กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 918.3 ในเสียงท่องตำราบนเส้นทางแห่งสันติสุข
ตอนนั้นหลินเจิ้งเฉิงเคยถามคำถามข้อหนึ่ง ‘เพียงแค่เพื่อเล่นงานอาจารย์ฉีคนเดียว จำเป็นด้วยหรือ?’
ชุยฉานยิ้มตอบว่า ‘ระหว่างลู่เฉินกับฉีจิ้งชุนไม่มีการช่วงชิงบนมหามรรคากัน แต่ขอแค่เพียงเพื่อเจ้าลัทธิใหญ่ที่เป็นศิษย์พี่ผู้นั้น ลู่เฉินก็ต้องจำเป็นต้องทำ’
‘ด้านหนึ่ง เจ้าลัทธิใหญ่แห่งป๋ายอวี้จิงท่านนั้นคือคนที่ลู่เฉินเคารพนับถือมากที่สุด นอกจากนี้ลู่เฉินยังมีการแสวงหาที่ใหญ่ยิ่งกว่า มาจากความเห็นแก่ตัว เพราะปีนั้นลู่เฉินรู้สึกว่าปริศนาบางอย่างสามารถได้คำตอบจากศิษย์พี่ของเขา เงื่อนไขก็คือลูกศิษย์คนแรกของมรรคาจารย์เต๋าท่านนี้สามารถทำเรื่องหนึ่งได้สำเร็จ’
ตอนที่ลู่เฉินไม่คิดอะไร ไม่ว่าใครก็สู้ไม่ได้
ตอนที่ลู่เฉินมีความต้องการ ไม่ว่าใครก็สู้ไม่ได้
มีลู่เฉินอยู่ด้วย ไม่ได้บอกว่าฉีจิ้งชุนต้องไม่มีทางเลือกที่สองเสมอไป
แต่ก็เพราะการปรากฏตัวของลู่เฉิน ทำให้สุดท้ายแล้วฉีจิ้งชุนมีทางเลือกแค่สองทาง
ก็เหมือนกับกระดานหมากกระดานหนึ่งที่เล่นกันจนถึงช่วงท้ายแล้วฝ่ายหนึ่งยึดครองความได้เปรียบ
ยังคงชนะอยู่เหมือนเดิม แต่วิธีการเอาชนะของฝ่ายที่ได้เปรียบกลับมีทางให้เดินแค่หนึ่งถึงสองทางเท่านั้น
เจ้าชนะสถานการณ์บนกระดานหมาก ข้าชนะสถานการณ์นอกกระดาน
ยกตัวอย่าง สมมติว่าหลิวเสี้นยนหยางถือเครื่องกระเบื้องที่มีค่าไว้ในมือหลายชิ้น หมายจะไปหาเฉินผิงอันที่ตรอกหนีผิง
ไม่ว่าจะเดินไปทั่วตรอกซอกซอย เปลี่ยนเส้นทางอยู่ในเมืองเล็กอย่างไร สุดท้ายแล้วก็มีทางให้เดินแค่สองทางเท่านั้น เดินผ่านหน้าประตูบ้านของกู้ช่าน กับไม่เดินผ่าน
การดำรงอยู่ของลู่เฉินก็เหมือนอันธพาลคนหนึ่งที่ไม่ถูกกับหลิวเสี้ยนหยาง จึงมาดักรอฝั่งตรอกหน้าประตูบ้านกู้ช่าน ใครมาก็ต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับคนผู้นั้น อีกทั้งไม่ได้แค่แสร้งทำให้อีกฝ่ายหวาดกลัวด้วย
หลิวเสี้ยนหยางเคยคิดว่าจะเล่นงานเจ้าอันธพาลผู้นั้น แต่ชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียดูแล้วก็ไม่ดีกว่า ไม่มีความจำเป็น เพราะในมือยังมีเครื่องกระเบื้องที่จะนำไปมอบให้เฉินผิงอัน แน่นอนว่าต้องอ้อมผ่านไปอีกทาง
ลู่เฉินหลุดหัวเราะพรืด ยกมือตบโต๊ะหนึ่งที แสร้งทำเป็นเอ่ยเดือดดาลว่า “นี่มันอะไรกับอะไรกัน อย่าได้ใส่ร้ายคนอื่นสิ ผินเต้าไปถึงเมืองเล็กตอนไหน เวลาแค่กี่ปีกันเอง จะทำเรื่องอะไรได้สำเร็จ เจ้าหลินเจิ้งเฉิงไม่รู้เลยหรือ? อ่างบรรจุอาจมใบนี้ก็เอามาครอบบนหัวผินเต้าได้ด้วยหรือ?! ต่อให้เจ้าเป็นคนไร้คุณธรรม แต่จะใส่ร้ายคนอื่นก็ควรจะต้องมีหลักฐานบ้างกระมัง?!”
