กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 918.1 ในเสียงท่องตำราบนเส้นทางแห่งสันติสุข
หลังจากที่ลู่เฉินออกมาจากสำนักชิงเหลียงของอุตรกุรุทวีปแล้วก็ไม่ได้ตรงกลับไปที่ป๋ายอวี้จิง แต่ไปเยือนแคว้นชิงเฮาก่อนรอบหนึ่ง ได้พบกับบัณฑิตแซ่เฉินที่เดิมทีสมควรแซ่หลี่ที่ถนนต้งเซียน จากนั้นก็แอบกลับไปที่แจกันสมบัติทวีป ต้องการไปพบสหายเก่าที่ขอบเขตแตกต่างจากตน แต่กลับมิอาจดูแคลนสถานะของอีกฝ่ายได้
จากอุตรกุรุทวีปเดินทางข้ามทะเลลงใต้ไปตลอดทาง ทะยานลมมาถึงเหนือพื้นดินของแจกันสมบัติทวีป ไม่ผิดไปจากที่คาด อริยะปราชญ์ศาลบุ๋นที่นั่งพิทักษ์ม่านฟ้าเป็นคนคุ้นเคยกันดี จึงพูดคุยกับลู่เฉินอยู่หลายคำ
ลู่เฉินรู้สึกว่าการรำลึกความหลังที่คำพูดคำจาไม่มากแต่ความผูกพันค่อนข้างมากครั้งนี้ สามารถถือว่าพูดคุยกันอย่างถูกคอได้ ส่วนเรื่องที่ว่าอีกฝ่ายจะคิดอย่างไร ลู่เฉินไปควบคุมอะไรไม่ได้
เมืองอวี้จางจังหวัดหงโจว ศูนย์ตัดต้นไม้ที่ก่อตั้งขึ้นมาใหม่
ขุนนางหลักคนแรกที่ดูแลศูนย์ตัดต้นไม้คือคนของเมืองหลวงที่มีชื่อว่าหลินเจิ้งเฉิง
ได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้รับหน้าที่อยู่ในที่ว่าการกรมกลาโหมของเมืองหลวง เป็นรองหัวหน้าของหน่วยรายงานข่าว อายุไม่น้อยแล้ว ไม่รู้ว่าคว้าเอางานดีที่ได้ค่าน้ำร้อนน้ำชาอย่างงามงานนี้มาได้อย่างไร
ใต้เท้าหลินท่านนี้ ทั้งไม่ได้มีการกระทำของขุนนางใหม่ที่ไฟแรงสูงสามกอง แล้วก็ทั้งไม่ได้ไม่สนใจสิ่งใดเอาแต่เสวยสุขอย่างเดียว โดยภาพรวมแล้วถือว่าทำอะไรอยู่ในกฎในเกณฑ์ ขั้นตอนที่ควรปฏิบัติก็ปฏิบัติไปรอบหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่นสวมชุดขุนนางพาเสมียนผู้น้อยของที่ว่าการไปจุดธูปกราบไหว้ที่ศาลบุ๋นบู๊และศาลเทพอภิบาลเมืองในพื้นที่ด้วยกัน เนื่องจากศูนย์ตัดต้นไม้เป็นที่ว่าการแห่งใหม่จึงไม่มีงานที่ต้องรับช่วงต่อจากคนก่อนหน้า จึงประหยัดเวลาไปได้ไม่น้อย
ท่ามกลางม่านราตรีของคืนนี้ นักพรตหนุ่มคนหนึ่งที่บนศีรษะสวมกวานดอกบัวเดินตรงเข้าประตูมาโดยไม่แม้แต่จะเคาะประตู มานั่งลงบนม้านั่งข้างกระถางไฟ ยื่นมือไปอังไฟหาความอบอุ่น ตัวสั่นเยือกหนึ่งที หัวเราะร่าถามว่า “นักฆ่าที่ลอบโจมตีหนิงเหยาปีนั้น จนถึงตอนนี้ยังสืบหาผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังไม่เจออีกหรือ?”
