กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 919.3 ไยจึงมีเพียงผู้ฝึกกระบี่
ในห้องที่อยู่ติดกัน ฟังแผนการที่ล้นไปด้วยจินตนาการเพ้อฝันของนายท่านใหญ่ป๋ายแล้ว หมี่อวี้ก็พยายามกลั้นขำอย่างยากลำบาก ยกนิ้วโป้งให้หลิวจิ่งหลง เอ่ยเสียงเบาว่า “รับลูกศิษย์ที่ดีมา มิน่าเล่าถึงสามารถเรียกตัวเองเป็นพี่เป็นน้องกับใต้เท้าอิ่นกวานได้”
หลิวจิ่งหลงยิ้มเอ่ย “อันที่จริงในอดีตก่อนหน้านี้ ป๋ายโส่วยังเคยลอบฆ่าเฉินผิงอันด้วย”
หมี่อวี้เอ่ยอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น “ที่แท้ก็มีคุณูปการยิ่งใหญ่เช่นนี้อยู่ มิน่าเล่าถึงได้ถูกเผยเฉียนหมายหัว”
“เจ้าสำนักหลิว ขอถามเรื่องหนึ่งได้ไหม?”
“อยากถามว่าทำไมชื่อบนทำเนียบของสำนัก ข้าใช้ชื่อฉีจิ่งหลง ทว่ากลับถูกคนอื่นเรียกว่าหลิวจิ่งหลงหรือ?”
หมี่อวี้พยักหน้า
หลิวจิ่งหลงยิ้มกล่าว “ก่อนที่ข้าจะขึ้นเขามาฝึกตนก็แซ่ฉีจริงๆ แต่พอมาอยู่สำนักกระบี่ไท่ฮุยได้ไม่กี่ปี เจ้าสำนักหันของพวกเรามีสหายอยู่คนหนึ่ง บอกว่าตอนที่ข้าฝึกตนได้ร้อยปีจะเจอกับอุปสรรคใหญ่อย่างหนึ่ง สำหรับคนธรรมดาล่างภูเขาแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร บอกว่ามีอายุยืนยาวได้ร้อยปีก็ถือว่าเป็นถ้อยคำที่ดีที่สุดแล้ว แต่สำหรับผู้ฝึกตนที่มีปณิธานอยู่ที่ความเป็นอมตะ กลับไม่ถือว่าเป็นคำพูดที่ดีอะไรจริงๆ ยอดฝีมือคนนั้นจึงแนะนำเจ้าสำนักหันว่า หากอยากจะให้ฉีจิ่งหลงข้ามผ่านหายนะนี้ไปได้อย่างปลอดภัย ทางที่ดีที่สุดควรเปลี่ยนชื่อ ไม่อย่างนั้นชะตาก็จะขัดกับลำน้ำใหญ่สองสายเหนือใต้ ในอนาคตหากออกเดินทางนอกภูเขาแล้วต้องเข้าใกล้น้ำก็จะต้องเจอภัยพิบัติ อันที่จริงตอนนั้นคำกล่าวนี้ เดิมทีก็เป็นเรื่องประหลาดอย่างหนึ่ง เพราะคำว่า ‘เหนือใต้’ สามทวีปที่อยู่ทางทิศตะวันออกของใต้หล้าไพศาล นอกจากอุตรกุรุทวีปที่มีลำน้ำจี้ตู๋อยู่จริงแล้ว แจกันสมบัติทวีปกับใบถงทวีปกลับไม่มีลำน้ำใหญ่อะไร แต่ยอดฝีมือคนนั้นพูดจาหนักแน่นน่าเชื่อถือ เจ้าสำนักหันจึงมาหาอาจารย์ของข้า แต่เพื่อรับประกันว่าการฝึกตนของข้าจะไร้อันตรายจึงปิดบังข้าด้วยการเปลี่ยนแซ่ของข้าบนทำเนียบของสำนัก เพียงแต่ว่านอกจากศาลบรรพจารย์ของสำนักกระบี่ไท่ฮุยแล้วก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้อีก คงเป็นเพราะกังวลว่าข้าจะกลายเป็นตัวตลกของคนอื่นกระมัง อีกทั้งทางฝั่งของเทียบวงศ์ตระกูลในศาลบรรพชนก็แอบลบชื่อข้าทิ้งไปด้วย ตามคำแนะนำของยอดฝีมือ ในอนาคตรอให้ ‘หลิวจิ่งหลง’ บรรลุมรรคา ก็สามารถแยกกันเปลี่ยนชื่อกลับไปใช้ชื่อเดิมในสองสถานที่นั้น รอกระทั่งข้ารู้เรื่องนี้ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกแล้ว ดังนั้นภายหลังในสำนักกระบี่ไท่ฮุย ฉีจิ่งหลงจึงเหมือนชื่อเดิมข้า ส่วนหลิวจิ่งหลงกลับเหมือนชื่อเล่นของข้า อย่างหลังมีคนเรียกมากกว่า คนนอกภูเขาที่ไม่รู้เรื่องก็เลยเรียกตามไปด้วย ภายหลังแจกันสมบัติทวีปเปิดลำน้ำใหญ่ไหลลงสู่มหาสมุทร ก็ได้ตั้งชื่อว่าลำน้ำ ‘ฉีตู้’ จริงๆ”