หลินเจิ้งเฉิงขมวดคิ้วเอ่ย “เป็นโจวจื่อรึ?”
ลู่เฉินเช็ดหน้า แสดงละครนี่เหนื่อยจริงๆ เขาส่ายหน้าเอ่ย “ในเมื่อมีความเป็นไปได้มากที่สุด ถ้าอย่างนั้นก็ต้องไม่ใช่แน่นอน โจวจื่อทำอะไรมักจะชอบหยุดแต่พอสมควรเสมอ พาตัวเข้ามาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่ใช่นิสัยการกระทำของโจวจื่อ หากไม่ทันระวัง จิตแห่งมรรคาก็อาจแหลกสลายโดยตรง หากแค่ขอบเขตถดถอยก็ยังถือว่าดีมากแล้ว”
ลู่เฉินยื่นมือไปตบกวานเต๋าบนศีรษะ จากนั้นยืดแขนออกไป ยกฝ่ามือขึ้นสูงแล้วโบก “เหนือศีรษะสามฉื่อมีเทพมองดูอยู่ ไม่ว่าคนนอกจะเชื่อหรือไม่ แต่ผินเต้ามีข้อพิถีพิถันในเรื่องนี้อย่างมาก”
ลู่เฉินเงียบไปพักหนึ่ง นับนิ้วคำนวณแล้วคำนวณอีก แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา “เถียนหว่านที่น่าสงสาร เดิมทีแค่เอาถ้ำสวรรค์ฉานทุ่ยมาซ่อนไว้ในถ้ำสวรรค์หลีจู นึกว่าสามารถหลอกตัวเองได้ก็จะปิดฟ้าข้ามมหาสมุทรได้ ถึงอย่างไรตบะของนางก็ยังตื้นเขินเกินไป เรื่องอย่างการหลอกตัวเองหลอกคนอื่นประเภทนี้ คิดว่าไม่ว่าใครก็สามารถเรียนรู้และทำได้จริงๆ หรือ? เหล่าไฉรักษาสัญญา ไม่ได้ละโมบอยากครอบครองจักจั่นสีทองตัวนั้น คาดว่าแม้แต่เหล่าไฉก็คงยังคิดไม่ถึงว่าเปลี่ยนมือไปตลอดทาง สุดท้ายก็ยังเป็นหลานรักของเขาที่ได้โชควาสนาที่ ‘ทั้งๆ ที่อยู่ข้างฝ่ามือ แต่กลับเหมือนไกลสุดขอบฟ้า’ นี้ไปอยู่ดี ช่างอัศจรรย์จนเกินจะหาถ้อยคำมาบรรยายจริงๆ คำโบราณกล่าวไว้ได้ดี ชะตากำหนดให้แปดฉื่ออย่าหวังจะได้หนึ่งจั้ง ไม่วาดหวังกลับกลายเป็นว่าอาจจะได้มาครอง”
“แต่หากจะพูดถึงระดับความรักใคร่ที่มีต่อผู้เยาว์ ไม่ว่าใครก็เทียบกับความรู้สึกที่หยางเหล่าโถวมีต่อหลี่ไหวไม่ได้กระมัง ดังนั้นถึงได้บอกว่าคนโง่ก็มีโชคของคนโง่ เรื่องนี้จำเป็นต้องเชื่อ! ครั้งหน้าที่ผินเต้ารับลูกศิษย์ปิดสำนักจะต้องรับคนที่ไม่ฉลาดสักเท่าไร”