หลินเจิ้งเฉิงวางตำราในมือลง เหลือบตาขึ้นมอง ยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับ แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำถามของเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิง หลินเจิ้งเฉิงแค่กุมหมัดเอ่ยคำพูดตามมารยาทว่า “คารวะเจ้าลัทธิลู่”
ลู่เฉินสะบัดชายแขนเสื้อ “พวกเราสองคนเป็นใครกับใคร งี่เง่าแล้วนะ”
ตั้งแผงดูดวงอยู่ในเมืองเล็กมาสิบกว่าปี ทั้งสองฝ่ายรู้ไส้รู้พุงกันดียิ่ง
แต่ก็เหมือนอย่างเฉาเกิงซินแห่งจวนผู้ตรวจการงานเตาเผาที่จำเป็นต้องจับตามองเจ้าขุนเขาหนุ่มของภูเขาลั่วพั่วไว้ให้มากที่สุด แต่ทั้งสองฝ่ายกลับไม่มีโอกาสได้พบหน้าพูดคุยกันสักครั้ง
กับลู่เฉินเอง หลินเจิ้งเฉิงก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
หลินเจิ้งเฉิงคือคนในพื้นที่ของถ้ำสวรรค์หลีจู ยิ่งเป็นฮุนเจ่อรุ่นที่สองที่ซิ่วหู่เลือกมาเองกับมือ
ไม่อย่างนั้นราชครูต้าหลีผู้ยิ่งใหญ่ก็คงไม่ถึงขั้นว่างงานจนไปช่วยตั้งชื่อให้กับลูกชายของขุนนางจวนผู้ตรวจการคนหนึ่งหรอก
ส่วนฮุนเจ่อคนก่อน เมื่อระยะเวลาหกสิบปีที่กำหนดไว้มาถึง ก็ต้องปลดประจำการโดยที่ถือว่าไม่มีคุณความชอบและไม่มีความผิดพลาด แน่นอนว่าซิ่วหู่ชุยฉานย่อมไม่ค่อยพอใจ
ก่อนคนผู้นี้ อันที่จริงยังมีเซียนกระบี่ต่างถิ่นอีกคนหนึ่งที่รับหน้าที่เป็นฮุนเจ่ออยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูได้ยาวนานที่สุด อีกทั้งฝ่ายนั้นยังมีสถานะที่ลึกลับอำพรางซึ่งพิเศษอย่างถึงที่สุด นั่นก็คือเป็นจี้กวาน
นี่เป็นความลับที่ราชครูชุยเพิ่งจะเปิดเผยให้หลินเจิ้งเฉิงทราบในการพบหน้ากันครั้งสุดท้าย ผู้ฝึกกระบี่ที่ออกจากบ้านเกิดไปอย่างเงียบเชียบ ผ่านภูเขาห้อยหัวมาเยือนใต้หล้าไพศาล คือจี้กวานคนสุดท้ายในประวัติศาสตร์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่
ในความเป็นจริงแล้ว ตั้งแต่ครั้งแรกที่หนิงเหยาเดินทางไปเที่ยวเยือนถ้ำสวรรค์หลีจู หยางเหล่าโถวก็ได้เปิดเผยความลับสวรรค์แก่นาง เพียงแต่ว่าตอนนั้นผู้เฒ่าพูดจาค่อนข้างคลุมเครือ พูดแค่ว่ามีผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นคนหนึ่งที่ตายอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับเมืองเล็ก ก่อนหน้านั้นผู้ฝึกกระบี่คนนี้ได้รวบรวมสิ่งที่พบเห็นระหว่างขุนเขาสายน้ำเรียบเรียงขึ้นเป็นเล่ม สุดท้ายได้ทิ้งบันทึกท่องเที่ยวเล่มหนึ่งเอาไว้ มีบางครั้งที่จะหยิบมาเปิดอ่านดู
หนิงเหยาในเวลานั้นแค่กึ่งเชื่อกึ่งกังขา ตอนนั้นนางไม่ได้คิดลึก ภายหลังหยางเหล่าโถวจึงเปลี่ยนเรื่องคุย ถามคำถามสุดท้ายกับนางว่าอะไรคือเสียงในใจ
