กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 917.1 เรื่องนี้สิ้นสุดลงแล้ว
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนเพียงลำพัง เดินเล่นเลียบริมคันนาไป เนื่องจากมีสหายเก่าคนหนึ่งมาเยือน ก็คือฉีโซ่วที่เร่งรุดเดินทางมาจากนครอู่ขุย ทุกวันนี้คือผู้นำของสายสิงกวาน
ฉีโซ่วพูดเข้าประเด็นทันที “เจ้าไม่มาหาข้าที่จวนเฉวียนฝู่ ข้ารู้สึกใจคอไม่ดี ไม่สู้เป็นฝ่ายมาหาเองถึงที่ มาให้เจ้าด่าสักสองสามประโยคยังดีกว่า”
ใครไม่รู้บ้างว่าอิ่นกวานหนุ่มแห่งคฤหาสน์หลบร้อนมีคำพูดประหลาดยาวเป็นพรวน เหมือนมีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตกระบุงใหญ่ กระบี่แต่ละเล่มทิ่มแทงใจคน
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เป็นสหายรักกับพี่ฉี ทุกวันนี้พี่ฉีเลื่อนขั้นขุนนางอีกแล้ว ข้าเอ่ยประจบสอพลอยังแทบไม่ทัน ไหนเลยจะกล้าชี้ไม้ชี้มือใส่สิงกวานคนใหม่เล่า?”
คนทั้งสองเดินเคียงบ่ากันไปบนคันนา ฉีโซ่วกล่าวว่า “ได้ยินมาว่าสิงกวานคนก่อนชื่อหาวซู่? หนิงเหยากลับมาที่นครบินทะยานครั้งก่อน นางไม่ได้เล่าถึงการเดินทางไปเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร้างของพวกเจ้าให้ฟังอย่างละเอียด เป็นเหตุจนถึงตอนนี้ข้าก็ยังได้แค่รู้ชื่อเขาเท่านั้น”
ผู้ฝึกกระบี่สายสิงกวานในทุกวันนี้จะต้องมีปมในใจที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ปมหนึ่งอยู่ตลอด นั่นก็คือ ‘ทำเนียบวงศ์ตระกูล’ ขาดหายไป เนื่องจากกระทั่งถึงช่วงที่สงครามครั้งก่อนสิ้นสุดลง อดีตสิงกวานก็ไม่เคยเผยหน้ามาก่อน
ย้อนกลับไปมองสายอิ่นกวาน อิ่นกวานแต่ละยุคแต่ละสมัยมีการสืบทอดอย่างเป็นระเบียบ ไม่ว่าชื่อเสียงของอิ่นกวานแต่ละรุ่นจะเป็นเช่นไร ขอบเขตสูงหรือต่ำ คุณความชอบทางการสู้รบใหญ่หรือเล็ก จะดีจะชั่วก็มีหลักฐานให้สืบหา มีหนังสือลำดับศักดิ์วงศ์ตระกูลที่ชัดเจน
ส่วนเรื่องที่เซียวสวิ้นอิ่นกวานคนก่อนทรยศออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ อันที่จริงก็ไม่เพียงแต่ผู้ฝึกกระบี่รุ่นปัจจุบันของคฤหาสน์หลบร้อนเท่านั้น คนทั่วทั้งนครบินทะยานต่างก็ไม่มีคำด่าประณามต่อนางสักเท่าไร นี่จึงเป็นเหตุให้ทุกวันนี้ยามที่พูดถึงเซียวสวิ้นจึงไม่มีข้อห้ามใดๆ ไม่เพียงแต่ไม่มีทางจงใจหลบเลี่ยงไม่พูดถึง กลับกันในคำพูดยังแฝงความเสียดายไว้มาก