กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 920.1 เพียงแต่ตนที่แก่ชราแล้ว
ม่านฟ้าที่ตั้งอยู่แถบใจกลางของใต้หล้าห้าสี
แสงกระบี่สองเส้นผุดขึ้นมาจากในนครบินทะยาน ตรงดิ่งขึ้นสู่ม่านฟ้า อยู่ระหว่างฟ้าและดิน ทะเลเมฆที่บ้างสูงบ้างต่ำเหล่านั้นถูกแสงกระบี่ปั่นป่วนจนเกิดเป็นน้ำวนขนาดใหญ่ยักษ์ลูกแล้วลูกเล่า
แสงกระบี่พร่างพราวระหว่างก้อนเมฆและก้อนดินต่างก็ลากเอาเส้นวิถีโค้งเส้นหนึ่งมาหยุดอยู่ตรงความสูงพอๆ กับประตูใหญ่บนม่านฟ้า เพียงแต่ว่ายังอยู่ห่างอีกหลายหมื่นลี้ แสงกระบี่ก็พลันหยุดนิ่ง พริบตานั้นก็ปรากฏเงาร่างของคนสองคน คนหนึ่งปักปิ่นหยกบนศีรษะ สวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียว คนหนึ่งสวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียว ในมือถือไม้เท้าเดินป่า
ผู้ฝึกกระบี่ทั้งสองต่างก็จำแลงแสงกระบี่ออกมาหลายสิบเส้น พุ่งตรงมายังประตูใหญ่บานนี้ เป็นวิชาการหลบหนีที่เหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน ความเร็วนั้นเหนือกว่าเรือหลิวเสียเสียอีก
ผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อที่เรือนกายผอมเพรียวคนหนึ่งลูบหนวดยิ้ม “จำต้องยอมรับว่า หากพูดถึงแค่เรื่องของการเร่งเดินทาง ยังคงเป็นพวกเซียนกระบี่ที่สง่างามยิ่งกว่า แสงกระบี่เปล่งวาบหนึ่งทีก็พุ่งไปรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ ฟ้าดินไร้พันธนาการ ทำเอาคนที่มองรู้สึกรวดเร็วฉับไวไม่อืดอาดชักช้าแม้แต่น้อย”
ผู้เฒ่าอีกคนพยักหน้าเอ่ยว่า “ปีนั้นก็แค่เพราะข้าไม่มีคุณสมบัติจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ ไม่อย่างนั้นก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะยินดีตรากตรำศึกษาวิชาความรู้เช่นนี้”
อริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปในศาลบุ๋นสองท่านที่นั่งพิทักษ์ม่านฟ้าของใต้หล้าห้าสี คนหนึ่งคือผู้อำนวยการใหญ่คนแรกของสถานศึกษาหลี่จี้ อีกคนหนึ่งก่อตั้งสำนักศึกษาเหอซ่าง
ผู้เฒ่าทั้งสองคนต่างก็พาลูกศิษย์สายบุ๋นบ้านตัวเองมาด้วยคนหนึ่ง ต่างก็เป็นวิญญูชนอายุน้อย จำต้องเฝ้าพิทักษ์อยู่ที่นี่เป็นเวลาหกสิบปี ทุกวันนี้ทำหน้าที่บันทึกการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ การหมุนเวียนของโชคชะตาภูเขาสายน้ำในสถานที่ต่างๆ ของใต้หล้าอย่างละเอียด แรกเริ่มสุดเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนเข้ามาในใต้หล้าใหม่เอี่ยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องจับตามองประตูใหญ่สองบานเหนือใต้ที่เชื่อมโยงอยู่กับใบถงทวีปและฝูเหยาทวีป