เด็กสาวพลันเข้าใจกระจ่างแจ้งในชั่วพริบตา นาทีนั้นนางก็ได้เข้าสู่สภาวะลี้ลับมหัศจรรย์คล้ายการเข้าฌานของลัทธิพุทธ และคล้ายการเดินเข้าไปสู่เรือนใจของลัทธิเต๋าอย่างหนึ่ง
หลินเจิ้งเฉิงเดาว่าผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นหนึ่งในสามขุนนางของกำแพงเมืองปราณกระบี่ผู้นี้ตั้งใจมาที่นี่เพราะกระบี่โบราณที่แขวนอยู่ใต้สะพาน เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงไม่ได้รับการตอบรับเสียที เขาก็เลยอยู่ต่อที่ถ้ำสวรรค์หลีจู หันมาเป็นฮุนเจ่อแทน เพียงแต่ว่าเวลานั้นเกิดก่อนที่ชุยฉานจะมารับหน้าที่เป็นราชครูต้าหลีนานมาก สกุลซ่งต้าหลียังคงถูกปิดหูปิดตา จึงไม่รู้ว่ามีความเชื่อมโยงกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ลึกล้ำถึงเพียงนี้
แต่จี้กวานท่านนี้ นอกจากภายนอกจะเป็นผู้ฝึกกระบี่แล้วยังมีสถานะที่แอบแฝงยิ่งกว่านั้น คือยังเป็นปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธคนหนึ่งที่อยู่บนยอดเขา ใต้ฝ่าเท้าไร้เส้นทางให้เดินแล้ว
ในประวัติศาสตร์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางมีน้อยจนนับนิ้วได้
คนสุดท้ายคือป๋ายเลี่ยนซวง แล้วยังเป็นสตรีผู้หนึ่ง
นี่ไม่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง ต่อให้โชคชะตาบู๊ของกำแพงเมืองปราณกระบี่จะถูกปราณกระบี่สยบกำราบไว้แค่ไหน จำนวนของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตเก้า ขอบเขตสิบก็ไม่น่าจะน้อยถึงเพียงนี้
ยึดครอง
เพราะว่ามีคนยึดครองโชคชะตาบู๊ไปเพียงลำพัง
บุคคลอันดับหนึ่งด้านการเรียนวรยุทธของใต้หล้าไพศาล ‘หลงป๋อ’ จางเถียวเสีย ในอดีตตอนที่คนผู้นี้ยังไม่หมดอาลัยตายอยาก ช่วงเวลาที่ปณิธานหมัดอยู่บนยอดเขาสูงสุด จางเถียวเสียในเวลานั้นเรียกได้ว่าเปี่ยมไปด้วยปณิธานฮึกเหิม มองตำแหน่งเทพแห่งการต่อสู้เหนือขอบเขตปลายทางเป็นของในกระเป๋าตัวเองอย่างสิ้นเชิง มีความคิดทำนองที่ว่าหากไม่ใช่ข้าแล้วจะเป็นใครไปได้
ผลคือบนมหาสมุทรกว้างใหญ่เคยมีการถามหมัดกับผู้ฝึกยุทธเต็มตัวไม่ทราบนามคนหนึ่ง
จางเถียวเสียไม่แพ้ แต่ก็ไม่ชนะ
แต่หลังจากนั้นมาจางเถียวเสียก็หันไปฝึกตน สุดท้ายกลายเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางที่มีอายุขัยยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของใต้หล้าไพศาล
สำหรับยศตำแหน่ง คำเรียกขานที่ไพเราะมากมายซึ่งโลกภายนอกตั้งให้เขา ยกตัวอย่างเช่นบุคคลอันดับหนึ่งของวิถีวรยุทธในใต้หล้า จางเถียวเสียล้วนไม่เคยยอมรับ พวกเจ้าอยากจะพูดอะไรก็พูดไป ถึงอย่างไรข้าจางเถียวเสียก็ไม่ยอมรับ ไม่สนใจ