ลู่เฉินมองไปยังหลินเจิ้งเฉิง “เกี่ยวกับที่อยู่ของถ้ำสวรรค์ฉานทุ่ยแห่งนั้น เรื่องนี้สามารถนำไปบอกต่อแก่เฉินผิงอันได้ ไม่ต้องคิดมาก ผินเต้ารับรองว่าจะไม่วาดงูเติมขาเด็ดขาด”
หลินเจิ้งเฉิงกระตุกมุมปาก เห็นได้ชัดว่าไม่คิดจะทำเช่นนี้
ปีนั้นร้านขายของงานอวมงคลของเมืองเล็กมีอยู่ไม่น้อย ทว่าร้านขายของมงคลกลับมีอยู่แค่ร้านเดียว เถ้าแก่ร้านคือท่านปู่ของหูเฟิง หลังจากที่ผู้เฒ่าตายไป บนป้ายหินหน้าหลุมศพได้เขียนชื่อจริงลงไป ไฉเต้าหวง
ดังนั้นลู่เฉินถึงได้เรียกอีกฝ่ายคำแล้วคำเล่าว่าเหล่าไฉ
ผู้เฒ่าเคยนั่งเก้าอี้บุคคลอันดับหนึ่งของร้านหมั้นหมายทุกร้านในโลกมนุษย์ยุคบรรพกาล หรือก็คือผู้เฒ่าจันทราที่เรียกกันในโลกยุคหลังนั่นเอง ในอดีตที่ตั้งของสถานที่ประกอบพิธีกรรมของเขามีชื่อว่า ‘ภูเขาฉั่วเหอ’ (จับคู่/เป็นคนกลางติดต่อให้)
ดูแลสมุดชะตาคู่เล่มหนึ่งและการผูกด้ายแดง รวมไปถึงถ้อยคำของแม่สื่อทุกคน
ส่วนหลานชายของเขา หูเฟิง อักษรคำว่าหูประกอบด้วยอักษรกู่ที่แปลว่าโบราณและเยว่ที่แปลว่าดวงจันทร์
หูเฟิงกับเด็กสาวที่อยู่ริมลำคลองชื่อหลินใบถงทวีปล้วนเป็นลูกหลานของช่างสวรรค์ในตำหนักดวงจันทร์บรรพกาลเหมือนกัน เพียงแต่ว่าระบบสายเลือดของหูเฟิงบริสุทธิ์และชอบธรรมมากกว่า ก็เหมือนความต่างระหว่างบุตรภรรยาหลวงกับบุตรอนุภรรยาในครอบครัวมนุษย์โลกยุคหลัง
ลู่เฉินรีบกลับไปนั่งลงข้างกระถางไฟ หากยังไม่กลับไปอีก หลินเจิ้งเฉิงต้องกินมันเทศทุกลูกหมดแน่นอน หยิบชิ้นสุดท้ายขึ้นมาปัดฝุ่นที่อยู่บนนั้นเบาๆ เป่าลมลงไปแรงๆ อีกที ยิ้มถามหน้าทะเล้นเอ่ยว่า “พี่หลิน จะดีจะชั่วผินเต้าก็เป็นเจ้าลัทธิสามของป๋ายอวี้จิง อยู่ในใต้หล้ามืดสลัวจะเดินกร่างก็ยังได้ ใครกล้าหายใจแรงใส่ผินเต้าบ้างเล่า ส่วนเจ้าทุกวันนี้ก็ไร้ที่พึ่งแล้ว ยังจะกล้าพูดจาไม่ดีกับผินเต้าแบบนี้อีก เจ้าอาศัยอะไร?”
