กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 917.3 เรื่องนี้สิ้นสุดลงแล้ว
ป๋ายเหย่จุติกลับไปเกิดใหม่ อาเหลียงขอบเขตถดถอย หลิวชาขอบเขตถดถอย
อาจารย์ผู้ถ่ายทอดมรรคาของผู้ฝึกกระบี่เฝ่ยหรานและเชี่ยอวิ้นปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ราชาเก่า ผู้ฝึกตนเฒ่าที่ใช้นามแฝงว่าลู่ฝ่าเหยียน ได้กลายไปเป็นอาหารในท้องของโจวมี่มหาสมุทรความรู้นานแล้ว อีกทั้งโจวมี่ยังอาศัยกำลังของตัวเองคนเดียว ต่อสู้เอาชนะอีกฝ่ายมาได้ และจับอีกฝ่ายกินเป็นอาหาร
ถ้าอย่างนั้นนอกจากอู๋ซวงเจี้ยงแห่งตำหนักสุ้ยฉูที่หลอมจิตมารเป็นคนรักแล้ว
จึงยังมีเจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาว หนึ่งคนสองสิบสี่
นี่คือยักษ์ใหญ่แห่งวิถีมารที่พยายามแสวงหาการ ‘ทำอย่างไรจึงจะพิสูจน์ว่าข้าไม่ใช่มรรคาจารย์เต๋า’ อย่างยากลำบาก
เต๋าเหล่าเอ้อ อวี๋โต้ว ได้ครอบครองชุดขนนกสืบทอดมาจากมรรคาจารย์เต๋า ในมือครอบครอง ‘เต้าจ้าง’ หนึ่งในสี่กระบี่เซียน
เล่าลือกันว่าอันที่จริงเจ้าลัทธิใหญ่ได้ยกป๋ายอวี้จิงให้กับศิษย์น้องคนนี้แล้ว ก็ไม่แปลกที่อวี๋โต้วจะถูกมองเป็นบุคคลอันดับหนึ่งด้านการฝึกตนเว้นจากบรรพจารย์สามลัทธิ
เจ้าลัทธิสามลู่เฉิน ห้าความฝันเจ็ดจิตธรรม คนอื่นเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่คือการผสานมรรคาอย่างหนึ่ง แต่ลู่เฉินกลับเหมือนการ ‘สลายมรรคา’ มากกว่า
ในฐานะผู้ถ่ายทอดมรรคาของเจิ้งจวีจง เฉินชิงหลิวที่เป็นผู้พิฆาตมังกร บนโลกไม่เหลือมังกรที่แท้จริงอีกต่อไป ขอบเขตจึงถดถอยมาเป็นขอบเขตบินทะยาน หากบนโลกยังมีมังกรที่แท้จริงอีกหนึ่งตัวก็จะใช้โอกาสนี้เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ได้ วิธีผสานมรรคาของ อีกฝ่ายคล้ายคลึงกับการตั้งปณิธานยิ่งใหญ่ของลัทธิพุทธ
อาจารย์ซานซานจิ่วโหว บรรพจารย์ผู้บุกเบิกภูเขาสายยันต์ของใต้หล้า วิชายันต์เจ็ดสิบสองสำนักของทุกวันนี้ หากย้อนไปถึงต้นกำเนิดอย่างแท้จริง อย่างน้อยต้องมีครึ่งหนึ่งที่ต้องนับคนผู้นี้เป็นบรรพบุรุษของตัวเอง
โจวจื่อ คนผู้เดียวยึดครองแผ่นดินครึ่งหนึ่งของสำนักหยินหยาง บุกเบิกโฉมหน้าใหม่เว้นจากระบบการสืบทอดมากมายบนโลก ตั้งสำนักขึ้นมาเป็นของตัวเอง ‘ผสานรวมห้าธาตุ’
ภิกษุเฒ่าน้ำแกงไก่ ภิกษุเสินชิง ถูกเรียกขานว่า ‘มีพลังพิฆาตของผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ครึ่งตัว สามารถป้องกันผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ได้ครึ่งตัว’ เล่าลือกันว่าต่อให้เจอกับผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง ภิกษุเฒ่ายืนนิ่งไม่ขยับ ผู้ฝึกกระบี่ก็สามารถฟันเขาได้สามวันสามคืน