การที่ลู่เฉินรู้เรื่องนี้ยังต้องยกคุณความชอบให้กับเซียนฉาคนพายเรือเฒ่าลูกศิษย์ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของตน
เซียนฉาก็คือคนที่ชมศึกเพียงหนึ่งเดียวในการถามหมัดครั้งนั้นพอดี
สงครามบนยอดเขาสูงสุดของวิถีวรยุทธครั้งนั้น เรือนกายของสองฝ่ายขยับว่องไวดุจสายฟ้าแลบ ความเร็วนั้นเหนือกว่ากระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่ ตีกันจนมหาสมุทรในรัศมีพันลี้รอบด้านยุบหายลงไปเป็นแถบๆ มองเห็นก้นบึ้งของทะเลหลายจุด
ลู่เฉินถึงขั้นเดาเอาว่าบนภูเขาบางลูก จี้กวานท่านนี้ก็ต้องมีพื้นที่ที่เป็นของเขาอยู่เหมือนกัน
น่าเสียดายที่ภูเขาประหลาดลูกนั้น ลู่เฉินที่เป็นผู้ฝึกตนมิอาจไปเยือนได้
“ใต้หล้าไม่ขยับแจกันสมบัติขยับ ใต้หล้าโกลาหลแจกันสมบัติสงบนิ่ง”
ราวกับจะคาดเดาความคิดของหลินเจิ้งเฉิงได้ ลู่เฉินจึงก้มหน้าจ้องมองแสงไฟนิ่ง ถูมือเบาๆ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ประโยคทำนายประโยคนี้ ปีนั้นตอนที่ผินเต้าท่องอยู่ในแม่น้ำแห่งกาลเวลาของเมืองเล็กก็เพิ่งจะมารู้ตัวทีหลัง หาเบาะแสเจอบ้างเล็กน้อย สุดท้ายอาศัยเบาะแสเส้นนี้อนุมานออกมา นี่แสดงให้เห็นว่าจี้กวานท่านนี้ทำนายได้แม่นยำยิ่ง”
หลินเจิ้งเฉิงเห็นว่าลู่เฉินถึงกับหยิบเอามันเทศออกมาจากชายแขนเสื้อหลายหัว วางใส่ไว้ริมกระถางไฟ ดูจากท่าทางแล้วคงไม่คิดจะจากไปง่ายๆ จึงได้แต่เป็นฝ่ายถามว่า “ไม่ทราบว่าคืนนี้เจ้าลัทธิลู่มาเยี่ยมเยือน มีอะไรจะชี้แนะหรือ?”
ลู่เฉินเงยหน้ายิ้มถาม “เจ้ารู้หรือไม่ว่า มีเรื่องไหนบ้างที่ตัวเองวาดงูเติมขา แล้วมีเรื่องไหนบ้างที่ทำไปตามสถานการณ์?”
หลินเจิ้งเฉิงเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “ในเมื่อเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว รู้ไม่สู้ไม่รู้ยังดีกว่า”
ลู่เฉินยกมือข้างหนึ่งขึ้น ประกายแสงไหลริน เส้นแสงเป็นเส้นๆ มารวมตัวกันเป็นประกายจุดๆ คือเค้าโครงของถ้ำสวรรค์หลีจูเก่าแห่งหนึ่ง แสงดาวพวกนั้นบางส่วนพร่างพราว บางส่วนหม่นมัวไม่สว่าง บางส่วนแสงอ่อนโยน บางส่วนจ้าบาดตา อีกทั้งแสงเหล่านั้นมีทั้งสว่างมีทั้งอ่อนจาง มีเล็กมีใหญ่ ทั้งยังมีสีสันที่แตกต่าง รอกระทั่งลู่เฉินบิดหมุนข้อมือช้าๆ ก็คล้ายฟ้าดินแห่งหนึ่งที่เดิมทีหยุดนิ่งไม่ขยับ เมื่อมีหนึ่ง ก็เริ่มหมุนวนอย่างเชื่องช้า
ลู่เฉินยกมืออีกข้างขึ้นมา สองนิ้วทำท่าคีบเม็ดหมาก คล้ายกับคีบแสงสว่างสองดวงที่ระดับความสว่างแตกต่างกัน คงเพราะกังวลว่าหลินเจิ้งเฉิงจะมองเห็นไม่ชัดเจน ปลายนิ้วของลู่เฉินจึงมีรูปโฉมของคนสองคนปรากฏขึ้นมา แบ่งออกเป็นหลี่เอ้อที่ตรงเอวรัดข้องปลา และยังมีเด็กหนุ่มสวมรองเท้าสานที่ร่างผอมแห้งผิวดำ ก็คือเฉินผิงอัน