หลินเจิ้งเฉิงเอ่ยอย่างเฉยเมย “เวลาปกติไม่เคยทำเรื่องที่ผิดต่อมโนธรรม กลางคืนย่อมไม่กลัวผีมาเคาะประตูบ้าน”
ลู่เฉินโอดครวญ “มาพบเจอคนบ้านเดียวกันที่ต่างบ้านต่างเมือง เดิมทีคนทั้งสองควรจะมีน้ำตาเอ่อคลอ ไยพี่หลินต้องด่าคนอีกแล้วเล่า”
หลินเจิ้งเฉิงถามตรงๆ “เจ้าลัทธิลู่กลับบ้านเกิดตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ลู่เฉินบ่น “ประโยคนี้พูดได้ทำร้ายน้ำใจกันนัก อย่าลืมล่ะว่า พวกเราคือคนบ้านเดียวกันนะ”
หลินเจิ้งเฉิงพูดอย่างไร้ความจริงใจ “อ้อ หากเจ้าลัทธิเฉินไม่พูด ข้าผู้แซ่หลินก็เกือบจะลืมเรื่องนี้ไปแล้วนะ”
ลู่เฉินเอ่ยอย่างโมโหปนขำ “คนอื่นไม่รู้ก็ช่างเถิด แต่ฮุนเจ่ออย่างเจ้าไม่รู้ได้หรือ ผินเต้าเท่ากับทุ่มสุดชีวิตไม่ต้องการ ไปเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร้างกับเฉินผิงอันมารอบหนึ่ง สร้างคุณความชอบที่ทุกใต้หล้าล้วนต้องพากันหันมามอง”
หลินเจิ้งเฉิงพยักหน้าเอ่ยว่า “ก็เพราะว่ารู้เรื่องนี้ คืนนี้ถึงได้ยินดีพูดคุยเรื่องไร้สาระกับเจ้าลัทธิลู่มากมายถึงเพียงนี้อย่างไรล่ะ ไม่อย่างนั้นป่านนี้ข้าคงไล่แขกไปนานแล้ว”
ลู่เฉินยกสองมือขึ้นทำท่ากดลมปราณลงสู่จุดตันเถียน เอ่ยพึมพำกับตัวเองว่า “ไม่โกรธ ไม่โกรธ ไม่สมควร ไม่สมควร”
หลินเจิ้งเฉิงลังเลอยู่เล็กน้อย แต่กระนั้นก็ยังกุมหมัดเอ่ยเสียงจริงจังว่า “พูดถึงแค่เรื่องนี้ ทำได้ไม่เหมือนลู่เฉินอย่างยิ่ง ข้ายอมรับว่าเจ้าคือลูกผู้ชายคนหนึ่ง”
ก็ยังด่าคนอยู่ดีไม่ใช่หรือ?
แต่ลู่เฉินก็คลี่ยิ้มเจิดจ้าได้อย่างว่องไว “คำพูดดีๆ ที่อบอุ่นใจเช่นนี้ พี่หลินก็น่าจะพูดแต่แรกนะ ไม่แน่ว่าผินเต้าอาจยินดีปกป้องด่านให้กับหลานอย่างหลินโส่วอีก็เป็นได้! ก็แค่จากก่อกำเนิดเลื่อนเป็นหยกดิบเท่านั้น ไม่ใช่จากเซียนเหรินเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานเสียหน่อย เรื่องเล็กน้อย”
“หากเจ้าลัทธิลู่ยินดีเปลี่ยนแซ่ คราวหน้าข้าสามารถเพิ่มชื่อลงไปบนทำเนียบวงศ์ตระกูลได้ ให้ใส่ไว้หน้าแรกก็ยังไม่เป็นปัญหา ถึงอย่างไรจุดธูปคารวะในศาลบรรพชนก็ล้วนจุดเก้าดอกเหมือนกัน”
“พี่หลิน หากว่าเจ้ายังพูดคุยกันแบบนี้จะน่าเบื่อมากแล้วนะ ผินเต้าเป็นคนที่เจ้าอารมณ์ไม่น้อย หากดุร้ายขึ้นมา แม้แต่ญาติมิตรก็ไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น”
“ถ้าอย่างนั้นให้ข้าเปลี่ยนแซ่?”
“พี่หลินโปรดสำรวมด้วย!”
