดเลือกเอาคนที่บนร่างมีปราณมังกรสักคนสองคนมาจากกลุ่มของพวกชาวบ้านลี้ภัยใบถงทวีป หว่านแหเป็นวงกว้าง ทำการประคับประคองมังกรให้กับเจ้าพวกคนที่มีคุณสมบัติพอจะเป็นจักรพรรดิในโลกมนุษย์ได้ เป็นเพราะการใช้กำลังคนสร้างคู่รักขึ้นมาเจอแต่อุปสรรคจึงไม่กล้าแสวงหา ‘คุณูปการและคุณธรรมด้วยแรงคน’ อันดับหนึ่งนั้นอีก”
เฉินผิงอันยิ้มหันหน้ามาเอ่ยปลอบใจ “มองดูเหมือนว่าทำอะไรไม่ได้สักอย่าง เพียงแค่ต้องการความเป็นธรรมชาติ การพัฒนาไปตามสถานการณ์ ไม่แน่ว่าอาจจะมีเรื่องน่ายินดีที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นก็เป็นได้”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “เอาตามที่อาจารย์บอก”
ช่วงแรกเริ่มของฟ้าดิน
ประหนึ่งเด็กน้อยที่ค่อยๆ เริ่มมีสติปัญญา
ใต้หล้าใหม่เอี่ยมแห่งหนึ่งเต็มไปด้วยความมหัศจรรย์หลากหลายรูปแบบ โชควาสนาอาจเกิดขึ้นได้ในทุกที่
ศาลบรรพจารย์บนภูเขาแห่งแรกที่แขวนภาพเหมือน ตั้งแท่นบูชาจุดธูปคารวะ นครบินทะยานได้รับไป
เป็นเหตุให้ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนของนครบินทะยานที่ออกไปหาประสบการณ์ข้างนอก แท้จริงแล้วได้รับการปกป้องที่มองไม่เห็นอย่างหนึ่ง
หากไม่เป็นเพราะได้รับการดูแลจากมหามรรคาส่วนนี้ เมื่อไปอยู่ในพื้นที่ลับแห่งขุนเขาสายน้ำที่ ‘แปลกประหลาด’ ทั้งหลาย การบาดเจ็บล้มตายของผู้ฝึกกระบี่นครบินทะยาน เกรงว่าน่าจะเพิ่มขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว
——