ลู่เฉินคีบแสงสว่างขึ้นมาอีกจุด คือองค์ชายเกาเซวียนแห่งต้าสุยกับผู้ติดตามอายุมากคนหนึ่ง สองนิ้วประกบกัน ผลักคนทั้งสองเบาๆ ก็คล้ายกับทำให้พวกเขาเดินก้าวถอยออกไป ยิ่งนานก็ยิ่งเดินออกห่างหลี่เอ้อกับเฉินผิงอัน จากนั้นลู่เฉินก็วางแสงสว่างกลับไปเบาๆ ทันใดนั้นกลุ่มแสงก็พลันขยับหมุนอย่างรวดเร็ว ฟ้าดินแห่งหนึ่งเหมือนคนที่กำลังวิ่งด้วยฝีเท้าเร็วรี่ ไม่สนกลางวันกลางคืน แสงสว่างสลัวรางที่เป็นตัวแทนของเฉินผิงอันค่อยๆ สว่างขึ้น สุดท้ายพริบตานั้นก็พลันส่องแสงเจิดจ้า จากนั้นก็เหมือนชนเข้ากับอะไรบางอย่างประหนึ่งค้อนที่กระแทกลงบนกระบี่ที่เพิ่งขึ้นรูปอย่างแรง สะเก็ดแสงไฟสาดกระเซ็น
ทว่ากลับมีจุดจบที่เป็นดั่งดอกราตรีบานเพียงชั่วข้ามคืน รอกระทั่งภาพบรรยากาศผิดปกตินั้นสิ้นสุดลง แสงสว่างจุดนั้นก็กลับคืนสู่ความสลัวรางอีกครั้ง ค่อยๆ แหลกสลายไปสี่ทิศ มุ่งหน้าไปบนร่างของคนอื่นที่อยู่ตามจุดต่างๆ ของเมืองเล็ก
“เจ้าดูสิ ถูกหยางเหล่าโถวด่าก็ไม่ใช่ว่าหลี่เอ้อรนหาที่เองหรอกหรือ”
“นี่เรียกว่าหวังดีทำให้เสียเรื่อง”
“อันที่จริงเจ้าเองก็เหมือนกัน ไม่เชื่อรึ? ถ้าอย่างนั้นผินเต้าจะยกตัวอย่างให้ฟัง คืนนั้นเจ้าจงใจโยนหินดีงูพวกนั้นลงไปในลำคลองหลงซวี ระดับขั้นไม่ถือว่าต่ำ เป็นทรัพย์สินที่เดิมทีเจ้าควรเก็บไว้ให้การฝึกตนในวันหน้าของหลินโส่วอีบุตรชายของตัวเอง ถูกไหม?”
“ผลคือมองดูคล้ายได้ช่วยเหลือครั้งใหญ่ สามารถช่วยให้เด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงผู้นั้นเพิ่มผลเก็บเกี่ยวได้เจ็ดแปดส่วน ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่า หินดีงูก้อนที่หม่าขู่เสวียนเก็บได้ในภายหลัง เดิมทีควรถูกเฉินผิงอันเก็บใส่ตะกร้าไป? บัญชีนี้ หลินเจิ้งเฉิงเจ้าลองคิดคำนวณดูเอาเองเถอะ เฉินผิงอันได้กำไรหรือว่าขาดทุนกันแน่? ถึงอย่างไรหากจะถามผินเต้า ก็ต้องขาดทุนป่นปี้แน่นอน”
หลินเจิ้งเฉิงไม่สะทกสะท้าน เอ่ยว่า “ข้าไม่สนเรื่องวกวนอ้อมค้อมพวกนี้ เฉินผิงอันในเวลานี้ก็ทำให้พวกเจ้าปวดหัวที่สุดไม่ใช่หรือ?”
ลู่เฉินกลับไม่ปฏิเสธเรื่องนี้ พยักหน้า เพียงแต่ว่าเพียงไม่นานก็ยิ้มถามขึ้นมาอีก “ถ้าอย่างนั้นผินเต้าก็ขอปากมากสักคำ หลินโส่วอีต้องเสียโอกาสบางอย่างไปเพราะความลำเอียงของบิดาอย่างเจ้าล่ะ? หลินโส่วอีถึงขั้นสูญเสียโชควาสนาที่มองไม่เห็นไปมากยิ่งกว่าอีกล่ะ? มีก็มีเป็นพรวน แน่นอนว่าหากไม่มีก็ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง ผลได้ผลเสียในเรื่องนี้ มิอาจไม่ตรวจสอบ ปีนั้นผินเต้าตั้งแผงดูดวง ทำนายดวงให้ผู้อื่นก็เคยบอกเป็นนัยกับเจ้าอย่างลับๆ มาก่อน”