ไม่ให้ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดและผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองทั้งหลายทำลายกฎ ในเวลาหลายปีนั้น อริยะปราชญ์ของศาลบุ๋นทั้งสองคนยังลากเอาตัวของผู้ฝึกยุทธและผู้ฝึกตนที่ใจหวังว่าจะโชคดีออกมาได้ไม่น้อย ทุกวันนี้คนเหล่านั้นยังคง ‘ตรากตรำอ่านตำราอริยะปราชญ์’ อยู่ในฟ้าดินเล็กจักรวาลชายแขนเสื้อของอาจารย์ผู้เฒ่าทั้งสองอย่างยากลำบากกันอยู่เลย
รอกระทั่งได้พบอิ่นกวานหนุ่มที่หวนกลับคืนมายังสถานที่เดิมอีกครั้ง ผู้เฒ่าทั้งสองต่างก็มีรอยยิ้ม ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันอาศัยประตูใหญ่บนม่านฟ้าของใบถงทวีปมาเยือนใต้หล้าห้าสี ลูกศิษย์ปิดสำนักของสายเหวินเซิ่งจากไปอย่างรีบร้อน ดูท่าทางแล้วน่าจะเร่งเดินทาง ตอนนั้นทั้งสองฝ่ายไม่ได้พูดคุยกันตามมารยาทสักเท่าไร
ส่วนผู้ติดตามลักษณะประหลาดข้างกายอิ่นกวานหนุ่มได้จำแลงร่างกลายเป็นแมงมุมสีขาวหิมะตัวหนึ่งที่เกาะอยู่บนไหล่คนชุดเขียว อริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปในศาลบุ๋นที่รับหน้าที่เฝ้าดูแลใบถงทวีปได้บอกกล่าวกับพวกเขาไว้นานแล้ว จึงได้แต่ทำเป็นหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง
เหมาเสี่ยวตงศิษย์พี่ของเฉินผิงอัน ทุกวันนี้ได้เป็นรองผู้อำนวยการของสถานศึกษาหลี่จี้แล้ว ส่วนวิญญูชนหวังไจ่ที่ตอนนี้เป็นรองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาอู่ซีในใบถงทวีป อาจารย์ผู้มีพระคุณของเขาก็คือผู้อำนวยการใหญ่คนปัจจุบันของสถานศึกษาหลี่จี้ หวังไจ่เคยมาเยือนที่ม่านฟ้าแห่งนี้ คำพูดที่พูดคุยกับผู้เฒ่าไม่ปิดบังการยอมรับและความเลื่อมใสที่ตัวเองมีต่ออิ่นกวานหนุ่มเลยแม้แต่น้อย ส่วนสำนักศึกษาเหอซ่างและสำนักศึกษาซานลู่ที่อยู่ในทักษินาตยทวีปต่างก็ถือเป็นเสาคานค้ำยันของสายหย่าเซิ่ง และผู้เฒ่าก็เป็นทั้งบัณฑิตสายเดียวกับเฉินฉุนอัน และยิ่งเป็นสหายรักที่สนิทสนมกันอย่างมาก ในอดีตเฉินผิงอันเคยพาเซียนกระบี่ใหญ่ลู่จือจับมือกับเฉินฉุนอันผู้รอบรู้ไปดักล้อมสังหารปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนหนึ่งที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำในมหาสมุทร เฉินฉุนอันเคยมาหาผู้เฒ่าเป็นการส่วนตัว บอกว่าคิดไม่ถึงเลยว่าตัวเองจะสามารถทำตามความปรารถนาที่ไม่เล็กในใจได้สำเร็จ
เพราะมีความสัมพันธ์หลายชั้นนี้อยู่ อันที่จริงอริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปทั้งสองไม่เคยคบค้าพูดคุยกับเฉินผิงอันมาก่อน แต่ก็ยังเกิดความใกล้ชิดสนิทสนมได้ตามธรรมชาติอยู่ดี
ขยับเข้าใกล้ประตูใหญ่ เรือนกายของเสี่ยวโม่ก็เปลี่ยนมาเป็นแมงมุมสีขาวหิมะที่เกาะอยู่บนไหล่ของคุณชายอีกครั้ง