เฒ่าตาบอดแห่งภูเขาใหญ่แสนลี้ของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง วิธีผสานมรรคาของอีกฝ่าย จนถึงทุกวันนี้ก็ยังคงเป็นปริศนา
เจ้าอารามผู้เฒ่าของอารามกวานเต๋า ผสานมรรคากับ ‘ฟ้าอำนวย’ บางอย่าง
อู๋ซวงเจี้ยงพูด “เจ้าต้องระวังคนผู้หนึ่งเป็นพิเศษ อู๋โจวนักพรตหญิงของใต้หล้ามืดสลัว ฉายาของนางคือ ‘ไท่อิน’ ตอนนั้นอยู่ริมลำคลอง เจ้าก็ได้พบนางแล้ว”
“วิธีการผสานมรรคาของนาง พอจะตั้งชื่อว่าเป็นการ ‘หลอมวัตถุ’ ได้”
“ตลอดทั้งใต้หล้ามืดสลัว หมื่นปีที่ผ่านมาเพิ่งจะรวบรวมของตกทอดที่เป็นอาวุธเทพยุคบรรพกาลได้สิบแปดชิ้น เจ้าของ การหมุนเวียนและการสืบทอดของทุกชิ้นล้วนถูกป๋ายอวี้จิงบันทึกเอาไว้ นอกจากอู๋โจวจะได้ครอบครองอาวุธเทพชิ้นหนึ่งที่มีระดับขั้นสูงมากแล้ว นางยังได้ครอบครองวิชาอภินิหารการหลอมวัตถุของ ‘ผู้หล่อหลอม’ ซึ่งเป็นสิบสองเทพชั้นสูงด้วย นอกจากนี้วัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าธาตุของนางก็ล้วนเป็นของตกทอดยุคบรรพกาลที่ ‘ไม่เข้าขั้น ไม่ติดอันดับ ไม่ถูกบันทึก’ ต่อให้ระดับขั้นจะไม่สูงแค่ไหน แต่เอาจำนวนมารวมๆ กันแล้วก็ได้เป็นกอง ภาพบรรยากาศที่ได้จึงน่าดูชมมากทีเดียว บวกกับที่นางถูกขนานนามให้เป็นอาจารย์ด้านการหล่อหลอมอันดับหนึ่งของโลกมนุษย์ สามารถหลอมอาวุธกึ่งเซียนหรือแม้กระทั่งอาวุธเซียนได้ ในฐานะผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ นางกลับปิดด่านนานหลายปีไม่ยอมออกมา ไม่มีใครรู้ว่าทุกวันนี้ในมือของอู๋โจวได้ครอบครองอาวุธเซียนอยู่กี่ชิ้น”
“จิตแห่งมรรคาของอู๋โจวแข็งแกร่งอย่างมาก ลำพังแค่ด้านการหลอมวัตถุ เดิมทีก็มิอาจเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ได้ เพราะมันจะกลายมาเป็นภาระ เป็นปราการที่นางยากจะข้ามผ่านไปได้ ดังนั้นนางจึงเลือกทางลัดเส้นหนึ่ง นางเอาจิตแห่งมรรคา เนื้อหนังมังสา เส้นผม เส้นเอ็น กระดูกและเลือดเนื้อของตัวเองมาหลอมเป็นดินแดนไท่ซวี (โลกอันกว้างใหญ่ไพศาล/จักรวาล/มวลมนุษยชาติ) สุดท้ายนางใช้การ ‘ไม่มี’ ของตัวเองมารองรับการ ‘มี’ ของวัตถุแห่งชะตาชีวิตมากมายหลายชิ้น นี่จึงเป็นเหตุให้การกระทำนี้ถูกลู่เฉินเรียกว่าเป็นความ ‘แตกแยก’ ถือว่าเป็นการเปรียบเทียบที่เหมาะสมอย่างหนึ่ง แต่เรื่องนี้คนที่รู้มีไม่มาก เป็นความลับสวรรค์ที่ลู่เฉินเผยออกมาตอนอยู่ตำหนักสุ้ยฉู”
ฟังมาถึงตรงนี้ เจิ้งต้าเฟิงก็อดไม่ไหวสอดปากเอ่ยว่า “สตรีผู้นี้ดุร้ายเกินไปแล้ว ใครจะกล้าแต่งนางเป็นภรรยา?”
อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มกล่าว “จะมีคนกล้าแต่งนางหรือไม่บอกได้ยาก แต่เอาเป็นว่าจนถึงทุกวันนี้อู๋โจวก็ยังไม่มีคนรัก ความทะเยอทะยานสูงมาก แน่นอนว่านางเองก็มีคุณสมบัตินี้อยู่จริงๆ”
เฉินผิงอันเคยได้ยินลู่เฉินพูดถึงปรมาจารย์วิถีวรยุทธของใต้หล้ามืดสลัวกลุ่มหนึ่ง เกี่ยวกับอู๋โจว ลู่เฉินก็พูดถึงไม่น้อยเลยจริงๆ แต่พูดถึงค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับ ‘ซินขู่’ ผู้นั้น
อู๋ซวงเจี้ยงคีบผักขึ้นมาหนึ่งคำ จิบเหล้าหนึ่งอึก “หากไม่เป็นเพราะอู๋โจวกริ่งเกรงป๋ายอวี้จิงและเหยาชิง รวมไปถึงป๋ายโอ่วที่ได้ครอบครองง้าวสั้นทะลุภูเขา ป่านนี้นางคงตายไปนานแล้ว หากไม่เป็นเพราะมีเหยาชิงให้การปกป้องมรรคาอย่างลับๆ จากนั้นได้ข้อตกลงบางอย่างร่วมกับอู๋โจว ป๋ายโอ่วก็ไม่มีทางกลายเป็นราชครูหญิงของราชวงศ์ชิงเสินได้แน่นอน นางยิ่งมิอาจเลื่อนเป็นขอบเขตปลายทางได้”
“หากข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ อู๋โจวได้หมายหัวเจ้าไว้แล้ว”
“ดังนั้นเจ้าจึงต้องระวัง ได้ครอบครองดาบแคบสองเล่มอย่าง ‘ลงทัณฑ์’ และพิฆาต ก็เหมือนเด็กน้อยที่เดินถือทองอวดไปตามตลาด ใครที่ไม่หวั่นไหวย่อมไม่ใช่คน”
“รอกระทั่งวันใดคนทั้งสามต่างก็ไม่อยู่แล้ว จากนั้นก่อนที่เจ้าจะเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ ก็แค่ต้องปะทะกับอู๋โจวตัวต่อตัวเท่านั้น เหอะ”
เฉินผิงอันพยักหน้า “จะระวัง”
ในอนาคตไปเยือนใต้หล้ามืดสลัวอย่างลับๆ นอกจากจะต้องปิดบังป๋ายอวี้จิงแล้ว ยังต้องหลีกเลี่ยงอู๋โจว จะไม่ยอมให้นางหาร่องรอยเจอเด็ดขาด
เฉินผิงอันไม่อยากเป็นเหมือนหลีเจิน ไหวเฉียนหรอกนะ
ถูกผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่คนหนึ่งที่มีใจอยากฆ่าคนปล้นทรัพย์หมายหัว ทั้งยังไปหาคนเขาถึงที่ หากไม่มีการป้องกันใดๆ เลย ไม่มีแผนการรับมือ ผลลัพธ์ที่ตามมาย่อมเลวร้ายจนมิอาจคาดคิด
ฝูลู่อวี๋เสวียนผสานมรรคากับธารดวงดาว และยังมีปรมาจารย์มหาปราชญ์ที่ช่วย ‘เปิดทาง’ ให้อีกฝ่ายด้วยตัวเอง เป็นเหตุให้การเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบสี่ของอวี๋เสวียนแทบจะเป็นสถานการณ์ที่ถูกกำหนดมาแน่นอนแล้ว
ศิษย์พี่จั่วโย่ว
เทียนซือใหญ่ภูเขามังกรพยัคฆ์ จ้าวเทียนไล่ กระบี่เซียน ‘ว่านฝ่า’
หลิวจวี้เป่าเทพเจ้าแห่งโชคลาภของธวัลทวีป
เผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่ที่เคยเป็นหนึ่งในสามสุดยอดของไพศาลในอดีต
ซุนไหวจงเจ้าอารามเสวียนตู บุคคลอันดับห้าที่ฟ้าผ่าก็ไม่สะเทือนของใต้หล้ามืดสลัว