สภาพจิตใจของหลินเจิ้งเฉิงนิ่งสงบดุจบ่อน้ำโบราณ หลุดหัวเราะพรืด “ลูกกระต่ายบ้านข้าไม่มีอนาคต ไม่ได้ดิบได้ดีอย่างใครเขา เป็นเรื่องที่เจ้าต้องมายุ่งด้วยหรือ? เจ้าแซ่หลินหรือไร? ดูเหมือนว่าบนทำเนียบวงศ์ตระกูลของพวกเราไม่มีคนชื่อหลินเฉินนะ”
ลู่เฉินสะอึกอึ้งไปทันใด ปล่อยให้ฟ้าดินเล็กแห่งนั้นลอยตัวอยู่ หมุนโคจรด้วยตัวเอง ยื่นมือไปขยับมันเทศที่อยู่ในกองไฟ ทอดถอนใจเอ่ยว่า “น่ารำคาญจะตายอยู่แล้ว”
มิน่าเล่าชุยฉานถึงได้เลือกให้คนผู้นี้มารับหน้าที่เป็นฮุนเจ่อ ขอบเขตไม่สูง แต่ดันใจแข็งเหมือนหินที่น้ำมันและเกลือก็ไม่ซึมเข้าจริงๆ (หมักเนื้อแล้วน้ำมันกับเกลือไม่ซึมเข้าเนื้อ อุปมาถึงคนมีทิฐิ หัวแข็ง ดื้อรั้น)
อีกทั้งเมืองเล็กแห่งนี้ยังมีขนบธรรมเนียมที่เรียบง่าย นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แต่ละคนถึงได้พูดจาทิ่มแทงใจผู้อื่นไม่แพ้กันเลยเช่นนี้
หลินเจิ้งเฉิงลุกขึ้น เดินอ้อมโต๊ะหนังสือมานั่งลงข้างกระถางไฟ หยิบเอามันเทศที่ปิ้งสุกแล้วขึ้นมาปัดฝุ่นแล้วเริ่มกัดกิน
ลู่เฉินยิ้มเอ่ยเตือน “กินช้าๆ หน่อย ระวังร้อน”
หลินเจิ้งเฉิงเหลือบมองฟ้าดินเล็กที่ลอยอยู่กลางอากาศ
มีแสงสว่างบางส่วนที่แทบจะไม่ขยับแล้ว
ยกตัวอย่างเช่นเฟิงอี๋ที่อยู่ในเหลาสุราที่สูงที่สุดของเมืองเล็ก ลู่เหว่ยผู้ฝึกตนของสำนักหยินหยาง สารถีเฒ่าที่มีชาติกำเนิดมาจากกรมสายฟ้าสรวงสวรรค์เก่า
แสงสว่างบางส่วนสว่างพร่างพราวดุจดวงดาวที่ลอยสูง อย่างหร่วนซิ่ว หลี่หลิ่ว
และยังมีซูฮั่น ช่างเตาเผาที่เป็นชายหัวใจหญิงซึ่งเป็นเทพพิรุณกลับชาติมาจุติ
หรืออย่างจื้อกุยเด็กสาวที่หนีออกมาจากบ่อโซ่เหล็ก
ขณะเดียวกันนั้นบนร่างของทุกคนในเมืองเล็กก็มีเส้นด้ายผลกรรมที่บ้างก็ร้อยเรียงอยู่ด้วยกัน บ้างก็ถูกตัดขาดไปอย่างเงียบเชียบ
สุดท้ายร้อยรัดทุกคนไว้ด้วยกัน ผู้ฝึกตนมีน้อย แต่เส้นด้ายหนา คนธรรมดามีเส้นด้ายยาวอยู่บนร่างเยอะยิ่งกว่า แต่กลับเล็กบาง
มีเพียงทางฝั่งของร้านยาตระกูลหยางเท่านั้นที่เป็นกลุ่มเมฆหมอกลอยบดบัง
ลู่เฉินกัดมันเทศที่อยู่ในมือ พลันเอ่ยอย่างขุ่นเคืองว่า “เจ้าเฉินผิงอันผู้นี้เจ้าคิดเจ้าแค้นเกินไปแล้ว ข้าไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย เป็นหนี้ต้องจ่าย เป็นคนชั่วร้ายต้องชดใช้กรรม อาศัยอะไรมาโกรธเคืองข้าอยู่แค่คนเดียว เจ้าที่เป็นผู้อาวุโสต้องจัดการบ้างนะ ควบคุมเขาเสียบ้าง ทุกวันนี้คำพูดคำจาของเจ้าค่อนข้างใช้ได้ผลกับเฉินผิงอันมากกว่าใครเลยนะ”
หลินเจิ้งเฉิงเอ่ยเตือน “มองดูเหมือนไม่ได้ทำอะไรอย่างแท้จริง”
มองดูเหมือน แท้จริง
——