บัณฑิตต้องการหน้าตา
เฉินผิงอันค้อมกายคารวะผู้เฒ่าทั้งสอง อริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปทั้งสองท่านก็คารวะกลับคืนเช่นเดียวกัน
ฝ่ายหนึ่งใช้สถานะของลูกศิษย์สายเหวินเซิ่ง อีกฝ่ายหนึ่งเคารพในตัวของอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่
ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันถึงสถานการณ์ของขุนเขาสายน้ำในใต้หล้าห้าสีอยู่พักหนึ่ง เฉินผิงอันก็เตรียมจะขอตัวลาจากไป อาศัยประตูใหญ่บานนั้นหวนกลับคืนไปยังใบถงทวีป
วิญญูชนผู้หนึ่งที่ตรงเอวห้อยกระบี่ ‘ฮ่าวหรานชี่’ ทะยานลมเร่งรุดเดินทางมา ยิ้มเอ่ยสัพยอกว่า “ทำไมเซียนกระบี่หนิงถึงไม่ได้เดินทางไปด้วยเล่า? คงไม่ใช่ว่าทะเลาะกันหรอกกระมัง?”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างจนใจ “พี่ฉวินอวี้ก็ช่างว่างงานจริงๆ นะ”
มองออกว่าทั้งสองฝ่ายมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวต่อกัน ทั้งยังสามารถพูดล้อเล่นกันได้ด้วย
วิญญูชนผู้เที่ยงตรงท่านนี้ ชื่อว่ากู้ค่วง นามว่าฉวินอวี้
เป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของศาลบุ๋นเหมือนกัน เคยไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ แต่เขากลับไม่เหมือนหวังไจ่ที่เพียงแค่รับหน้าที่เป็นขุนนางผู้ตรวจตราการสู้รบของคฤหาสน์หลบร้อน เพราะนอกจากกู้ค่วงจะเป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อแล้ว ยังเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง ดังนั้นจึงต้องลงสนามรบไปเข่นฆ่าศัตรู สนิทกับภูเขาลูกเล็กของพวกหนิงเหยา เฉินซานชิวมาก ออกจากเมืองไปเข่นฆ่าร่วมกัน ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันอยู่หลายครั้ง ในบรรดากระบี่ยาวของป๋ายอวี้จิงจำลองต้าหลีที่ถูกอาเหลียงโยนไปไว้ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์กลุ่มหนึ่งนั่งลงแบ่งของกัน กู้ค่วงอาศัยความสามารถของตัวเองได้กระบี่ยาวที่มีชื่อว่า ‘ฮ่าวหรานชี่’ เล่มนี้มาครอง
เตี๋ยจ้างและเฉินซานชิวเลือกจะมาท่องใต้หล้าไพศาลด้วยกัน ทั้งไม่ได้ติดตามนครบินทะยานมาอยู่ใต้หล้าห้าสี แล้วก็ไม่ได้ติดตามภูเขาห้อยหัวไปยังใต้หล้ามืดสลัวอย่างพวกเจ้าอ้วนเยี่ยน ต่งฮว่าฝู เฉินซีหวังว่าเฉินซานชิวจะสงบใจตั้งใจศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่ใต้หล้าไพศาลได้ ด้วยวิชาอภินิหารของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นของเฉินซานชิว ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจหลอมตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตออกมาก็เป็นได้ ส่วนเตี๋ยจ้างก็ยิ่งมาเพื่อกู้ค่วง ทว่าเนื่องจากคาดไม่ถึงว่ากู้ค่วงจะรับหน้าที่เป็นขุนนางผู้บันทึกแห่งใต้หล้าห้าสี หลายปีมานี้ทั้งสองฝ่ายจึงยังไม่เคยพบหน้ากัน