พูดมาถึงตรงนี้ หลิวจิ่งหลงก็เขียนตัวอักษรสองคำเป็นคำว่า ‘ฉี’ และคำว่า ‘หลิว’ ลงไปบนโต๊ะ ยิ้มเอ่ยว่า “ดูแล้วค่อนข้างคล้ายกันใช่หรือไม่?”
หมี่อวี้จุ๊ปากเอ่ยอย่างประหลาดใจ “ยังคงเป็นใต้หล้าไพศาลของพวกท่านที่มีช่องทางเยอะ มีข้อพิถีพิถันเยอะ”
หลิวจิ่งหลงเอ่ย “ส่วนยอดฝีมือที่ช่วยเปลี่ยนแซ่ให้ข้าคนนั้น อาจารย์ของข้าและเจ้าสำนักหันไม่เคยบอกถึงความเป็นมาของเขา ตัวข้าเองมีการคาดเดาอยู่สองอย่าง หากไม่ใช่โจวจื่อก็ต้องเป็นคนเชื่อดาบ”
หมี่อวี้ถามอย่างสงสัย “คนเชื่อดาบ? มีไว้ทำอะไร?”
หลิวจิ่งหลงยิ้มกล่าว “เอาเงินให้คนอื่นยืม วันใดวันหนึ่งก็จะมาทวงหนี้ถึงบ้าน”
หมี่อวี้กล่าว “เหมือนปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยสูงของล่างภูเขาหรือ?”
หลิวจิ่งหลงพยักหน้า “ในความหมายที่เข้มงวดไม่ถือว่าเป็นเงินกู้ดอกเบี้ยสูง ตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำ หนี้ที่ไปทวง ของที่ไปรีดไถถึงบ้าน มักจะน้อยกว่าเงินต้นเสมอ ดูเหมือนว่านี่จะเป็นวัตถุประสงค์ในการทำการค้าข้อแรกที่คนเชื่อดาบตั้งกฎเอาไว้ ดังนั้นโลกภายนอกจึงพูดกันว่าสายของคนเชื่อดาบเป็นสาขาแยกของสำนักโม่ ผู้ฝึกตนโดยทั่วไปอยากจะให้คนเชื่อดาบทำการค้ากับตนแทบตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกผู้ฝึกตนอิสระที่สถานการณ์ล่อแหลมที่ได้แต่เจ็บใจที่คนเชื่อดาบไม่มาหาตนถึงบ้าน เฉินผิงอันบอกกับข้าว่าเรื่องของการฝ่าทะลุขอบเขตในอนาคตให้ระวังแล้วระวังอีก นั่นถูกต้องแล้ว ไม่ว่าจะระวังอย่างไรก็ไม่ถือว่ามากเกินไป ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากใช้หนี้ ติดหนี้ใช้หนี้คือเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน ก็แค่กังวลว่าวิธีการทวงหนี้ของอีกฝ่ายจะเป็นวิธีการที่ข้ารับไม่ได้”
หมี่อวี้กล่าว “ด้วยนิสัยของเจ้าสำนักหัน ในเมื่อยอมรับเรื่องนี้ไว้แทนท่าน เชื่อว่าย่อมไม่มีทางหลอกท่านแน่นอน”
หลิวจิ่งหลงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
หมี่อวี้นึกถึงผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งของอุตรกุรุทวีปขึ้นมาก็ถามว่า “หลิ่วซวี่แห่งหลัวหม่าเหอผู้นั้น พวกท่านมีความเกี่ยวข้องอะไรกันหรือไม่?”