ผู้ฝึกกระบี่สามคนที่ทรยศพร้อมกับเซียวสวิ้น จางลู่คนเฝ้าประตู ลั่วซานและจู๋อาน อันที่จริงก็ไม่ได้ถูกใครด่าสักเท่าไร มีบ้างที่ได้ยินเสียงด่า แต่ก็ด่าจางลู่ที่เป็นคนไร้ประโยชน์เสียมากกว่า ในเมื่อเลือกที่จะทรยศไปแล้ว ทำไมไม่ทำอะไรให้รวดเร็วฉับไวหน่อย ติดตามเซียวสวิ้นไปเยือนใต้หล้าไพศาลด้วยเสียเลยสิ
เฉินผิงอันพยักหน้า “หาวซู่มาจากพื้นที่มงคลแห่งหนึ่งของฝูเหยาทวีปที่ปริแตกไปนานแล้ว ในอดีตตอนอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็อยู่ในคุกของเฒ่าหูหนวกตลอด ดังนั้นชื่อเสียงจึงไม่โดดเด่น แต่อันที่จริงเวทกระบี่ของเขาสูงมาก เป็นขอบเขตบินทะยาน ปีนั้นเขากลับใต้หล้าไพศาลไปรอบหนึ่งก็ไปหาผู้บงการเบื้องหลังที่ทำให้พื้นที่มงคลบ้านเกิดของตัวเองต้องพินาศวอดวาย เป็นขอบเขตบินทะยานเฒ่าคนหนึ่งของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ชื่อว่าหนันกวงจ้าว ถูกหาวซู่ตัดหัวแล้วโยนทิ้งไว้ที่หน้าประตูภูเขา คราวก่อนหาวซู่ติดตามพวกเราไปเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็ได้สังหารเสวียนผู่ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนหนึ่งของนครบินทะยานไป เท่ากับว่ามีคำอธิบายให้กับทางศาลบุ๋นแล้ว เป็นการทำความดีชดใช้ความผิด ดังนั้นทุกวันนี้จึงไปอยู่ใต้หล้ามืดสลัวแล้ว หาวซู่จะต้องช่วยปกป้องมรรคาให้กับผู้ฝึกกระบี่ที่ออกเดินทางไกลกลุ่มของต่งฮว่าฝูด้วย”
ฉีโซ่วหยิบตราประทับชิ้นหนึ่งที่ให้คนช่วยซื้อมาให้จากร้านขายผ้าแพรต่วนของตระกูลเยี่ยน ยิ้มเอ่ยว่า “น่าเสียดายที่ไม่อาจซื้อเล่มดอกเหมยที่ดีที่สุดของ ‘กวีจีหร่าง’ ของอาจารย์คังเจี๋ยมาได้”
เฉินผิงอันเหลือบมองตราประทับ รู้ดีว่าเป็นตราประทับหนังสือที่ด้านล่างของตราประทับแกะสลักเป็นคำว่า ‘มีเพียงข้าไม่ได้ออกท่องทั่วสารทิศ’ ถือว่าเหมาะสมกับสภาพการณ์และสภาพจิตใจของฉีโซ่วอย่างมาก
ในเมื่อไม่ได้ไปเยือนใต้หล้าไพศาล แล้วก็ไม่ถือว่าเคยไปเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร้างมาก่อน ฟ้าดินกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ แต่กลับทำได้เพียงอยู่ในสถานที่เล็กแคบแห่งหนึ่ง จะว่าไปแล้วก็เป็นเพราะฉีโซ่วมีจิตใจที่หยิ่งทระนงนั่นเอง
ฉีโซ่วกำตราประทับในมือไว้แน่นเหมือนมันเป็นของสำหรับถือเล่น ถามว่า “บรรพจารย์ท่านนั้นของข้าล่ะ?”