กู้ค่วงปลด ‘ฮ่าวหรานชี่’ ที่ห้อยเอวเล่มนั้นลงมา ถามว่า “กระบี่เล่มนี้ รบกวนอิ่นกวานมอบให้กับนครบินทะยานได้หรือไม่ ต่อให้เอากลับไปมอบให้สกุลซ่งต้าหลีก็ยังได้ ข้าเก็บเอาไว้เหมือนจะไม่เหมาะสม”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่ช่วยทำธุระเรื่องนี้ให้หรอกนะ พี่ฉวินอวี้เก็บไว้เองเถอะ น้ำใจนี้ที่ติดค้างนครบินทะยาน ไหนเลยจะชดใช้คืนกันได้ง่ายเช่นนี้? ส่วนป๋ายอวี้จิงจำลองที่ราชสำนักต้าหลีนั่น ทุกวันนี้ไม่จำเป็นต้องใช้กระบี่ยาว ‘ฮ่าวหรานชี่’ เล่มนี้แล้ว”
กู้ค่วงจึงได้แต่เหน็บกระบี่ยาวเล่มนั้นไว้ตรงเอวอีกครั้ง
หากไม่ผิดไปจากที่คาด หลังจากที่กู้ค่วงไปจากที่นี่ เกินครึ่งก็น่าจะไปรับหน้าที่เป็นรองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาแห่งใดแห่งหนึ่ง
ปีนั้นผู้รอบรู้เฉินฉุนอันเป็นคนนำขบวนพาบัณฑิตลัทธิขงจื๊อกลุ่มหนึ่งไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วยตัวเอง
ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อกลุ่มที่ไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่พร้อมกันกับหลิวเสี้ยนหยาง ในนั้นก็มีนักปราชญ์เฉินซื่อที่เป็นลูกหลานสกุลเฉินผู้รอบรู้ รวมไปถึงวิญญูชนฉินเจิ้งซิวของสำนักศึกษาซานลู่ทักษินาตยทวีปรวมอยู่ด้วย
ฉินเจิ้งซิวยังเป็นสหายรักของกู้ค่วง ทุกวันนี้ฝ่ายแรกอยู่ในฝูเหยาทวีป เหมือนกับหวังไจ่แห่งสำนักศึกษาอู่ซีและเวินอวี้แห่งสำนักศึกษาเทียนมู่ ต่างก็รับหน้าที่เป็นรองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อแห่งหนึ่ง นี่แสดงให้เห็นว่าวิญญูชนลัทธิขงจื๊อที่อายุน้อยมากความสามารถพวกนี้ เนื่องจากฉายประกายเจิดจ้าท่ามกลางสงคราม เมื่อสงครามใหญ่ปิดฉากลง แต่ละคนต่างก็เดินออกจากห้องหนังสือ อาศัยคุณความชอบทางการสู้รบและความรู้ความสามารถของตัวเอง ทำหน้าที่ตามภาระรับผิดชอบของตัวเองจนได้กลายมาเป็นกำลังสำคัญที่แท้จริงของศาลบุ๋น
หลังจากเปิดประตูบานนั้นให้เฉินผิงอันแล้ว ผู้เฒ่าแซ่เจียงก็สะบัดชายแขนเสื้อ คนหลายสิบคนกระเด็นออกมาจากด้านใน พอพากันยืนนิ่งได้แล้วต่างก็รู้สึกหัวหมุนจับทิศไม่ถูกอยู่บ้าง หลายปีมานี้ถูกกักอยู่ในจักรวาลชายแขนเสื้อ ต่างคนต่างมีลานประกอบพิธีกรรมแห่งขุนเขาสายน้ำเป็นของตัวเอง คล้ายคลึงกับห้องหนังสือ ในห้องนอกจากหนังสือก็คือหนังสือ ไม่มีของอย่างอื่นอีก
