กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 920.2 เพียงแต่ตนที่แก่ชราแล้ว
หากหมี่อวี้กลายเป็นขอบเขตเซียนเหรินได้สำเร็จ สำหรับตลอดทั้งแจกันสมบัติทวีปแล้ว ไม่ว่าจะบนหรือล่างภูเขาก็ล้วนไม่ใช่เรื่องเล็กเลย
เพราะถึงอย่างไรไม่ว่าจะเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ใหม่เอี่ยมคนใดก็ตาม นอกจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแล้ว สำหรับขุนเขาสายน้ำของทวีปใดก็ตามก็ล้วนเป็นรูปแบบอย่างหนึ่ง เป็นการโจมตีที่รุนแรงอย่างหนึ่ง
หลิวจิ่งหลงพลันหัวเราะร่าเอ่ยว่า “ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าก็ถือว่าได้ช่วยเหลือภูเขาลั่วพั่วและเจ้าขุนเขาเฉินในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ดื่มเหล้าสักหน่อยไหม? จะขอบคุณข้าก็ดี หรืออวยพรให้หมี่อวี้เลื่อนขั้นล่วงหน้าก็ช่าง ดูเหมือนว่าเจ้าขุนเขาเฉินจะไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธนะ?”
เฉินผิงอันรู้ว่าท่าไม่ดีได้ทันใด หลิวจิ่งหลงเป็นฝ่ายเสนอว่าจะดื่มเหล้าก่อน ต้องเตรียมตัวมาไว้ก่อนแน่ จึงเอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ไม่รีบร้อน ข้ายังมีธุระที่ต้องไปทำ อยู่บนเรือข้ามฟากลำนี้ได้ไม่นาน เดี๋ยวก็ต้องออกเดินทางไปที่อื่นแล้ว”
หลิวจิ่งหลงรั้งแขนของเฉินผิงอันเอาไว้ “ก็แค่ดื่มกันคนละไม่กี่กาเท่านั้น ด้วยความสามารถในการดื่มของพวกเราสองคน ไม่ถ่วงรั้งธุระสำคัญหรอก”
เฉินผิงอันปัดมือของหลิวจิ่งหลงออก แต่กลับไม่เป็นผล จึงสะบัดแขนอย่างแรง แต่ก็ยังไม่หลุด จึงได้แต่พูดด้วยแววตาจริงใจว่า “ข้ามีธุระจริงๆ นะ!”
เสี่ยวโม่จึงได้แต่ช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้ “เจ้าสำนักหลิว คุณชายมีธุระสำคัญที่ต้องทำจริงๆ เสี่ยวโม่ได้แต่ตามไปเท่านั้น อย่างมากสุดก็แค่ช่วยเปิดทางให้ หลังจากนั้นก็ไม่อาจปกป้องมรรคาให้ได้แม้แต่นิดเดียวแล้ว”
หลิวจิ่งหลงปล่อยมือ ถามว่า “ไปที่อื่น?”
เฉินผิงอันเอ่ย “ไปดูต้นอู๋ถงต้นนั้นสักหน่อย”
หลิวจิ่งหลงขมวดคิ้วน้อยๆ “ไม่รอให้กลับคืนสู่ขอบเขตหยกดิบก่อนหรือ?”
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที “ถึงอย่างไรขอบเขตสูงต่ำก็มีความหมายไม่มาก ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มัวรีรออยู่แล้ว”
หลิวจิ่งหลงจึงได้แต่เอ่ยเตือนว่า “ระวังด้วย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ขอแค่ไม่ต้องเป็นศัตรูกับใครบางคนบนโต๊ะเหล้า ทุกอย่างก็ดีหมด”
หลิวจิ่งหลงไม่มีอารมณ์มาเล่นทายคำปริศนากับเจ้าหมอนี่ จึงถามว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้จะมาทันงานพิธีวันมะรืนหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “เรื่องนี้ไม่มีปัญหาแน่นอน หากเจรจากันไม่สำเร็จก็คงต้องไปเสียเที่ยว หรือไม่อีกฝ่ายก็อาจจะไม่อยากพูดคุยเลย บางทีอาจต้องกินน้ำแกงประตูปิดโดยตรง”
หลิวจิ่งหลงถาม “จะออกเดินทางเลยหรือ?”