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “เซียนกระบี่ผู้อาวุโสฉีหรือจะต้องให้เจ้ามาเป็นห่วง ชื่อเสียงของเขาโด่งดังไปทั่วสารทิศอยู่ในใต้หล้าไพศาลมานานแล้ว สำนักกระบี่หลงเซี่ยงยังมีลู่จืออยู่ด้วย หนึ่งสำนักสองบินทะยาน ทั้งยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ทั้งคู่ ไม่ว่าใครก็ไม่กลัว บวกกับที่มีผู้ถวายงานห้าขอบเขตบนสองคนอย่างเส้าอวิ๋นเหยียนและถัวเหยียนฮูหยินคอยช่วยจัดการกิจธุระต่างๆ ให้ เซียนกระบี่ผู้อาวุโสฉียังรับลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อไว้หลายสิบคน คุณสมบัติดีมากกันทุกคน ถูกเรียกขานว่า ‘สิบแปดกระบี่’ ทุกคนล้วนเป็นตัวอ่อนเซียนกระบี่อันดับหนึ่ง ไม่ต้องถึงหนึ่งร้อยปีสำนักกระบี่หลงเซี่ยงก็แค่รับตัวเค่อชิงและลูกศิษย์ของลูกศิษย์มาเพิ่มอีกสักหน่อย ก็จะสามารถกระโดดขึ้นเป็นสำนักใหญ่ขั้นสูงสุดของใต้หล้าไพศาลได้แล้ว”
ฉีโซ่วลังเลเล็กน้อย คล้ายว่ามีคำพูดบางอย่างที่ยากจะเอื้อนเอ่ย จึงหยุดเดินแล้วทรุดตัวลงนั่งยอง เก็บตราประทับใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ยื่นมือไปคว้าจับรวงข้าวเหลืองอร่ามของข้าวจ้งซือมาต้นหนึ่ง ผลคือถูกเฉินผิงอันตำหนิ “ทำไมเจ้าถึงได้มือบอนขนาดนี้ล่ะ”
เฉินผิงอันนั่งลงด้านข้าง หยิบก้อนหินขึ้นมาก้อนหนึ่ง ยกรองเท้าผ้าขึ้น ใช้หินขูดดินออกเบาๆ ยิ้มพูดชวนคุยว่า “ทุกวันนี้เฝ่ยหรานเป็นผู้ครองเปลี่ยวร้างที่ได้รับการยอมรับจากผู้คนแล้ว พี่ฉีกลับดีนัก แม้แต่เจ้านครบินทะยานก็ยังไม่ได้เป็น แค่ถูกเรียกว่าเป็นเจ้านครครึ่งตัวเท่านั้น ข้ารู้สึกอยุติธรรมแทนพี่ฉีจริงๆ”
ในเมื่อเจ้าไม่สะดวกจะเปิดปาก ข้าก็จะช่วยพาดบันไดให้เจ้าเดินก็แล้วกัน
ฉีโซ่วเอ่ยเนิบช้าว่า “เฉินผิงอัน ชั่วชีวิตนี้ข้าจะไม่มีทางได้เป็นเจ้านครแล้วใช่หรือไม่?”
เฉินผิงอันถาม “ทำไมถึงถามเช่นนี้ล่ะ?”
ฉีโซ่วตอบ “ลางสังหรณ์”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้าไม่ใช่สตรีสักหน่อย ต้องเป็นลางสังหรณ์ของสตรีที่ถึงจะแม่นยำ”
ฉีโซ่วถามคำถามยาวเป็นพรวน “เก้าอี้สองตัวที่ว่างอยู่ในศาลบรรพจารย์ สรุปแล้วเป็นเรื่องอะไรกันแน่? เป็นการจัดการของเจ้า? หรือว่ามีข้อพิถีพิถันอะไร ยกตัวอย่างเช่นเป็นเรื่องที่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสสั่งความไว้ในอดีต? หนิงเหยาไม่ได้บอกต้นสายปลายเหตุ โลกภายนอกเดากันมานานหลายปีขนาดนี้แล้วก็ยังไม่ได้คำตอบที่แน่ชัด”
ความคิดที่ค่อนข้างน่าเชื่อถือที่สุดก็คือเก้าอี้สองตัวที่ปล่อยว่างไว้ ตัวหนึ่งเอาไว้มอบให้กับเจ้านครในอนาคต อีกตัวหนึ่งไว้มอบให้กับบุคคลอันดับหนึ่งของใต้หล้าห้าสี