ราชวงศ์เสินชิง เหยาชิง ‘เสนาบดีรูปงาม’ สังหารสามอสุภะ จากนั้นค่อยหลอมสามอสุภะ มีความเป็นไปได้อย่างมากที่วันซึ่งต้องเก็บสามอสุภะมาก็คือวันที่เขาจะเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่
เฉาเกอ ฉายาฟู่คาน ขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุด ทุกวันนี้นางคือคนรักของสวีเจวี้ยน
ในอดีตนางเคยเลื่อนขั้นเป็นหนึ่งในสิบคนของใต้หล้ามืดสลัว แต่เพียงแค่เพราะปิดด่านนานเกินไปจึงค่อยๆ ถูกหลงลืม เป็นเหตุให้เจ้าสำนักหลายรุ่นในภายหลัง นับตั้งแต่ฝึกตนไปจนถึงจากโลกนี้ไป ล้วนไม่เคยเห็นหน้าบรรพจารย์หญิงผู้นี้สักครั้ง
คนเฝ้าคืนของตำหนักสุ้ยฉูมีชื่อเล่นว่าเสี่ยวป๋าย
“เสี่ยวป๋ายบ้านข้าคนนั้น ในบางระดับแล้ว อันที่จริงก็มีความขัดแย้งบนมหามรรคากับเหยาชิง เหยาชิงฉายาว่า ‘คนเฝ้าสุสาน’ เสี่ยวป๋ายฉายาว่าคนเฝ้าคืน หรือควรจะพูดให้ถูกก็คือการ ‘เฝ้าวิญญาณ’ อย่างหนึ่ง ในอดีตข้าให้เขามาที่ภูเขาห้อยหัว สร้างโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยขึ้นมา เจ้าคิดว่าทำไปเพื่ออะไร? เพื่อแค่ช่วยข้าตามหานางกลับมาจริงๆ หรือ? ในเมื่อดวงจิตเมล็ดงาดวงหนึ่งของข้าอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่มาตั้งนานแล้ว ไยต้องทำเรื่องที่เกินความจำเป็นเช่นนี้ด้วย?”
“ซูจื่อกับหลิ่วชี ทุกวันนี้ต่างก็มีความหวังแล้ว แค่ต้องดูว่าใครที่จะได้เข้ามาแทนตำแหน่งที่ว่างลงของป๋ายเหย่ก่อนกัน การช่วงชิงบนมหามรรคาประเภทนี้ถือเป็นการช่วงชิงของวิญญูชนระหว่างคนที่เป็นบัณฑิต ทั้งสองฝ่ายไม่จำเป็นต้องลงมือต่อสู้กัน”
อู๋ซวงเจี้ยงกระดกดื่มเหล้าในชามจนหมด “น่าเสียดายก็แต่เฉินฉุนอันกับเหลียงส่วง”
ผู้รอบรู้แห่งทักษินาตยทวีป เฉินฉุนอันที่บนบ่าแบกตะวันจันทรา
เพื่อขัดขวางไม่ให้หลิวชาผู้ฝึกกระบี่บริสุทธิ์ขอบเขตสิบสี่หวนกลับไปยังใต้หล้าเปลี่ยวร้าง จึงยอมสละชีพอย่างไม่เสียดาย
น่าเสียดายที่ผู้รอบรู้ไม่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ บทความจริงไม่อาจทำให้บัณฑิตเดินขึ้นฟ้าได้ด้วยก้าวเดียว
เหลียงส่วงเทียนซือใหญ่ต่างแซ่ เดิมทีอาศัยความสามารถความอดทน เดินไปบนเส้นทางบางเส้นต่อ ก็มีหวังอย่างยิ่งที่จะฝ่าทะลุขอบเขต ผลคือลอบฆ่าโจวมี่ไม่สำเร็จ เป็นเหตุให้ชีวิตนี้ไร้ความหวังที่จะเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่
การลุกผงาดของสำนักการทหารบุกรุกรวดเร็วจนมิอาจต้านทานได้ เซียนผีที่เส้นทางโลกมืดและโลกสว่างมีความต่าง การไหลเวียนของเงินเทพเซียน กระบี่บินส่งข่าว บุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ นอกจากสามลัทธิหนึ่งสำนักแล้ว ในบรรดาเมธีร้อยสำนักก็ต้องมีคนที่ฉวยโอกาสลุกผงาดขึ้นมาแน่นอน