เฉินผิงอันกลั้นขำ “ไปพบหมี่ลี่น้อยก่อน มีคนให้ข้านำความมาบอกนาง เสี่ยวโม่ เจ้ารอสักครู่ หากว่าเจ้าสำนักหลิวอยากดื่มเหล้าจริงๆ หืม?”
เสี่ยวโม่พยักหน้า “เข้าใจแล้ว”
หลิวจิ่งหลงยิ้มบางๆ “วันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ เฉินผิงอันเจ้าคอยดูข้าเถอะ”
ตอนที่เฉินผิงอันออกมาจากใต้หล้าห้าสี เป็นช่วงเวลาที่ม่านราตรีหนาหนักแล้ว รอกระทั่งกลับมาถึงใต้หล้าไพศาล กลับเป็นตอนเที่ยงวัน
แม่นางน้อยชุดดำที่แบกคานหาบสีทองไว้บนบ่ากำลังเดินวนหัวเรือกับท้ายเรือ ฉวยโอกาสที่รอบด้านไม่มีคน ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาก็ใช้มือที่ถือไม้เท้าเดินป่ารีบร่ายวิชากระบี่มารคลั่งหนึ่งคำรบทันที
เฉินผิงอันปีนข้ามราวรั้ว พลิ้วกายลงบนดาดฟ้า ยิ้มเอ่ยว่า “เป็นวิชากระบี่ที่ดี”
หมี่ลี่น้อยรีบโยนไม้เท้าเดินป่าในมือทิ้งลงพื้น แต่ก็รู้สึกว่าไม่เหมาะจึงรีบเก็บกลับมา ระหว่างที่วิ่งเหยาะๆ ไปหาเจ้าขุนเขาคนดี หมี่ลี่น้อยปัดไม้เท้าไม้ไผ่สีเขียวมรกตเบาๆ เพื่อแสดงการขออภัย
เฉินผิงอันกล่าว “ไปที่ใต้หล้าห้าสีมารอบหนึ่ง ได้เจอกับอาจารย์อู๋ เขาให้ข้านำความมาบอกเจ้า ให้ข้าช่วยทักทายเจ้า”
หมี่ลี่น้อยเม้มปาก พยักหน้ารับแรงๆ ไม่หยุด จากนั้นก็กระแอมสองสามที ตีหน้าเคร่งเอ่ยว่า “อาจารย์อู๋เกรงใจเกินไปแล้ว”
ราวกับว่าอาจารย์อู๋อยู่ข้างกาย จากนั้นคนในยุทธภพเก่าแก่สองคนที่หนึ่งเป็นผู้ใหญ่หนึ่งเป็นเด็ก เมื่อพบหน้ากันจึงโอภาปราศรัยกัน
เฉินผิงอันค้อมเอวลงลูบศีรษะของหมี่ลี่น้อย
หมี่ลี่น้อยยิ้มจนดวงตาทั้งคู่หยีลงเป็นพระจันทร์เสี้ยว เอาไม้เท้าเดินป่าสีเขียวและคานหาบสีทองมากอดไว้ในอ้อมอก มือหนึ่งจับชายแขนเสื้อของเจ้าขุนเขาคนดี เดินเล่นไปด้วยกัน เอ่ยเสียงเบาว่า “วันหน้าข้าจะกลับไปเตรียมเมล็ดแตง ขนมแล้วก็ปลาน้อยตากแห้งไว้ที่ภูเขาลั่วพั่วให้มากๆ หน่อย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ทำได้ ยังคงเป็นหมี่ลี่น้อยที่คิดได้รอบคอบ”
หมี่ลี่น้อยถาม “เจ้าขุนเขาคนดีลืมแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันก้มหน้าลงมอง แกล้งทำหน้าสงสัย “หมายความว่าไง?”