หลิวจิ่งหลงพยักหน้า “หลังออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ ข้ากับหลิ่วซวี่ก็มักจะมาเจอกันบ่อยๆ”
อีกฝ่ายเป็นคนดี หาตำหนิใดๆ ไม่เจอ แต่พฤติกรรมยามดื่มเหล้าออกจะแย่ไปสักหน่อย
หมี่อวี้เอ่ยสัพยอก “เมื่อหลายปีก่อนข้าไปอยู่ที่จวนไฉ่เชวี่ยอยู่พักใหญ่ ทำไมถึงไม่เคยอ่านเจอเรื่องราวที่เกี่ยวกับนายท่านหลิ่วผู้นี้จากรายงานขุนเขาสายน้ำเล่มใดเลยล่ะ?”
หลิวจิ่งหลงกล่าว “เป็นเพราะขนบธรรมเนียมของสกุลหลิ่วแห่งหลัวหม่าเหอ เน้นการลงมือเป็นรูปธรรม เป็นคนมีคุณธรรม ไม่ชอบออกหน้าออกตา”
หลัวหม่าเหอของอุตรกุรุทวีปคือภูเขาใหญ่ลูกหนึ่ง แต่กลับไม่ใช่สำนัก ชื่อไม่น่าฟัง แต่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการทำการค้า มีฐานกำลังทรัพย์สำหรับการกลายเป็นสำนักนานแล้ว แต่กลับไม่ได้ขอสถานะสำนักอักษรจงจากศาลบุ๋นเสียที สกุลหลิวหลัวหม่าเหอแต่ละรุ่นล้วนทำการค้าบนเรือ บนภูเขา ถือเป็นการร่ำรวยแบบไม่กระโตกกระตาก หากให้เปรียบเทียบหลัวหม่าเหอก็คือศูนย์คุ้มภัยที่ใหญ่ที่สุดบนภูเขาของทวีปหนึ่ง เพียงแต่ว่าชื่อเสียงดีกว่าสำนักฉงหลินมาก
อุตรกุรุทวีปนั้นขึ้นชื่อว่ามีขนบธรรมเนียมที่เรียบง่ายบริสุทธิ์ ผู้ฝึกตนไม่น้อยมักจะมีความเคยชินในการนัดต่อสู้ไกลหมื่นลี้ บางทีอาจเป็นแค่บุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำครั้งหนึ่ง คุยกันไปคุยกันมาก็หน้าแดง พูดจาไม่เข้าหูกันคำเดียว ใครบางคนบอกสถานที่ ทั้งสองฝ่ายก็นัดไปตีกันแล้ว ส่วนการนัดตีที่ชื่อเสียงโด่งดังที่สุดไม่มีหนึ่งในอะไรของในใต้หล้าไพศาล แน่นอนว่าต้องเป็นอีสานกุรุทวีปกับอุตรธวัลทวีปในอดีตที่นัดต่อสู้กันข้ามทวีปครานั้น
และการจับมือกันเดินทางไกลของผู้ฝึกกระบี่ในทวีปครั้งนั้นก็เป็นขบวนทัพที่ยิ่งใหญ่อลังการ ข้ามผ่านมหาสมุทร ทัศนียภาพนั้นยิ่งใหญ่ตระการตา ถูกคนยุคหลังขนานนามว่า ‘แสงกระบี่ประดุจสายน้ำที่อยู่บนท้องฟ้า’
เนื่องจากเป็นการเดินทางไกลข้ามทวีป ผู้ฝึกกระบี่ของอุตรกุรุทวีปหลายคนที่ขอบเขตไม่สูงต่างก็ต้องนั่งเรือข้ามฟากส่วนตัวของหลัวหม่าเหอ ค่าใช้จ่ายตลอดเส้นทางล้วนเป็นสกุลหลิวแห่งหลัวหม่าเหอที่เหมาจ่ายให้ เหล้าหมักตระกูลเซียน ผลไม้ ยา ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนไม่เคยให้ผู้ฝึกกระบี่จ่ายเงินแม้แต่เหรียญเกล็ดหิมะเดียว