หากไม่เป็นเพราะมีกฎของหลี่เซิ่งอยู่ บรรพจารย์แต่ละรุ่นของเมธีร้อยสำนักก็ไม่มีทางไม่มีใครสักคนได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตบินทะยานแน่นอน
และหากว่าพวกเขาเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยาน เส้นทางแห่งการผสานมรรคาต่อจากนั้นก็จะชัดเจนอย่างมาก ไม่จำเป็นต้องมีการทดลองอื่นใด
อู๋ซวงเจี้ยงพลันถามว่า “เคยได้สัมผัสกับเหวยเซ่อผู้นั้นบ้างหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้ากล่าว “แค่เคยได้ยินชื่อ ไม่เคยพบหน้ามาก่อน”
เดิมทีคิดว่าคราวหน้าที่ไปเที่ยวเยือนธวัลทวีปจะไปเยี่ยมเยือนเทพเซียนผู้เฒ่าท่านนี้สักครั้ง เหมือนกับสกุลหลิวธวัลทวีปและภูเขาจิ่วตูที่จำเป็นต้องไปเยือน
จู่ๆ เฉินผิงอันก็มีสีหน้าปั้นยาก อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มกล่าว “ก่อนจะออกไปจากใต้หล้าไพศาล เคยต่อสู้กับเหวยเซ่อมารอบหนึ่ง ทุกวันนี้คิดดูแล้วก็รู้สึกเสียใจภายหลังอยู่มาก ไม่ควรจะซ้ำเติมเขาเลยจริงๆ”
เหวยเซ่อแห่งธวัลทวีปตั้งฉายาให้ตัวเองกองเป็นพะเนิน ชื่อหนึ่งที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงก็คือ ‘เจ้าแห่งสามสิบเจ็ดยอดเขา’ คือผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงอย่างมาก
เพียงแต่ว่าสถานการณ์ค่อนข้างจะกระอักกระอ่วน เหมือนซูจื่อสำหรับป๋ายเหย่ ราวกับว่ามหามรรคาขาดสะบั้นไปแล้ว จึงต้องเดินไปบนเส้นทางหัวขาดสายหนึ่ง ทุกวันนี้เหวยเซ่อคล้ายจะถอดใจกับเรื่องของการเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบสี่ไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว
แรกเริ่มสุดเหวยเซ่อมีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนอิสระ อยู่ดีๆ ก็โผล่มาบนโลก ชื่อเสียงยิ่งใหญ่ เรียกได้ว่ามีหน้ามีตาสุดขีด
ตอนที่คนผู้นี้อายุน้อย ในบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ของเก้าทวีป เคยเรียกขานตัวเองว่าผู้ไร้ศัตรูเทียมทานในรุ่นเดียวกันระยะห้าร้อยปี
สองขอบเขตเซียนดินอย่างโอสถทองและก่อกำเนิดที่เป็นห้าขอบเขตกลาง บวกกับสองขอบเขตหยกดิบและเซียนเหรินที่เป็นห้าขอบเขตบน เขาก็เดินกร่างไปตลอดทาง ข้าศึกเห็นฝีมือก็ต้องหนีหัวซุกหัวซุน ประลองมรรคกถา จับคู่เข่นฆ่า ล้วนไม่เคยพ่ายแพ้
ไม่ว่าจะการประลองฝีมือหรือต่อสู้บนภูเขา เหวยเซ่อก็เคยชนะติดต่อกันถึงเก้าสิบหกครั้ง
สถิตินี้ถูกทำลายลงเพราะเจ้าชาติสุนัขบางคนที่ใช้วิธีการไร้ศักดิ์ศรี พฤติกรรมไม่เหมาะสมอย่างถึงที่สุด
เล่าลือกันว่าฮว่อหลงเจินเหรินก็ยังเคยเสียเปรียบด้วยน้ำมือของเหวยเซ่อมาก่อน