หมี่ลี่น้อยหัวเราะฮ่าๆ “โจวเต้าแปลว่ารอบคอบ ข้าแซ่โจวไงล่ะ”
เฉินผิงอันทำท่ากระจ่างแจ้ง “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง มิน่าเล่าถึงเป็นเช่นนี้”
ภูเขาลั่วพั่วบ้านตนไม่มีผู้ฝึกตนคนใดที่เฉินหลิงจวินไม่กล้าไปมีเรื่องด้วย
แน่นอนว่าก็ไม่มีผู้อาวุโสคนใดที่หมี่ลี่น้อยคว้าใจไม่อยู่หมัด
ทางฝั่งของนครบินทะยาน หนิงเหยานั่งอยู่ในห้อง ช่วยชี้แนะด้านการฝึกตนให้กับแม่นางน้อยที่ชื่อว่าเฝิงหยวนเซียว
ข้างโต๊ะยังมีแม่นางน้อยที่ราวกับแกะสลักมาจากหยกสีชมพูนั่งอยู่ด้วย มองดูแล้วฉลาดเฉลียวน่าเอ็นดูมากเป็นพิเศษ นางชูตราประทับชิ้นหนึ่งที่อยู่ในมือขึ้นสูง อาศัยแสงตะเกียงอ่านตัวอักษรบนตราประทับ
นาง ‘เก็บมา’ จากบนโต๊ะที่อยู่ในห้องของเรือนใครบางคน หนิงเหยาไม่ได้ขัดขวาง แค่บอกนางว่าจำไว้ว่าต้องเอากลับไปคืนด้วย
ตัวอักษรตราประทับไม่ใหญ่ แต่เนื้อหามีเยอะมาก แกะสลักถ้อยคำมงคลที่มีความหมายงดงามยิ่ง ‘ปณิธานของบัณฑิตมาดสง่างามของเซียนกระบี่ คู่รักเทพเซียนหญิงชายรักและผูกพัน’
ก่อนที่เฉินผิงอันจะออกไปจากนครบินทะยานได้ทิ้งกลอนคู่และอักษรฝูหลายตัวไว้ให้กับจวนหนิง
แล้วก็ไม่ลืมเขียนกรอบป้ายกับกลอนคู่หลายคู่ให้กับร้านเหล้าใหม่ที่คู่สามีภรรยาหล่งชิวและหลิวเอ๋อจะไปเปิด
เด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งออกเดินทางไกลอีกครั้ง เขาทะยานลมท่ามกลางม่านราตรีอยู่เพียงลำพัง อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรก็ชูแขนขึ้นสูง สองนิ้วประกบกัน กลางอากาศก็มีประกายแสงไหลรินยาวเป็นสาย
ตรงตีนเขาของภูเขาลั่วพั่ว ทุกวันนี้เซียนเว่ยรับหน้าที่เป็นคนเฝ้าประตูชั่วคราว เซียนเว่ยคือนักพรตตัวปลอมคือบัณฑิตตัวจริง ยากจนนั้นยากจนจริงๆ โชคดีที่พี่น้องต้าเฟิงที่ไม่เคยพบหน้ากันแต่เขากลับเลื่อมใสอย่างมากได้ทิ้งภูเขาตำราลูกนั้นเอาไว้ เป็นเหตุให้ทุกวันเขาไม่ได้อยู่นิ่งเฉย หากไม่มองผู้ฝึกยุทธหญิงนามว่าเฉินยวนจีเดินนิ่งไปกลับบนขั้นบันไดของเส้นทางภูเขา ก็จะตั้งใจเปิดอ่านตำราที่พี่ต้าเฟิงเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีพวกนั้น บนหน้าหนังสือบางส่วน ทุกครั้งที่ถึงฉากที่ ‘ละไว้ไม่พูดถึง’ จะต้องมีกระดาษแผ่นหนึ่งเสียบเอาไว้ ที่แท้ก็เป็นพี่ต้าเฟิงที่ความสามารถน่าตะลึงผู้นั้นยกพู่กันเขียนเนื้อหาอันตระการตาน่าสนใจจำนวนไม่เท่ากันหลายร้อยตัวอักษรเอาไว้
พี่ต้าเฟิงของข้าฝีมือขั้นเทพจริงๆ!
ทำให้คนที่ได้อ่านหัวใจร้อนรุ่มแผดเผา
ยอดฝีมือชั้นสูง ปรมาจารย์ของข้า!
เฉินหลิงจวินมาที่ตีนเขา เห็นว่าเซียนเว่ยห่อหุ้มตัวเองเหมือนบ๊ะจ่างก้อนหนึ่ง หดมือหดเท้าขดตัวอยู่บนเก้าอี้ โชคดีที่ยังหิ้วเตาอุ่นมือที่พ่อครัวเฒ่าทำขึ้นเองมาด้วย แต่ว่าช่วงนี้มองดูแล้วน้องเซียนเว่ยจะอารมณ์ไม่เลวเลยทีเดียว ทุกวันทำท่าราวกับว่าร่ำรวยเป็นเศรษฐีอย่างไรอย่างนั้น
เฉินหลิงจวินนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ที่อยู่ข้างกัน ยิ้มเอ่ยว่า “จะดีจะชั่วก็เป็นผู้กตน ทำไมถึงยังทนรับลมหนาวไม่ไหวเช่นนี้อีก?”