หากเป็นเช่นนี้จริงก็ค่อนข้างจะสอดคล้องกับนิสัยการกระทำของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสแล้ว
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน บางทีอาจเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสที่ให้หนิงเหยาทำเช่นนี้กระมัง เดี๋ยวคราวหน้าข้าจะลองถามให้”
ในความเป็นจริงแล้วคนที่เฉินผิงอันต้องไปถาม ควรเป็นเฉินจี หรือควรจะเรียกว่าเฉินซีเซียนกระบี่ผู้อาวุโสในอดีตถึงจะถูก
ฉีโซ่วถาม “หากให้เจ้าเดาล่ะ? เจ้าคิดว่าเป็นเพราะอะไร?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็พูดเสียงเบาว่า “อดีตล้วนผ่านไปแล้ว อนาคตยังมาไม่ถึง ต่อให้เก้าอี้สองตัวถูกปล่อยว่างไว้ก็ไม่ถือว่าว่างจริงๆ กระมัง ถึงอย่างไรก็เหมือนผู้ฝึกกระบี่สองคนที่นั่งอยู่ติดกัน แต่กลับไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่งที่เป็นรูปธรรม ไม่ใช่ฉีโซ่วที่จนถึงตอนนี้ก็ยังคิดไม่ตกว่าจะได้เป็นเจ้านครหรือไม่ ถึงขั้นไม่ใช่หนิงเหยาที่นั่งในตำแหน่งบุคคลอันดับหนึ่งของใต้หล้าได้อย่างมั่นคงแล้ว แต่เป็นแค่ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนที่เป็นอดีตไปแล้วแต่กลับไม่เคยถูกหลงลืม กับผู้ฝึกกระบี่ทุกคนที่วันหน้าจะกลายเป็นอนาคต”
ฉีโซ่วครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ถึงกับรู้สึกว่าคำตอบที่เฉินผิงอันมอบให้นี้ค่อนข้างมีเหตุผล น่าสนใจอย่างมาก อดไม่ไหวทอดถอนใจเอ่ยว่า “สมกับเป็นบัณฑิตจริงๆ!”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างขำๆ ปนฉุน “อุตส่าห์ได้พูดคุยเป็นเผยความในใจจริงกับเจ้าทั้งที แต่เจ้ากลับไม่รู้จักดีชั่วเช่นนี้ อยากโดนด่าใช่ไหม?”
ฉีโซ่วยกสองแขนกอดอก มองผืนนาที่เป็นสีทองมลังเมลือง เหมือนกับตราประทับชิ้นนั้นที่เขาชื่นชอบเพียงหนึ่งเดียว เนื้อหาริมขอบเขียนไว้ว่าทุกครอบครัวกินอยู่เพียงพอ สถานการณ์มั่นคงผลเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์ สุขภาพร่างกายแข็งแรง…
ไม่อย่างนั้นด้วยมิตรภาพน้อยนิดที่เขามีกับเฉินผิงอัน มีหรือจะแวะเวียนไปอุดหนุนกิจการร้านของตระกูลเยี่ยน ได้แต่ฝืนใจ ฝืนนิสัยไหว้วานให้คนไปช่วยซื้อตราประทับที่ถูกใจชิ้นนั้นมา
ฉีโซ่วเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “แม้จะบอกว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้มากที่สุด แต่ลางสังหรณ์บอกข้าว่า ผู้ฝึกกระบี่ที่แกะสลักตัวอักษรใหม่ล่าสุดของหัวกำแพงเมืองไม่ใช่บรรพบุรุษตระกูลข้า ไม่ใช่หนิงเหยา แล้วก็ไม่ใช่สิงกวานหาวซู่หรือลู่จือ แต่เป็นเจ้า”