ต่างก็เป็นคนของใบถงทวีปที่ปีนั้นอยากจะไปหลบภัยในใต้หล้าใหม่เอี่ยม มีผู้ฝึกตนขอบเขตก่อกำเนิดอยู่สามคน ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองเจ็ดคน ปรมาจารย์ขอบเขตเดินทางไกลสองคน
อาจารย์ผู้เฒ่ายิ้มอธิบายว่า “เป็นความต้องการของหลี่เซิ่ง รบกวนอิ่นกวานพาพวกเขากลับบ้านเกิดด้วย”
เฉินผิงอันพยักหน้า “เรื่องเล็กน้อย ไม่รบกวนเลยสักนิดเดียว”
ตอนพูดกับเฉินผิงอันมีสีหน้าเป็นมิตรปราณี แต่พออาจารย์ผู้เฒ่าหันไปมองคนสิบสองคนที่ทำความผิดกลับไม่มีสีหน้าดีๆ ให้เห็นแล้ว “หลายปีมานี้ปิดประตูอ่านตำรา เปิดตำราอริยะปราชญ์อ่านไปไม่น้อย พวกเจ้าก็ถือว่าเป็นบัณฑิตครึ่งตัวแล้ว ศาลบุ๋นของพวกเรามีสถานที่สำหรับดูแลบัณฑิตอยู่พอดี กลับบ้านเกิดไปแล้วก็ทำตัวให้ดี ทำความดีชดใช้ความผิดซะ”
“หากตกมาอยู่ในกำมือของข้าอีก หึหึ”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยต่อคำว่า “อันที่จริงหากพวกเขาได้กลับมาพบกับอาจารย์เจียงอีกครั้งก็เป็นเรื่องที่ดีมาก ในเมื่อปีนั้นไม่อาจซ่อนตัวในป่าเขาหลบภัยอย่างเป็นสุขได้สำเร็จ ถ้าอย่างนั้นศึกษาวิชาความรู้จนผมขาวโพลน แต่ไหนแต่ไรมาก็มีแต่ในเรื่องเล่าที่เป็นแรงบันดาลใจของคนที่โยนพู่กันเดินเข้าสู่สนามรบ ทิ้งวิชาความรู้หันไปฝึกตนเท่านั้น น้อยนักที่จะมีตัวอย่างของคนที่ทิ้งการฝึกตนมาศึกษาหาความรู้หรือทิ้งวรยุทธมาศึกษาบทประพันธ์ หากพวกเขาทำสำเร็จได้จริง ไม่แน่ว่าก็อาจเป็นเรื่องที่งดงามเรื่องหนึ่ง”
อาจารย์เจียงหัวเราะเสียงดังกังวานอย่างถูกใจ บัณฑิตอย่างเราๆ นี่แหละที่พูดจาน่าฟัง
ทุกคนของใบถงทวีปถึงเพิ่งจะมองเห็นคนผู้หนึ่ง คือคนชุดเขียวคนหนึ่งที่ตรงเอวเหน็บดาบซ้อนกัน สองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ รูปโฉมอ่อนเยาว์ แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร
นายท่านใหญ่ของใบถงทวีปกลุ่มนี้ เวลาปิดประตูลงก็วางอำนาจบาตรใหญ่เสวยสุขกันจนเคยชินแล้ว ต่อให้เมื่อครู่นี้อาจารย์ผู้เฒ่าจะเอ่ยสองคำว่า ‘อิ่นกวาน’ พวกเขาก็ยังมึนงงไม่เข้าใจอยู่ดี
เพียงแต่ว่าต่อให้จะฟังไม่เข้าใจแค่ไหนก็ยังพอจะจับจุดบางอย่างได้ ในบรรดาผู้ฝึกตนของไพศาลถึงกับมีคนที่สามารถทำให้หลี่เซิ่งเปิดปากไหว้วานด้วยตัวเอง? หากฟังไม่ผิดล่ะก็ เมื่อครู่อาจารย์ผู้เฒ่าเจียงยังใช้คำว่า ‘รบกวน’ ด้วย?
ไม่รู้ว่าเป็นเทพเซียนผู้เฒ่าที่มีศาสตร์คงความเยาว์ วิชาอภินิหารลี้ลับท่านใด?
อาจารย์เจียงมองกลุ่มคนที่ยืนบื้อก็เอ่ยเตือนว่า “หากไม่เป็นเพราะอิ่นกวานผ่านที่แห่งนี้มาพอดี อีกทั้งยังต้องไปใบถงทวีปพอดีจึงมีคนนำทางพวกเจ้าไปได้ ไม่อย่างนั้นคาดว่าพวกเจ้าอาจจะยังต้องอ่านตำราอริยะปราชญ์อีกเจ็ดแปดปี มัวยืนอึ้งอยู่ทำไม พวกเจ้าไม่คิดจะเอ่ยขอบคุณอิ่นกวานสักคำเลยหรือ?”