แม้ว่าครั้งนั้นจะไม่ได้ตีกันจริงๆ แต่อุตรกุรุทวีปกลับแย่งชิงเอาคำว่า ‘อุตร’ ไปจากธวัลทวีปได้
และหลิ่วซวี่ก็คือหลานชายสายตรงของเจ้าประมุขคนปัจจุบัน อีกทั้งยังเป็นผู้ฝึกกระบี่จำนวนไม่มากในบรรดาลูกหลานสกุลหลิ่ว ทว่านับแต่เด็กมาก็ไม่มีนิสัยยโสโอหัง ตอนที่อยู่ขอบเขตก่อกำเนิดก็ยิ่งติดตามผู้ฝึกกระบี่คนอื่นเดินทางข้ามทวีปลงใต้ ผ่านภูเขาห้อยหัว ไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ หลิ่วซวี่สังหารปีศาจของที่นั่นไปค่อนข้างมาก เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับหันไหวจื่อเจ้าสำนักรุ่นก่อนและผู้คุมกฎหวงถงของสำนักกระบี่ไท่ฮุย รวมไปถึงลี่ไฉ่เซียนกระบี่หญิงแห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิงแล้ว ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดอย่างหลิ่วซวี่ผู้นี้ถึงได้ดูไม่สะดุดตาถึงเพียงนั้น
สงครามที่ออกจากนครครั้งสุดท้ายในต่างบ้านต่างเมือง หลิ่วซวี่สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเซี่ยจื้อเซียนกระบี่แห่งฝูเหยาทวีปที่มีชาติกำเนิดจากผู้ฝึกตนอิสระ
ผู้ฝึกตนกระบี่สองคนที่เป็นคนต่างถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่เช่นเดียวกัน หนึ่งตายหนึ่งรอด คนที่อายุมาก ขอบเขตสูง กระบี่ครั้งสุดท้ายที่ส่งออกไปทั้งสังหารปีศาจ แล้วก็เพื่อเปิดทางให้กับผู้ฝึกกระบี่หนุ่ม
ครั้งแรกในชีวิตที่หลิ่วซวี่ ‘มีชื่อเสียง’ คงเป็นครั้งหนึ่งที่เขียนป้ายสงบสุขแผ่นหนึ่งในร้านเหล้าขนาดเล็ก บอกว่าตัวเองดื่มเหล้าใต้แสงจันทร์ ความคิดถึงได้พรั่งพรูดุจน้ำพุ แรงบันดาลใจในการแต่งกลอนพุ่งพล่าน จึงทิ้งประโยคที่ค่อนข้างแพร่หลายเอาไว้ว่า ‘เซียนกระบี่ครึ่งหนึ่งบนโลกมนุษย์คือสหายของข้า ใต้หล้านี้มีสตรีคนใดไม่เอียงอาย ใช้เหล้าหมักชำระล้างกระบี่ข้า ใครบ้างไม่บอกว่าข้าสง่างาม’
แต่ในความเป็นจริงแล้ว อยู่ที่หลัวหม่าเหอ หลิ่วซวี่กับบิดา และยังมีท่านปู่ที่เป็นเจ้าประมุขคนปัจจุบันของสกุลหลิ่ว ต่างก็เป็นเศรษฐีบ้านนอก เป็นชาวไร่ชาวนาที่ไม่เกี่ยวข้องกับคำว่าสง่างามปราดเปรื่องเลยแม้แต่น้อย
ผลคือรอกระทั่งการประชุมศาลบุ๋นสิ้นสุดลง ตลอดทั้งอุตรกุรุทวีปต่างก็รู้เรื่องป้ายสงบสุขปลอดภัยแผ่นนี้ของหลิ่วซวี่ หลายปีมานี้คนที่มาดูตัวถึงบ้านล้วนมีมาไม่ขาดสาย เกือบจะย่ำจนธรณีประตูสึก ทุกคนต่างก็แสดงความยินดีกับเจ้าประมุขผู้เฒ่าของสกุลหลิ่ว บอกว่าหลุมศพบรรพบุรุษของพวกเจ้ามีควันเขียวผุดขึ้นมาแล้ว ถึงกับให้กำเนิดผู้มากความสามารถเช่นนี้ได้