เฉินผิงอันยิ้มรับ แบฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาวางค้ำไว้บนคันดินเบาๆ “มีเพียงเรื่องหนึ่งที่ทำให้ข้ารู้สึก…ภาคภูมิใจมากที่สุด อืม เมื่อทำเรื่องนี้สำเร็จ ข้ารู้สึกสบายใจมาก”
ฉีโซ่วหันไปมองใบหน้าด้านข้างของเจ้าหมอนี่ คิ้วตาเบิกบาน มีความสบายอารมณ์อย่างที่หาได้ยากอยู่หลายส่วนจริงๆ เป็นประกายเฉียบคมที่ไม่ปิดบังอำพรางเลยแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันยกมือข้างหนึ่งขึ้น สองนิ้วประกบกัน วาดลงด้านล่างหนึ่งที จากนั้นปาดไปแนวขวางหนึ่งครั้ง ก่อนจะกางนิ้วทั้งห้าออก “ผู้ฝึกกระบี่ของเปลี่ยวร้างที่ได้ครอบครองกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ‘จือเฝิ่น’ ฮุ่ยถิงแห่งสำนักกระบี่หงเย่ ถูกกระบี่หนึ่งฟันผ่าออกเป็นสองท่อน จากนั้นถูกปาดเอวอีกที ใช้บ่อสายฟ้าของลัทธิเต๋าหลอมสังหารจิตวิญญาณของอีกฝ่ายจนสลายสิ้น จากนั้นค่อยดึงเอาชื่อจริงเผ่าปีศาจของเจ้านี่ออกมา การเข่นฆ่าที่อำมหิตเช่นนี้ ถึงอกถึงใจอย่างมาก หากไม่เป็นเพราะตอนนั้นยังต้องถามกระบี่กับคนอื่น อันที่จริงยังมีวิธีการอีกมากมายที่รอให้ฮุ่ยถิงเสวยสุขดีๆ”
ฉีโซ่วกับน่าหลันไฉ่ฮ่วน และยังมีหมี่อวี้ต่างก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ที่ขึ้นชื่อว่าลงมืออย่างอำมหิตโหดเหี้ยมบนสนามรบ แต่พอได้ยินคำพูดประโยคนี้ของเฉินผิงอันก็ยังอดรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะไม่ได้
แค่ได้ยินว่าในที่สุดฮุ่ยถิงผู้นั้นก็ตายแล้ว อารมณ์ของฉีโซ่วก็ดีขึ้นมาโดยพลัน เขาเบี่ยงตัวหันข้าง เป็นฝ่ายกุมหมัดเอ่ยว่า “เรื่องนี้ทำได้งดงามยิ่ง!”
เฉินผิงอันกล่าว “แต่ตอนนั้นฮุ่ยถิงต้องการช่วยสหายคนหนึ่ง ถือว่าเป็นการรนหาที่ตายเอง ในสายตาของผู้ฝึกตนของใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็น่าจะถือว่าเป็นวีรบุรุษได้กระมัง?”
ฉีโซ่วหัวเราะหยัน “ก็แค่ว่าไอ้หมอนี่ไม่ได้ตกมาอยู่ในเงื้อมมือข้าเท่านั้นแหละ”
เฉินผิงอันจุ๊ปากเอ่ย “ตกอยู่ในเงื้อมมือของเจ้าแล้วอย่างไร เจ้าสามารถจัดการฮุ่ยถิงภายใต้เปลือกตาของภูเขาทัวเยว่และหยวนซงได้หรือ? เจ้าต้องรู้ว่าลูกศิษย์คนแรกของบรรพบุรุษใหญ่แห่งเปลี่ยวร้างผู้นี้ยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำคนหนึ่งด้วย”
ฉีโซ่วถามอย่างใคร่รู้ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าทำให้ฮุ่ยถิงพาตัวมาติดกับเองได้อย่างไร แล้วทำให้หยวนซงช่วยเหลืออีกฝ่ายไม่ทันได้อย่างไร?”