และยังมีเซียนกระบี่ผู้เฒ่าโจวเสินจือ ไหวอินซึ่งเป็นสิบคนของแผ่นดินกลางที่ต่างก็เคยพ่ายแพ้เหวยเซ่อมาก่อน
เพียงแต่รอกระทั่งเหวยเซ่อเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยาน กลับกลายเป็นว่าหยุดชะงักไม่เดินหน้า ถูกแม่ทัพผู้พ่ายด้วยน้ำมือของเขาในอดีตพากันเดินแซงหน้าไปอย่างต่อเนื่อง
บางทียิ่งหวังมากเท่าไรก็ยิ่งผิดหวังมากเท่านั้น ไม่เพียงแต่ธวัลทวีปที่เป็นบ้านเกิดเท่านั้น แม้กระทั่งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็ยังเจ็บปวดเสียดาย ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเหวยเซ่อที่มีความหวังบนมหามรรคาถึงได้ ‘มิอาจรักษาศักดิ์ศรีในช่วงบั้นปลาย’ ไว้ได้เช่นนี้ ตามหลักแล้วเหวยเซ่อคือผู้ฝึกตนผู้บรรลุมรรคาที่มีหวังจะเลื่อนเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่คนใหม่ล่าสุดมากที่สุดแล้ว
ดังนั้นในช่วงพันปีที่ผ่านมา เหวยเซ่อจึงมักจะถูกฮว่อหลงเจินเหรินสัพยอกด้วยประโยคที่ว่า ‘คนโบราณจริงใจไม่เคยหลอกข้า ตอนเด็กเก่งฉลาดโตมาใช่ว่าจะมีอนาคต เสียดายนัก เสียดายนัก’
และการประลองมรรคกถาครั้งที่เก้าสิบเจ็ด สรุปแล้วเหวยเซ่อพ่ายแพ้ให้กับเทพเซียนจากฝ่ายใดก็เป็นปริศนามาโดยตลอด
อู๋ซวงเจี้ยงบอกเรื่องวงในที่น่าตะลึงพรึงเพริดอย่างหนึ่ง “เหวยเซ่อไม่ได้การฝึกตนแผ่วปลายอย่างที่โลกภายนอกเล่าลือกัน แล้วก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยเจอเส้นทางการผสานมหามรรคามาก่อน แต่เป็นเพราะหลังจากเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานแล้ว ผ่านไปแค่หนึ่งร้อยปี เขาก็เคยลองปิดด่านหนึ่งครั้ง แต่ทุกอย่างที่ทำมากลับสูญเปล่า ด้วยเหตุนี้อาจารย์ซานซานจิ่วโหวยังเคยตั้งใจไปเยือนธวัลทวีปมารอบหนึ่ง เท่ากับว่า ‘เบี่ยงกายเปิดประตูบานหนึ่งที่ตั้งอยู่ครึ่งทาง’ ให้กับเหวยเซ่อที่เขาฝากความหวังไว้สูงด้วยตัวเอง น่าเสียดายที่ตัวเหวยเซ่อเองมิอาจคว้าโอกาสเอาไว้ได้ เขายังรีบร้อนเกินไป อยากจะกลายเป็นขอบเขตสิบสี่ที่เหมือนแค่เอื้อมมือคว้าก็ได้มาครองมากเกินไป ถึงท้ายที่สุดจึงกลายเป็นการใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำ”
“ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดที่ขอบเขตมีแนวโน้มว่าจะสมบูรณ์แบบ จะมากจะน้อยล้วนต้องเคยล้มเหลวครั้งสองครั้ง ถูกบีบให้ต้องเปลี่ยนเส้นทางใต้ฝ่าเท้า รากฐานดี สามารถทำพลาดได้สองครั้ง พื้นฐานแย่ พลาดหนึ่งครั้งก็หมดหวังกับทุกเรื่องแล้ว เหวยเซ่อที่หุนหันพลันแล่นเกินไปก็คือฝ่ายหลัง”
เฉินผิงอันถาม “ฮว่อหลงเจินเหริน?”