เซียนเว่ยร้องโอดครวญไม่หยุด “ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่าง ฟ้าดินเย็นเยียบหนาวเหน็บก็ต้องทรมานมากยิ่งกว่า น้องหลิงจวินเจ้าช่างไม่เข้าใจความทุกข์ยากของชาวบ้านเอาเสียเลย”
เฉินหลิงจวินหัวเราะร่า ไม่ได้พูดอะไร
เมื่อก่อนอยู่ที่น่านน้ำแม่น้ำอวี้เจียงแคว้นหวงถิง อันที่จริงเขาก็พอจะรู้อยู่บ้าง
ในช่วงเวลานั้นพี่น้องเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงต้องเผาผลาญควันธูปของจวนวารีไปม่น้อย เพื่อให้พื้นที่ในอาณาเขตการปกครองหลีกเลี่ยงภัยแล้งและอุทกภัยหลายๆ ครั้งมาได้
เซียนเว่ยถามอย่างใคร่รู้ “พี่น้องต้าเฟิงจะกลับมาเมื่อไหร่หรือ?”
เฉินหลิงจวินส่ายหน้า “บอกได้ยากนะ คราวหน้าข้าจะถามนายท่านให้ก็แล้วกัน”
คิดถึงช่วงเวลาที่เจิ้งต้าเฟิงเฝ้าประตูภูเขาลั่วพั่วอย่างมากแล้วจริงๆ
ชีวิตคนมีความจนใจอยู่สองอย่าง บุรุษมีความสามารถแต่ไม่มีภูมิหลัง สตรีมีใบหน้างามแต่ไม่มีภาพด้านหลัง
เป็นเจิ้งต้าเฟิงที่กล่าวไว้
ข้าต้องการบุกเบิกเส้นทางแห่งความคิดถึงเส้นหนึ่งให้กับบุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญไว้ในใต้หล้า
ก็เป็นพี่น้องต้าเฟิงที่เป็นคนกล่าว
บนภูเขาลั่วพั่ว วันนี้ผู้ดูแลใหญ่จูเหลี่ยนได้ทยอยรับรองแขกสองคน อู๋ยวน บุตรเขยสกุลยหยวนเสาค้ำยันแคว้น ลูกศิษย์ของราชครูชุยฉาน คือใต้เท้าผู้ว่าการจังหวัดฉู่โจวแห่งใหม่ในทุกวันนี้
และยังมีจิ่งควนเจ้าเมืองของเขตเป่าซีที่ออกจากเมืองหลวงมารับตำแหน่ง
จากนั้นพ่อครัวเฒ่าก็ไปที่ภูเขาด้านหลัง ไปช่วยชี้แนะวิชาหมัดให้กับลูกหลานสกุลเฉาสองคน
ก่อนที่จูเหลี่ยนจะกลับมาที่ด้านหน้าภูเขา เพราะทางฝั่งของพื้นที่มงคลรากบัวมีคน ‘เคาะประตู’ คือเพ่ยเซียง
ทุกวันนี้ฉางมิ่งผู้คุมกฎไม่อยู่บนภูเขา เรื่องนี้จึงมอบหมายให้จูเหลี่ยนเป็นคนจัดการ
จูเหลี่ยนเปิดประตูแล้วก็ยิ้มถามว่า “มีเรื่องอะไรหรือ?”