เห็นว่าพี่หลินแสร้งทำตัวเป็นคนใบ้ ลู่เฉินก็ได้แต่เป็นฝ่ายเปิดปากเอ่ยก่อนว่า “นี่เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นในไม่กี่วันแล้ว ศาลบุ๋นออกคำสั่งไล่แขกเร็วกว่าพี่หลินเสียอีก ปลายปีนี้ผินเต้าจำเป็นต้องออกไปจากใต้หล้าไพศาลแล้ว หากถึงวันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิก็จะปิดประตูใส่ผินเต้า จะว่าไปแล้วก็ยังเป็นเพราะตัดใจให้ผินเต้าจากไปไม่ลงสินะ นอกจากนี้ ผินเต้าก็คิดหาเหตุผลข้อที่สองไม่ออกแล้วจริงๆ”
หลินเจิ้งเฉิงกล่าว “ได้ยินมาว่าเจ้าลัทธิรองเพิ่งรับลูกศิษย์มาคนหนึ่ง”
ลู่เฉินเอ่ยอย่างตกตะลึง “ทำไมผินเต้าถึงไม่รู้เรื่องนี้ล่ะ?”
เฮ้อ ศิษย์พี่อวี๋ผู้นี้เป็นอย่างไรกันแน่นะ ทำไมไม่เห็นบอกกล่าวกับศิษย์น้องอย่างตนเลยสักคำ
ขอผินเต้าได้นับนิ้วคำนวณดูก่อน อ้อ บังเอิญยิ่งนัก แซ่หยาง มีฉายาว่าเทียนจวินน้อย ทั้งยังเป็นคนของบ้านเกิดอย่างใต้หล้าไพศาลด้วย เดิมทีก็เป็นคนเฝ้าประตูของลัทธิเต๋า ศิษย์พี่รองใช้ได้เลยนี่นา เอาอย่างอาจารย์ของพวกเรา รับคนต่างถิ่นมาเป็นลูกศิษย์? แต่ปัญหานั้นอยู่ที่ว่า หยางหนิงซิ่งแห่งอุตรกุรุทวีปผู้นี้จะมาเทียบกับตนได้อย่างไร อย่างมากสุดคนหนุ่มก็ได้แต่เป็นเหยาชิง ‘เสนาบดีรูปงาม’ คนที่สองเท่านั้น
โชคดีที่ไม่ใช่ลูกศิษย์ปิดสำนักของศิษย์พี่อวี๋ ไม่อย่างนั้นคงต้องขัดขวางสักหน่อย
ลู่เฉินลุกขึ้นยืน สะบัดชายแขนเสื้อ “รอกระทั่งทุกอย่างเป็นดั่งน้ำลดหินผุดแล้ว ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีเความหมายใดๆ แล้ว”
ก็เหมือนอย่างก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินผิงอันยืมมรรคกถาบนร่างของตนไปชั่วคราว ย่อมหลีกเลี่ยงที่จะรู้สึกสะท้อนใจไม่ได้ว่าพอขอบเขตสูงขึ้น ฟ้าดินก็เล็กลง
อันที่จริงนี่ก็เป็นความรู้สึกที่ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานและขอบเขตสิบสี่ทุกคนมีร่วมกัน
วิถีทางโลกจิตใจมนุษย์ ภูเขาทับซ้อนสายน้ำหนาชั้น แต่มองไปแล้วก็เหมือนๆ กันหมด ราวกับว่าแกะออกมาจากพิมพ์เดียวกัน
ทางฝั่งของดินแดนพุทธะสุขาวดีแห่งนั้น ลู่เฉินไม่กล้าไปเยือนอีกแล้ว ตอนนี้ก็ยังไปเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร้างไม่ได้ชั่วคราว นอกจากป๋ายเจ๋อที่หวนกลับไปยังเปลี่ยวร้างแล้ว อันที่จริงยังมีบุคคลอีกคนหนึ่งที่มีอายุขัยเท่าเทียมกับฟ้าดินของเปลี่ยวร้าง
นามว่า ‘ชวิน’ ถือกำเนิดขึ้นมาในดินแดนอันป่าเถื่อน ท่ามกลางความเปลี่ยวร้างกันดาร