อู๋ซวงเจี้ยงตอบ “พลาดไปแล้วสองครั้ง ครั้งหนึ่งเพราะไม่สามารถยกระดับเวทอสนีให้สูงขึ้นได้ อีกครั้งหนึ่งคือฝึกควบทั้งวิชาน้ำและไฟ แต่กระนั้นก็ยังมิอาจผสานมรรคาได้ ดังนั้นเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่จึงยากมาก ยากมากๆ แล้ว”
เฟยเฟยแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ผลคือเพราะถูกเฉินผิงอันกระชากเอาลำคลองเย่ลั่ว แย่งโชคชะตาน้ำไปเกือบสี่ส่วน
จูเยี่ยนบรรพบุรุษย้ายภูเขาตกลงกับเฝ่ยหรานผู้ครองเปลี่ยวร้างเป็นการส่วนตัวเรื่องที่ว่าภูเขาทัวเยว่จะตกเป็นของใครได้สำเร็จ แต่ก็ยังคว้าน้ำเหลวเหมือนกัน
เกี่ยวกับฝ่ายหลัง หลังจากที่อู๋ซวงเจี้ยงไปหาเจิ้งจวีจงในใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็ได้อนุมานผลลัพธ์ออกมาร่วมกัน
ด้วยนิสัยใจคอของผู้ฝึกกระบี่เฝ่ยหรานย่อมยินดีทำการค้าครั้งนี้แน่นอน ใช้ภูเขาทัวเยว่ลูกหนึ่งแลกมาด้วยผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ใหม่เอี่ยมของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
กล่าวมาถึงตรงนี้ อู๋ซวงเจี้ยงก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “บัญชีสองอย่างนี้ต้องชำระกันแล้ว สะบั้นเส้นทางการทำเงินของผู้อื่นก็ทำให้คนเกลียดชังได้มากพอแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่เจ้ายังขัดขวางโอกาสการผสานมรรคาของพวกเขา นี่คือแค้นใหญ่ที่มิอาจอยู่ร่วมฟ้าจริงๆ หากว่าวันใดพวกเขาโชคดีได้เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ ข้าก็ขอแนะนำคำหนึ่งว่าอย่าได้ไปเดินเล่นที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างง่ายๆ อีก อีกอย่างยังมีเฝ่ยหรานผู้ครองเปลี่ยวร้างคนนั้นอยู่ โจวชิงเกาลูกศิษย์ปิดสำนักของโจวมี่ก็ถือว่าเป็นเพื่อนเก่าของเจ้า เชื่อว่าจะต้องต้อนรับอิ่นกวานคนสุดท้ายแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่เช่นเจ้าอย่างกระตือรือร้นแน่นอน”
เฉินผิงอันถามอย่างใคร่รู้ “ปรมาจารย์วิถีวรยุทธที่ชื่อว่าซินขู่ผู้นั้น คุณสมบัติด้านการฝึกตนดีขนาดนั้นจริงๆ หรือ?”
อู๋ซวงเจี้ยงพยักหน้า “มีแต่จะดียิ่งกว่าที่เจ้าจินตนาการเอาไว้ เหวยเซ่อเจอกับคนผู้นี้ยังด้อยกว่าครึ่งขั้น ดังนั้นขอแค่ซินขู่ยินดีหันไปฝึกตนก็จะต้องกลายเป็นขอบเขตสิบสี่ได้แน่นอน”
“เฉินผิงอัน เจ้าลองเดาดูสิว่าซินขู่ผู้นี้ มักไปนั่งที่ยอดเขารุ่นเยว่เพียงลำพังตลอด เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยหยั่งเชิงว่า “ดูว่าจะปล่อยหมัดจากโลกมนุษย์ต่อยให้ดวงจันทร์บนฟ้าแตกสลายได้หรือไม่?”
อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มกล่าว “ยังคงเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่เข้าใจผู้ฝึกยุทธเต็มตัวด้วยกันดีกว่า”
“ทั้งต้องเป็นกังวลกับผู้ฝึกตนอู๋โจว แล้วยังต้องกังวลกับป๋ายโอ่วผู้ฝึกยุทธที่มีอนาคตอย่างมาก วันหน้าอยู่ต่างบ้านต่างเมืองขุนเขาสายน้ำยาวไกล จงรักษาตัวให้ดี”
“โชคดีที่ยังมีอารามเสวียนตูที่สามารถไปพักเท้าได้ ทุกครั้งที่ซุนไหวจงพูดถึง ‘สหายน้อยเฉิน’ ก็มีความใกล้ชิดสนิทสนมอย่างมาก คนของใต้หล้าไพศาลที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้จากเขา นอกจากป๋ายเหย่แล้วก็ดูเหมือนว่าจะมีแค่เจ้าเท่านั้น”
——