สายตาเพ่ยเซียงฉายแววไม่พอใจ
ดวงตาเรียวยาวคลอประกายน้ำของเจ้าแห่งแคว้นหูคล้ายกำลังถามว่า ในสายตาของเจ้า ต้องเป็นอย่างไรจึงจะถือว่ามีเรื่อง ไม่มีเรื่องก็มาหาเจ้าไม่ได้ พูดคุยกับเจ้าไม่ได้แล้วใช่ไหม
ความกลัดกลุ้มดุจเทือกเขาที่รวมกันอยู่ตรงหว่างคิ้ว ความคิดถึงดุจสายน้ำที่ไหลรินไปยังหัวใจ
จูเหลี่ยนหัวเราะ ยื่นเตาอุ่นมือขนาดเล็กในมือส่งไปให้ “ออกมาผ่อนคลายอารมณ์ก็ดีเหมือนกัน”
ไปที่ยอดเขาด้วยกัน เพ่ยเซียงเล่าถึงสถานการณ์ของใต้หล้าในพื้นที่มงคลรากบัวของทุกวันนี้ให้ฟัง จูเหลี่ยนไม่พูดอะไรมาก แค่ตั้งใจฟังอย่างเดียวเท่านั้น
รอกระทั่งเพ่ยเซียงพูดได้พอสมควรแล้ว จูเหลี่ยนถึงได้ถามถึงสถานการณ์ล่าสุดของแคว้นหู
คุยเล่นพลางเดินไปด้วยกัน ไปถึงข้างราวรั้วหยกขาวบนยอดเขา จูเหลี่ยนยืนพิงราวรั้ว ทอดสายตามองไปยังทิศไกล ลมภูเขาพัดโชยมา ใช้ฝ่ามือกดเส้นผมตรงจอนหูเอาไว้
เพ่ยเซียงมองใบหน้าด้านข้างของจูเหลี่ยน อยู่ดีๆ ก็นึกถึงประโยคหนึ่งในตำรา
เสาสลักบันไดหยกยังคงอยู่ มีเพียงตนที่แก่ชราแล้ว
……
บุรุษหนุ่มคนหนึ่งที่มีชื่อว่าซืออวี้เหยียน กว่าจะปลีกตัวจากกิจธุระที่ยุ่งวุ่นวายมาพักหายใจหายคอได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เขานั่งอยู่ริมลำคลอง ริมฝีปากแห้งผาก หยิบกาเหล้าออกมาดื่มเหล้ารสร้อนแรงกระตุ้นร่างกายให้กระปรี้กระเปร่า
ตุ่มด้านพองเต็มฝ่ามือที่สะสมมาไว้ตลอดหน้าหนาว อีกเดี๋ยวก็จะถึงฤดูใบไม้ผลิแล้ว ทว่ารอยแผลกลับยังไม่หายดี ปีนี้ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะมิอาจกลับไปฉลองปีใหม่ที่เมืองหลวงได้ ได้แต่ส่งจดหมายกลับไปที่บ้านเท่านั้น
ราชวงศ์ต้าฉงที่เขาอยู่มีการกอบกู้แคว้นอย่างถูกต้องชอบธรรม
ฮ่องเต้ที่กำลังอยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ หลายปีมานี้ทุ่มกำลังสร้างสรรค์ประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรือง ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงบนภูเขาหรือรากฐานกำลังแคว้น ต้าฉงล้วนไม่เลว
แต่ว่าเมื่อเทียบกับแจกันสมบัติทวีปเพื่อนบ้านทางทิศเหนือแล้ว คำว่ากอบกู้แคว้นได้อย่างชอบธรรมของใบถงทวีปที่ราชวงศ์ต้าฉงตั้งอยู่ แน่นอนว่าเป็นการเปรียบเทียบแค่กับแคว้นต่างๆ ในทวีปเท่านั้น ถือว่าเป็นการเลือกคนแคระมาเป็นทหารแล้ว (เปรียบเปรยว่าคนธรรมดาทั่วไปที่อยู่ในกลุ่มคนที่ไม่ได้เก่งเลิศ ถ่อมตน ตัวเองเป็นแค่คนธรรมดา อาจจะแค่โชคดี ไม่ได้เก่งกว่าใครอื่น)
ก่อนหน้านี้ไม่นานซืออวี้เหยียนเพิ่งได้กุนซือเฒ่าอายุมากมาคนหนึ่ง ทำหน้าที่เป็นนักบัญชี แซ่จางนามเซีย ผู้เฒ่าบอกว่าตัวเองมาจากภูเขาใต้อาณัติแห่งหนึ่งของเสี่ยวหลงชิวที่อยู่ทางทิศเหนือ รับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานปลายแถวของหวงสุ่ยต้าหวัง (ต้าหวังหรืออ๋องใหญ่ กษัตริย์) ในพื้นที่แห่งหนึ่งที่ไม่ได้รับการแต่งตั้งจากทางราชสำนัก ทำหน้าที่อยู่ในห้องบัญชีของจวนหวงสุ่ยนานหลายปี เพียงแต่เพราะทำเรื่องเล็กเรื่องหนึ่งได้ไม่เหมาะสม หวงสุ่ยต้าหวังไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อน จึงมอบค่าเดินทางให้ก้อนหนึ่งเป็นเงินเกล็ดหิมะไม่กี่เหรียญไล่อีกฝ่ายให้ม้วนเสื่อไสหัวไป
ซืออวี้เหยียนหันหน้าไปมองกุนซือที่อยู่ข้างกาย ถามว่า “เหล่าจาง เจ้าเป็นเทพเซียนบนภูเขา แม้จะบอกว่าขอบเขตไม่ถือว่าสูงมาก แต่จะดีจะชั่วก็เป็นขอบเขตชมมหาสมุทรคนหนึ่ง มาอยู่ข้างกายข้า คิดจะทำอะไรกันแน่?”