เจ้าประมุขผู้เฒ่าก็ไม่รู้ว่าควรจะแอบลำพองใจหรือควรจะอธิบายให้อีกฝ่ายฟังดี สรุปก็คือกระอักกระอ่วนใจอยู่มาก
หลังจากหลิ่วซวี่กลับมาที่อุตรกุรุทวีปก็เคยเป็นฝ่ายมาหาหลิวจิ่งหลงสองครั้ง ต่างก็มาด้วยเป้าหมายว่าไม่เมาไม่กลับ ทุกครั้งที่ผู้ฝึกกระบี่เมามายขี่กระบี่โงนเงนจะลงจากภูเขาไปจะต้องพูดว่าครั้งนี้ยังดื่มได้ไม่สาแก่ใจพอ คราวหน้าเอาใหม่
ชีวิตคนมีพบมีพรากไม่แน่นอน เหมือนการดื่มคารวะสามรอบ แต่กลับเหมือนว่ายังไม่ได้เริ่มดื่มก็เริ่มคิดถึงสุรามื้อถัดไปแล้ว
หมี่อวี้เคยสงสัยใคร่รู้เรื่องหนึ่ง ทำไมใต้เท้าอิ่นกวานถึงไม่เคยไปทำการค้ากับหลัวหม่าเหอ เพราะถึงอย่างไรหลิ่วซวี่ก็เป็นลูกค้าเก่าของร้านเหล้า ทั้งยังเป็นหลานสายตรงของสกุลหลิ่วด้วย
และกิจการของภูเขาลั่วพั่วก็หยุดชะงักอยู่แค่ที่ภาคกลางของอุตรกุรุทวีปมาโดยตลอด ไม่เคยมีคู่ค้าทางทิศเหนือมาก่อน
ภายหลังถึงได้รู้ว่าเป็นเพราะไม่อยากทำให้หลิ่วซวี่ลำบากใจ เซียนกระบี่ป๋ายฉางสะสมบารมีอำนาจไว้ทางทิศเหนืออย่างลึกล้ำแน่นหนา อีกทั้งหลัวหม่าเหอก็เดินท่องขุนเขาสายน้ำทิศเหนือมาจนชินแล้ว
อยู่ดีๆ หลิวจิ่งหลงก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ตอนที่ป๋ายโส่วเพิ่งขึ้นมาอยู่บนภูเขายังถามข้าว่าทำไมใต้หล้าถึงมีแค่ผู้ฝึกกระบี่ ไม่มีผู้ฝึกดาบ ไม่มีผู้ฝึกขวาน”
หมี่อวี้อึ้งตะลึง ก่อนจะหลุดหัวเราะพรืด ส่ายหน้า ยกชามเหล้าขึ้นดื่มหนึ่งอึก “ไม่เคยคิดถึงปัญหาข้อนี้มาก่อนเลยจริงๆ”
หลิวจิ่งหลงยิ้มพลางยื่นมือออกมา “ขอยืมกระบี่พกของพี่หมี่ใช้หน่อยสิ”
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของหมี่อวี้มีชื่อว่า ‘เสียหม่านเทียน’ หลายปีมานี้ตรงเอวรัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ชื่อว่า ‘หาวเหลียง’ เป็นของตกทอดจากหมี่ฮู่ผู้เป็นพี่ชาย เดิมทีต้องมอบให้กับอิ่นกวาน แต่อิ่นกวานไม่ต้องการ กลับมอบให้กับหมี่อวี้ ส่วนกระบี่พกที่ระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุดนั้นก็สลักคำว่า ‘เหิงเส่า’ (ปัดกวาดทำลายจนสิ้นซาก) ก็ยิ่งเป็นกระบี่ที่พี่ชายมอบให้หมี่อวี้ในอดีต
หมี่อวี้มอบกระบี่พกให้กับหลิวจิ่งหลง