เฉินผิงอันกลับไม่ได้ให้คำตอบ
ใต้หล้าเปลี่ยวร้างมักจะมีผู้ฝึกตนเพียงหยิบมือที่ทำให้กำแพงเมืองปราณกระบี่เคียดแค้นที่สุด แต่กลับมิอาจสังหารได้
ยกตัวอย่างเช่นเซียนกระบี่โซ่วเฉินลูกศิษย์ใหญ่ของมหาสมุทรความรู้โจวมี่ รวมไปถึงฮุ่ยถิงที่ลงมืออย่างอำมหิตไร้ปราณี คอยลอบสังหารผู้ฝึกกระบี่หญิงโดยเฉพาะ
และฮุ่ยถิงก็น่าชิงชังมากเป็นพิเศษ ต่อให้โซ่วเฉินจะน่ารังเกียจแค่ไหน เพราะว่าเชี่ยวชาญการเก็บซ่อนตัวตนบนสนามรบ ชอบเก็บตกคุณความชอบทางการสู้รบ แต่ในประวัติศาสตร์โซ่วเฉินก็เคยมีการถามกระบี่ที่ปะทะกับคนอื่นซึ่งๆ หน้าอยู่หลายครั้ง นอกจากนี้โซ่วเฉินออกกระบี่อย่างแม่นยำ ไม่ได้จงใจเล่นงานใครเป็นพิเศษ แต่ฮุ่ยถิงนั้นเพื่อเลื่อนระดับขั้นของกระบี่บิน ‘จือเฝิ่น’ ก็ไม่เพียงแต่จะเลือกแค่ผู้ฝึกกระบี่หญิงของกำแพงเมืองปราณกระบี่เท่านั้น ยังไม่สนด้วยว่าอีกฝ่ายจะขอบเขตสูงหรือต่ำ อายุมากหรือน้อย อีกทั้งทุกครั้งที่ลงมือก็จะรีบถอยออกจากสนามรบทันที สตรีที่ถูกกระบี่บินสังหารเหล่านั้นมีจุดจบที่อเนจอนาถอย่างถึงที่สุด จิตวิญญาณถูกกระบี่บินกักขังก่อนหล่อหลอม ประหนึ่งไส้ตะเกียงที่เผาไหม้อย่างเชื่องช้า
ฉีโซ่วถาม “สำนักศึกษาเลือกที่ตั้งเรียบร้อยแล้ว เจ้าไม่ไปดูสักหน่อยหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “คราวหน้าค่อยว่ากันเถอะ อีกเดี๋ยวข้าก็ต้องกลับใต้หล้าไพศาลแล้ว”
ฉีโซ่วเบ้ปาก “ทุกหนทุกแห่งล้วนมีเงาร่างของใต้เท้าอิ่นกวาน เวลาผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้แล้ว ดูเหมือนว่าจะยังสลัดได้ไม่หมดเสียที น่ารำคาญจริงๆ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คำประจบนี้ของพี่ฉีเริ่มพอจะมีมาตรฐานแล้ว ไปถึงภูเขาลั่วพั่วของข้า อย่างน้อยก็เป็นลูกศิษย์นักการฝ่ายนอกได้แล้ว”
ฉีโซ่วคิดจะลุกขึ้นแล้วขอตัวลา จู่ๆ เฉินผิงอันก็เอ่ยขึ้นว่า “ก่อนจะจากกัน ข้าขอใช้สถานะของอิ่นกวานคนก่อนเอ่ยความในใจกับสิงกวานคนใหม่สักคำได้หรือไม่?”
ฉีโซ่วพยักหน้า “ล้างหูรอฟังแล้ว”
เฉินผิงอันยื่นฝ่ามือไปตบลงบนคันนาข้างกาย “อย่าได้คิดลบร่องรอยเพื่อที่จะกลบทับทำลายมัน เมื่อเวลานานวันเข้า คุณความชอบล้วนต้องเป็นของเจ้า”
ฉีโซ่วประหลาดใจอย่างมาก เจ้าเฉินผิงอันผู้นี้ถึงกับใจกว้างขนาดนี้เชียวหรือ?
เพียงแต่ว่าพอลองคิดดูอีกที ฉีโซ่วก็รู้สึกผิดปกติทันใด จึงถามว่า “เจ้าไม่คิดจะกลับมานครบินทะยานแล้ว ครั้งหน้าที่ประตูเปิดก็จะไม่มาแล้ว?”
เฉินผิงอันกล่าว “จะเป็นไปได้อย่างไร ข้าต้องมาที่นี่บ่อยๆ แน่”
ฉีโซ่วด่าขำๆ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะยกเหตุผลเลื่อนลอยมาพูดกับข้าไปไย?”