ก่อนหน้านี้หลังจากที่เหล่าจางสนิทสนมกับตนแล้วยังเป็นฝ่ายนำเทียบมามอบให้ถึงบ้าน พูดคุยกับบิดาไปครั้งหนึ่ง ไม่อย่างนั้นอยู่ดีๆ ข้างกายก็มีผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งโผล่มาเช่นนี้ ท่านพ่อหรือจะวางใจ
บิดาที่เป็นเจ้ากรมอาญาของซืออวี้เหยียนต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงไปไม่น้อยเพื่อหาเซียนซือที่สนิทสนมกันมาหลายคน ให้มาตรวจสอบประวัติความเป็นมาของ ‘จางเซีย’ แห่งเสี่ยวหลงชิวผู้นี้ บางทีอยู่ในใบถงทวีปในอดีตอาจไม่ถือว่าเป็นจวนเซียนที่เข้าขั้นอะไร ทว่าทุกวันนี้กลับกลายเป็นภูเขาใหญ่ที่เป็นที่นับหน้าถือตาแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางยังมีสำนักเบื้องบนอย่างต้าหลงชิวเป็นที่พึ่ง และในกองกำลังใต้อาณัติทั้งหลายของเสี่ยวหลงชิวก็มีจวนวารีหวงสุ่ยที่ไม่สะดุดตาอยู่แห่งหนึ่งจริงๆ ในนั้นมีนักบัญชีอยู่คนหนึ่งนามว่าจางเซีย ทุกด้านล้วนสอดคล้องตรงกันไปหมด
และเซียนซือบนภูเขาท่านนี้ก็ทำอะไรรอบคอบเชื่อถือได้ ความคิดแปลกประหลาด ก่อนหน้านี้ซืออวี้เหยียนมีสหายยากจนมากความสามารถอยู่คนหนึ่ง ตรากตรำสอบเคอจวี่แต่กลับไม่ราบรื่น ไม่เคยสอบติดเสียที เหล่าจางลงมือทีเดียวก็ประสบความสำเร็จได้ทันที ซืออวี้เหยียนทำตามวิธีของเหล่าจาง ไปหาปัญญาชนและผู้มีชื่อเสียงในวงการการประพันธ์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนคุยเก่งของต้าฉงมาหลายคน อยู่ในเมืองหลวง อันที่จริงจ่ายเงินแค่ไม่กี่แดงก็สามารถจัดงานชุมนุมหรูหราที่เหล่าปัญญาชนผู้สูงศักดิ์มารวมตัวกันได้แล้ว จากนั้นก็ไหว้วานหน้าม้าสองสามคนให้แสร้งปลอมตัวเป็นพ่อค้าที่คล้ายจะมีความรู้ความสามารถ ต่างฝ่ายต่างมีที่นั่งอยู่ตามรายทางในงานเลี้ยง ให้สหายคนนั้นปลอมตัวเป็นขอทาน สวมเสื้อผ้าขาดวิ่น ถือไม้เท้ากับถ้วยผุๆ ใบหนึ่งท่องบทกวีที่ระบายอารมณ์ความรู้สึก ขอเหล้าจากคนอื่นดื่มไปตลอดทาง แล้วก็มีพ่อค้าที่สร้างความลำบากใจให้กับขอทานด้วยการเสนอหัวข้อว่า ‘ชางกวาน’ (อีกชื่อเรียกหนึ่งของต้นสนต้นป่าย) ‘ชิงสือ’ (อีกชื่อเรียกของต้นไผ่) ‘พูว่อ’ (อีกคำเรียกหนึ่งของกระต่าย) บอกกับอีกฝ่ายว่าจำเป็นต้องแต่งกลอนให้มีคำเหล่านี้จึงจะดื่มเหล้าได้ ขอทานจึงหัวเราะเอ่ยประโยคว่า ‘ใครบ้างไม่รู้จักกระต่ายสนไผ่’ หลังจากนั้นเดินหนึ่งก้าวก็แต่งกลอนหนึ่งบท ทันใดนั้นผู้คนเต็มห้องโถงก็พากันส่งเสียงโห่ร้องชอบใจ สังหารแม่ทัพไปตลอดทาง จนไปถึงศาลาลมที่รวมตัวเหล่านักประพันธ์มากความสามารถ เขาก็ยิ่งแสดงความสามารถในการแต่งบทกวี สร้างความตกตะลึงให้กับทุกคนที่นั่งอยู่ พอดื่มเหล้าหมดแล้วก็จากไป รอกระทั่งมีคนเรียกชื่อเขาขึ้นมาด้วยความตกตะลึง ทุกคนถึงเพิ่งได้รู้ว่าคนผู้นี้มีชื่อแซ่ว่าอะไร พากันมองอีกฝ่ายเป็น ‘เจ๋อเซียน’ ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วราชสำนักภายในค่ำคืนเดียว…
หลังจบเรื่องซืออวี้เหยียนก็ถามเหล่าจางว่าคิดวิธีนี้ขึ้นมาได้อย่างไร กุนซือผู้เฒ่าบอกว่าตนก็แค่อาศัยวิธีการจากตำราโบราณคนโบราณและเรื่องโบราณเท่านั้น ตอนนั้นเหล่าจางยังทอดถอนใจหนึ่งทีเอ่ยว่า คนในตำราผู้นั้นต่างหากถึงจะมีความรู้ความสามารถที่แท้จริง ไม่ได้ลักไก่เอาอย่างเขา
หากจะบอกว่าเรื่องนี้เป็นทฤษฎี ยังมีอีกเรื่องที่เป็นการลงมือปฏิบัติจริง ซึ่งทำให้ซืออวี้เหยียนต้องหันมามองเหล่าจางเสียใหม่จริงๆ ที่แท้ก็มีคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่ถือว่าสนิทกันเลยแม้แต่น้อย ได้มาทำการค้ากับสหายรักคนหนึ่งของซืออวี้เหยียน ทำงานร่วมกันมานานหลายปี เนื่องจากเหมารวมกิจการเกี่ยวกับดินและไม้ในพื้นที่ไปไว้ไม่น้อย มองดูเหมือนสหายคนนั้นได้กำไรกลับมาเป็นกอบเป็นกำ ปีนั้นยังคิดจะดึงซืออวี้เหยียนมาเข้าร่วมด้วย เพียงแต่ซืออวี้เหยียนไม่สนใจเรื่องของการหาเงินมาตั้งแต่เล็กแล้ว จึงปฏิเสธไปอย่างละมุนละม่อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากได้เป็นขุนนางกรมโยธาก็ยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้อีก เหล่าจางได้ยินเรื่องนี้แล้วก็บอกให้ซืออวี้เหยียนเตือนสหายคนนั้นทันที ซืออวี้เหยียนกึ่งเชื่อกึ่งกังขา แต่ก็ยังโน้มน้าวสหายไปสองครั้ง ทว่าอีกฝ่ายไม่ยอมฟัง ผลคือสหายคนนั้นต้องยุ่งจนหัวหมุนจริงๆ เนื่องจากเงินทั้งหมดนอกเหนือจากหน้าสมุดบัญชี ภายในเวลาสั้นๆ แค่ครึ่งเดือนล้วนถูกดึงเอาไปหมด เหลือเพียงเปลือกว่างเปล่าและเรื่องเละเทะทิ้งไว้ให้กับสหายของเขา ต้องวิ่งเต้นใช้หนี้ไปทั่ว รื้อกำแพงตะวันออกมาซ่อมกำแพงตะวันตก แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจแก้ไขอะไรได้
——