หลิวจิ่งหลงถือฝักกระบี่ไว้ในมือ ชักกระบี่ออกจากฝักช้าๆ แสงกระบี่สว่างเจิดจ้าดุจน้ำฤดูใบไม้ผลิลุ่มลึก ในห้องพลันสว่างไสวราวกับเวลากลางวัน หลิวจิ่งหลงใช้สองนิ้วประกบกันปาดผ่านตัวกระบี่เบาๆ ก่อนจะยกนิ้วขึ้นสูงเคาะที่ตัวกระบี่หนึ่งที แสงดุจลายน้ำ
“ในยุคบรรพกาลห่างไกล เวทกระบี่หล่นลงมายังโลกมนุษย์ดุจสายฟ้า สิ่งมีชีวิตบนพื้นดินที่ไม่ว่าจะมีชาติกำเนิดอย่างไรต่างก็ได้รับโชควาสนา ผู้ฝึกตนที่บรรลุมรรคาผุดขึ้นมาเหมือนหน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิหลังฝนตก”
หลิวจิ่งหลงกวาดกระบี่ไปในแนวขวางช้าๆ แสงกระบี่ชั้นหนึ่งรวมตัวกันอยู่บนโต๊ะไม่สลายหายไปไหน ราวกับว่าจะแบ่งแยกฟ้าดินออกจากกัน
นาทีถัดมา หมี่อวี้กวาดตามองไปรอบด้าน รู้สึกประหนึ่งอยู่ในดินแดนไท่ซวีอันเวิ้งว้างของยุคบรรพกาล ดวงดาวพร่างพราวที่เดิมทีแค่แหงนหน้าก็มองเห็นค่อยๆ หดเล็กลงเหมือนเมล็ดงา ราวกับว่าแค่ยกมือไปคว้าก็สามารถกักมันไว้ในมือได้
“เวทอสนี ห้าธาตุ ยันต์ของเจ็ดสิบสองสำนัก ความรู้ของเมธีร้อยสำนัก หลอมดวงอาทิตย์กราบดวงจันทร์ ชักนำแสงดาว เวทมองลมปราณสำรวจภูมิศาสตร์…”
เมื่อหลิวจิ่งหลงที่อยู่ตรงข้ามประหนึ่ง ‘ปากอมกฎสวรรค์’ แสงกระบี่เส้นนั้นพลันปูแผ่ไปเหนือ ‘พื้นดิน’ ก่อนจะมีวิชาอภินิหารมากมายก่อกำเนิดขึ้นมา
“และกระบี่บินเล่มแรกของฟ้าดิน เดิมทีก็เป็นการจำแลงบนมหามรรคาอย่างหนึ่ง”
“มีทั้งความคม อีกทั้งยังได้สัดส่วน”
หลิวจิ่งหลงลุกขึ้นยืน ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกไป ปาดเอาแสงสว่างจุดหนึ่งที่รวมตัวกันอยู่บนปลายนิ้วลงมาด้านล่างเบาๆ ก็มีแสงกระบี่เส้นหนึ่งร่วงดิ่งลงมา
แสงกระบี่แหวกผ่าพื้นดิน ตรงดิ่งไปยังความว่างเปล่าไร้ที่สิ้นสุด ฟ้าดินไม่มีการแบ่งแยกบนล่างซ้ายขวาหน้าหลังอีกต่อไป พื้นดินปริแตกพังทลายไปอย่างสิ้นเชิง วิชาอภินิหารหมื่นพันเวทอาคมล้วนดับสลายสูญสิ้น แม้กระทั่งตะวันจันทราดาราบนท้องฟ้าก็ถูกน้ำวนขนาดมหึมาลูกหนึ่งที่เกิดจากแสงกระบี่กระชากดึงเข้าไปข้างใน ไม่เหลือแสงสว่างใดๆ อีกต่อไป ราวกับว่ามหามรรคาบางอย่างได้กลับไปรวมกันเป็นหนึ่ง
หลิวจิ่งหลงเอ่ยด้วยสีหน้าเฉยเมยว่า “นี่ก็คือหนึ่งกระบี่ทำลายหมื่นอาคม”
หมี่อวี้มองภาพงดงามตระการตาที่ราวกับว่าจำแลงภาพการถือกำเนิดของหมื่นสรรพสิ่งบนฟ้าดินไปจนถึงการดับสลายของพวกมันแล้วเหม่อลอยไป
ครู่หนึ่งต่อมา หมี่อวี้ก็เอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “เส้นทางมีแล้ว ข้าจะปิดด่าน”
——