เฉินผิงอันพูดอย่างสะท้อนใจ “จากลากันแค่สามวันก็ต้องหันมามองกันเสียใหม่แล้ว ทุกวันนี้พี่ฉีหลอกยากจริงๆ”
ฉีโซ่วลุกขึ้นยืน เฉินผิงอันพลันโยนตราประทับชิ้นหนึ่งไปให้ “มอบให้เจ้าแล้ว”
ฉีโซ่วรับมาไว้ในมือ ริมขอบตราประทับไม่มีตัวอักษร มีแค่ตัวอักษรหน้าตราประทับสี่คำ ฉีโซ่วยิ้มอย่างรู้ใจ เก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ เอ่ยขอบคุณเฉินผิงอัน
‘มรรคานั้นอยู่ที่นี่’
อันที่จริงหลายปีมานี้ที่เฉินผิงอันไม่ได้อยู่ในนครบินทะยานก็มีเจ้าพวกคนที่ชอบแสร้งทำเป็นมีรสนิยมบางส่วนที่คิดจะเลียนแบบเถ้าแก่รอง อาศัยการขายตราประทับมาหาเงินสร้างฐานะ ถึงอย่างไรของเล่นจำพวกนี้ก็ไม่ต้องใช้เงินทุนอะไรมากมาย เนื้อหาของตราประทับก็หนีไม่พ้นว่าต้องไปคัดลอกเอามาจากตำรา มักรู้สึกว่าเป็นงานง่ายๆ ที่ไม่มีธรณีประตูอะไร ผลคือไม่เพียงแต่ขายตราประทับไม่ออกสักชิ้น แต่ละคนยังถูกด่าเสียจนไม่เหลือชิ้นดี เถ้าแก่รองก็แค่ทิ้งหนังหน้าลงบนพื้น พวกเจ้ากลับดีนัก ถึงกับฝังลงดินไปเลยหรือ?
ก่อนที่ฉีโซ่วจะทะยานลมเดินทางกลับนครบินทะยานได้ยิ้มเอ่ยว่า “ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน”
เสี่ยวโม่นั่งยองอยู่ข้างกายเด็กหนุ่มชุดขาว พูดปลอบใจว่า “เจ้าสำนักชุย วิญญูชนทำในเรื่องที่ควรทำ ไม่ทำเรื่องที่ไม่ควรทำ เรื่องบางอย่างต้องรีบลงมือแต่เนิ่นๆ เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องรีบทำ เจ้าและข้าต่างก็ทำใจให้กว้าง ไม่สู้ทำตัวให้กระฉับกระเฉง มารอดูกันเถอะว่าอีกร้อยปีพันปีให้หลัง สิ่งที่พลาดไปในวันนี้ก็คือโอกาสบนมหามรรคา”
ชุยตงซานเค้นรอยยิ้มส่งไปให้ “หลักการข้าเข้าใจ ก็แค่อดสงสารอาจารย์ไม่ได้”
เสี่ยวโม่ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าคิดแบบนี้กลับจะทำให้คุณชายคิดมากไปอีก อาจารย์มีแต่จะยิ่งเป็นห่วงลูกศิษย์”
“แต่ข้าก็รู้สึกอีกว่า มีการวกวนอ้อมค้อมที่เหมือนคนเขลาเบาปัญญาได้แต่เป็นทุกข์เช่นนี้ คนฉลาดล้ำที่สุดในใต้หล้าสองคนอย่างคุณชายกับเจ้าสำนักชุยก็จะได้ดูไม่ฉลาดขนาดนั้นอีกแล้ว บางทีนี่ต่างหากจึงจะเป็นอาจารย์กับลูกศิษย์ที่แท้จริงมากกว่ากระมัง?”
“ดูเหมือนว่าข้าจะพูดเรื่องไร้สาระเสียแล้ว”
ตนหลอมกระบี่ ถามกระบี่กับคนอื่น เสี่ยวโม่คิดว่าตัวเองยังนับว่าพอใช้ได้
มีเพียงเรื่องของการปลอบใจคนอื่นเท่านั้นที่ไม่ใช่เรื่องที่เสี่ยวโม่เชี่ยวชาญ ยากกว่าส่งกระบี่มากจริงๆ
——