ทุกคนได้ยินก็รีบทำตามทันใด ผลคือต้องหันมามองหน้ากันเอง เพราะพวกเขาคิดจะกุมหมัดก็ดี คารวะก็ช่าง แต่กลับก้มหัวไม่ลงค้อมเอวไม่ลง บรรยากาศจึงพลันกระอักกระอ่วน
เฉินผิงอันมองกลุ่มคนฉลาดที่รู้จักประเมินสถานการณ์เป็นที่สุดกลุ่มนี้ก็ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เทพเซียนผู้เฒ่าและเหล่าปรมาจารย์ใหญ่ทั้งหลายไม่จำเป็นต้องเกรงใจ มิกล้ารับ มิกล้ารับ ขอบคุณนั้นละไว้เถิด กลัวจะบั่นทอนอายุขัย”
อาจารย์ผู้เฒ่าอีกท่านหนึ่งเอ่ยว่า “สหายสี่จู๋สามารถปรากฏตัวได้ คนกลุ่มนี้คิดจะข้ามผ่านประตูใหญ่ทั้งสองบานยังต้องให้เจ้าช่วยปกป้องมรรคาให้ด้วย”
รอกระทั่งเฉินผิงอันพยักหน้า
เสี่ยวโม่ถึงกลับคืนสู่ร่างจริง รวบเก็บคนสิบกว่าคนนั้นไว้ในชายแขนเสื้อ
จากนั้นเฉินผิงอันก็พาเสี่ยวโม่เดินทางเลียบแม่น้ำแห่งกาลเวลาที่มีประกายเจ็ดสีพร่างพราวเส้นนั้น เดินออกไปยังประตูใหญ่บนม่านฟ้าของใบถงทวีป
รอกระทั่งผู้ฝึกกระบี่ทั้งสองเดินเข้าประตูใหญ่ไปแล้ว อาจารย์ผู้เฒ่าเจียงก็ทอดถอนใจ “หลังจากต้นอู๋ถงเจอน้ำค้างแข็งก็อยู่ในสภาพร่อแร่ใกล้ตาย แผงลอยเละเทะ นี่ก็คือแผงลอยเละเทะ”
อริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปอีกท่านหนึ่งนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “เกี่ยวกับใบถงทวีป โจวจื่อเคยมีคำทำนายไว้ให้นานแล้ว จะอธิบายอย่างไร? ดูจากสถานการณ์ในปัจจุบัน เป็นโจวจื่อที่ทำนายไว้ผิดหรือ?”
อาจารย์ผู้เฒ่าเจียงส่ายหน้า “ตอนนี้จะบอกว่าโจวจื่อทำนายผิด ดูเหมือนว่าจะยังเร็วเกินไป”
หงส์ร่อนถลาไปตามลม เกาะกิ่งอู๋ถงสูง ท้อหลีลมวสันต์วันดอกไม้บาน หงส์ตายใบไม้ร่วงโรย ความเรียบง่ายเปลี่ยนไปสู่ความสงบบริสุทธิ์ มองเห็นคนโบราณ
ม่านฟ้าของใบถงทวีป เฉินผิงอันให้เสี่ยวโม่พาคนสิบกว่าคนในชายแขนเสื้อไปยังจุดอื่น หลีกเลี่ยงไม่ให้เกะกะสายตา ส่วนพวกเขาจะทะยานลมกลับบ้านเกิดกันอย่างไร มาตุภูมิของแต่ละคนจะยังอยู่หรือไม่ คิดดูแล้วคนกลุ่มนี้คงไม่ค่อยใส่ใจเท่าใดนัก
เฉินผิงอันประสานมือคารวะอาจารย์ผู้เฒ่าท่านนั้นแล้วก็ถามอีกว่า “ช่วยผู้เยาว์หาร่องรอยของเรือเฟิงยวนได้หรือไม่?”
อาจารย์ผู้เฒ่าพยักหน้า เพียงไม่นานก็ชี้บอกเส้นทางที่ชัดเจนให้กับเฉินผิงอัน ก็คือตำแหน่งของเรือเฟิงยวนซึ่งกำลังเดินทางไปยังภูเขาเซียนตู
รอกระทั่งเสี่ยวโม่หวนกลับมาแล้ว ทั้งสองฝ่ายก็กลายร่างเป็นแสงกระบี่มุ่งหน้าไปยังเรือข้ามฟากลำนั้น พลิ้วกายลงบนตัวเรือเฟิงยวน เสี่ยวโม่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ถามเบาๆ ว่า “คุณชาย ตอนนี้ดูเหมือนเซียนกระบี่หมี่จะกำลังปิดด่าน เจ้าสำนักหลิวเป็นผู้ปกป้องมรรคาให้กับเซียนกระบี่หมี่ด้วยตัวเอง”
หลิวจิ่งหลงเดินออกจากห้องมาที่ระเบียงชมทัศนียภาพ เฉินผิงอันมาหยุดอยู่ข้างกายเขา ถามว่า “หมี่อวี้หาโอกาสในการฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตหยกดิบเจอแล้วหรือ?”
เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ท่านนี้มีฐานะเป็นพี่ใหญ่ของคฤหาสน์หลบร้อนบ้านตน เขามีเงามืดอยู่ในใจเกี่ยวกับเรื่องของการปิดด่านฝ่าทะลุขอบเขตอยู่ตลอด
หลิวจิ่งหลงพยักหน้า “สะสมมากใช้ทีละน้อย เป็นเรื่องที่ไม่ว่าช้าหรือเร็วก็ต้องเกิดขึ้น”
เฉินผิงอันส่ายหน้า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เป็นเรื่องที่ช้าเร็วก็ต้องเกิดขึ้นจริง แต่เร็วกว่าการคาดการณ์ที่ ‘เร็วที่สุด’ ของเสี่ยวโม่ อย่างน้อยก็ตั้งสิบปี เจ้าบอกกับข้ามาตามตรง เป็นเจ้าที่ให้การช่วยเหลือใช่ไหม?”
หลิวจิ่งหลงเองก็ไม่เล่นแง่ บอกต้นสายปลายเหตุให้ฟังคร่าวๆ ว่าอาศัยกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสร้างฟ้าดินไท่ซวีแห่งหนึ่งขึ้นมา ให้หมี่อวี้เข้าไปอยู่ในนั้นก่อน แล้วค่อยชักนำดวงจิตของหมี่อวี้ให้เท่ากับว่าไปยืนชมอยู่ด้านข้าง ให้เขาได้มองเห็นการจำแลงหลากหลายรูปแบบบนมหามรรคา สุดท้ายหวนกลับคืนสู่หนึ่งกระบี่ทำลายหมื่นอาคม ส่วนความลี้ลับที่แท้จริงระหว่างนี้ย่อมไม่ใช่แค่หลักการเหตุผลเรียบง่ายไม่กี่ประโยคที่หลิวจิ่งหลงพูดให้หมี่อวี้ฟังเท่านั้น ในฟ้าดินแห่งนั้นหมี่อวี้อาจจะมองเห็นชีวิตของตัวเอง เห็นตอนอายุน้อยว่าตัวเองส่งกระบี่อย่างรวดเร็วฉับไวอย่างไร หลังจากนั้นกลับไม่กล้าออกกระบี่อย่างไร นึกถึงการส่งกระบี่ของคนอื่น นึกถึงเหล่าผู้ฝึกกระบี่ของบ้านเกิดที่ความเป็นความตายเกริกก้องสะเทือนเลือนลั่น ไปมาอย่างเงียบงันไร้เสียง…
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “วันหน้าตอนที่ข้าเตรียมจะเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบ เจ้าก็จะช่วยข้าด้วยหรือ?”
หลิวจิ่งหลงส่ายหน้า “แค่ว่าหมี่อวี้ได้เห็นแล้วมีประโยชน์ แต่สำหรับเจ้าแล้วกลับไม่มีประโยชน์อะไร อีกอย่างก็ไม่ใช่ว่าข้าอยากจำแลงมหามรรคาแล้วจะสามารถทำได้ตามใจชอบเสียเมื่อไหร่”
เฉินผิงอันตบราวรั้วหนักๆ หนึ่งที “ก็ว่าแล้วเชียว!”
การกระทำนี้ต้องลดทอนตบะของหลิวจิ่งหลงไปไม่น้อยแน่นอน
หลิวจิ่งหลงเอ่ย “เจ้าไม่ต้องคิดเป็นจริงเป็นจังเกินไปนัก อันที่จริงข้าเองก็ได้ผลประโยชน์ไม่น้อยเหมือนกัน”
สำหรับโลกภายนอกแล้ว หลังจากที่ภูเขาลั่วพั่วเข้าร่วมงานพิธีของภูเขาตะวันเที่ยง ภูเขาลั่วพั่วที่เหมือนมีเมฆหมอกล้อมวนอยู่ตลอดเวลาแห่งนั้น ในที่สุดก็ได้เปิดมุมหนึ่งให้เห็น แม้จะบอกว่าเจ้าขุนเขาอย่างเฉินผิงอันก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง แต่บางทีเซียนกระบี่หมี่อวี้ที่มาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่อาจมีเวทกระบี่สูงที่สุด พลังพิฆาตรุนแรงที่สุดก็เป็นได้
——