คล้ายคลึงกับเด็กหญิงของใต้หล้าห้าสีคนนั้นที่ทุกวันนี้เป็นปีเจียชุนที่เท่าไร นางก็มีอายุเท่านั้น
แน่นอนว่ายังมีรากฐานมหามรรคาแบบเดียวกับเฒ่าประมงของใต้หล้าไพศาลที่ปีนั้นไม่ยินดีถ่อเรือพาปรมาจารย์มหาปราชญ์ไปส่งข้ามฝั่ง
ส่วนใต้หล้ามืดสลัวกับดินแดนพุทธะสุขาวดีนั้น แน่นอนว่าก็มีบุคคลที่คล้ายคลึงกันนี้ดำรงอยู่ ตอนนั้นก็เพราะว่าลู่เฉินรู้เรื่องวงในของเรื่องนี้ ถึงได้มีประโยคที่แพร่ไปในโลกยุคหลังที่บอกว่า ‘ฟ้าดินถือกำเนิดมาพร้อมกับข้า และหมื่นสรรพสิ่งก็เป็นหนึ่งเดียวกับข้า’
ก่อนที่บรรพจารย์สามลัทธิจะสลายมรรคา จะต้องพากันไปพบ ‘สหาย’ ของตัวเองก่อนแน่นอน
ถามเรือนแห่งใจ? มีเพียงมหามรรคาจึงจะรวบรวมสภาพจิตใจที่สงบว่างเปล่าไว้ได้ ใช้หิมะชำระล้างกายใจให้บริสุทธิ์ กำจัดเศษซากสิ่งสกปรก เมื่อจิตใจว่างเปล่าก็รวบรวมมหามรรคาไว้ในอ้อมอกได้
อย่าได้แสวงหาสิ่งนอกกาย ภาวนาให้ตัวเองมีความสุข เมื่อลองคิดดูอีกที นี่ก็คือความฉลาดอย่างหนึ่ง
ฟ้าดำเนินไปอย่างแข็งขัน บัณฑิตเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ตนเองอย่างไม่หยุดยั้ง พลังอำนาจของพื้นดินหนาแน่น วิญญูชนสามารถใช้คุณธรรมรองรับหมื่นสรรพสิ่ง ยามที่วิญญูชนอยู่เพียงลำพังจึงพึงสำรวมตน เคารพเทพและผีอยู่ไกลๆ แต่ไม่หลงงมงาย
หลินเจิ้งเฉิงลุกขึ้นยืน “ข้าคงไม่ส่งแขกแล้ว”
ลู่เฉินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เมื่อเทียบกับเศษเครื่องกระเบื้องของภูเขากระเบื้องพวกนั้นแล้วไม่สะดุดตายิ่งกว่า ดูเหมือนว่าจะยังมีแป้นวางเครื่องปั้นพวกนั้น”
แป้นวางเครื่องปั้นพวกนั้น (ลักษณะคล้ายเบ้าหล่อขนาดกว้างทรงเหลี่ยม เอาไว้วางเครื่องปั้นลงไปข้างในก่อนจะใส่ไปในเตา เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องปั้นได้รับความเสียหาย)
ทั้งเหมือนผู้ถ่ายทอดมรรคาของเครื่องกระเบื้องงามประณีติทั้งหลาย แล้วก็คล้ายผู้ปกป้องมรรคาที่ปกป้องระหว่างเส้นทางขุนเขาสายน้ำช่วงหนึ่งแล้วก็จากไปอย่างเงียบเชียบ
ในสายตาของลู่เฉิน แป้นวางเครื่องปั้นบนโลกที่แท้จริงก็น่าจะเป็นพ่อแม่ของเด็กๆ ทุกคนแล้ว
หลินเจิ้งเฉิงพลันถามว่า “กระบี่ไม้ท้อเล่มที่เฉินผิงอันนำออกไปจากเมืองเล็ก ครั้งแรกที่ไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ดูเหมือนว่าจะมอบให้กับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส แต่กลับไม่เคยได้กลับคืนมา มีความเกี่ยวข้องกับจี้กวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ผู้นั้นหรือไม่?”
ลู่เฉินเบ้ปาก “ตอนนั้นผินเต้าไม่อยู่ในเมืองเล็กแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นการกระทำของฉีจิ้งชุน ผินเต้าจะเดาออกได้อย่างไร”
ลู่เฉินเองก็ถามคำถามข้อหนึ่ง “ทุกวันนี้ที่หน้าประตูคลังของจวนผู้ตรวจการงานเตาเผายังคงเปลี่ยนกลอนคู่อยู่ทุกปีหรือไม่?”
หลินเจิ้งเฉิงส่ายหน้า “ไม่ได้เปลี่ยนมานานหลายปีแล้ว เป็นความต้องการของท่านราชครู”
ในอดีตจวนผู้ตรวจการงานเตาเผามีคลังแห่งหนึ่งที่การป้องกันเข้มงวด เอาไว้เก็บเครื่องกระเบื้องสำหรับใช้ในวังซึ่งเผาออกมาจากเตาเผา เมื่อตรวจสอบว่าไร้ข้อผิดพลาดก็จะถูกส่งไปยังเมืองหลวงอย่างลับๆ ตามเวลาที่กำหนด
หลายปีที่ลู่เฉินตั้งแผงดูดวงเคยแอบไปเยือนอยู่หลายครั้ง
ด้านในวางเครื่องกระเบื้องไว้จนเต็ม มากมายละลานตา งดงามเกินกว่าจะบรรยายได้หมด
แต่ลู่เฉินกลับไม่ได้ไปดูเพื่อให้เจริญหูเจริญตา ทุกครั้งที่ไปถึงที่นั่นจึงต้องหยิบม้านั่งตัวเล็กมาตัวหนึ่ง หลับตาลง เงี่ยหูตั้งใจฟัง
ได้ยินเสียงแผ่วเบายามที่ลายกระเบื้องแตกร้าว ประหนึ่งเสียงกระดิ่งท่ามกลางสายลม เป็นเหตุให้ถูกพวกช่างอาวุโสทั้งหลายเรียกมันว่า ‘ลมแรง’ เปรี๊ยะๆๆ ประหนึ่งเสียงจากสวรรค์
นี่จึงเป็นเหตุให้หน้าประตูคลังจะต้องมีกลอนคู่อยู่หนึ่งบท ตามหลักแล้วจะต้องเป็นลายมือของอริยะที่นั่งพิทักษ์ นำมาใช้บอกลาปีเก่าต้อนรับปีใหม่ หากว่าเป็นเวลาหกสิบปีที่อริยะลัทธิเต๋านั่งพิทักษ์ก็จะหาวัตถุดิบที่อยู่ใกล้เพื่อความสะดวก ส่วนใหญ่จึงจะเอาไม้ท้อของตรอกเถาเย่มาเป็นพื้นกลอนคู่โดยเฉพาะ
ลู่เฉินจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ตัวเองไปยังคลังเก็บของแห่งนั้น นอกประตูแขวนกลอนคู่ที่เขียนเสร็จเมื่อปีที่แล้วเอาไว้
ท่ามกลางเสียงอ่านตำรา ลมพัดฝนโชย ทุกเรื่องล้วนมีความสุขเหลืออยู่
บนเส้นทางแห่งความสันติสุข แว่นแคว้นสงบสุขชาวประชาปลอดภัย ทุกปีต้อนรับวสันต์ใหม่
ร่างของลู่เฉินเปล่งวูบหายไป ออกไปจากศูนย์ตัดต้นไม้ พริบตาเดียวก็มาถึงสะพานหินโค้งของเมืองเล็กในอดีต เดินเล่นเลียบสายน้ำยามราตรี นักพรตหนุ่มมาถึงบนก้อนหินสีดำ แหงนหน้ามองฟ้าเพียงลำพัง
มองธารดวงดาวกลางผืนนาชานเมือง ช่วงชิงกันอยู่บนยอดปลายเขาวัว
คนรู้จักเก่ายิ้มรับข้า ฝันท่ามกลางความฝัน พบร่างกายนอกกาย
——